[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 16:59:21 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 [2]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การบริจาคเลือด , ดวงตา , อวัยวะ , ร่างกาย ให้สภากาชาดไทย  (อ่าน 20579 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 21:57:19 »

บริจาคดวงตาชาติหน้าจะตาบอด

--------------------------------------------------------------------------------
....คัดจากหนังสือหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ...

คำถาม
1. ผู้ที่บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาลมีอานิสงส์ไหม
2. เมื่อบริจาคดวงตา ถ้าเป็นบุญบารมี จะเป็นปัจจัยให้ได้ดวงตาเห็นธรรมได้หรือเปล่า
3. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌานสมาบัติได้ไหมสุดท้ายพระนิพพานด้วย
4. สมมติผู้บริจาคมีศรัทธา บริจาคมอบให้โรงพยาบาลแล้ว อยู่มาอีกเป็นสิบปีจึงสิ้นชีวิต ลูกหลานเกิดเบี้ยว
หรือไม่ยอมบอกให้หมอมาเอาดวงตา หรือลูกหลานลืมไม่ได้นึกถึงจึงไม่ได้เรียกหมอมาเอาดวงตา
กรณีเช่นนี้ผู้ตาย หรือผู้บริจาคจะได้บุญ หรืออานิสงส์ไหม
5. มีผู้คนเขาพูดว่าให้ดวงตาเขาไปแล้ว เมื่อไปเกิดชาติหน้าภพหน้าจะเป็นคนพิการ หรือไม่
6. บางคนก็ว่าสละดวงตาไปแล้วเป็นวิญญาณก็ดี หรือเป็นผี และไปเกิดในภพสัมภเวสีจะไม่มีลูกตา
ดวงตา จริงหรือไม่
7. เมื่อหมอเอาดวงตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ และดวงตานั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาด
ด้วยเหตุใดๆ ก็ดี จนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาจะได้อานิสงส์ไหม
8. ผู้ที่บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อให้บรรดาหมอ และพยาบาลไปเรียนหรือศึกษาจะได้อานิสงส์
ผลบุญหรือไม่อย่างไรเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว และชาติเบื้องหน้า
9. เมื่อบริจาคดวงตา และร่างกายให้โรงพยาบาลโดยได้ทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้แล้วกลับมาบ้านจะ
นิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญบ้าน แล้วกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ผู้บริจาคได้
ทำเอาไว้กับสัตว์นั้นจะได้ หรือไม่ จะถูกต้องหรือไม่
10. ถ้าถูกต้องทำได้ และถ้าทำบุญกรวดน้ำ ที่ได้บริจาคดวงตา หรือร่างกายไปแล้วภายหลังลูกหลานหรือ
หมอโรงพยาบาลเกิดทำผิดพลาด หรือลืมไป ไม่ได้เอาดวงตาร่างกายไปทำประโยชน์ดังที่ผู้บริจาค
ตั้งใจไว้ เมื่อผู้นั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เช่นนี้จะเป็นเวรเป็นกรรมเป็นบาปแก่ผู้บริจาค และลูกหลาน
ต่อไปหรือไม่ประการใด เพราะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแล้ว
11. กระผมอยากทราบว่า สมัยพระพุทธโคดม ท่านยังทรงพระชนม์อยู่พระอรหันต์ที่เป็นภิกษุณีองค์
แรกคือใคร มีพระนามว่ากระไรครับ

คำตอบ
1. ผู้บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาล มีอานิสงส์มาก
2. เมื่อบริจาคดวงตาแล้วจะได้กุศลเป็นส่วนไหนนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรารถนานายกอุทาหรณ์ เช่น
นางอุบลวรรณถวายดอกบัวต่อพระปัจเจกฯ แล้วก็ปรารถนาว่า ข้าพเจ้าเกิดมาในภพใดชาติใด
ขอให้สีกายเหมือนดอกบัว และก็ได้รับผลอย่างนั้นจริง จนได้ชื่อว่าอุบลวรรณานั่นเอง
คำว่าอุบลแปลว่าดอกบัว คำว่าวรรณาแปลว่าผิพรรณ สีกายเหมือนดอกบัวอยู่ห้าร้อยชาติติดๆ กัน ดังนี้
ส่วนที่จะได้ดวงตาเห็นธรรม หรือไม่นั้นก็ต้องอธิษฐานว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็น
ธรรม " อย่างนี้ก็จะได้จริงสมคำดังปรารถนาดังผลทาน
3. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌาน หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นกับคำปรารถนาดังกล่าวแล้วนั้นเองตลอดทั้ง
พระนิพพานด้วย
4. ในกรณีที่ตกลงบริจาคไว้แล้วไม่ได้พลิกคืนก็เท่ากับว่าบริจาคแล้ว ก็ต้องได้บุญซิ
5. ให้ดวงตาเขาไปแล้ว เกิดชาติหน้าไม่พิการ เพราะเชื่อผลศีลผลทาน เพราะผลศีลผลทานไม่ทำให้คน
มีรูปขี้เหร่
6. และผู้ที่ไปเกิดไม่มีดวงตานั้น เป็นผู้มีบุพกรรมแต่ชาติก่อนเป็นต้นว่าได้ทำตาให้เขาบอดเป็นต้น
เช่นพระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์ตาบอด เพราะได้ไปวางยาให้เขาตาบอด เพราะโกรธว่าเขา
ไม่ให้ค่ารักษา ที่เรารักษาตาให้หายแล้ว อันนี้พูดย่อเต็มที ในชีวประวัติของพระจักขุบาลยืดยาวนัก
7. เมื่อหมอเอาตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ หรือดวงนั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาดใดๆ
ก็ดีจนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาก็ได้ผลตามเดิม เพราะจิตใจไม่ได้
พลิกคืนว่าจะไม่ให้
8. ผู้ที่ทานร่างกายให้โรงพยาบาลเพื่อให้บรรดาหมอ และพยาบาลไปเรียน หรือศึกษาก็ต้องได้บุญ
เต็มส่วนของเจตนานั้นๆ
9. เมื่อบริจาคดวงตา และร่างกายให้โรงพยาบาลโดยไปทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้แล้วมาบ้าน
นิมนต์พระมาทำบุญ แล้วกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ที่ผู้บริจาคได้ทำเอาไว้กับ
สัตว์ จะได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก เขาจะได้รับ หรือไม่ได้รับก็เป็นการเสี่ยงบุญ
เพราะเขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าหากว่าเขาเป็นเปรตสัมภเวสีเขาจึงจะได้รับ ส่วนเขาจะได้รับ
หรือไม่นั้นผลของบุญมาหาเราตามเดิม ถึงแม้เขาจะจองเวรเราอยู่ก็ตามผลบุญส่วนนั้น
ก็ต้องมาหาเราอยู่ ในบาลีจึงยืนยันว่า " ปัตติทานมัย " บุญสำเร็จด้วยการให้บุญ ดังนี้…
10. ถ้าเราบริจาคแล้ว ผู้อยู่ข้างหลังไม่ทำตามคำสั่งเสีย ก็เป็นความผิดของเขา แต่เราได้บุญตามเดิมอยู่
ผู้เขาลืมเขาก็ต้องเป็นบาปบ้าง
11. นางภิกษุณี องค์แรก คือนางปชาบดีโคตมี เป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อน
ที่มา http://www.geocities.com/pralaah/otherQ16_20.htm
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 21:58:05 »

