[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 02:19:20 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เอเชียรามา : Wuxia ... ความจริงของจอมยุทธ์  (อ่าน 2908 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5069


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2554 09:03:21 »



 




































หวังหยู่ ในวัยหนุ่ม



ฮุ่ยอิงหง ยุคยังสาวใส



ดอนนี เยน ในวัยเด็กน้อย ที่เล่นเป็นจอมยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ๆ



เช่นเดียวกับ ปีเตอร์ ชาน


โลกแห่ง “จอมยุทธ์” เป็นดินแดนแห่งความสง่างาม เล่าเรื่องของวีรกรรมความกล้าหาญของชนชั้นวีรบุรุษ…. แต่สิ่งเหล่านั้นกลับปรากฏอย่างเบาบางใน Wuxia ผลงานใหม่ของ “ปีเตอร์ ชาน” กับนักแสดงแอ็กชั่นหมายเลข 1 ของวงการ “เจินจื่อตัน” ที่เล่าเรื่องราวด้านที่เต็มไปด้วยความสมจริงสมจัง, มืดมิด แห่งโลกจอมยุทธ์
       
       เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากเหตุฆ่ากันตายขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลไปจากความเจริญของเมืองใหญ่ กับเหตุซึ่งผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวสองคน เสียชีวิตด้วยน้ำมือของ “หลิวจินซี” (ดอนนี่ เยน) ชายหนุ่มไร้ชื่อคนหนึ่ง
       
       หลิวจินซี ช่างทำกระดาษท่าทางธรรมดา ๆ ชายที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับครอบครัวที่ประกอบไปด้วยภรรยาสาว “ยู” (ทังเวย) และลูกชายทั้งสองคน เป็นที่รู้จักของทุกคนในฐานะคนต่างถิ่น ผู้ตั้งใจทำมาหากิน เป็นที่น่านับถือคนหนึ่ง และไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
       
       หลังวีรกรรมที่เกิดขึ้น หลิวจินซี ได้รับการยกย่อง เป็นวีรบุรุษท้องถิ่นของชาวบ้านทุกคน แต่ในทางตรงกันข้ามมันกลับนำความยุ่งยากมาให้กับเขาด้วย เมื่อทางการส่งได้ นักสืบยอดฝีมือ “ซูไป๋จิ่ว” (ทาเคชิ คาเนชิโร่) มาสืบสวนคลี่คลายคดีดังกล่าว ซึ่งยอดนักสืบได้เริ่มระแคะระคายถึงความผิดปกติในเหตุการณ์การสังหารคนร้าย ของช่างทำกระดาษที่เกิดขึ้น ว่าไม่น่าจะเกิดจาก “ความโชคดี” อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง แต่การเสียชีวิตของผู้ร้ายตัวอันตรายทั้งสองคน อาจเป็นการลงมือของยอดฝีมือผู้เร้นกายอยู่ในบริเวณนี้ต่างหาก
       
       … ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะช่างทำกระดาษผู้ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนคนนี้ แท้จริงแล้วคือ “ถังหลง” อดีตรองหัวหน้าแห่งกลุ่มนักฆ่า “72 อสูร” ที่หายตัวไปจากวงการเมื่อ 10 ปีก่อน และร่องรอยการปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งของเขาที่ ซูไป๋จิ่ว เป็นผู้ค้นพบ ก็ทำให้ความวุ่นวายได้ก่อตัวเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้
       
       ขวดเก่า, เหล้าใหม่ – ร้อนแรงเสียดคอกว่าเดิม
       
       ด้วยเรื่องราวทั้งหมด Wuxia ไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่อะไร หนังเล่าชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยนับพันครั้ง ในประวัติศาสตร์ของนิยายและหนังกำลังภายใน ที่ว่าด้วยการถอนตัวจากยุทธจักรของยอดฝีมือ หากแต่ “ปีเตอร์ ชาน” ได้นำพล็อต และองค์ประกอบแห่งหนังกำลังภายใน ซึ่งเป็นที่คุ้นชินกันมานาน มาขยายขอบเขต อธิบายถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ชนิดที่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
       
       ประการแรกหนังแสดงออกถึงความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการอธิบายความถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งที่เรียกกันว่า “วิชากำลังภายใน” ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งฉายภาพไปถึงอวัยวะภายใน ที่ถูกทำลายด้วยวิชาที่เรียกว่า “การสกัดจุด” หรือการควบคุมพลังในร่างกาย ในการเคลื่อนไหวฝืนกฎแรงโน้มถ่วงในแบบ “วิชาตัวเบา” ด้วย
       
