สละทรัพย์สินก่อนบวชพระ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อครั้งยังทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่นั้น ครั้นเมื่อเจริญวัยมีอุปสมบทถึงกาลอุปสมบทแล้ว จึงทรงลาสิกขาออกมาสมโภชเป็นฆราวาสอยู่ ๓ วัน ในครั้งนั้นได้พบหญิงสาวรุ่น แต่ก็มิได้มีจิตปฏิพัทธ์ กลับดำรงมั่นในเพศพรหมจรรย์ และทรงสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เป็นของส่วนพระองค์แก่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก ผู้เป็นพระมารดา ออกผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ดังปรากฏความในพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นิพนธ์ขึ้นในพิธีทำบุญฉลองมัชฌิมกาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เล่าว่า
“...เมื่อ (สามเณรพระองค์เจ้าฤกษ์) กลับมาบวชเป็นสามเณรอยู่ดังเก่า เล่าเรียนพระปริยัติธรรมสืบต่อไป จนอายุเจริญวัยใกล้อุปสมบท ครั้นถึงกาลกำหนดก็สึกออกไปเป็นฆราวาสอยู่สามวัน ครั้งนั้นมีตรุณิตถี (หญิงสาวรุ่น) ซึ่งเป็นบริษัทแห่งมนุษย์ประดุจหนึ่งว่ามารดา มาสำแดงอาการประโลมล่อด้วยกลกิริยา กุลบุตรนั้นก็มิได้ปรารถนา คิดจะใคร่อุปสมบทกลัวจะเป็นมลทิน ต่อนั้นไปก็สละทรัพย์สินซึ่งเป็นของฆราวาส มอบให้สิทธิ์ขาดแก่มารดา (เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก) เสร็จแล้วก็อำลาญาติทั้งปวงเพื่อจะอุปสมบท ขณะนั้นกุลบุตรนั้นได้ปริวิตกว่า ที่ใดที่เราได้นั่งในกาลบัดนี้ ที่นี้เราจะมิได้กลับมานั่งต่อไป...”ธมฺมสาโรสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อแรกทรงผนวชเป็นพระภิกษุนั้น ทรงมีพระสมณฉายาเดิมว่า “ธมฺมสาโร”
ดังปรากฏความในพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นิพนธ์ขึ้นในพิธีทำบุญฉลองมัชฌิมกาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เล่าว่า
“...ครั้นถึง ณ วันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีฉลูเอกศก (วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๒) กุลบุตรนั้นก็ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุอยู่ในวัดมหาสังฆราชาราม (วัดมหาธาตุ) มีนามชื่อธรรมสาร (ธมฺมสาโร) ครั้นอุปสมบทแล้วก็อุตส่าห์ทำอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติอาจารย์อุปัชฌาย์ศึกษาข้อวินัย ก็ไม่ได้ความเลื่อมใสในสำนักแห่งท่านเหล่านั้น ด้วยพระอุปัชฌาย์นั้นนั่นเป็นพระธรรมกถึก ไม่ใช่ฝ่ายวินัยธร ท่านก็บอกเปิดว่า ศาสนธรรมคำสั่งสอนนั้น ทรุดเสื่อมอันตรธานมาเสียนานแล้ว มิได้มีผู้ปฏิบัตินำมาสิ้นกาลนาน ถ้าจะใคร่รู้ก็จงพลิกดูในใบลานที่ท่านจดเขียนไว้นั้นเถิด ธรรมสารภิกษุครั้นได้รู้ดังนั้นก็สิ้นความเลื่อมใส...”
