[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 15:02:16 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา  (อ่าน 3696 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:00:08 »




ความรัก - ความร้าย


นอกจากมีเมตตากรุณา หวั่นใจในความทุกข์ยากของผู้อื่นแล้ว พระอานนท์

ยังเป็นผู้สุภาพอ่อนอย่างยิ่งอีกด้วย ความสุภาพอ่อนโยน

และลักษณะอันน่ารัก มีรูปงาม ผิวพรรณดีนี่เองได้เคยคล้องเอาดวงใจน้อย ๆ

ของสตรีผู้หนึ่งให้หลงใหลใฝ่ฝัน โดยที่ท่านมิได้มีเจตนาเลย เรื่องเป็นดังนี้.....................

คราวหนึ่ง ท่านเดินทางจากที่ไกลมาสู่วัดเชตวัน อากาศซึ่งร้อนอบอ้าวในเวลาเที่ยงวัน

ทำให้ท่านมีเหงื่อโซมกาย และรู้สึกกระหายน้ำ พอดีเดินมาใกล้

บ่อน้ำแห่งหนึ่ง เห็นนางทาสีกำลังตักน้ำ ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า.........................................................

น้องหญิง อาตมาเดินทางมาจากที่ไกล รู้สึกกระหายน้ำ ถ้าไม่เป็นการรบกวน

อาตมาของบิณฑบาตน้ำจากท่านดื่มพอแก้กระหายด้วยเถิด

นางทาสีได้ยินเสียงอันสุภาพอ่อนโยนจึงเงยหน้าขึ้นดู นางตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

แล้วถอยออกห่างท่านสองสามก้าวพลางกล่าวว่า.....................

พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าถวายน้ำแก่ท่านมิได้ดอก ท่านไม่ควรดื่มน้ำจากมืออันต่ำ

ช้าของข้าพเจ้า ท่านเป็นวรรณะกษัตริย์ ข้าพเจ้าเป็นเพียงนางทาสี

อย่าคิดอย่างนั้นเลย น้องหญิง ! อาตมาไม่มีวรรณะแล้ว อาตมาเป็นสมณศากบุตร

อาตมามิได้เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร หรือจัณฑาล

อย่างใดอย่างหนึ่ง

อาตมาเป็นมนุษย์เหมือนน้องหญิงนี่แหละ

ข้าพเจ้าเกรงแต่จะเป็นมลทินแก่พระคุณเจ้าและเป็นบาปแก่ข้าพเจ้าที่ถวายน้ำ

การที่ท่านจะรับของจากมือของคนต่างวรรณะ และโดยเฉพาะวรรณะที่ต่ำอย่างข้าพเจ้าด้วยแล้ว

ข้าพเจ้าไม่สบายใจเลย ความจริงข้าพเจ้ามิได้หวงน้ำดอก

นางยังคงยืนกรานอยู่อย่างเดิมขณะพูดมีเสียงสั่นน้อย ๆ....................


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:55:45 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:03:34 »




น้องหญิง มลทินและบาปจะมีแก่ผู้มีเมตตากรุณาไม่ได้

มลทินย่อมมีแก่ผู้ประกอบกรรมชั่ว บาปย่อไม่มีแก่ผู้ไม่สุจริต

การที่อาตมาขอน้ำ และน้องหญิงจะให้น้ำนั้น เป็นธรรม

ธรรมย่อมปลดเปลื้องบาปและมลทิน เหมือนน้ำสะอาดชำระสิ่งสกปรกฉะนั้น

น้องหญิง บัญญัติของพราหมณ์เรื่องบาปและมลทิน

อันเกี่ยวกับวรรณะนั้นเป็นบัญญัติที่ไม่ยุติธรรม

เป็นการแบ่งแยกมนุษย์ให้เหินห่างจากมนุษย์ เป็นการเหยียดหยามมนุษย์ด้วยกัน

เรื่องนี้อาตมาไม่มีแล้ว อาตมาเป็นสมณศากยบุตร

สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่มีวรรณะ

เพราะฉะนั้น ถ้าน้องหญิงต้องการจะให้น้ำก็จงเทลงในบาตรนี้เถิด

นางรู้สึกประทับใจในคำพูดของพระอานนท์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่