       นอกจากวิทยายุทธ์อันเต็มไปด้วยความสมเหตุสมผลแล้ว Wuxia ยังโดดเด่นกับการวาดภาพของโลก “ยุทธ์จักร” ที่ตามท้องเรื่องอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ชิง ได้อย่างสมจริงสมจัง ให้รายละเอียดไปถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้นอย่างน่าเชื่อถือ จนเหมือนเรื่องราวในหนังเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเสี้ยวหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์
       
       แม้แต่กลุ่มองค์กรมือสังหาร “72 อสูร” ที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง ก็ถูกให้รายละเอียดอย่างน่าเชื่อถือ ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่เหลือของชาว "ทังกุต" (หรือ "ซีเซี่ย") อดีตชนชาติที่ครอบครองดินแดนทางแถบตะวันตก ที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1038 ก่อนที่จะถูก กองทัพ มองโกล เข้าตีจนแตกในปี 200 ปีต่อมา ขณะที่ใน Wuxia มีท้องเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง แสดงว่าในฐานะชาวทังกุตที่หลงเหลืออยู่ พวก 72 อสูร คงต้องอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทนมาร่วมหลายร้อยปีแล้ว … เป็นรายละเอียดที่แม้จะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก แต่ก็ถือว่าสร้างน้ำหนักให้กับเรื่องราวได้ไม่น้อยเลย
       
       โดยรวมแล้วโลกแห่ง “ยุทธจักร” ของ Wuxia มีภาพที่แตกต่างจากงานที่เคยมีมาโดยสิ้นเชิง กลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่ได้ดูสง่างามยิ่งใหญ่ แต่ถูกนำเสนอในฐานะกลุ่มชนชั้นที่ดูไม่ปกติธรรมดา เป็นตัวอันตราย จนบางรายแทบจะเข้าขั้นวิปลาส เป็นกลุ่มบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างแปลกแยกจากสังคม คลุกคลีอยู่กับกลิ่นคาวเลือด ดูเหมือนไม่ใช่เป็นวิถีชีวิตที่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
       
       คารวะหนังกำลังภายในยุคเก่า
       
       Wuxia มีหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือผู้กำกับ ปีเตอร์ ชาน และพระเอกที่ควบตำแหน่งผู้ออกแบบคิวบู๊ไปในตัวอย่าง ดอนนี เยน ซึ่งทั้งสองออกปากว่าตัวเองเป็นแฟนพันธ์แท้หนังกำลังภายในยุคเก่าของ “ชอว์บราเดอร์” กันมาตั้งแต่เด็ก และต้องการใช้ผลงานเรื่องนี้ เพื่อเป็นการสดุดีหนังรุ่นพ่อเหล่านั้น
       
       นอกจากเนื้อหาที่หยิบเอาเนื้อเรื่อง “ตามแบบฉบับ” หนังกำลังภายในที่สุด มาตีความใหม่แล้ว ปีเตอร์ ชาน ยังหยิบเอาบางเสี้ยว หรือเกร็ดจากหนังกำลังภายในที่เรียกกันว่า ยิ่งใหญ่ตลอดการที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง “เดชไอ้ด้วน” มาใส่ในงานชิ้นนี้ด้วย ซึ่งตอนแรกเคยมีข่าวว่า Wuxia จะเป็นการ “รีเมก” เดชไอ้ด้วน ด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายเป็นแค่องค์ประกอบบางอย่างเท่านั้นเอง
       
       เสี้ยวสำคัญของ “เดชไอ้ด้วน” ที่ปรากฏอยู่ใน Wuxia ก็คือนักแสดงรุ่นใหญ่นาม “หวังหยู่” ที่ได้หวนคืนจอครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี มารับบทเป็นประมุขแห่งกลุ่มมือสังหารสุดโหด แม้เป็นตัวละครที่ปรากฏแค่ช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง แต่ก็โดดเด่นเป็นที่จดจำไม่แพ้ใคร
       