เสด็จไปอยู่วัดสมอราย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ในช่วงพรรษกาลแรกนั้น ทรงทราบว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในสมัยนั้นยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ได้พยายามประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยให้มากที่สุด จนเกิดความเลื่อมใสและทรงเข้าไปศึกษาตลอดพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วจึงเสด็จไปประทับ ณ วัดสมอรายนั้น
ดังปรากฏความในพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นิพนธ์ขึ้นในพิธีทำบุญฉลองมัชฌิมกาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เล่าว่า
“...ครั้งนั้นธรรมลัทธิพวกธรรมวรยุต เลือกถือแต่สิ่งที่ถูกต้องต่อธรรมวินัยพึ่งเกิดขึ้น ยังมิได้แพร่หลายอื้ออึงถึงฆราวาส ยังตั้งอยู่แต่ในหมู่บรรพชิตบริษัท ธรรมสารภิกษุนั้นครั้นได้ยินกิตติศัพท์ก็ไปพลอยซ่องเสพศึกษา ได้ความเลื่อมใสศรัทธาว่าเป็นแก่นสาร ประเสริฐกว่าธรรมลัทธิของสมณะทั้งปวง ก็เบื่อหน่ายในลัทธิเดิม ว่าเป็นการหลอกลวงล่อให้พิศวง
ครั้น ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๙ ในภายในพรรษานั้น (วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๗๒) ก็หลีกไปถือเพศประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวรยุต ครั้นออกพรรษาหน้าฤดูแล้งเหมันต์สมัย พระเถรเจ้าซึ่งเป็นธรรมยุติกาจารย์ก็หลีกไปประดิษฐานธรรมยุติกวงศ์ในวัดราชาธิวาส มอบปุราณเสนาสนะให้ธรรมสารภิกษุอยู่รักษา ธรรมสารภิกษุได้ครอบครองอยู่มาในที่นั้น ประมาณหกฤดูฝน...”พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย กับการบรรพชาสามเณร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพระชันษาได้ ๑๓ พรรษาทรงบรรพชาเป็นสามเณรแล้วประทับ ณ วัดมหาธาตุ อีก ๔ ปีต่อมาทรงประชวรด้วยพระโรคไข้ทรพิษ ปรากฏตามพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นดังนี้
“...นับอายุกาลตั้งแต่ชาติมาได้ ๑๗ ปี ในมาฆมาสกาฬปักษ์ดิถีในปีนั้น เกิดเป็นไข้พิษออกฝีดาษหนัก ญาติทั้งหลายจึงมารับไปปรนนิบัติอภิบาลรักษา ได้สึกออกเป็นฆราวาสอยู่สามเดือนกับวันหนึ่ง...ครั้น ณ วันจันทร์ เดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ ปีระกาสัปตศก ศาสนายุกาล ๒๓๖๘ พรรษา [วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๓๖๘] กลับมาบวชบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ดังเก่าเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสืบต่อไป...”
เหตุการณ์ทรงบรรพชาครั้งที่ ๒ นี้ปรากฏในพระประวัติ ฉบับต่างๆ ว่าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้บรรพชา ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ทั้งนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ขยายรายละเอียดเหตุการณ์ว่าทรงบรรพชา ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ท้องพระโรงในพระราชวังบวรสถานมงคล ปรากฏในลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๕๑ ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อพระชนม์ได้ ๑๘ ประชวรไข้ทรพิษ มีพระอาการหนักถึงต้องลาผนวชจากสามเณร ครั้นรักษาพระองค์หายแล้ว กรมพระราชวังพระองค์นั้น [สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ] ทรงจัดการให้ได้บรรพชาอีกที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยฯ ในเวลายังไม่ได้กลับทรงผนวช กรมสมเด็จพระอมรินทร์สวรรคต ท่านได้เข้าไปสรงน้ำในหมู่เจ้านายฯ...”
