[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 15:10:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความเชื่อใน “วิชาคงกระพันชาตรี” ศาสตร์ลับแห่งความแข็งแกร่งของทหารไทยสมัยก่อน  (อ่าน 456 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2319


ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2564 12:29:45 »



ภาพจิตรกรรมบนเสาภายในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

ความเชื่อใน “วิชาคงกระพันชาตรี”
ศาสตร์ลับแห่งความแข็งแกร่งของทหารไทยสมัยก่อน


ผู้เขียน   - ชิษณุพงศ์ แจ่มปัญญา
เผยแพร่ : ศิลปวัฒนธรรม - วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2564


ในภาพยนตร์ไทยที่เกี่ยวกับการสู้รบสมัยก่อน มักแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและเก่งกาจของทหาร ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าการฟันดาบ แทงหอก หรืออะไรก็ตาม นอกเหนือจากภาพจำเหล่านี้ ยังมีอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มาควบคู่กัน นั่นคือ “ไสยศาสตร์” มีเรื่องเล่าว่าทหารไทยสมัยก่อนฟันแทงไม่เข้า แม้ดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างมาก แต่มันมีที่มาของเรื่องเล่านั้นอยู่ ด้วยศาสตร์แห่งไสย “วิชาคงกระพันชาตรี” นั่นเอง

ในยุคโบราณที่แนวคิดแบบ “วิทยาศาสตร์” ยังไม่แพร่หลาย ศาสตร์ที่ยังมีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อของคนยุคโบราณยังอยู่กับแนวคิดเรื่องศาสตร์แห่งไสย โดย คงกระพันชาตรี เป็นวิชาเวทมนต์คาถาอีกแขนงหนึ่งที่ทหารสมัยก่อนนั้นขวนขวานที่จะเล่าเรียนติดตัวไว้เพื่อเสริมความมั่นใจในการออกศึกแต่ละครั้ง อีกทั้งยังเสริมความทนทานต่ออาวุธระยะประชิดทั้งปวง อย่างดาบ หอก ทวน ง้าว แหลน ฯลฯ แต่วิชานี้จะไม่ครอบคลุมถึงอาวุธระยะไกลอย่างปืน ซึ่งจะมีวิชาที่รองรับการโจมตีด้วยปืนอยู่ นั่นคือ “วิชามหาอุด”

วิชามหาอุดเป็นวิชาที่จะทำให้กระสุนที่ยิงออกมาเกิดความผิดปกติ ทำให้ยิงไม่ออกบ้าง หรือทำให้ปากกระบอกปืนแตกไปเลยก็มี ซึ่งวิชาคงกระพันชาตรีนี้เป็นวิชายอดนิยมอย่างยิ่ง เนื่องด้วยพลานุภาพของมัน และเป็นวิชาที่ทำให้ทหารมีแรงกระตุ้นและแรงใจให้วิ่งเข้าประจันหน้ากับข้าศึก

แต่ต่อมาความนิยมของวิชาคงกระพันชาตรีก็เสื่อมลงตามกาลเวลา อาจด้วยเหตุผลที่ว่าในปัจจุบันนั้นการศึกสงครามเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและอาวุธระยะไกลแล้ว วิชาคงกระพันชาตรีที่ป้องกันอาวุธระยะประชิดเป็นหลักคงจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่ในหมู่พวกอันธพาลนักเลงที่ใช้วิชานี้เสริมความแกร่งให้ตัวเองประกอบกับการสักยันต์แล้วไปสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น จนตำรวจต้องมีการควบคุมป้องกันบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าวิชาคงกระพันชาตรีเป็นเพียงคำที่เรียกรวมๆ กันของวิชา “คงกระพัน” กับวิชา “ชาตรี” เท่านั้น ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองแบบนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ผลของวิชาก็จะเป็นไปในทางเดียวกัน คือการคุ้มกันจากภยันตรายต่างๆ ซึ่งในแต่ละวิชานั้นจะมีจุดสำคัญคละกันไป