       อาจจะเรียกได้ว่า หวังหยู่ เป็นดาราแอ็กชั่นแห่งโลกหนังกำลังภายในฮ่องกงคนแรก ที่แจ้งเกิดขึ้นมาในปี 1965 เรียกว่ามาก่อน “บรูซ ลี” เสียด้วยซ้ำ แม้เทคนิคลีลาพะบู๊ของเขาจะไม่ได้สูงส่งอะไรมากนัก แต่ “มาด” จอมยุทธ์ของหวังหยู่ก็ถือว่าไม่แพ้ใคร
       
       ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกในวัย 68 ปีเต็ม หวังหยู่ อาจจะแทบไม่เหลือร่องรอยเดิมในสมัยที่เขาเคยโด่งดังเมื่อร่วม 40 – 50 ปีก่อน แต่นักแสดงรุ่นใหญ่รายนี้ยังไว้ลายเสือ ให้การแสดงอย่างยอดเยี่ยมน่าเกรงขาม ในการสวมบทบาทเป็นหัวหน้าของพวก 72 อสูร ที่สร้างความกดดันน่าหวาดวิตกทุกครั้งไป เมื่อเขาปรากฏขึ้นมาบนจอหนัง
       
       นอกจาก หวังหยู่ แล้ว Wuxia ยังมี “ฮุ่ยอิงหง” มารับบทเป็นนักฆ่าหญิงสุดโหดสังกัด 72 อสูร ผู้ออกปากรับหน้าไปตาม ถังหลง ในคราบ หลิวจินซี ให้กลับคืนสู่ถิ่นเดิม ถ้าใครมีอายุประมาณ 30 – 35 ไปขึ้นไป ก็อาจจะพอจดจำ ฮุ่ยอิงหง คนนี้ได้นะครับ เธอคืออดีตราชินีนักบู๊คนสุดท้ายของชอว์บราเดอร์ เป็นดาราหญิงที่เล่นฉากบู๊ได้เข้าท่าเข้าทาง พอ ๆ กับรูปโฉมที่หนุ่ม ๆ (ในยุคนั้น) หลงเสน่ห์ไปตาม ๆ กัน
       
       สำหรับบทนักฆ่าผู้มีมีดสั้นเป็นอาวุธของ ฮุ่ยอิงหง ในหนังเรื่องนี้ เป็นบทที่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เข้าใจว่าเราไม่ทราบกระทั่งชื่อเธอ รู้แต่เพียงว่าหญิงโหดคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตัวละครของ ดอนนี เยน แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดากันเอาเท่านั้น … ด้วยทั้งข้อมูลที่จำกัด และเวลาบนจอที่ไม่ได้มากมายนัก แต่ตัวละครหญิงนักฆ่ากลับเป็นที่จดจำมากเหลือเกิน เป็นตัวละครที่ผสมระหว่างความร้ายกาจ, น่าระพรึง และน่าเห็นอกเห็นใจไปพร้อม ๆ กัน
       
       มาสเตอร์พีซของ “ปีเตอร์ ชาน” บนจีนแผ่นดินใหญ่
       
       ด้วยเนื้อเรื่องที่ถูกเล่าซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ปีเตอร์ ชาน ประสบความสำเร็จในการนำกลับมาเล่าใหม่ ด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์ตลกร้าย กับเทคนิคอันหวือหวา ทั้งการตัดต่อ, ดนตรีประกอบ และที่น่าประทับใจเป็นพิเศษเห็นจะเป็น งานภาพของ หลียิ่วฮุย และ เจค พอลแล็ค ซึ่งเน้นเก็บรายละเอียดของฉากหลังที่เป็นหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ และวิถีชีวิตของผู้คนในแถบหยุนหนาน ในดินแดนที่ดูอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เป็นงานที่มีงานสร้างออกมาในมาตรฐานของ ปีเตอร์ ชาน และเหนือมาตรฐานหนังจีนฮ่องกงทั่วไปเช่นเดิม
       
       ส่วนบทของ ออร์เบรย์ แลม ก็ให้รายละเอียดตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อมาผสมกับการแสดงชั้นดี จึงได้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นชม อย่างตัวละครสาวชาวบ้านของ ทังเวย ที่ดูสมจริงสมจัง น่าเห็นอกเห็นใจ แม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาอย่างรุนแรงชัดเจนก็ตาม
       