ได้ยินคำอันระรื่นหู จากชนซึ่งสมมติเรียกกันว่า ชั้นสูง มืออันเรียวงาน

สั่นน้อย ๆ ของนางค่อย ๆ ประจงเทน้ำในหม้อลงในบาตรของท่านอานนท์

ในขณะนั้นนางนั่งคุกเข่า พระอานนท์ยืนโน้มตัวลงรับน้ำจากนาง แล้วดื่ม

ด้วยความกระหาย นางช้อนสายตาขึ้นมองดูพระอานนท์ซึ่งกำลัง

ดื่มน้ำ ด้วยความรู้สึกปีติซาบซ่าน แล้วยิ้มอย่างเอียงอาย

ขอให้มีความสุขเถิด น้องหญิง เสียงอันไพเราะจากพระอานนท์ หน้าของท่านยิ่งแจ่มใสขึ้น

เมื่อได้ดื่มน้ำระงับความกระหายแล้ว

พระคุณเจ้าดื่มอีกหน่อยเถิด นางพูดพลางเอียงหม้อน้ำในท่าจะถวาย

พอแล้วน้องหญิง ขอให้มีความสุขเถิด

พระคุณเจ้า ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจะทราบนามของพระคุณเจ้าพอเป็นมงคลแก่โสต

และความรู้สึกของข้าพเจ้าบ้าง นางพูดแล้วก้มหน้าด้วยความขวยอาย

น้องหญิง ไม่เป็นไรดอก น้องหญิงเคยได้ยินชื่อพระอานนท์ อนุชาของพระพุทธเจ้าหรือไม่

เคยได้ยิน พระคุณเจ้า

เคยเห็นท่านไหม ?

ไม่เคยเลย พระคุณเจ้า เพราะข้าพเจ้าทำงานอยู่เฉพาะในบ้าน

และมาตักน้ำที่นี่ ไม่มีโอกาสไปที่ใดเลย

เวลานี้ น้องหญิงกำลังสนทนากับพระอานนท์อยู่แล้ว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:57:14 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:05:50 »




นางมีอาการตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแววแห่งปีติค่อย ๆ

ฉายออกมาทางดวงหน้าและแววตา

พระคุณเจ้า นางพูดด้วยเสียงสั่นน้อย ๆ

เป็นมงคลแก่โสตและดวงตาของข้าพเจ้ายิ่งนักที่ได้ฟังเสียงของท่าน

และได้เห็นท่านผู้มีศีล ผู้มีเกียรติศัพท์ระบือไปไกล

ข้าพเจ้าเพิ่งได้เห็นและได้สนทนากับท่านโดยมิรู้มาก่อน

นับเป็นบุญอันประเสริฐของข้าพเจ้ายิ่งแล้ว

แลแล้วพระอานนท์ก็ลานางทาสีเดินมุ่งหน้าสู่วัดเชตวัน อันเป็นที่ประทับของพระศาสดา

เมื่อท่านเดินมาได้หน่อยหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดิน

ตามมาข้างหลัง ท่านเหลียวดู ปรากฏว่าเป็นนางทาสีที่ถวายน้ำนั่นเองเดินตามมา

ท่านเข้าใจว่าบ้านของนางคงจะอยู่ทางเดียวกับที่ท่านเดินมา จึงมิได้สงสัย

อะไรและเดินมาเรื่อย ๆ จนจวนจะถึงซุ้มประตูไม่มีทางแยกไปที่อื่น

อีกแล้วนอกจากทางเข้าสู่วัด ท่านเหลียวมาเห็นนางทาสีเดินตามมาอย่าง

กระชั้นชิด นัยน์ตาก็จ้องมองดูท่านตลอดเวลา ท่านหยุดอยู่ครู่หนึ่ง

พอนางเข้ามาใกล้ท่านจึงกล่าวว่า......................

น้องหญิง เธอจะไปไหน ?