http://www.redcross.or.th/donation/moneydonate.php4

บริจาคเงินให้สภากาชาดไทย
สิทธิประโยชน์พิเศษจากการบริจาค นอกจากเป็นกุศลบุญของผู้บริจาคแล้ว สภากาชาดไทยยังมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ท่าน ดังนี้
บริจาคเงินหรือสิ่งของ  สิทธิที่จะได้รับ 
20,000 บาท (สองหมื่นบาท)  ได้รับสิทธิสมาชิกกิตติมศักดิ์ 1 ท่าน
200,000 บาท (สองแสนบาท)  ได้รับพระราชทาน เหรียญกาชาดสมนาคุณชั้นที่ 2 จำนวน 1 ท่าน หรือได้รับสิทธิสมาชิก กิตติมศักดิ์ 
400,000 บาท (สี่แสนบาท)  ได้รับพระราชทาน เหรียญกาชาดสมนาคุณชั้นที่ 1 จำนวน 1 ท่าน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี หรือได้รับสิทธิสมาชิกกิตติมศักดิ์ 
ประโยชน์ของการเป็นสมาชิกสภากาชาดไทย
1. ได้รับลดหย่อน ค่าห้องพิเศษ ค่าผ่าตัด และค่าผ่าตัดคลอดบุตรกึ่งหนึ่ง ของอัตราที่กำหนด เมื่อเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จตพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชาของสภากาชาดไทย และได้รับลดหย่อน ค่ารักษาพยาบาล ตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข
2. ประดับเข็มได้ทั่วไป และประดับเข็มเข้าชมงานกาชาดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตู
3. กรณีที่ท่านเป็นสมาชิกสภากาชาดไทย ไม่ว่าประเภทใด ทั้งสามีและภรรยา บุตรธิดาของท่าน ที่มีอายุที่ต่ำกว่า 12 ปี จะได้รับสิทธิตามข้อ 1 ด้วยเช่นกัน
 
กรุณาเลือกรูปแบบการบริจาคเงิน
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
พิมพ์แบบฟอร์มการบริจาคเงิน(เพื่อนำไปชำระเงินทางธนาคาร)
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 21:58:48 »

บริจาคโลหิต
เนื่องจากโลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอด นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่น ๆ ที่มาทดแทนโลหิตได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องให้โลหิตจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งด้วยการบริจาคนั่นเอง
การบริจาคโลหิต คือการสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้กับผู้ป่วย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเลย เพราะร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ซึ่งร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้
ผู้บริจาคโลหิตสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไป ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ หรือเหงื่ออยู่แล้ว การบริจาคโลหิตใช้เวลาประมาณ 15 นาที ท่านจะได้รับการเจาะเก็บโลหิตและบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค

โลหิตคืออะไร
โลหิตมีส่วนที่เป็นน้ำ เรียกว่า น้ำเหลือง มีสีเหลืองอ่อนใสมีโปรตีนและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดและส่วนที่เป็นเม็ดโลหิตซึ่งมีเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยกำลังสูบฉีดของหัวใจ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต คือ ไขกระดูก ซึ่งได้แก่ กระดูกแขน กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง กระโหลกศีรษะ กระดูกเชิงกราน กระดูกไขสันหลัง เป็นต้น ในร่างกายของมนุษย์ (ผู้ใหญ่) จะมีโลหิตประมาณ 4,000-5,000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) หรือสามารถคำนวณง่ายๆ คือ
น้ำหนักตัวสุทธิ x 80 = ปริมาณโลหิตที่มีในร่างกายโดยประมาณ (หน่วยเป็น ซี.ซี.)
โลหิตแบ่งได้ 2 ส่วน คือ
1. เม็ดโลหิต จะมีอยู่ประมาณ 45 % ของโลหิตทั้งหมด ซึ่งมี 3 ชนิด คือ
- เม็ดโลหิตแดง มีหน้าที่ในการลำเลียงออกซิเจนเพื่อให้เซลล์ต่างๆ ใช้สันดาปอาหารเป็นพลังงาน อายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 120 วัน
- เม็ดโลหิตขาว ทำหน้าที่ปกป้องและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารที่เป็นอันตรายอื่นๆ ซึ่งเปรียบเหมือนทหารป้องกันประเทศ เม็ดโลหิตขาวมีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 10 ชั่วโมง
-เกล็ดโลหิต ทำหน้าที่ช่วยให้โลหิตแข็งตัวตรงจุดที่มีการฉีกขาดของเส้นโลหิต มีอายุการทำงานในกระแสโลหิต ประมาณ 5-10 วัน
2. พลาสมา (Plasma ) คือส่วนที่เป็นของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง จะมีอยู่ประมาณ ร้อยละ 55 ของโลหิตทั้งหมด มีหน้าที่ควบคุมระดับความดันและปริมาตรของโลหิตป้องกันเลือดออก และเป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่จะเข้าสู่ร่างกาย พลาสมานี้ประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำประมาณ 92 % และส่วนที่เป็นโปรตีนประมาณ 8 % ซึ่งโปรตีนที่สำคัญ ได้แก่
- แอลบูมิน มีหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ
- อิมมูโนโกลบูลิน มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่างๆ ที่จะเข้าสูร่างกาย เกร็ดความรู้
ถ้านำเส้นโลหิตทั่วร่างกายมาต่อกัน จะมีความยาวถึง 96,000 กิโลเมตร หรือความยาวเท่ากับ 2 เท่าครึ่งของระยะทางรอบโลก โดยเฉลี่ยแล้วปริมาณโลหิตในร่างกายจะมี 5-6 ลิตรในผู้ชาย และ 4-5 ลิตรในผู้หญิง และโลหิตจะมีการไหลเวียน โดยผ่านมาที่หัวใจถึง 1,000 เที่ยวต่อวัน คนหนุ่มสาวจะมีเซลล์เม็ดโลหิตแดงเท่ากับ 35,000,000,000,000 เซลล์ (สามสิบห้าล้านเซลล์) อยู่ภายในร่างกายในเวลา 120 วัน เซลล์เม็ดโลหิตแดง จำนวน 1.2 ล้านเซลล์ จะถึงกำหนดหมดอายุขัย ถูกขับถ่ายออกมาขณะเดียวกันไขกระดูกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกระดูกซี่โครง กะโหลกศรีษะ และกระดูกสันหลัง จะช่วยกันผลิตเซลล์ใหม่เท่ากับจำนวนที่ตายไปขึ้นมาแทนที่

จากชีวิตสู่ชีวิต มอบโลหิตช่วยผู้ป่วย
บริจาค
1. บริจาคโลหิตรวม (Whole blood)
2. บริจาคพลาสมา (Plasma)
3. บริจาคเกล็ดโลหิต (Single Donor Platelets)
4. บริจาคเม็ดโลหิตแดง (Single Donor Red Cell)
5. ตารางเวลาหน่วยรับบริจาคโลหิตนอกสถานที่
6. LOGO โครงการ BRAND'S YOUNG BLOOD
__________________
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 21:59:32 »

http://www.redcross.or.th/donation/b...holeblood.php4


บริจาคโลหิตรวม (Whole blood)
คุณประโยชน์
1. ได้รับความภูมิใจที่ได้เสียสละโลหิตในร่างกาย เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นการทำบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้ท่านมีความสุขใจ
2. ได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุก 3 เดือน
3. ได้รับทราบหมู่โลหิตของตนเองทั้งระบบ เอ บี โอ และ ระบบ อาร์เอช
4. โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่างๆ ในห้องปฏิบัติการ เหมือนกับการที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ไวรัสตับอักเสบ ซี, เอดส์ และอื่นๆ
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ได้จัดทำเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิตขึ้น เพื่อมอบให้ผู้บริจาคโลหิต โดยจัดทำเป็นเข็มที่ระลึกครั้งที่ 1,7,16,24,36,48,60,72,84,96 และ 108 ตามลำดับ


คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
ผู้มีความประสงค์จะบริจาคโลหิตควรตรวจสอบคุณสมบัติตนเองก่อนบริจาค ดังนี้
1. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์
2. น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี
3. ไม่มีประวัติโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
4. ไม่เป็นไข้มาเลเรียมาในระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ ไอเรื้อรัง ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดชนิดต่าง ๆ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์
5. ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดมากในระยะสั้น
6. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือสำส่อนทางเพศ ไม่มีประวัติติดยาเสพติด
7. งดการบริจาคโลหิตภายหลังผ่าตัด คลอดบุตรหรือแท้งบุตร 6 เดือน (ถ้ามีการรับโลหิตต้องงดบริจาคโลหิต 1 ปี)
8. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์


ดูแลตัวเองก่อนมาบริจาคโลหิต
*ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
*ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ดีทุกประการไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาใดๆ
*ควรรับประทานอาหารมาก่อน และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีไขมัน
*งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
*งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
*สุภาพสตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์
*การบริจาคโลหิตครั้งต่อไปเว้นระยะ 3 เดือน ยกเว้นการบริจาคพลาสมาหรือเกล็ดโลหิต


ข้อปฏิบัติหลังบริจาคโลหิต
*นอนพักบนเตียงอย่างน้อย 3-5 นาที ห้ามลุกจากเตียงทันที จะเวียนศีรษะเป็นลมได้
*ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีบริการให้ และดื่มน้ำมากกว่าปกติเป็นเวลา 2 วัน
*ไม่ควรรีบร้อนกลับ นั่งพักจนแน่ใจว่าเป็นปกติ
*หากมีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมระหว่างลุกจากเตียงหรือขณะเดินทางกลับ ต้องรีบนั่งก้มศีรษะต่ำ ระหว่างเข่าหรือนอนราบ เพื่อป้องกันอันตรายจากการล้ม
*หากมีโลหิตซึมออกมา ให้ใช้นิ้วมือ 3 นิ้ว กดลงบนผ้าก๊อสหรือพลาสเตอร์ที่ปิดรอยเจาะ ให้นิ้วหัวแม่มือกดด้านใต้ข้อศอกและยกแขนสูงจนโลหิตหยุดสนิท หากโลหิตไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคเพื่อพบแพทย์พยาบาล
*งดออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากภายหลังการบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูงหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพักหนึ่งวัน
*รับประทานยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละ 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
*หลีกเลี่ยงการใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการบวมช้ำ


ผู้บริจาคโลหิตโปรดทราบ ท่านที่มีประวัติดังต่อไปนี้ ควรงดการบริจาคโลหิตคือ
*ท่านหรือคู่สมรสของท่าน เคยมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชาย ที่ขายบริการทางเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา
*เคยเป็นผู้ที่เสพยาเสพติดโดยใช้เข็มฉีดยา
*รู้ตัวว่าติดเชื้อเอดส์


ทุกท่านมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ในการรับบริจาคโลหิต ใช้ครั้งเดียวสำหรับคนเดียวแล้วทิ้ง


สถานที่ติดต่อ
ท่านสามารถบริจาคโลหิตได้ที่


ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

 
วันจันทร์ - วันพุธ, วันศุกร์ (ไม่หยุดพักกลางวัน) 08.00-16.30 น.
วันพฤหัสบดี (ไม่หยุดพักกลางวัน) 07.30-19.30 น.
วันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 08.00-12.00 น.
วันอาทิตย์ 12.00-16.00 น.
หน่วยเคลื่อนที่ประจำ

 
สวนจตุจักร ทุกวันเสาร์
(รถจอดริมถนนพหลโยธิน)
 10.00-15.00 น.
สนามหลวง วันอาทิตย์
(รถจอดบริเวณด้านหน้ากรมศิลปากร)
 09.00-14.00 น.
ตลาดนัดธนบุรี (สนามหลวง 2)
ทุกวันอาทิตย์ สัปดาห์สุดท้ายของเดือน
(รถจอดหน้าสำนักงาน)
 10.00-15.00 น.
มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก
ทุกวันจันทร์และวันอังคาร
(รถจอดบริเวณข้างหอสมุดด้านคณะนิติศาสตร์)
 10.00-15.00 น.
สถานีกาชาด 11"วิเศษนิยม" บางแค
ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี
(รับบริจาคโลหิตภายในอาคาร ข้างฟิวเจอร์ปาร์ค บางแค)
 09.00-15.00 น.
ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
ทุกวันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองของเดือน
(รับบริจาคโลหิตภายในอาคารหน้าร้าน S.B. เฟอร์นิเจอร์ ชั้น 2)
 
13.00-17.00 น.
 
ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์
ทุกวันศุกร์และวันเสาร์สัปดาห์ที่สามของเดือน
(รับบริจาคโลหิตบริเวณลานโยโย่ ชั้น 3)
 
13.00-17.00 น.

 
ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาบางพลี
ทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่สองของเดือน
(รับบริจาคโลหิตบริเวณด้านหน้าห้าง)
 
13.00-17.00 น.

 
ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
ทุกวันเสาร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน
(รับบริจาคโลหิตบริเวณชั้น 2 หน้าซุปเปอร์ Big C )
 
13.00-17.00 น.

 
ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์
ทุกวันเสาร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน
(รับบริจาคโลหิตบริเวณชั้น 2 หน้าซุปเปอร์ Big C )
 
13.00-17.00 น.

 
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า

 โทร.0-2468-1116-20
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ สถาบันพยาธิกรมแพทย์ทหารบก รพ.พระมงกุฎเกล้า โทร.0-2245-8154
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.ตำรวจ  โทร. 0-2252-8111 ต่อ 4146
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.รามาธิบดี  โทร. 0-2246-1057-87
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช  โทร.0-2531-1970-99 ต่อ 27109-10
สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล

 โทร. 0-2243-0151-64
และสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ (ในวันและเวลาราชการ)   

ท่านสามารถสอบถามหน่วยเคลื่อนที่อื่น ๆ ได้ที่
โทรศัพท์ 0-2252-6116,0-2252-1637 ,0-2252-4106-9 ต่อ 113, 157
E-mail : blood@redcross.or.th
"3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง รวมพลังบริจาคโลหิต"

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 22:01:21 »

กาชาดนำร่องตั้งธนาคารสเต็มเซลล์ เปิดรับ 1 ก.พ.นี้
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000011537
 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์
28 มกราคม 2551 20:06 น.