       และที่น่ากล่าวถึงเป็นพิเศษก็คือ ทาเคชิ คาเนชิโร่ ที่สวมบทบาทเป็นนักสืบ “ซูไป๋จิ่ว” ชายผู้ทนทุกอยู่กับทั้งอาการบาดเจ็บภายในที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด, การเห็นภาพหลอน และชีวิตแต่งงานที่พังพินาศไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้นำพาปัญหามาให้เขา เท่ากับการหมกมุ่นอยู่กับงานคลี่คลายคดี เพื่อเอาตัวคนผิดมาดำเนินการทางกฎหมาย หลังจากเหตุการณ์ที่เขาเคยลังเลให้โอกาสกับคนทำผิด จนกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เป็นบ่อเกิดของหายนะให้กับชีวิตของตนเองมาแล้ว
       
       … นับว่าจากอดีตพระเอกขวัญใจวัยรุ่น ผู้โด่งดังกับความหล่อเหลาชนิดหาตัวจับได้ยาก เส้นทางสายอาชีพการแสดงของ คาเนชิโร่ เดินทางมาได้ไกลอย่างที่ไม่มีใครคาดจริง ๆ
       
       หลายปีที่ผ่านมา ปีเตอร์ ชาน ยืนยันความเป็นคนทำหนังประเภท “บล็อคบาสเตอร์” ของตัวเองมาตลอด เขาสร้างงานประเภทที่มีนักแสดงชื่อดังรับบทนำ กับเนื้อเรื่องสนุกสนานน่าติดตาม และยังลงทุนมหาศาล งานสร้างยิ่งใหญ่ตระการตา แบบนี้ติด ๆ กันหลายเรื่อง Wuxia เองก็เป็นงานที่เข้าข่ายดังกล่าว แต่ในทางเดียวกัน “หนังบล็อคบาสเตอร์” ในแบบของ ปีเตอร์ ชาน นั้นไม่เคยเป็นของตลาดแบบกะดิน หรือเป็นความบันเทิงไร้รสนิยมอยู่แล้ว แต่ตรงกันข้ามมันยังคงความน่าสนใจสำหรับนักดูหนังเสมอ
       
       หลังเข้ามาทำหนังในเมืองจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเต็มตัว “ปีเตอร์ ชาน” มีผลงานกำกับภาพยนตร์ออกมา 3 เรื่องใน 9 ปี ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า Wuxia คืองานที่ดีที่สุดในยุคการทำหนังป้อนตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ของเขาเลยทีเดียว

Donnie Yen WuXia Long Trailer 2011

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5069


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2554 09:06:58 »

Woxia มนุษย์มี “กรรมลิขิต”



 
หนึ่ง ธนาธร /Woxia มนุษย์มี “กรรมลิขิต”



   เมื่อว่ากันถึง “หนังจีน” ในบ้านเรา  หนังจีนเคยมี ยุคทอง เป็น ยุคหนังกำลังภายใน  ต่อมาก็ ยุคหนังแก๊งค์สเตอร์  แต่หลังจากยุค โจวเหวินฟะ,หลิวเต๋อหัว,โจวซิงฉือ   กระแสหนังจีนในบ้านเราก็อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด  เคยทำท่าจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งกับหนัง ฟงหวิ๋น ขี่พายุทะลุฟ้า   ที่มาพร้อม  หนังกำลังภายใน เทคนิคตระการตา  แต่ก็ไปได้ไม่ถึงไหน

      หลิวเต๋อหัว กับ โจวซิงฉือ น่าจะเป็น ซุปตาร์สองคนสุดท้ายของจีนที่ชื่อยังพอเรียกคนดูชาวไทยได้  ไม่รวม ตัวพ่อ อย่าง เฉินหลง ที่ขึ้นหิ้งเป็น  อมตะนิรันดร์กาลไปแล้ว  แต่ก็แรงตกไปตามวัย 

       หนังจีนในพักหลังๆจึงไม่ค่อยเรียกความสนใจสักเท่าไหร่  เหมือน หมดมุข ไม่รูจะขายอะไร   จนต้องไปขุดเอาประวัติศาสตร์มาสร้าง ประเภท ประวัติของฮีโร่ในประวัติศาสตร์ โน่น นี่ นั่น  แล้วเน้นที่ความอลังการยิ่งใหญ่เป็นไฮไลท์  ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเรียกคนดูชาวไทยได้สักเท่าไหร่