จะเข้าไปวัดเชตวันนี่แหละ นางตอบ

เธอจะเข้าไปทำไม ?

ไปหาพระคุณเจ้า สนทนากับพระคุณเจ้า

อย่าเลยน้องหญิง เธอไม่ควรจะเข้าไป ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์

เธอไม่มีธุระอะไร อย่าเข้าไปเลย เธอกลับบ้านเสียเถิด

ข้าพเจ้าไม่กลับ ข้าพเจ้ารักท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยพบใครดีเท่าพระคุณเจ้าเลย

น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่าปกติของคนเราอาจจะรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน

และต้องอยู่ร่วมกันนาน ๆ ต้องมีโยนิโสมนสิการ และต้องมีปัญญา

จึงจะรู้ว่าคนนั้นคนนี้มีปกติอย่างไร คือดีหรือไม่ดี

ที่น้องหญิงพบเราเพียงครู่เดียวจะตัดสินได้อย่างไรว่าอาตมาเป็นคนดี

อาตมาอาจจะเอาชื่อท่านอานนท์มาหลอกเธอก็ได้

อย่าเข้ามาเลยกลับเสียเถิด

พระคุณเจ้าจะเป็นใครก็ช่างเถิด นางคงพร่ำต่อไป

มือหนึ่งถือหม้อน้ำซึ่งบัดนี้นางได้เทน้ำออกหมดแล้ว

ข้าพเจ้ารักท่านซึ่งข้าพเจ้าสนทนาอยู่ด้วยเวลานี้

น้องหญิง ความรักเป็นเรื่องร้ายมิใช่เป็นเรื่องดี

พระศาสดาตรัสว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โศก และทรมานใจ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 11:59:11 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:13:28 »




เธอชอบความทุกข์หรือ ?

ข้าพเจ้าไม่ชอบความทุกข์เลยพระคุณเจ้า

และความทุกข์นั้นใคร ๆ ก็ไม่ชอบ แต่ข้าพเจ้าชอบความรัก

โดยเฉพาะรักพระคุณเจ้า

จะเป็นไปได้อย่างไร น้องหญิง ! ในเมื่อทำเหตุก็ต้องได้รับผล

การที่จะให้มีรักแล้วมิให้มีทุกข์ติดตามมานั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เป็นไปไม่ได้เลย

แต่ข้าพเจ้ามีความสุข เมื่อได้เห็นพระคุณเจ้า ได้สนทนากับพระคุณเจ้า

ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า รักอย่างสุดหัวใจเลยทีเดียว

ถ้าไม่ได้เห็นอาตมา ไม่ได้สนทนากับอาตมา น้องหญิงจะมีความทุกข์ไหม ?

แน่นอนเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจะต้องมีความทุกข์อย่างมาก

นั่นแปลว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้วใช่ไหม ?

ไม่ใช่พระคุณเจ้า นั่นเป็นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักต่างหากเล่า

ไม่ใช่เพราะความรัก

ถ้าไม่มีรัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักจะมีได้หรือไม่ ?

มีไม่ได้เลย พระคุณเจ้า

นี่แปลว่าน้องหญิงยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าความรักเป็นสาเหตุชั้นที่หนึ่งที่จะให้เกิดทุกข์

พระอานนท์พูดจบแล้วยิ้มน้อย ๆ ด้วยรู้สึกว่ามีชัย แต่ใครเล่าจะเอาชนะ

ความปรารถนาของหญิงได้ง่าย ๆ ลงจะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ เพราะธรรมชาติ

ของเธอมักจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ถ้าผู้หญิงคนใดใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหา

ชีวิตหรือในการดำเนินชีวิต หญิงคนนั้นจะเป็นสตรีที่ดีที่สุดและน่า

รักที่สุด เหตุผลที่กล่าวนี้มิใช่มากมายอะไรเลย เพียงไม่ถึงกึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้แม้นางจะมองเห็นเหตุผลของพระอานนท์ว่าคมคายอยู่ แต่นางก็หาย

