27 เมษายน 2567 06:37:50
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
นั่งเล่นหลังสวน
สุขใจ ไปรษณีย์
.:::
ทำไม “กะเพรา” ใน(ฮินดู)อินเดียคือพืชศักดิ์สิทธิ์-ไว้บูชา
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ทำไม “กะเพรา” ใน(ฮินดู)อินเดียคือพืชศักดิ์สิทธิ์-ไว้บูชา (อ่าน 590 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2325
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
ทำไม “กะเพรา” ใน(ฮินดู)อินเดียคือพืชศักดิ์สิทธิ์-ไว้บูชา
«
เมื่อ:
21 มิถุนายน 2564 15:34:56 »
Tweet
ภาพประกอบเนื้อหา - ใบกะเพรา (ขวา) พริก และหมูสับ ภาพโดย กฤช เหลือลมัย
ไทยใช้ “กะเพรา” มากินเอร็ดอร่อย ทำไม “กะเพรา” ใน(ฮินดู)อินเดียคือพืชศักดิ์สิทธิ์-ไว้บูชา
ผู้เขียน - พีรวิชญ์ เอี่ยมปรีดา
เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันพฤหัสที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2564
กะเพรา
(
Holy basil
) เป็นพืชล้มลุกที่ปลูกง่าย มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ ลำต้นมีกิ่งก้านสาขามากมาย และเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติช่วยขับลม เช่นเดียวกันกับโหระพา (
Sweet Basil
) ในทางชีววิทยานับว่าพืชทั้งสองชนิดนี้อยู่ในสกุลเดียวกัน คือพืชสกุลโหระพา หรือ
Ocimum
สกุลนี้ในไทยมี 4 ชนิดคือ โหระพา, แมงลัก, กะเพรา และ โหระพาช้าง
ชื่อวิทยาศาสตร์ของกะเพราคือ
Ocimum tenuiflorum
ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของโหระพาคือ
Ocimum basilicum
(คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2535)
กะเพรา และ โหระพา มีลักษณะแตกต่างกันอยู่บ้าง กลิ่นของกะเพราจะ “ฉุน” กว่า ลักษณะของกะเพรามีขนซึ่งต่างจากโหระพาที่ไม่มีขน ทั้งนี้ยังมีลักษณะแยกย่อยลงไปอีกซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ของทั้งกะเพราและโหระพาด้วย
ความเหมือนกันของพืชทั้งสองชนิดในไทยอีกประการคือ นิยมนำมาประกอบอาหาร และไม่ได้เป็นที่นิยมเฉพาะในประเทศไทยหรือในทวีปเอเชียเพียงอย่างเดียว เพราะด้วยรสชาติที่เข้ากันได้กับหลายเมนูและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ทั้งกะเพราและโหระพาถูกนำไปเป็นส่วนประกอบในหลากหลายเมนูทั่วโลก โดยเฉพาะโหระพาที่มักพบเห็นทั่วไปในอาหารอิตาเลียน และยังเป็นพืชพรรณในระดับโลกซึ่งบางกลุ่มยกย่องให้เป็น “ราชาแห่งสมุนไพร”
ความเหมือนกันของพืชสกุลเดียวกันทั้งสองชนิดนี้อีกแง่มุมคือ ความเชื่อทางคติชนเกี่ยวกับพืชทั้งสองชนิดนี้ในพื้นถิ่นต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป
เริ่มต้นที่กะเพรา จัดเป็นพืชเก่าแก่ บางรายสันนิษฐานว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียหลายพันปีที่แล้ว โดยในวัฒนธรรมแบบฮินดูจะถือว่ากะเพราเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาในศาสนาฮินดูแถบประเทศอินเดียและเนปาล
ตัวอย่างหนึ่งคือในเอกสารคัมภีร์ปุราณะ (
Purana
) ส่วน “เทวีภาควัต” (
Devi-Bhagavata Purana
) ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวฮินดู กะเพราเป็นร่างอวตารร่างหนึ่งของพระนางลักษมี ผู้เป็นพระชายาของพระวิษณุ ซึ่งพระวิษณุถือว่าเป็นหนึ่งในองค์เทพสูงสุดของศาสนาฮินดู ดังนั้นชาวฮินดูจึงถือว่ากะเพราเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์และมักนำไปใช้ในเชิงพิธีกรรมหรือในเชิงสมุนไพรมากกว่า ไม่ได้นิยมนำมาใช้รับประทานกันมากนักเหมือนที่อื่น
นอกจากนี้ชาวฮินดูยังเชื่อว่า หากปลูกต้นกะเพราไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปได้ อีกทั้งกะเพรายังเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมอื่นๆ เช่น พิธีในงานศพตามวัฒนธรรมของชาวฮินดู อีกด้วย
แต่ไม่ใช่แค่กะเพราเท่านั้นที่มีความเชื่อในลักษณะเช่นนี้ หากเดินทางไปยังแถบตะวันตกในดินแดนทางตอนใต้ของทวีปยุโรป จะพบว่ามีความเชื่อทางคติชนในทำนองเดียวกันนี้กับโหระพา ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกันกับกะเพรา
มีข้อสันนิษฐานว่า โหระพาค่อยๆ แพร่กระจายจากอินเดีย กระทั่งถูกนำเข้ามายังโลกตะวันตกโดยพ่อค้าเครื่องเทศ ตามรายทางอย่างอิหร่าน และอียิปต์ ก็มีปรากฏความเชื่อเกี่ยวกับคุณค่าของพืชชนิดนี้ในทางสมุนไพรด้วย แต่บ้างก็ว่าเป็นชาวยุโรปพบจากการสำรวจดินแดนในยุคของอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์คนสำคัญในสมัยกรีกโบราณ และเป็นผู้ติดตามของอเล็กซานเดอร์มหาราชนำกลับมาที่กรีก แต่ไม่มีข้อมูลที่พอจะยืนยันข้อสันนิษฐานได้อย่างแน่ชัด