สภากาชาดไทย นำร่องตั้งธนาคารสเต็มเซลล์ เปิดรับสมัครผู้สนใจ 1 ก.พ.นี้ ตั้งเป้า 5 ปี ได้อาสาสมัคร 1 แสนคน เดินหน้างานด้านสเต็มเซลล์อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทางโลหิตอย่างครบวงจร

วันนี้ (28 ม.ค.) พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยถึงการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตแห่งชาติ (Thai national Stem cell Donor Registry) ว่า ตั้งแต่ปี 2545 แพทยสภาได้มอบหมายให้สภากาชาดทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรับลงทะเบียนอาสาสมัครบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต หรือสเต็มเซลล์ จากผู้บริจาคโลหิต และตรวจหาชนิดเนื้อเยื่อ (HLA typing) ของผู้บริจาคและผู้ป่วยโรคทางโลหิตที่รอรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย โรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรง เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีสถิติผู้ลงทะเบียนขอรับบริจาคกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2545-2550 มีจำนวนถึง 20,000 ราย โดยมีผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนรอรับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์กว่า 1,000 ราย และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่มีผู้บริจาคสเต็มเซลล์ให้ผู้ป่วยน้อยมาก ไม่ถึง 50 ราย

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวต่อว่า โครงการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด จึงจะเปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครบริจาคสเต็มเซลล์ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ เป็นต้นไป ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถ.อังรีดูนังต์ โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2551-2555 ต้องได้อาสาสมัครจำนวน 1 แสนคน ซึ่งโครงการนี้เป็นการเพิ่มโอกาสการรักษาให้แก่ผู้ป่วย และพัฒนาเป็นสู่การเป็นศูนย์ดำเนินงานด้านสเต็มเซลล์อย่างเต็มรูปแบบ ตลอดจนให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคทางโลหิตอย่างครบวงจร

ทั้งนี้ อาสาสมัครต้องมีคุณสมบัติทั่วไป คือ มีอายุระหว่าง 18-55 ปี น้ำหนัก 48 กิโลกรัมขึ้นไป มีสุขภาพรางกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หรือโรคติดต่อใดๆ ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยจะมีการเก็บตัวอย่างโลหิตจากอาสาสมัครในปริมาณ 18 มิลลิลิตร (ซีซี) เพื่อนำไปตรวจหาความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อระหว่างผู้บริจาคของผู้ป่วย ซึ่งหากผลวิเคราะห์เนื้อเยื่อเข้ากันได้ ก็จะทำการติดต่อให้อาสาสมัครมาตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หากผลออกมาเนื้อเยื่อเข้ากันได้ทั้งหมด ก็จะเข้าสู่กระบวนการบริจาคสเต็มเซลล์

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการบริจาคสเต็มเซลล์ มี 2 วิธี คือ 1.บริจาคผ่านทางกระแสเลือด เนื่องจากในเลือดมีสเต็มเซลล์อยู่น้อยจึงต้องฉีดยากระตุ้น จำนวน 4 เข็ม เข็มหนึ่งใช้เวลา 3 ชั่วโมง โดยเจาะเลือดต่อสายเข้าเครื่องคัดแยกสเต็มเซลล์เมื่อคัดแยกเสร็จก็นำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากใช้เวลานาน แพทย์จึงให้อาสาสมัครมาฉีดยากระตุ้นที่สภากาชาด วันละ 1 เข็ม เป็นเวลา 3-4 วัน จึงเสร็จกระบวนการ 2.บริจาคไขกระดูก เป็นวิธีที่ใช้เวลาน้อยมาก คือ 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยแพทย์จะวางยาสลบอาสาสมัคร เพื่อเจาะไขกระดูกผ่านทางสะโพกด้านหลัง ซึ่งวิธีนี้อาสาสมัครจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 คืน ในประเทศไทยมีโรงพยาบาลเพียง 4 แห่ง ที่ให้บริการด้านนี้ คือ โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลพระมงกุฎ และ โรงพยาบาลศิริราช
 
 
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 22:02:54 »

วอนบริจาคดวงตา อย่าเชื่อชาติหน้าตาบอด

http://hilight.kapook.com/view/25520

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีการแถลงข่าวการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์ "ให้ตา ได้กุศล" โดย ผศ.พญ.ลลิดา ปริยกนก ผู้อำนวยการศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์ดวงตาฯ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2508 หรือ 43 ปีมาแล้ว แต่ขณะนี้สามารถผ่าตัดดวงตาได้เพียง 6,281 ดวง ซึ่งยังมีผู้ป่วยที่รอคิวรับบริจาคอีก 3,205 ราย โดยในแต่ละปีมีผู้จองรับการบริจาคดวงตา 800-900 ราย หากดวงตาไม่เพียงพอกับความต้องการ จะทำให้มีผู้รอคิวสะสมเป็นหมื่นรายได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา 649,000 ราย หรือ 1% ของประชากร

"ปัญหาคือมีผู้ที่เสียชีวิตทุกๆ วันในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำอย่างไรจะให้มีการบริจาคดวงตา ทำอย่างไรให้ญาติบริจาคดวงตาแทนผู้เสียชีวิต เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้แสดงความจำนงการบริจาคไว้ อีกทั้งในผู้ที่แสดงความจำนงบริจาค แต่ญาติกลับไม่อนุญาต ดังนั้นจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์การบริจาคดวงตาให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งในปี 2543 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดวงตาบริจาคเพียง 228 ดวง ทำให้มีการวางแผนโดยจัดให้มีผู้ประสานงานในการขอดวงตาผู้เสียชีวิตจากญาติ จากโรงพยาบาลเครือข่าย 19 แห่ง ทำให้ปี 2550 สามารถหาดวงตาได้ 453 ราย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าจัดหาดวงตาให้ได้ 500 ดวง" ผศ.พญ.ลลิดากล่าว

ผอ.ศูนย์ดวงตา กล่าวต่อว่า ข้อบ่งชี้ในการเปลี่ยนกระจกตาในประเทศไทย พบว่า โรคแผลเป็นที่กระจกตาเป็นข้อบ่งชี้อันดับ 1 ในการเปลี่ยนกระจกตา 21.52% ตามมาด้วยแผลหนองที่กระจกตา 17.23% กระจกตาบวม 15.02% กระจกตาเสื่อมหรือโป่งนูนผิดปกติ 11.18% และอันดับสุดท้ายคือ การเปลี่ยนกระจกตาซ้ำ 9.88% โดยในช่วง 8 ปีหลัง สัดส่วนของโรคกระจกตาบวมเมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ ในแต่ละปีมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มมากขึ้น

"จากการสำรวจของทางสำนักงานสถิติแห่งชาติ เหตุผลที่ประชาชนไม่บริจาคดวงตา ส่วนใหญ่กลัวว่าชาติหน้าเกิดมาแล้วจะไม่มีตาและห่วงในเรื่องความสวยความงาม กลัวศพไม่สวย ทำให้ญาติไม่ยอมบริจาคตาให้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วจะมีการเย็บให้เรียบร้อย ให้สภาพศพดูเหมือนเดิมไม่น่าเกลียด นอกจากนี้ยังพบว่า กว่า 50% ของประชากรที่สำรวจยังไม่รู้จักศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ดังนั้นจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักและเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้ การจัดเก็บดวงตาจะต้องจัดเก็บภายใน 6 ชั่วโมงหลังเสียชีวิตแล้ว แต่หากเสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เป็นห้องเย็นจะต้องจัดเก็บภายใน 12 ชั่งโมง"

ผศ.พญ.ลลิตากล่าวอีกว่า ญาติไม่ให้จัดเก็บดวงตาเป็นปัญหาสำคัญมาก ต่างจากสหรัฐอเมริกาที่มีกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า เมื่อผู้เสียชีวิตบริจาคตาแล้ว แพทย์สามารถนำตาออกมาได้ เพราะถือเป็นสมบัติส่วนกลาง แต่ประเทศไทยเราไม่มีกฎหมายนี้ หากแพทย์กระทำเองจะเป็นปัญหาได้

ด้าน รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ และคณะกรรมการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์" ให้ตา ให้กุศล" กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ประชาสัมพันธ์เชิงรุกต่างๆ และเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายคือเยาวชนที่เป็นผู้ทำความเข้าใจในเรื่องบริจาค จึงได้จัดการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์" ให้ตา ได้กุศล" เป็นครั้งแรก เพื่อให้นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไปเกิดความรู้ ความเข้าใจ เกิดจิตสำนึก เห็นคุณค่าของการแสดงความจำนงอุทิศดวงตาภายหลังเสียชีวิตแล้ว