ยอมไม่ นางกล่าวต่อไปว่า.....................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:00:28 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:17:42 »




พระคุณเจ้า ความรักที่เป็นเหตุให้เกดทุกข์ดังที่พระคุณเจ้ากล่าวมานั้น

เห็นจะเป็นความรักของคนที่รักไม่เป็นเสียละกระมัง

คนที่รักเป็นย่อมรักได้โดยมิให้เป็นทุกข์

น้องหญิงเคยรักหรือ หมายถึงเคยรักใครคนใดคนหนึ่งมาบ้างหรือไม่ในชีวิตที่ผ่านมา

ไม่เคยมาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย

เมื่อไม่เคยมาเลย ทำไมเธอจึงจะรักให้เป็นโดยมิต้องเป็นทุกข์เล่าน้องหญิง

คนที่จับไฟนั้นจะจับเป็นหรือจับไม่เป็น จะรู้หรือไม่รู้

ถ้าลงได้จับไฟด้วยมือแล้วย่อมร้อนเหมือนกันใช่ไหม ?

ใช่ พระคุณเจ้า

ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ

ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟ อย่าเล่นกับไฟ

ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก

พระคุณเจ้าจะว่าอย่างไรก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าหักรักจากพระคุณเจ้ามิได้เสียแล้ว

แม้พระคุณเจ้าจะไม่ปรานีข้าพเจ้าเยี่ยงคนรัก

ก็ขอให้พระคุณเจ้ารับข้าพเจ้าไว้ในฐานะผู้ซื่อสัตย์

ข้าพเจ้าจักปฏิบัติพระคุณเจ้า

บำรุงพระคุณเจ้าเพื่อความสุขของท่านและของข้าพเจ้าด้วย

น้องหญิง ประโยชน์อะไรที่เธอจะมารักคนอย่างอาตมา

อาตมารักพระศาสดาและพรหมจรรย์หมดหัวใจเสียแล้ว ไม่มีหัวใจไว้รักอะไรได้อีก

แม้เธอจะขอสมัครอยู่ในฐานะเป็นทาสก็ไม่ได้

พระศาสดาทรงห้ามมิให้ภิกษุในพระศาสนามีทาสไว้ใช้

ยิ่งเธอเป็นทาสหญิงด้วยแล้วยิ่งเป็นการผิดมากขึ้น

แม้จะเป็นศิษย์คอยปฏิบัติก็ไม่ควรจะเป็นที่ตำหนิของวิญญูชน

เป็นทางแห่งความเสื่อมเสีย

อาตมาเห็นใจน้องหญิง แต่จะรับไว้ในฐานะใดฐานะหนึ่งไม่ได้ทั้งนั้น

กลับเสียเถิดน้องหญิง

พระศาสดาหรือภิกษุสามเณรเห็นเข้าจะตำหนิอาตมาได้

นี่ก็จวนจะถึงพระคันธกุฎีแล้ว อย่าเข้ามานะ

พระอานนท์ยกมือขึ้นห้ามในขณะที่นางทาสีจะก้าวตามท่านเข้าไป

พระผู้มีพระภาคทรงสดับเสียงเถียงกันระหว่างพระอานนท์กับสตรี

จึงตรัสถามมาจากภายในพระคันธกุฎีว่า...........................

อะไรกันอานนท์

ผู้หญิงพระเจ้าข้า เขาจะตามข้าพระองค์เข้ามายังวิหาร

ให้เขาเข้ามาเถอะ พามานี่ มาหาตถาคต พระศาสดาตรัส

พระอานนท์พานางทาสีเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคมีพระวาจาว่า อานนท์ เรื่องราวเป็นมาอย่างไร

ทำไมเขาจึงตามเธอมาถึงนี่ ? เมื่อพระอานนท์ทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า.........................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:02:02 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:22:02 »




ภคินี เธอรักใคร่พอใจในอานนท์หรือ ?

พระเจ้าข้า นางทาสียกมือแค่อกรับตามเป็นจริง

เธอรักอะไรในอานนท์ ?