หรือบางแห่งอ้างอิงเอกสารโบราณในยุค
807 A.D.
ว่ามีใช้โหระพาในพื้นที่
Hunan
ของจีน
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในเชิงภาษา มีข้อมูลบางแห่งเชื่อว่า
Basil
มีรากมาจากภาษากรีก โดย
Theophrastus
นักปรัชญากรีกยุคโบราณเอ่ยว่า
Basilikos
หมายถึง สมุนไพรที่คู่ควรกับกษัตริย์ โดยชาวกรีก-โรมันเชื่อว่า โหระพาเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่มีไว้เพื่อสักการะบูชาเทพ
นอกจากนี้ การเก็บเกี่ยวโหระพาก็ไม่สามารถทำได้อย่างทันทีทันใด เช่นเดียวกันกับชาว
Gauls
(หนึ่งในกลุ่มชนร่วมสมัยกับอารยธรรมกรีกโบราณ) ที่จะต้องยึดธรรมเนียมข้อปฏิบัติคือ ผู้เก็บโหระพาจะต้องอยู่ห่างจากผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ตามความเชื่อของคนยุคก่อน (เช่น สตรีที่มีประจำเดือน) ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด ต้องล้างมือจากน้ำพุสามแห่งก่อนทำการเก็บเกี่ยว และไม่ใช้เครื่องมือโลหะ เพราะเชื่อว่าการใช้เครื่องมือโลหะตัดโหระพาจะลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ลง
ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีความเชื่อของชาวคริสเตียนในสมัยนั้นที่เชื่อว่าโหระพาเป็นพืชขึ้นอยู่บริเวณหลุมฝังศพของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นโหระพาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการไว้ทุกข์ที่ชาวคริสต์ในสมัยก่อนจะนำมาวางไว้บนหลุมฝังศพ อีกทั้งนักบวชในยุคนั้นยังนำโหระพาจุ่มลงในน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขับไล่ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ความเกี่ยวข้องกันทางคติชนของกะเพราในเอเชีย และโหระพาในยุโรป ไม่ได้มีแค่เรื่องพิธีกรรมในงานศพ หรือการขับไล่สิ่งชั่วร้ายเท่านั้น โดยเรื่องนี้
Frederick Simmons
ได้นำเสนอไว้ในหนังสือ
Plants of life, Plants of death
(
1998
) ถึงความเกี่ยวข้องกันในเรื่องการแต่งงานด้วยเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า หญิงสาวในอินเดียบางพื้นที่จะสักการะบูชาต้นกะเพรา เพื่อขอให้เธอได้พบเจอกับสามีที่ดีในอนาคต
และสำหรับหญิงสาวในอิตาลี หากเธอปรารถนาจะแต่งงาน มีความเชื่อดั้งเดิมว่า ให้เธอปลูกโหระพาไว้ในหม้อภายในวันที่ 15 ของเดือนพฤษภาคม หากมันออกดอกภายในวันที่ 24 เดือนมิถุนายน เชื่อกันว่าเธอจะมีโอกาสได้แต่งงานภายในระยะเวลาไม่เกินปีต่อไป
Frederick Simmons
ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความคล้ายคลึงกันของความเชื่อทางคติชนวิทยาระหว่างกะเพราในเอเชีย และโหระพาในยุโรปว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้คนจะแลกเปลี่ยนแนวคิดและความเชื่อของตัวเองเกี่ยวกับพืชสกุลโหระพา หรือ Ocimum แม้พืชชนิดนี้ไปปรากฏตามภูมิภาคต่างๆ แต่นัยความหมายในแง่มุมความเชื่อบางอย่างก็ยังคงคล้ายกัน อันเห็นได้จากความเชื่อที่คล้ายคลึงกันของผู้คนจากต่างวัฒนธรรมในเอเชียกับยุโรป