สำหรับหลักเกณฑ์การประกวดแผนประชาสัมพันธ์ คือ ผู้เข้าประกวดต้องสังกัดสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้จัดส่ง โดย 1 ทีมมีสมาชิก 3 คน ให้ทำแผนประชาสัมพันธ์ระยะเวลา 1 ปี งบประมาณดำเนินการ 5-8 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเกิดจิตสำนึกร่วมกัน เห็นคุณค่าของการบริจาคดวงตาภายหลังถึงแก่กรรม โดยผู้ชนะเลิศประกวดแผนประชาสัมพันธ์ได้รางวัลเงินสด 50,000 บาท พร้อมเข้าฝึกงานด้านการประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.eyebankthai.com/



ข้อมูลจาก ไทยโพสต์
 
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 22:03:50 »

'บริจาคอวัยวะ' บุญยิ่งใหญ่...ให้ชีวิตใหม่พ้นทุกข์
http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=1&Template=1

เป็นที่ทราบกันสำหรับความสำคัญของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและจากปัจจุบันที่มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องทุกข์ทรมานจากการที่อวัยวะสำคัญไม่ว่าจะเป็น หัวใจ ตับ ไต ปอด ฯลฯ ไม่สามารถทำงานตามปกติได้

การปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาที่จะช่วยต่อชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ป่วยที่หมดหวังรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ซึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษานี้คือ การให้ได้มาซึ่งอวัยวะบริจาคจากผู้เสียชีวิต ทั้งนี้เพราะการบริจาค อวัยวะของผู้มีจิตศรัทธาสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิต ที่ดีกว่าเดิม

จากการคาดคะเนในประเทศไทยแต่ละปีมีผู้เสียชีวิต ที่อยู่ในเกณฑ์บริจาคอวัยวะได้เกือบสองพันคน แต่ในความเป็นจริงยังมีข้อจำกัดในการนำอวัยวะบริจาคจากผู้เสียชีวิตมาใช้รักษาผู้ป่วยอยู่ไม่น้อย ซึ่งอุปสรรคสำคัญคือ การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะภายหลังเสียชีวิต

จากที่ผ่านมา สภากาชาดไทย องค์กรกลางการกุศลได้ให้ความช่วยเหลือโดยเป็นศูนย์กลางดำเนินการเสนอโครงการ จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งสภากาชาดไทย ขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2536 สภากาชาดไทยได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะและในปีต่อมาได้จัดหาสถานที่ ทำการของศูนย์ฯ โดยตั้งอยู่ ณ ตึกกองอาสากาชาด ถนนราชดำริ จากนั้นย้ายที่ทำการมายังชั้น 5 อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ถนนอังรีดูนังต์ และจากปี พ.ศ. 2537 ที่เริ่มปฏิบัติงานมาจวบปัจจุบันศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ครบรอบ 15 ปี อีกทั้งในวันนี้ยังเป็นวันศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนร่วมกันให้ความรู้ สร้างความเข้าใจการบริจาคอวัยวะทั้งในเรื่อง สมองตาย ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินการเสียชีวิต การจัดระบบการจัดสรรอวัยวะอย่างเป็นธรรม ตลอดจนรณรงค์ประชาชนในสังคมให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง สร้างการรับรู้เข้าใจเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ นายแพทย์วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย เล่าถึงจำนวนผู้รอรับการบริจาค พร้อมให้ความรู้การบริจาค อวัยวะให้ชีวิตใหม่ช่วยเหลือผู้ป่วยว่า จากจำนวน ผู้รอรับบริจาคอวัยวะที่ขึ้นทะเบียนไว้กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ มีจำนวนรวมกว่าสองพันราย โดย มีจำนวนผู้รอรับบริจาคไตมาก ที่สุด รองลงมาได้แก่ ตับ หัวใจและปอด ฯลฯ

ขณะที่โอกาสการได้รับ บริจาคอวัยวะยังคงมีไม่มากเพียงแค่ 36 รายซึ่งคิดเป็นสัดส่วน ระหว่างจำนวนผู้ลงทะเบียนขอรับบริจาคอวัยวะกับจำนวนผู้ได้รับ บริจาคอวัยวะอยู่ในระดับแค่ร้อยละ 1.5 และแนวโน้มคาดว่าจะมีจำนวนผู้ขอรับบริจาคเพิ่มขึ้น

การบริจาคอวัยวะนอกจากจะช่วยชีวิต ให้ชีวิตใหม่แก่ ผู้ป่วยแล้วยังช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริจาคอวัยวะให้มากเพียงพอต่อการปลูกถ่ายอวัยวะภายในประเทศ จัดสรรอวัยวะที่ได้รับบริจาคอย่างเป็นกลางเสมอภาค โดยไม่มีการซื้อขายอวัยวะและให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อการนำอวัยวะต่าง ๆ ไปใช้


บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 22:04:29 »

ขาดแคลน อาจารย์ใหญ่ ญาติแจ้งช้าศพเน่า ไม่ทันสอน

�Ҩ�����˭� �ԡĵ�Ҵ��Ź Ⱦ�Ҩ�����˭� ������͹

ที่มา กระปุก


วิกฤตขาดแคลน"อาจารย์ใหญ่" ญาติแจ้งช้า"ศพเน่า"ไม่ทันใช้สอน มอ.สงขลาหวั่นไฟใต้ไม่กล้าไปรับ (มติชนออนไลน์)

จุฬาฯ ชี้วิกฤต"อาจารย์ใหญ่" เหตุหนึ่งมาจากญาติแจ้งช้า ทำให้ศพเน่าใช้การไม่ได้ แนะให้ใช้น้ำแข็งวางช่องท้อง "พระมงกุฎ"เฉลี่ยรับปีละ 20 ร่าง ให้นักเรียนศึกษา 6:1 มอ.สงขลาเจอปัญหาความไม่สงบภาคใต้ ไม่กล้าออกไปรับศพบริจาค

จากกรณีข่าวเกิดวิกฤต "อาจารย์ใหญ่" ขาดแคลน อันเนื่องมาจากตัวเลขการบริจาคร่างไร้วิญญาณที่พร้อมจะให้นิสิต นักศึกษาแพทย์ แพทย์ฝึกหัด รวมทั้งอาจารย์แพทย์ใช้เป็นตำราเรียนเริ่มลดน้อยลงทุกๆ ปี จนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลกระทบกับการเรียนการสอนวิชาแพทย์หลายสถาบันนั้น

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม รศ.นพ.ธันวา ตันสถิตย์ หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์การฝึกผ่าตัด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อีกปัญหาที่ทำให้ขาดแคลนอาจารย์ใหญ่ เกิดจากเมื่อผู้ที่แสดงความจำนงบริจาคร่างกายเสียชีวิต ญาติติดต่อแจ้งมายังศูนย์บริจาคร่างกายล่าช้า ทำให้ศพเน่าและไม่สามารถนำมาใช้ได้