       ซุปตาร์รุ่นที่เราเติบโตมา อย่าง เฉินหลง,โจวเหวินฟะ,เหลียงเฉาเหว่ย,หลิวเต๋อหัว,โจวซิงฉือ  ก็เริ่มเฒ่าชะแรแก่ชราลง  รุ่นใหม่อย่าง เจิ้งอี้เจี้ยน,เฉินก๊วนซี,หยูเหวินเล่อ,เซียะถิงฟง ก็ไม่สามารถสร้างความฮอตฮิตในบ้านเราได้เท่าซุปตาร์รุ่นพี่ๆน้าๆ 

        แต่ก็ใช่จะ  “ยิ่งใหญ่ แต่ข้างในกลวง” ไปเสียหมด   เพราะจริงๆแล้ว  หนังจีนที่เข้ามาฉายในบ้านเราในยุคหลังๆ  แม้จะน้อยเรื่อง  แต่หลายเรื่องก็มีเนื้อหาที่น่าสนใจ  “หน้าหนัง” ดูธรรมดาๆ ไม่น่าสนใจ  แต่พอดูไปกลับพบความลุ่มลึก  ไม่ใช่แค่เน้นที่ฉากแอ๊คชั่นกำลังภายใน หรือ การต่อสู้เท่านั้น  แต่ยังเนื้อหาที่ลึกซึ้งแฝงไว้ด้วยเช่นกัน

 

     ตอนที่ผมไปงาน เทศกาลหนังเมืองคานส์   หนังเรื่อง Woxia ของ ปีเตอร์ ชาน  ได้รับความฮือฮาที่โน่นตั้งแต่วันแรกๆที่ไปถึง  กิตติศัพท์เริ่มมาเข้าหู   แต่ผมก็ยังไม่นึกอยากดูสักเท่าไหร่  ด้วยความที่รู้สึกว่า  หนังจีนพักหลังไม่ค่อย “มีอะไรใหม่” มาให้ดูแล้ว  ออกแนวซ้ำๆซากๆ  ขายความยิ่งใหญ่ ขายฉากแอ๊คชั่น  เลยไม่คิดจะขวนขวายที่จะดูเรื่องนี้

       กระทั่งได้มาเห็นหนังตัวอย่างในบ้านเรา  ถึงได้เห็นแววความน่าสนใจ  และเมื่อได้ดูก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เราเกือบพลาด หนังดี ไปอีกเรื่องซะแล้ว

       หนังเริ่มต้นด้วยฉาก  เจ้าของโรงเตี๊ยมโดนโจรกระจอกสองคนมาขู่เอาเงิน  โดยมีพระเอก (ดอนนี่ เยน) โผล่เข้ามาช่วย เหมือนหนังจีนดาดๆทั่วไป   แต่ต่อมาหลังจากพระเอกฆ่าโจรตาย  ทางการส่งนักสืบมาสืบคดีนี้  ทำให้นึกถึง  หนังนักสืบ  เรื่อง  ”ตี๋เหรินเจี๋ย”  ที่ หลิวเต๋อหัว เล่น 


        พอนักสืบเริ่มสืบพร้อมกับการวิเคราะห์หลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ  หนังก็เป็นเหมือน  หนังอวดสรรพคุณภูมิปัญญาจีนในเรื่อง  การแพทย์แผนจีน  และ ศิลปะการต่อสู้   ต่อมาเมื่อนักสืบ (ทาเคชิ คาเนชิโร่) เริ่มพุ่งเป้าไปที่พระเอก  การพูดคุยกันของทั้งสองก็ออกแนว หนังปรัชญาธรรมะ

        ก่อนจะส่งท้ายด้วยการเผยปูมหลังของพระเอก  ที่ออกเหมือน  หนังจิตวิทยาครอบครัว เรื่องราวของ ชายหนุ่มที่มีพ่อเป็นซาดิสต์  ก่อนจะจบลงด้วยไฮไลท์กับฉากแอ๊คชั่นกำลังภายในตามประสาหนังจีน 


        เล่ามาดังนี้  หลายคนคงคิดว่า “นี่มันหนังอะไรกันวะ?”  อะไรมันจะ “เยอะสิ่ง” ขนาดนี้  แต่เชื่อมั๊ยว่าผู้กำกับ ปีเตอร์ ชาน ทำได้  เขาผสานผสาน  “สารเยอะสิ่ง” เหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างพิถีพิถัน  ด้วยรสชาติ จีนโบราณ กับ จีนโมเดิร์น เข้าด้วยกันอย่างลงตัวและงดงาม

         ผมเข้าดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ได้อ่านเรื่องราวอะไรมาก่อน (บอกแล้วว่า หนังจีนยุคหลังนี้ไม่ค่อยเรียกความสนใจผมสักเท่าไหร่)  ผมมาสะดุดเข้ากับฉากไฮไลท์ในเรื่องที่ พระเอก (ดอนนี่ เยน) ต่อสู้กับพ่อของตนเอง  ผมรู้สึกสะดุดตานักแสดงที่เล่นบทพ่อมากๆว่า คนนี้เป็นใคร? 