สำหรับกะเพราในไทยแล้ว จากการค้นคว้าของ กฤช เหลือลมัย หลักฐานเก่าแก่ที่สุดซึ่งเอ่ยถึงกะเพราคือจดหมายเหตุเหตุ ลา ลูแบร์ (พ.ศ.2230) ซึ่งระบุถึง “…ผักลางชนิดที่มีกลิ่นดี เช่น กะเพรา…” บริบทที่ลาลูแบร์กล่าวถึงกะเพราะ คือเมื่อพูดถึงอาหารของชาวสยามที่เขาได้ยินหรือได้พบเห็นเมื่อเข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
ส่วนวัฒนธรรมอาหารสุดฮิตในไทยที่มักนิยมใช้ใบกะเพราผัดพริก กฤช เหลือลมัย เล่าว่า ยังค้นไม่พบหลักฐานที่เอ่ยถึงวิธีทำผัดพริกใบกะเพราในตำราอาหารเก่าๆ แต่พบในหนังสือ “อาหารรสวิเศษของคนโบราณ” พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2531 เนื้อหาส่วนมีอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ เอ่ยถึงเมนูกะเพราผัดพริกว่า
“…กะเพราผัดพริกเป็นของที่เพิ่งนิยมกันเมื่อ 30 กว่าปีมานี้เอง ก่อนนี้นิยมใส่ผัดเผ็ดหรือแกงป่า แกงต้มยำโฮกอือกัน พริกขี้หนูโขลกให้แหลก เอาน้ำมันใส่กระทะ ร้อนแล้วใส่กระเทียมสับลงไปเจียวพอหอม ก็ใส่เนื้อสับ หมูสับ หรือไก่สับก็ได้ ใส่พริกที่โขลกแล้วผัดจนสุก ใส่ใบกะเพรา เหยาะน้ำปลากับซีอิ๊วเล็กน้อย แล้วตักใส่จาน
เนื่องจากการผัดเผ็ดกะเพรานี้ คนจีนได้ดัดแปลงมาจากอาหารไทย ตำรับเดิมเขามีเต้าเจี้ยวด้วย คือเอาเต้าเจี้ยวดำผัดกับกระเทียมเจียวให้หอม แล้วจึงเอาเนื้อสับหรือไก่หั่นเป็นชิ้นๆ ลงไปผัดกับน้ำปลาและซีอิ๊วดำ เมื่อตักใส่จานต้องเหยาะพริกไทยเล็กน้อย…”
ส่วนผัดกะเพราในตำราอาหารตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา อย่างเช่น ตำราอาหารชุดจัดสำรับ (ชุด 2) ของ จิตต์สมาน โกมลฐิติ (พ.ศ.2519) เขียนถึงผัดกะเพราเนื้อไว้ว่า ปรุงด้วยน้ำปลาและผงชูรสเท่านั้น แล้วเอาข้าวลงผัดคลุกเป็นข้าวผัด กินกับถั่วฝักยาวสด
กรรมวิธีข้างต้นสอดคล้องกับเนื้อหาที่ปรากฏในหนังสือกับแกล้มเหล้า ประมวลกับแกล้มเหล้า–เบียร์ทันยุค ของ “แม่ครัวเอก” (พ.ศ.2541) ซึ่งบอกว่าเนื้อสับนั้นจะหมักเหล้าก่อน แล้วปรุงเพียงน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ
ดังนั้นแล้ว กฤช เหลือลมัย จึงตั้งข้อสังเกตว่า ผัดพริกใบกะเพราในแบบที่พบเห็นกันว่าใส่ซอสปรุงรสต่าง ๆ น้ำตาลทราย น้ำมันหอย รสดี น้ำพริกเผา ฯลฯ ในลักษณะเดียวกับกับข้าวร่วมสมัยชนิดอื่น เพิ่งมีมาช่วงระยะหลังๆ นี้เอง
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู พุทธ(เถรวาท) มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
phonsak
13
9181
12 กันยายน 2553 11:50:10
โดย
phonsak
'ครุฑ' ตามตำนานพราหมณ์-ฮินดู
สุขใจ ห้องสมุด
Kimleng
0
4741
03 มกราคม 2558 17:44:21
โดย
Kimleng
‘ฮินดู’ กิน ‘วัว’ ใครก็รู้ว่า ฮินดูมีข้อห้ามรับประทานเนื้อวัว
เกร็ดศาสนา
Kimleng
1
4125
17 สิงหาคม 2559 17:30:27
โดย
Kimleng
พิธีเกี่ยวกับความตายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เกร็ดศาสนา
Kimleng
0
2004
12 มกราคม 2560 20:15:42
โดย
Kimleng
[ไทยรัฐ] - กะเพรา ราคาพุ่งพรวด จาก 60 เป็น 120 บาท ต่อกิโล กระทบร้านอาหารตามสั่ง
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด
0
108
07 มกราคม 2566 15:03:26
โดย
สุขใจ ข่าวสด
กำลังโหลด...