"ร่างกายของมนุษย์เมื่อเสียชีวิต ส่วนที่เน่าเร็วที่สุดคือ ช่องท้อง หากแจ้งบริจาคร่างกายช้ากว่า 12-18 ชั่วโมง ร่างจะไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้น หากมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ญาติควรรีบแจ้งมายังศูนย์ฯ ทันทีภายใน 12-18 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอใบมรณะบัตรจากอำเภอ ขอเพียงใบชันสูตรของตำรวจหรือแพทย์ผู้ตรวจศพก็พอ เพราะหากข้ามวัน ร่างจะเริ่มเน่าทำให้คุณภาพของอาจารย์ใหญ่ไม่ค่อยดี และระหว่างที่รอให้เจ้าหน้าที่ไปรับศพให้นำถุงน้ำแข็งวางบริเวณท้องน้อยของศพ การทำเช่นนี้จะช่วยทำให้ศพเน่าช้าลง" รศ.นพ.ธันวา กล่าว และว่า อาจารย์ใหญ่จะได้รับการแสดงความเคารพจากคณาจารย์และนิสิตแพทย์อย่างสมเกียรติ ที่สำคัญเมื่อเรียนจบ 1 ปี ร่างอาจารย์ใหญ่ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ในการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษด้วย โดยญาติไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ด้าน พ.อ.มานพ ชัยมัติ อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ กองการศึกษา วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า ตัวเลขการบริจาคร่างอาจารย์ใหญ่ในส่วนของวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ถือว่าไม่มาก แต่ละปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ร่าง โดยนักศึกษาแพทย์จะใช้เรียนในสัดส่วนนักเรียนแพทย์ 6 คนต่ออาจารย์ใหญ่ 1 ร่าง และจะใช้เรียนตลอดทั้งปี ส่วนแพทย์ฝึกหัดผ่าตัดจะมีร่างอาจารย์ใหญ่เพียง 2 ร่างต่อปี ซึ่งดูจากตัวเลขถือว่าค่อนข้างน้อย

"สาเหตุที่คนบริจาคร่างอาจารย์ใหญ่เข้ามาน้อย อาจจะสรุปได้ลำบาก แต่ส่วนหนึ่งคือ วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น บางคนแจ้งความจำนงค์บริจาคร่างกายตอนอายุ 40 ปี แต่เสียชีวิตตอนอายุ 80 ปี ทำให้จำนวนอาจารย์ใหญ่ที่จะได้รับมาแต่ละปีจึงมีไม่มาก บางปีหากขาดแคลนอาจารย์ใหญ่จริงๆ คงต้องติดขอไปยังคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากมีร่างอาจารย์ใหญ่ค่อนข้างมาก" พ.อ.มานพ กล่าว

ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.) เปิดเผยว่า มอ.สงขลา ประสบปัญหาอาจารย์ใหญ่ไม่พอเช่นกัน แต่ละปีจะมีอาจารย์ใหญ่ 40-50 ร่างในการเรียนการสอน ซึ่งถือว่าไม่เพียงพอ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน เพียงทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้จริงไม่ทั่วถึง ซึ่งได้แก้ปัญหาโดยให้นักศึกษาจัดกลุ่มให้เยอะขึ้นตามจำนวนอาจารย์ใหญ่ที่มี หากเป็นไปได้ น่าจะมีอาจารย์เพิ่มอีกปีละ 10 ร่าง จะทำให้การเรียนการสอนของนักศึกษาทั่วถึงมากขึ้น แต่ปีใดที่มีร่างอาจารย์ใหญ่น้อยกว่านี้ ก็จะขอความอนุเคราะห์ไปยังโรงพยาบาลศิริราช ขอร่างอาจารย์ใหญ่มาเสริม ทั้งนี้ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีประชาชนจาก 14 จังหวัดภาคใต้แสดงความจำนงค์บริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้มีกว่า 6,000 ราย

"ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามีอาจารย์ใหญ่น้อย เนื่องจากสถานการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เราไม่กล้าจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปรับร่างของอาจารย์" ผศ.พรพิมล กล่าว

พญ.ผาสุก มหรรฆานุเคราะห์ หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า แต่ละปีการศึกษา คณะแพทยศาสตร์ มช.ต้องใช้อาจารย์ใหญ่ประมาณ 300 ร่าง แต่ไม่ประสบปัญหาไม่เพียงพอ โดยหลังจากโรงพยาบาลได้รับศพของผู้อุทิศร่างกายก็จะนำมาฉีดน้ำยารักษาศพ และนำศพลงแช่ในน้ำยาอีกครั้ง ใช้เวลา 2 ปี จึงจะนำขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ หรือเพื่อทำโครงกระดูกไว้ศึกษา

พญ.ผาสุก กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับการอนุเคราะห์จากผู้มีกุศลจิตบริจาคร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้รถยนต์ที่ใช้ในการเดินทางไปรับร่างอาจารย์ใหญ่มีสภาพทรุดโทรม จึงตั้งกองทุนเพื่อจัดซื้อรถยนต์รับร่างอาจารย์ใหญ่ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถติดต่อสมทบทุนได้ที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เช่นเดียวกับการติดต่อขออุทิศร่างกาย หรือติดต่อได้ที่โทร. 0-5394-5312 หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคณะแทยศาสตร์ มช.เลขที่บัญชี 566-477327-3 ชื่อบัญชีรถรับร่างอาจารย์ใหญ่

รศ.พรทิพย์ บุญเรืองศรี อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2516 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ศรัทธาลงทะเบียนบริจาคร่างกาย ปีละประมาณ 1,000 - 2,000 ราย ขณะนี้มีรายชื่อผู้บริจาคอยู่เกือบ 40,000 ราย แต่ไม่ได้หมายความว่า มีอาจารย์ใหญ่เข้ามาให้นักศึกษาได้เรียนรู้ทั้งหมด เนื่องจากผู้บริจาคยังไม่เสียชีวิต และบางรายที่เสียชีวิตก็มีข้อจำกัดไม่สามารถนำร่างมาใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ เช่น เสียชีวิตจากโรคติดต่อร้ายแรง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุและอวัยวะส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย

"มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งติดต่อขอให้ภาควิชาฯ ส่งร่างของอาจารย์ใหญ่ เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน เช่น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา มหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งการนำอาจารย์ใหญ่มาใช้ในงานวิจัยทางวิชาการ เนื่องจากทางภาควิชาฯ มีความพร้อมและมีการจัดการที่ดี" รศ.พรทิพย์ กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก มติชน


พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #28 เมื่อ: 26 เมษายน 2553 22:05:45 »

เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต
Quality of Life - Manager Online

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 มกราคม 2553 09:20 น.

บทความโดย : รศ.พญ.ศศิจิต เวชแพศย์ ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด

คำว่า “โลหิต” อาจฟังดูน่าหวาดเสียว และน่ากลัวสำหรับคนบางคน แต่สำหรับโรงพยาบาลแล้ว โลหิตเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งการรักษาหลายๆ อย่างในปัจจุบันนี้ จะไม่สามารถทำได้หากไม่มี

โลหิตมีความสำคัญอย่างไร

ในร่างกายคนเรามีเลือดไหลเวียนอยู่ในตัว เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร สารน้ำ ออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำสารพิษ ของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกายเพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ในเลือดมีทั้งของเหลว (ส่วนน้ำ) และเซลล์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน กล่าวคือ

เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เนื้อเยื่อออกไปขับถ่าย เม็ดเลือดแดงมีปริมาณประมาณร้อยละ 40 – 45 ของเลือดทั้งหมด และมีอายุเพียง 120 วัน

เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ ให้ภูมิคุ้มกันเหมือนทหาร ปกป้องเชื้อโรคในร่างกาย มีปริมาณประมาณ 1% ของเลือด
เกร็ดเลือดทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนของเซลล์ขนาดเล็ก มีอยู่ประมาณ 5% ของเลือด

พลาสมา เป็นสารน้ำสีเหลือง มีโปรตีน เกลือแร่ ไขมัน ฮอร์โมน ไวตามิน มีปริมาณร้อยละ 55 ของเลือด