อย่างไรก็ดี เรื่องที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เสด็จไปสรงน้ำสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี นั้นน่าจะคลาดเคลื่อนไป ด้วยสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี เสด็จสวรรคตวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๓๖๙ แต่เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างที่ยังไม่ได้ทรงกลับมาบรรพชา คือ การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง ซึ่งถวายพระเพลิงเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๓๖๘
อนึ่ง การบรรพชาสามเณรต่างจากการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ไม่ได้มีพระวินัยกำหนดว่าต้องบรรพชาในพระอุโบสถหรือเขตสีมา ดังนั้นจึงสามารถจัดการพระราชพิธีในท้องพระโรงได้ ภาพ : วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร)
คิดจะสึก
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อครั้งทรงผนวชเป็นภิกษุประทับอยู่ ณ วัดสมอราย ได้ประมาณ ๖ พรรษานั้น วันหนึ่งพระองค์ท่านประสงค์ที่จะลาสิกขาด้วยเหตุแห่งอิสัตรี จนต้องมีพระอาจารย์มาช่วยแสดงพุทธคุณแลปฏิกูลสัญญากายคตาสติกรรมฐาน พิจารณาความไม่สะอาดของร่างกาย
ดังปรากฏความในพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นิพนธ์ขึ้นในพิธีทำบุญฉลองมัชฌิมกาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เล่าว่า
“...ครั้งนั้นอาศัยความประมาท หากบันดาลดลให้ได้ความเดือดร้อน เพราะไม่สำรวมจักขุนทรีย์ขึ้นไปด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง ตามกิจที่มีในวัดราชาธิวาส ได้เห็นรูปที่เป็นวิสภาคารมณ์ที่ไม่เป็นที่สบาย คือมาตุคามคนหนึ่งในระหว่างหนทาง เกิดความกระสันอันราคะหากครอบงำทำให้วิปริตคิดจะสึกไปเป็นฆราวาสซ่องเสพกามคุณ สิ้นอุตส่าห์ในที่จะประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป ความสำเหนียกศึกษามาแต่หลังทั้งสิ้น ไม่อาจมาเป็นที่พึ่งได้ ในกาลคราวนั้น จึงได้เอาเหตุทั้งปวงไปแจ้งแก่เพื่อนพรหมจรรย์ ขอโอวาทความสั่งสอนมิได้ปิดโทษตามเหตุที่จริง เพื่อนพรหมจรรย์เหล่านั้นก็พากันนิ่ง ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงได้ส่งข่าวสารไปถึงพระพรหมสราธิการ ซึ่งเป็นทุติยาจารย์อยู่วัดบรมสุข ท่านก็มาช่วยระงับทุกข์แสดงธรรมกถา พรรณนาพุทธคุณและปฏิกูลสัญญากายคตาสติกรรมฐาน ครั้นฟังไประลึกตามก็ได้ความเลื่อมใส อุกัณฐาอรตินั้นค่อยน้อยเบาไปโดยลำดับ กลับได้ความยินดีในพระศาสนา ถ้ามิได้อาศัยธรรมกถาก็เห็นจะถึงซึ่งพินาศฉิบหายในคราวนั้น...
ใกล้ต่อทางพระนิพพาน
ต่อมาในพรรษาที่ ๗ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ครั้งยังประทับอยู่ ณ วัดสมอราย นั้น วันหนึ่งทรงเกิดความปริวิตกเห็นภัยในวัฏสังสาร จึงทรงมุ่งบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงซึ่งวิวัฏฏ์ คือพระนิพพาน ตราบจนสิ้นชีวิด
ดังปรากฏความในพระนิพนธ์ “กาลปวัตติกถา เถราปทานเล่มต้น” ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่นิพนธ์ขึ้นในพิธีทำบุญฉลองมัชฌิมกาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑ ครั้งยังดำรงพระอิสริยยศที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เล่าว่า