ข้าพระพุทธเจ้ารักนัยน์ตาพระอานนท์ พระเจ้าข้า

นัยน์ตานั้นประกอบขึ้นด้วยเส้นประสาทและเนื้ออ่อน

ต้องหมั่นเช็ดสิ่งสกปรกในดวงตาอยู่เป็นนิตย์

มีขี้ตาไหลออกจากนัยน์ตาอยู่เสมอ

ครั้นแก่ลงก็จักฝ้าฟางขุ่นมัวไม่แจ่มใส

อย่างนี้เธอยังรักนัยน์ตาของอานนท์อยู่หรือ ?

ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์รักหูของพระอานนท์ พระเจ้าข้า

ภคินี หูนั้นประกอบด้วยเส้นเอ็นและเนื้อ ภายในช่องหูมีของโสโครกเป็นอันมาก

มีกลิ่นเหม็นต้องแคะไค้อยู่เสมอ ครั้นชราลงก็หนวก

จะฟังเสียงอะไรก็ไม่ถนัดหรืออาจไม่ได้ยินเลย

ดังนี้แล้ว เธอยังจะรักอยู่หรือ ?

นางเอียงอายเล็กน้อย แล้วตอบเลี่ยงต่อไปว่า

ถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์รักจมูกอันโด่งงามของพระอานนท์ พระเจ้าข้า

ภคินี จมูกนั้นประกอบขึ้นด้วยกระดูกอ่อนที่มีโพรง

ภายในมีน้ำมูกและเส้นขนกับของโสโครกมีกลิ่นเหม็นเป็นก้อน ๆ

อย่างนี้เธอยังจะรักอยู่อีกหรือ ?

ไม่ว่านางจะตอบเลี่ยงไปอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงชี้แจงให้พิจารณาเห็นความเป็นจริงของ

ร่างกายอันสกปรกเปื่อยเน่านี้ ในที่สุดนางก็นั่งก้มหน้านิ่ง

พระพุทธองค์ตรัสว่า.........................................

ภคินีเอย อันว่าร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก

มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง 9 มีช่องหู ช่องจมูก เป็นต้น

เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด

เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีส

อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่าง ๆ เข้าไว้ และซึมออกมาเสมอ ๆ

เจ้าของกายจึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลาย ๆ ครั้ง

เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่รังเกียจ

เป็นของน่าขยะแขยง

ภคินี ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก

มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้น เป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น

เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพ อันวิจิตรตระการตา

ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ

แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร

ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ

แม้พระศาสดาตรัสอยู่อย่างนี้ ความรักของเธอที่มีต่อพระอานนท์ก็หาลดลงไม่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:03:01 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:27:25 »




บางคราวแสงสว่างฉายวูปเข้ามาสู่หทัยของนาง

จะทำให้นางมองเห็นความเป็นจริงตามพระศาสดาตรัสก็ตาม

แต่มันมีน้อยเกินไป ไม่สามารถจะข่มความเสน่หาที่เธอมีต่อพระอานนท์เสียได้

เหมือนน้ำน้อยไม่พอที่จะดับไฟโดยสิ้นเชิง ไฟคือราคะในจิตใจของนางก็ฉันนั้น

คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา นางคิดว่าจะทำไฉนหนอจักสามารถอยู่ใกล้พระอานนท์ได้

เมื่อไม่ทราบจะทำประการใด จึงทูลลาพระศาสดาและพระอานนท์กลับบ้าน

ก่อนกลับนางไม่ลืมที่จะชำเลืองมองพระอานนท์ด้วยความเสน่หา

เนื่องจากมาเสียเวลาในวัดเชตวันเสียนาน นางจึงกลับไปถึงบ้านเอาจวนค่ำ

นางรู้สึกตะครั่นตะครอทั้งกายและใจ เกรงว่าระหว่างที่นางหายไปนานนั้นนายอาจจะเรียกใช้

เมื่อไม่พบนางคงถูกลงโทษอย่างหนักอย่างที่เคยถูกมาแล้ว

อนิจจา! ชีวิตของคนทาส ช่างไม่มีอิสระและความสุขเสียเลย

เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งปรากฏว่า ตลอดเวลาที่นางหายไปนั้นนายมิได้เรียกใช้เลย