ประเภทของหมู่โลหิต (กรุ๊ปเลือด)
โลหิตที่อยู่ในคนไทยเรา แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. หมู่โอ พบได้ประมาณร้อยละ 38 , 2. หมู่เอ พบร้อยละ 21, 3. หมู่บี พบร้อยละ 34 และ4. หมู่เอบีพบร้อยละ 7

นอกจากนี้ในหมู่เลือด เอ บี โอ แต่ละชนิด จะพบว่าประมาณ 1 ถึง 3 คน ในจำนวนประชากร 1,000 คน จะมีหมู่เลือดอาร์เอ็ชลบ ซึ่งเป็น หมู่โลหิตที่หายากหรือหมู่โลหิตพิเศษ เท่าที่พบมา เราพบว่าหมู่โลหิตโอ เป็นหมู่โลหิตที่หาง่าย เมื่อเทียบกับหมู่โลหิตประเภทอื่นที่บริจาคกันเข้ามา สำหรับผู้ที่ไม่เคยบริจาคโลหิตมาก่อน แต่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ยากเลยค่ะ


 
 
 
 
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 18 – 60 ปี น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัวและฮอร์โมนเพศ ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี ไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด ไม่มีบาดแผลสด หรือแผลติดเชื้อใดๆ ตามร่างกาย ผู้หญิงที่ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ใครบ้างที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้
ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด มะเร็ง ลมชัก โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือคู่ครอง(สามีหรือภรรยา)เป็นไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับ อักเสบซี รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอสไอวีหรือซิฟิลิส ผู้เสพยาเสพติดชนิดใช้เข็มฉีดยา ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มีต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายโตหรือมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ

เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
เพื่อมิให้ผู้บริจาคโลหิตอ่อนเพลียมากหลังบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตจึงควรเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต 1 – 2 วัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากก่อนบริจาคโลหิต 1 วัน รับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิตประมาณ 4 ชั่วโมงนอนหลับพักผ่อนเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมง

แต่ละครั้งโรงพยาบาลต้องการโลหิตประมาณ 350 – 450 ซีซี / คน ซึ่งปริมาณจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้บริจาค และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโลหิตที่ปลอดภัย โลหิตที่ได้จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบก่อนนำไปให้ผู้ป่วยคือ ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส และตรวจหาไวรัสเอดส์

รับประทานอะไรหลังบริจาคโลหิต
หลังการบริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ควรนั่งพักประมาณ 10 -15 นาที รับประทานขนมหรืออาหารว่าง ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม 1-2 แก้ว แล้วรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ ตับ ไข่ เลือดหมู เลือดไก่ ผักใบเขียวและผักที่มีสีเหลือง งดสูบบุหรี่หลังบริจาคโลหิตอย่างน้อย ? ชั่วโมง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และถ้าจะดื่ม ผู้บริจาคโลหิตควรรับประทานอาหารให้มากพอก่อนดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์

เห็นไหมคะว่า หากมีการเตรียมพร้อมก่อนมาบริจาคโลหิตก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อคุณบริจาคโลหิตไปแล้วเท่ากับคุณได้กระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ (เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน) มีผลให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับผู้หญิงสามารถบริจาคได้ทุก 6 เดือน ส่วนผู้ชายบริจาคได้ทุก 3 เดือน

คุณเป็นผู้หนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ มาร่วมบริจาคโลหิตกับโรงพยาบาลศิริราชได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ห้องรับบริจาคเลือด ตึก 72 ปี ชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-419 8081 ต่อ 110

เลือดท่านเพียงน้อยนิด ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้

 
 

--------------------------------------------
ศิริราชจัดกิจกรรมเพื่อคุณ

วันเด็กปีนี้ พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช จัดกิจกรรมต้อนรับหนูน้อย ในงาน “ตัวน้อยรักษ์โลก” อิ่มฟรี! สนุกกับกิจกรรมมากมาย อย่าพลาด 9 ม.ค. 53 ที่ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 2 รพ.ศิริราช เวลา 09.00 – 16.00 น.

สมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ขอเชิญแพทย์ศิริราชทุกรุ่นร่วมงานราตรีคืนสู่เหย้า Home coming day วันเสาร์ที่ 16 ม.ค.53 เวลา 17.00 – 22.30 น. ณ บริเวณสนามหญ้าหอประชุมราชแพทยาลัย รพ.ศิริราช สอบถามได้ที่ โทร. 0 2419 8518, 085 1999314

http://board.palungjit.com/f108/การบริจาคเลือด-ดวงตา-อวัยวะ-ร่างกาย-ให้สภากาชาดไทย-32274-4.html

.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
sithiphong
ชมรมพระวังหน้า
สมาชิกขาประจำ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +7/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 918


ชมรมพระวังหน้า

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2553 07:40:23 »

กาชาดขาดเลือด ขอรับบริจาคเพิ่มด่วน
กาชาดขาดเลือด ขอรับบริจาคเพิ่มด่วน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

สภากาชาดไทย ประกาศของรับบริจาคเลือดด่วน หลังจากที่ประสบปัญหาวิกฤติ ขาดเลือดสำรองทุกกรุ๊ป เหลือไม่ถึงวันละ 1,000 ยูนิต วอนประชาชนบริจาคเลือดให้ผู้ป่วย...

พญ.สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าววันนี้ (4 พ.ค.) ว่า เนื่องจากขณะนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ประสบปัญหาโลหิตสำรองลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีผู้เดินทางมาบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ลดลงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันแรงงานแห่งชาติที่ผ่านมา มีผู้มาบริจาคโลหิตลดลงวันละไม่ถึง 1,000 ยูนิต แต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตวันละ 1,500 ยูนิต

ผอ.ศุนย์บริการโลหิตฯ กล่าวด้วยว่า สภากาชาดไทยจึงได้ดำเนินการจัดหน่วยเคลื่อนที่เพิ่มเติม และขยายเวลารับบริจาคโลหิต ดังนี้ วันที่ 5 พ.ค.53 ได้เพิ่มรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ไปจอดบริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางแค ถนนเพชรเกษม รับบริจาคโลหิต เวลา 12.00-18.00 น.
สำหรับวันที่ 7 พ.ค.53 ขยายเวลาเปิดรับบริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ตั้งแต่เวลา 08.00-19.30 น. ผู้บริจาคโลหิตสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โทร. 0-2256-4300 และ 0-2263-9600-99 ต่อ 1101

http://www.thairath.co.th/content/edu/80942

.
บันทึกการเข้า

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2553 08:24:15 »


บริจาคดวงตาชาติหน้าจะตาบอด

--------------------------------------------------------------------------------
....คัดจากหนังสือหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ...