         เพราะเขามากับมาดเข้ม เปี่ยมด้วย “รังสีอำมหิต” เต็มที่   นึกอยู่ว่า  เดี๋ยวจะต้องไปตามหาแล้วว่า “หมอนี่เป็นใคร?”  กระทั่งมาอ่านเจอว่า ที่แท้เขาคือ “หวังอยู่”  ซุปตาร์รุ่นเก๋ากึ๊กตั้งแต่ผมยังเด็กนี่เอง  ที่โด่งดังจากหนัง “เดชไอ้ด้วน”  นั่นเองผมถึงไม่แปลกใจเลยว่า  เขาเล่นได้ทรงพลังมากๆ   ชนิดแค่มาดก็กินขาด ทั้งมาด ท่าทาง แววตา แทบจะฆ่า ดอนนี่ เยน ตายคาจอโดยยังไม่ได้ต่อสู้กันเลยทีเดียว


         หนัง “อู๋เสีย”  โดนใจผมอย่างแรง   ทั้ง เนื้อหา และ รูปแบบ   เนื้อหาของหนังส่งสารผ่านตัวละคร นักสืบ ซูไป๋จิว (ทาเคชิ)  ที่เหมือนตั้งกระทู้ขึ้นถามตัวเองว่า  “คนที่เคยเลว จะสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้จริงหรือ?”  และเขาเชื่ออย่างแรงกล้าในกฏที่ว่า  คนเลวต้องได้รับการลงโทษ  และ (พยายามจะ)  เชื่อมั่นใน ความสักดิ์สิทธิ์ของ กฏหมาย

        และกรณีศึกษาของเขาก็คือ หลิวจินซี(ดอนนี่ เยน)  ที่เขาเชื่อว่า เป็นโจรที่พยายามกลับใจ  และเขาไม่เชื่อว่า จินซี จะทำได้สำเร็จ   ขณะที่ จินซี เองก็มีความเชื่อว่า  สรรพชีวิตเป็นไปตามกรรม  ทุกคนมีกรรมโยงใยถึงกันอยู่  เกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


        มุมมองของ จินซี โดนใจผมอย่างแรง  เพราะหลักคิดหนึ่งที่ผมยึดประจำใจก็คือ  คำกล่าวที่ว่า  ในทางพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “บังเอิญ”  ทุกชีวิตเป็นไปตาม “กรรมลิขิต”

         และหนังเรื่องนี้เป็นเป็นเหมือน กรณีศึกษา  ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้พินิจพิจารณาว่า จะเชื่อในทางใด แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน  ผ่านสองตัวละครหลักคือ ซูไป๋จิว กับ หลิวจินซี 

        “การสืบ” ของ ซูไป๋จิว  เป็นเหมือน การค้นหาความหมายของชีวิต  ที่ยังค้างคาใจของ ซูไป๋จิว  ที่เคยมีอดีตที่เลวร้ายมาก่อนเช่นกัน  ขณะที่  หลิวจินซี  ก็คือคนที่ “คิดได้ และ ลงมือปฏิบัติ”  ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร เขาพร้อมจะยอมรับมันโดยดุษฏี 


        งานด้านภาพสอดรับกับเนื้อหาที่ลึกซึ้ง  ทั้งสวยงาม สื่อความ และ สร้างบรรยากาศระทึกขวัญไปพร้อมกัน  เทคนิคด้านภาพสมัยใหม่  มาช่วยทำให้  หนังจีนลุคโบราณดูมีความสดใหม่ เร้าใจ ชวนติดตามยิ่งขึ้น

        เคยรู้จัก เจิ้นจื่อตัน มาตั้งนาน   ตั้งแต่เขายังเป็นตัวประกอบ   เคยคิดว่า หมอนี่ไม่หล่อเลย มาเป็นพระเอก ได้อย่างไร  แต่นั่นก็นานมาแล้ว  เพราะหลังจากวันที่ผมนึกสบประมาทในใจ  เจิ้นจื่อตัวก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆในชื่อ “ดอนนี่ เยน”  จะมาวันนี้เขาเป็น ซุปตาร์ในหนังหนังแอ๊คชั่นทั้งในหนังจีน และ หนังฮอลลีวู้ด  แต่เขาก็ยังไม่หล่อในสายตาผมอยู่ดี  แต่เรื่องฝีมือการเล่นบทบู๊นั้น ยอมรับว่า “เขาเทพ”  จริงๆ