“...ครั้นอยู่มาได้ประมาณเจ็ดพรรษาเป็นกำหนดเกิดความปริวิตกดำริไปว่า ความที่ต้องเกิดต้องมีเป็นไปในภพน้อยภพใหญ่นี้เป็นทุกข์ ในมนุษยโลกนี้ก็ไม่เป็นสุข เหมือนด้วยอยู่ในเรือนครัวอันอบอัดเต็มไปด้วยควันไฟ ในมนุษยโลกก็ห่างไกลจากกุศล ดูเหมือนประเทศเป็นที่อยู่ของคนที่เป็นดรุณทารก ในพรหมโลกเล่า ถ้าจะชักมาเทียบสาธกก็เหมือนกับที่อยู่ของคนแก่ที่มีอายุยืนเกินประมาณ คนเช่นนั้นก็ไม่อาจบำเพ็ญทานรักษาศีลสดับฟังซึ่งโอวาทของนักปราชญ์ เพราะมีโสตประสาทเป็นต้นวิการเสียแล้ว ไม่ได้เพื่อบำเพ็ญกุศลสัมมาปฏิบัติทางนิพพาน คิดเห็นโทษดังนี้จึงไม่อยากจะเกิดจะมีในพรหมสถานเทวพิภพ มนุษยนิกาย แล้วดำริต่อไปว่า จะทำอันใดดีจึงจะเป็นวิวัฏฏคามินีมีกุศลูปนิสัย ใกล้ต่อทางพระนิพพาน ให้ทำได้เป็นนิจกาลตามประสงค์ เป็นข้อปฏิบัติอันมั่นคงดำรงอยู่จนสิ้นชีวิต ส่วนตนก็อย่าให้ต้องเสียใจว่าปฏิบัติผิด ติเตียนตนด้วยข้อปฏิบัติ อนึ่ง อย่าให้เป็นที่ครหาแห่งนักปราชญ์ แล้วนึกขึ้นมาเมื่อใดให้เห็นกุศลนั้นแปลกประหลาดเจริญทุกทีมิได้เสื่อมถอย แต่แสวงหามากาลก็ล่วงไปถึงสามปี...” ภาพ : พัดยศถมปัด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
เมื่อครั้งดำรงพระอิสรยยศที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์
เทียบสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญ
องค์แห่งอุปัชฌายะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อทรงมีพระชนมายุมากนัก ไม่ค่อยได้ทรงเป็นพระอุปัชฌายะประทานอุปสมบทให้เหมือนกัน หากเป็นผู้ที่ประสงค์ที่จักบวชในสำนักวัดบวรนิเวศวิหารนั้นก็ยังโปรดให้พระเถระรูปอื่นมาเป็นพระอุปัชฌาย์ ทั้งพระจันทรโคจรคุณก็ดี พระครูกุสุมธรรมธาดาก็ดี แม้เป็นพิธีทรงผนวชหม่อมเจ้า ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็ยังโปรดให้สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) หรือพระศาสนโสภณ (สา ปุสฺสเทโว) เป็นพระอุปัชฌาย์ คงเหลือเพียงเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไปเท่านั้นที่ทรงรับเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ จนมีคำเล่าลือกันไปว่า ภายหลังจากที่ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิปรารถนาให้คนทั่วไปร่วมพระอุปัชฌาย์เดียวกัน
แต่แท้จริงแล้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสกลับทรงรับรู้มาว่า ด้วยเหตุที่พระชนมายุทั้งอยู่ในช่วงวัยชราแล้ว พระสติก็ไม่ไพบูลย์ดังเก่า เป็นเหตุให้ขาดองค์แห่งอุปัชฌาย์ จึงไม่ปฏิเสธที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์โดยทั่วไป ดังความในตำนานวัดบวรนิเวศวิหารที่ว่า
“...มีคำเล่าว่าทรงปรารถนาจะรักษาพระเกียรติยศแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ให้คนทั่วไปร่วมอุปัชฌายะด้วย ส่วนข้าพเจ้าหาได้ฟังพระดำรัสไม่ ได้ฟังในชั้นหลังทรงพระปรารภเป็นอย่างอื่นว่า ผู้มีสติฟั่นเฟือนขาดองค์แห่งอุปัชฌายะ ไม่ควรเป็น ทรงติผู้ไม่สามารถแล้วแต่ยังขืนเป็น ดูเป็นทีทรงเว้นเพราะสำคัญพระองค์ว่า ทรงพระชราแลมีพระสติไม่ไพบูลย์”กระแสพระราชดำริรัชกาลที่ ๕กระแสพระราชดำริรัชกาลที่ ๕ เนื่องในโอกาสถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ในงานพระเมรุครั้งใหญ่ที่โปรดให้แปลงพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส เป็นพระเมรุพิมาน ที่ตั้งพระศพ และปลูกพระเมรุมณฑปต่อออกมาเป็นที่พระราชทานเพลิง เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๓ นั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำริให้ถวายพระเพลิงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก่อนพระบรมศพแลพระศพอื่นๆ ความว่า
“พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่เมื่อยังดำรงพระชนม์อยู่นั้นได้เป็นพระบรมราชูปัธยาจารย์มีพระเดชพระคุณมา บัดนี้ถึงคราวที่จะพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว สมควรที่จะยกย่องให้เป็นพิเศษ เพื่อจะได้พระราชทานเพลิงก่อนพระบรมศพและพระศพอื่นๆ และจะได้ทรงกระทำสักการบูชาให้เพียงพอกับพระเดชพระคุณซึ่งได้ทรงมีมาขอบคุณที่มา เพจเล่าเรื่องวัดบวรฯ