วิชาคงกระพันเป็นวิชาที่อาวุธระยะประชิดและวิธีการโจมตีทั้งปวงมิอาจทำอันตรายใดๆ กับร่างกายผู้ใช้วิชาได้เลย แต่มีจุดอ่อนที่สำคัญของวิชานี้อยู่ นั่นคือการโจมตีด้วยหอกทิ่มแทงสวนทวารหนัก ก็จะทำอันตรายแก่ผู้ใช้วิชาจนถึงแก่ความตายได้ อันวิชาคงกระพันนี้เป็นวิชาที่ใช้เสกกับของที่กิน เรียกว่า “อาพัด” เช่น อาพัดเหล้า อาพัดหมาก เป็นต้น ซึ่งกินแล้วก็จะมีวิชาคงทน บางทีก็ใช้เสกกับฝุ่น ปูนหรือ น้ำมันหอม นำมาทาร่างกายเพื่อทำให้คงกระพัน แต่วิชาเมื่อเสกกับสิ่งเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่นาน ไม่เหมือนกับการเสกแบบ “เรียกเข้าตัว” เช่น การเรียกน้ำมันหรือประกายเหล็กเข้าร่างกาย

ว่ากันว่าความเชื่อในวิชาที่เรียกประกายเหล็กเข้าตัวนั้นมีคุณสมบัติทำให้ร่างกายแข็งดั่งเหล็ก แม้นฟันด้วยขวานก็เหมือนฟันกระทบโดนเหล็กแข็งแบบไหนแบบนั้น โดยวิชาคงกระพันแบบเรียกเข้าตัวจะคงอยู่กับร่างกายตลอดไป อีกทั้งยังมีการทำเป็นเครื่องรางของขลังเพื่อคุ้มตัวด้วย อย่าง ตะกรุด ประเจียด พิศมรมงคล เสื้อยันต์ แหวนพิรอด ลูกประคำ ลูกสะกด ซึ่งล้วนเป็นเครื่องรางของขลังที่เป็นสิ่งเสริมวิชาคงกระพันทั้งสิ้น

วิชาชาตรีจะต่างจากวิชาคงกระพันที่ว่า วิชาคงกระพันจะมีความคงทนต่ออาวุธหลายๆ อย่าง คือฟันแทงไม่เข้าแต่ยังมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ ส่วนวิชาชาตรีจะมีคุณสมบัติทำให้ผู้ใช้นั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทำให้ร่างกายนั้นเบาและทำให้ของหนัก ๆ เช่น หินใหญ่ ที่เข้ามากระทบร่างกายนั้นเบาลงทันตาเห็น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเบาถึงขั้นกระโดดโลดได้สูงถึง 3 วา หรือ 6 เมตรเลยทีเดียว ถึงจะเป็นวิชาที่แลจะมีคุณอนันต์ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน คือการที่โดนตีด้วยของเบา อย่างไม้อ้อ ไม้ระกำ หรือไม้โสนตี ก็จะทำให้เป็นอันตรายได้ อันวิชาชาตรีนั้นจะแตกต่างจากวิชาคงกระพันอีกแบบหนึ่ง คือวิชาชาตรีจะไม่ใช่วิชาเสกอาพัด แต่จะเป็นวิชาแต่งตัว กล่าวคือ เป็นวิชาที่บริกรรมคาถาและเอามือลากตามตัว จึงไม่มีจำพวกเครื่องราง หรือของกินของป้ายนั่นเอง

อันด้วยทั้งสองวิชานี้เป็นวิชาไสยศาสตร์ที่เป็นการสร้างเสริมความแข็งแกร่ง พละกำลัง และความมั่นใจให้กับตัวเมื่อยามออกศึกสมัยก่อน แต่ดังที่กล่าวไปข้างต้น วิชาไสยศาสตร์เหล่านี้เริ่มที่จะเลือนหายไป เพราะการนำไปใช้อย่างผิดๆ ของพวกอันธพาลทั้งหลาย แต่วิชาเหล่านี้จะหายไปหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณและดุลยพินิจของผู้ที่ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์และผู้ที่มีศรัทธาต่อวิชาเหล่านี้ว่าจะศึกษาและศรัทธาหรือไม่ หรือจะหลงลืม สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้คนทั้งหลาย

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.305 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 17 มกราคม 2567 16:04:33