       มักจะเห็นเขาแต่ในหนังแอ๊คชั่นมาตลอด  เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้เห็นเขาเล่นอารมณ์ดรามาเข้มข้น  ที่ทำให้เขาดูน่าสนใจขึ้นมาอีกหน่อย    ทาเคชิ ก็เหมาะมากกับบท ปัญญาชนผู้ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อขจัด”ปมในใจ”ที่ค้างคามานาน

        ที่ประทับใจสุดขีดคือ ฉากการปะทะกันระหว่าง ดอนนี่ เยน กับ หวังอยู่  หนังออกอาการคารวะต่อ หนัง “เดชไอ้ด้วน”  และ หวังอยู่  นักแสดงอาวุโส ระดับบรมครูของจีน เต็มที่  ดูฉากนี้แล้ว ผมคงต้องไปหาหนัง “เดชไอ้ด้วน” เวอร์ชั่น หวังอยู่  ที่ซื้อเก็บไว้มาดูอีกซะแล้ว 

        “อู๋เสีย”  ทำให้ผมเริ่มมีความหวังกับหนังจีนขึ้นมาอีกครั้ง   ที่สรุปได้ก็คือ  ขณะที่ผู้กำกับบางคนเลือกที่จะ “ขายความยิ่งใหญ่อลังการ”  แต่ ผู้กำกับบางคน  เลือกที่จะเน้นไปที่ ความลุ่มลึกของเนื้อหา  ด้วยการ ย้อนกลับไปหา  “ของเก่า”  และ ค้นหา “ความหมายใหม่”  จากการตีความในมุมมองใหม่ๆ  ทำให้ของเก่า  ดูเปี่ยมคุณค่ายิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

        ดูหนังแล้ว ก็หายแปลกใจว่า  ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ไปอวดโฉมในเทศกาลหนังเมืองคานส์  เพราะว่า  หนังของ ปีเตอร์ ชาน เรื่องนี้ มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็น “ตัวแทนประเทศจีน”  ในการนำออกฉายผ่านสายตาชาวโลก  เพราะหนังมีลักษณะความเป็นจีน ทั้งยังเป็น “หนังอวดสรรพคุณ”  ภูมิปัญญาชาวจีน ทั้งเรื่อง  การแพทย์  ศิลปะการต่อสู้  ที่ถูกผู้กำกับนำเสนออย่าง  “ทรงภูมิ”  และ “ทรงพลัง” แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจของผู้กำกับที่มีต่อแผ่นดินจีนอย่างเต็มที่


        (เอ่อ... ว่าแต่ ปีเตอร์ ชาน เขามีเชื้อสาย ไทย ด้วยไม่ใช่เหรอ...?  คุณพี่ไม่คิดจะสร้าง “หนังอวดสรรพคุณ” ชาวไทยสักหน่อยเหรอ?  เอาหน่อยน่า... สักเรื่องก็ยังดี   ขออนุญาติดัดแปลงไดอะล็อคในตอนหนึ่งของหนังเรื่องนี้มาใช้หน่อยล่ะกัน 

       “อย่าลืมสิว่า เลือดในตัวนาย  ครึ่งหนึ่งมันเป็นเลือดของคนไทยอยู่ด้วยนะ  เอามันออกมาแสดงให้ชาวโลกได้เห็นหน่อยสิ ...” )

   
        อย่าปล่อยให้ชีวิค “คอหนัง” อย่างคุณต้องเสียใจ เพราะพลาดชมหนังเรื่องนี้. 


 http://www.siamrath.co.th/


ตัวอย่าง Wuxia:นักฆ่าเทวดา แขนเดียว
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122 Chrome 12.0.742.122


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2554 09:20:17 »

หนังของดอนนี่เยน ส่วนมากหนังดี แต่เดินเรื่องขัด ๆ

ไม่รู้อาเฮียเค้าจะนิ่งไปไหน

คือเข้ากับบุคลิก แต่ทำให้หนังจืด

 หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.629 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 19:56:14