คำถาม
1. ผู้ที่บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาลมีอานิสงส์ไหม
2. เมื่อบริจาคดวงตา ถ้าเป็นบุญบารมี จะเป็นปัจจัยให้ได้ดวงตาเห็นธรรมได้หรือเปล่า
3. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌานสมาบัติได้ไหมสุดท้ายพระนิพพานด้วย
4. สมมติผู้บริจาคมีศรัทธา บริจาคมอบให้โรงพยาบาลแล้ว อยู่มาอีกเป็นสิบปีจึงสิ้นชีวิต ลูกหลานเกิดเบี้ยว
หรือไม่ยอมบอกให้หมอมาเอาดวงตา หรือลูกหลานลืมไม่ได้นึกถึงจึงไม่ได้เรียกหมอมาเอาดวงตา
กรณีเช่นนี้ผู้ตาย หรือผู้บริจาคจะได้บุญ หรืออานิสงส์ไหม
5. มีผู้คนเขาพูดว่าให้ดวงตาเขาไปแล้ว เมื่อไปเกิดชาติหน้าภพหน้าจะเป็นคนพิการ หรือไม่
6. บางคนก็ว่าสละดวงตาไปแล้วเป็นวิญญาณก็ดี หรือเป็นผี และไปเกิดในภพสัมภเวสีจะไม่มีลูกตา
ดวงตา จริงหรือไม่
7. เมื่อหมอเอาดวงตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ และดวงตานั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาด
ด้วยเหตุใดๆ ก็ดี จนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาจะได้อานิสงส์ไหม
8. ผู้ที่บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อให้บรรดาหมอ และพยาบาลไปเรียนหรือศึกษาจะได้อานิสงส์
ผลบุญหรือไม่อย่างไรเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว และชาติเบื้องหน้า
9. เมื่อบริจาคดวงตา และร่างกายให้โรงพยาบาลโดยได้ทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้แล้วกลับมาบ้านจะ
นิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญบ้าน แล้วกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ผู้บริจาคได้
ทำเอาไว้กับสัตว์นั้นจะได้ หรือไม่ จะถูกต้องหรือไม่
10. ถ้าถูกต้องทำได้ และถ้าทำบุญกรวดน้ำ ที่ได้บริจาคดวงตา หรือร่างกายไปแล้วภายหลังลูกหลานหรือ
หมอโรงพยาบาลเกิดทำผิดพลาด หรือลืมไป ไม่ได้เอาดวงตาร่างกายไปทำประโยชน์ดังที่ผู้บริจาค
ตั้งใจไว้ เมื่อผู้นั้นได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เช่นนี้จะเป็นเวรเป็นกรรมเป็นบาปแก่ผู้บริจาค และลูกหลาน
ต่อไปหรือไม่ประการใด เพราะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแล้ว
11. กระผมอยากทราบว่า สมัยพระพุทธโคดม ท่านยังทรงพระชนม์อยู่พระอรหันต์ที่เป็นภิกษุณีองค์
แรกคือใคร มีพระนามว่ากระไรครับ

คำตอบ
1. ผู้บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาล มีอานิสงส์มาก
2. เมื่อบริจาคดวงตาแล้วจะได้กุศลเป็นส่วนไหนนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรารถนานายกอุทาหรณ์ เช่น
นางอุบลวรรณถวายดอกบัวต่อพระปัจเจกฯ แล้วก็ปรารถนาว่า ข้าพเจ้าเกิดมาในภพใดชาติใด
ขอให้สีกายเหมือนดอกบัว และก็ได้รับผลอย่างนั้นจริง จนได้ชื่อว่าอุบลวรรณานั่นเอง
คำว่าอุบลแปลว่าดอกบัว คำว่าวรรณาแปลว่าผิพรรณ สีกายเหมือนดอกบัวอยู่ห้าร้อยชาติติดๆ กัน ดังนี้
ส่วนที่จะได้ดวงตาเห็นธรรม หรือไม่นั้นก็ต้องอธิษฐานว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็น
ธรรม " อย่างนี้ก็จะได้จริงสมคำดังปรารถนาดังผลทาน
3. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌาน หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นกับคำปรารถนาดังกล่าวแล้วนั้นเองตลอดทั้ง
พระนิพพานด้วย
4. ในกรณีที่ตกลงบริจาคไว้แล้วไม่ได้พลิกคืนก็เท่ากับว่าบริจาคแล้ว ก็ต้องได้บุญซิ
5. ให้ดวงตาเขาไปแล้ว เกิดชาติหน้าไม่พิการ เพราะเชื่อผลศีลผลทาน เพราะผลศีลผลทานไม่ทำให้คน
มีรูปขี้เหร่
6. และผู้ที่ไปเกิดไม่มีดวงตานั้น เป็นผู้มีบุพกรรมแต่ชาติก่อนเป็นต้นว่าได้ทำตาให้เขาบอดเป็นต้น
เช่นพระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์ตาบอด เพราะได้ไปวางยาให้เขาตาบอด เพราะโกรธว่าเขา
ไม่ให้ค่ารักษา ที่เรารักษาตาให้หายแล้ว อันนี้พูดย่อเต็มที ในชีวประวัติของพระจักขุบาลยืดยาวนัก
7. เมื่อหมอเอาตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ หรือดวงนั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาดใดๆ
ก็ดีจนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาก็ได้ผลตามเดิม เพราะจิตใจไม่ได้
พลิกคืนว่าจะไม่ให้
8. ผู้ที่ทานร่างกายให้โรงพยาบาลเพื่อให้บรรดาหมอ และพยาบาลไปเรียน หรือศึกษาก็ต้องได้บุญ
เต็มส่วนของเจตนานั้นๆ
9. เมื่อบริจาคดวงตา และร่างกายให้โรงพยาบาลโดยไปทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้แล้วมาบ้าน
นิมนต์พระมาทำบุญ แล้วกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ที่ผู้บริจาคได้ทำเอาไว้กับ
สัตว์ จะได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก เขาจะได้รับ หรือไม่ได้รับก็เป็นการเสี่ยงบุญ
เพราะเขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าหากว่าเขาเป็นเปรตสัมภเวสีเขาจึงจะได้รับ ส่วนเขาจะได้รับ
หรือไม่นั้นผลของบุญมาหาเราตามเดิม ถึงแม้เขาจะจองเวรเราอยู่ก็ตามผลบุญส่วนนั้น
ก็ต้องมาหาเราอยู่ ในบาลีจึงยืนยันว่า " ปัตติทานมัย " บุญสำเร็จด้วยการให้บุญ ดังนี้…
10. ถ้าเราบริจาคแล้ว ผู้อยู่ข้างหลังไม่ทำตามคำสั่งเสีย ก็เป็นความผิดของเขา แต่เราได้บุญตามเดิมอยู่
ผู้เขาลืมเขาก็ต้องเป็นบาปบ้าง
11. นางภิกษุณี องค์แรก คือนางปชาบดีโคตมี เป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อน
ที่มา http://www.geocities.com/pralaah/otherQ16_20.htm



- -" บริจาคแล้วค่ะ ดวงตาก่อน ต่อมาก็ร่างกาย
เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมทุกข์ท่านอื่นๆ
เรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธานะคะ...


อนุโมทนาสาธุค่ะคุณหนุ่ม ข้อมูลละเอียดมากๆเลย
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ



บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 [2]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
การบริจาคเลือด ทำให้อ้วนจริงหรือ ?
สุขใจ อนามัย
Compatable 0 1513 กระทู้ล่าสุด 21 มีนาคม 2555 16:05:14
โดย Compatable
[ข่าวบันเทิง] - ผลชันสูตรแตงโมรอบ2 ดวงตา ฟัน ปกติ กะโหลกไม่แตก ศีรษะไม่ช้ำ
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 239 กระทู้ล่าสุด 17 มีนาคม 2565 19:34:46
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวมาแรง] - อัยการสั่งฟ้อง พ.ร.บ.ชุมนุม 6 นักกิจกรรม เดินขบวนเรียกร้อง 'ดวงตา' ให้ 'พายุ'
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 60 กระทู้ล่าสุด 21 พฤศจิกายน 2566 19:10:57
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวมาแรง] - ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี | ครรภ์แห่งชาติ: รัฐเจริญพันธุ์ ร่างกาย และเพศวิถี
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 23 กระทู้ล่าสุด 11 มีนาคม 2567 18:05:53
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.934 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 25 กุมภาพันธ์ 2567 19:30:42