ผิดจากวันก่อน ๆ นี่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากพุทธานุภาพ

โอ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น

คืนนั้นนางนอนกระวนกระวายอยู่ตลอดคืน จะข่มตาให้หลับสักเท่าใดก็หาสำเร็จไม่

พอเคลิ้ม ๆ นางต้องผวาตื่นขึ้นด้วยภาพแห่งพระอานนท์ ปรากฏ

ทางประสาทที่ 6 หรือมโนทวาร นางนอนภาวนาชื่อของพระอานนท์เหมือน

นามเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธคุณก็คอยไหลวนเวียนเข้ามาสู่ความสำนึก

อันลึกซึ้ง นางคิดว่าภายใต้พุทธฉายาน่าจะมีความสงบเย็นและบริสุทธิ์น่าพึงใจเป็นแน่แท้

แต่จะทำอย่างไรหนอจึงจะประสบความสงบเย็นเช่นนั้น

เสียงไก่โห่อยู่ไม่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มสาง ลมพัดเย็นตอนรุ่งอรุณพัดแผ่ว

เข้ามาทางช่องหน้าต่าง นางสลัดผ้าห่มออกจากกาย ลุกขึ้นเพื่อเตรียมอาหารไว้

สำหรับนาย นางภาวนาอยู่ในใจว่าเช้านี้ขอให้พระอานนท์บิณฑบาตผ่านมาทางนี้เถิด

แสงแดดในเวลาเช้าให้ความชุ่มชื่นพอสบาย นางเสร็จธุระอย่างอื่นแล้ว

ออกมายืนเหม่ออยู่หน้าบ้าน มองไปเบื้องหน้าเห็นภิกษุณีรูปหนึ่ง มีบาตรในมือ

เดินผ่านบ้างของนางไป ทันใดนั้นความคิดก็แวบเข้ามา ทำให้นางดีใจจนเนื้อเต้น

ภิกษุณี ! โอ ! ภิกษุณี เราบวชเป็นภิกษุณีซิ จะได้อยู่ในบริเวณวัด

เชตวันกับภิกษุทั้งหลายและคงมีโอกาสได้อยู่ใกล้

และพบเห็นพระคุณเจ้าอันเป็นที่รักของเราเป็นแน่แท้

นางลานายไปเฝ้าพระศาสดา และทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา

พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งนางแล้ว ประทานอนุญาตให้อุปสมบท

อยู่ ณ สำนักแห่งภิกษุณีในวัดเชตวันนั่นเอง

เมื่อบวชแล้วภิกษุณีรูปใหม่ก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนท่องบ่นพระธรรมวินัย

ตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วยดี สำรวมอยู่ในสิกขาบทปาฏิโมกข์ มีสิกขาและอาชีพ

เสมอด้วยภิกษุณีทั้งหลาย เป็นที่รักใคร่ชอบพอของภิกษุณีอื่น ๆ

ทั้งนี้เพราะนางเป็นผู้เสงี่ยมเจียมตนและพอใจในวิเวกอีกด้วย

ถึงกระนั้นก็ตาม ทุกเวลาบ่ายเมื่อนางได้เห็นพระอานนท์ ขณะให้โอวาทแก่ภิกษุณีบริษัท

ความรัญจวนใจก็ยังเกิดขึ้นรบกวนนางอยู่มิเว้นวายจะ

พยายามข่มด้วยอสุภกรรมฐานสักเท่าใดก็หาสงบราบคาบอย่างภิกษุณีอื่น ๆ ไม่

คราวหนึ่งนางได้ฟังโอวาทจากพระศาสดาเรื่องกิเลส 3 ประการ คือ ราคะ โทสะ โมหะ พระพุทธองค์ตรัสว่า

กิเลสทั้งสามประการนี้ย่อมเผาบุคคลผู้ยอมอยู่ใต้อำนาจของมัน

ให้รุ่มร้อนกระวนกระวายเหมือนไฟเผาไหม้ท่อนไม้และแกลบให้แห้งเกรียม

ข้อแตกต่างแห่งกิเลสทั้งสามประการนี้ก็คือ ราคะนั้นมีโทษน้อยแต่คลายช้า

โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากด้วยคล้ายช้าด้วย

บุคคลซึ่งออกบวชแล้วประพฤติตนเป็นผู้ไม่มีเรือนเรียกว่า ได้ชักกายออกจากกามราคะ

แต่ถ้าใจยังหมกมุ่นพัวพันอยู่ในกาม ก็หาสำเร็จประโยชน์แห่งการบวชไม่

คือเขาไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบได้

อุปมาเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง แม้จะวางอยู่บนบก

บุคคลต้องการไฟก็ไม่อาจนำมาสีให้เกิดไฟได้

เพราะฉะนั้น..................ภิกษุ ภิกษุณีผู้ชักกายออกจากกามแล้ว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:05:50 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2554 10:29:38 »




ควรพยายามชักใจออกจากกามความเพลิดเพลินหลงใหลเสียด้วย

นางได้ฟังพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ให้รู้สึกละอายใจตนเองสุดประมาณ ที่นางเข้ามาบวช

ก็มิได้มุ่งหมายเพื่อกำจัดทุกข์ให้สูญสิ้น หรือเพื่อทำลายกองตัณหาอะไรเลย

แต่เพื่อให้มาอยู่ใกล้คนอันเป็นที่รัก คิดดูแล้วเหมือนนำน้ำมันมาวางไว้ใกล้เพลิง

มันมีแต่จะลุกเป็นไฟกองมหึมาขึ้นสักวันหนึ่ง

เมื่อปรารภดังนี้ นางยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น พระอานนท์หรือก็ไม่เคย

ทักทายปราศรัยเป็นส่วนตัวเลย การได้เห็นคนอันเป็นที่รักเป็นความสุขก็จริง

แต่มันเล็กน้อยเกินไป เมื่อนำมาเทียบกับความทรมานในขณะที่ต้องจากอยู่

โดดเดี่ยวและว้าเหว่กาสาวพัสตร์เป็นกำแพงเหมือนมหึมาที่คอยกันมิ

ให้ความรักเดินถึงกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีภิกษุและภิกษุณีบางท่านกระโดด

ข้ามกำแพงนี้ ล่วงละเมิดสิกขาบทวินัยของพุทธองค์จนได้ นางคิดมาถึงเรื่องนี้

แล้วเสียวสันหลังวาบเหมือนถูกก้อนหิมะอันเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกตัวมาก่อน

นางพยายามสะกดใจมิให้คิดถึงพระอานนท์ พยายามท่องบ่นสาธยายพระธรรมวินัย

แต่ทุกขณะจิตที่ว่างลง ดวงใจของนางก็จะคร่ำครวญรำพันถึงพระอานนท์อีก

นางรู้สึกปวดศรีษะและวิงเวียน เพราะความคิดหมกมุ่นสับสน นี่เองกระมังที่

พระอานนท์พูดไว้แต่แรกที่พบกันว่าความรักเป็นความร้าย

วันหนึ่ง นางชวนเพื่อนภิกษุณีรูปหนึ่งไปหาพระอานนท์ พระอานนท์เป็น

ผู้มีอัธยาศัยงามจึงต้อนรับนางด้วยเมตตาธรรม นางรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นบ้างเหมือน

ข้าวกล้าที่จวนจะแห้งเกรียมเพราะขาดน้ำชุ่มชื่นขึ้น เพราะฝนผิดฤดูกาลหลั่งลงมา แต่เมื่อนาง

จะลากลับนั่นเอง พระอานนท์พูดว่า.................................................



........................มีต่อตอนที่ 2....................


<a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma" target="_blank">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma</a>

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2554 12:16:14 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛ 14 5616 กระทู้ล่าสุด 15 สิงหาคม 2554 18:22:20
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.264 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มีนาคม 2567 23:57:53