[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 03:30:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กล้วย : ความเชื่อล้านนา  (อ่าน 497 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5444


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 20 มิถุนายน 2565 19:34:08 »

https://www.kasetvoice.com/wp-content/uploads/2018/02/119373-768x1024.jpg
กล้วย : ความเชื่อล้านนา


กล้วย : ความเชื่อล้านนา

กล้วย  เป็นพืชล้มลุกหลายชนิดในตระกูล Musa วงศ์ MUSACEAE ชาวล้านนานิยมปลูกกล้วย บริโภคกล้วย จึงมีความผูกพันกับกล้วยมาแต่โบราณ ที่สำคัญและน่าสนใจ คือมีความเชื่อเกี่ยวกับกล้วยมากมาย ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป

การปลูกกล้วย
ในคัมภีร์ “พิษณุถามนางธรณี” กล่าวถึงข้อห้ามในการปลูกกล้วยว่า “...ปลูกกล้วยหามเรือน ก็ขึด” ความว่า การปลูกต้นกล้วยไว้สองด้านในลักษณะขนาบตัวเรือนนั้นเป็นอัปมงคล “...ปลูกกล้วยตีนเต่าไว้ในบ้านก็ขึด” หมายความว่า ปลูกกล้วยตีนเต่าหรือกล้วยตีนกุไว้ในบ้าน ก็เป็นอัปมงคล “....ปลูกกล้วยไว้ใต้บ้านใต้เรือน ก็ขึด” คือปลูกล้วยไว้ด้านทิศใต้ของเรือน ก็เป็นอัปมงคล นอกจากนี้ โบราณท่านยังห้ามปลูกกล้วยใกล้ตัวเรือน ด้วยเชื่อว่าหากใบกล้วยปกคลุมถึงหลังคา หรือมีเงาบังเรือนเมื่อใด จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียเมื่อนั้น
หัวกล้วย

รากหรือเหง้าของต้นกล้วย เฉพาะส่วนที่เน่า เชื่อว่าเป็นยารักษาโรคเรื้อนของสุนัข หากนำเอาส่วนนี้ไปคลุกกับกำมะถันบดละเอียด ทาผิวหนังสุนัข จะมีผลให้สุนัขหายจากโรคเรื้อนได้ ส่วนที่ยังคงสภาพอยู่และยังไม่เน่าเละ นิยมเอาไปทาและทุบหนังหน้ากลองที่หุ้มใหม่ จะช่วยให้หนังขยายตัวและมีความเหนียวคงทนถาวร
หน่อกล้วย

ในพิธีกรรมมงคลต่างๆ ที่ต้องการความหมายของความเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์ เช่น งานทำบุญสืบชาตาเพื่อสืบต่ออายุ เป็นต้น สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ หน่อกล้วย นอกจากนี้ หนึ่งในพิธีห้ามฝนที่ได้ผลชะงัดนัก ได้แก่ การให้แม่ม่ายเปลือยกายไปปลูกกล้วยกลางแจ้ง โดยให้นำหน่อกล้วยไปปลูกลงดินในลักษณะเอาส่วนปลายฝังดิน เอาส่วนโคนชี้ขึ้นฟ้า


ต้นกล้วย
ต้นกล้วยเป็นต้นไม้อาถรรพณ์ มีคุณสมบัติในการข่มอาคม คนที่มีอาคมจะไม่นิยมเข้าไปดงกล้วย เพราะเกรงว่าอาคมขลังในกายจะเสื่อมถอย ยิ่งผู้ใดไปเตะตีชกต่อยต้นกล้วยด้วยความคะนองยิ่งเห็นผลทันตา มนตราต่างๆ ในกายจะเสื่อมอิทธิฤทธิ์ลงทันที อนึ่งในพิธีห้ามฝนห้ามลมพายุ หากเกิดฝนกระหน่ำ พายุพัดแรง โบราณท่านนิยมเอามีดปลายแหลมไปเสียบต้นกล้วยให้ปลายมีดทะลุชี้ไปในทิศทางที่ลมพัดมา เชื่อว่าพายุจะอ่อนแรงลงและสงบลงในไม่ช้า นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า กรณีมีงานมงคลต่างๆ เช่น งานบวช ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงานเป็นต้น งานดังกล่าวหากแกงหยวกกล้วยเลี้ยงดูแขก จะทำให้เกิดความรักความสมัครสมานปรองดองกันเป็นอย่างดี เพราะท่อนหยวกมีเส้นใยอันเปรียบเสมือนสายใยรักสายใยใจเชื่อมโยงกันและกันตลอดไป


กาบกล้วย
          กาบกล้วยมักมีบทบาทสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในงานพิธีกรรม สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “สะตวง” หมายถึงกระบะหรือกระทงที่ทำจากกาบกล้วย สำหรับใส่เครื่องบัดพลีสิ่งศักดิ์สิทธิ์  กาบกล้วยดูเหมือนจะเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติไปโดยปริยาย นอกจากนี้ในแง่ของพลังแห่งการข่มมนตรา โบราณท่านห้ามนำเอากาบกล้วยมาประดิษฐ์เป็นหมวกสวมศีรษะ จะทำให้อาคมเสื่อมเพราะอำนาจของกาบกล้วย


ก้านกล้วย
          หลังจากใช้มีดกรีดเอาใบตองออกไปใช้ประโยชน์แล้ว เด็กๆ ชอบนำก้านกล้วยไปเล่น เช่น ทำเป็นม้าก้านกล้วยขี่เล่น และหากเล่นเสร็จหรือไม่มีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ชาวล้านนาจะตัดเป็นท่อนสั้นๆ ทิ้งไป ด้วยมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า คนที่ถูก “ผีโพรง” หรือ “ผีสือ” เข้าสิง มักจะใช้ก้านกล้วยพุ่งข้ามหลังคาของเจ้าของบ้านที่ไปพบเห็นพฤติกรรมของตนขณะออกหากิน อันจะมีผลให้เจ้าของบ้านพบกับความวิบัติถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด อีกอย่างหนึ่ง ชาวล้านนามีข้อห้ามมิให้เอาก้านกล้วยฟาดหรือตีถูกร่างกายกัน เพราะเชื่อว่าคนที่ถูกฟาดหรือตีจะประสบภัยทางสุขภาพ เกิดอาการอ่อนแรง เจ็บป่วยและเสื่อมถอยด้านคุณไสยอาคม ดังนั้นจึงต้องตัดก้านกล้วยเพื่อมิให้ผีโพรงหรือผีสือได้ใช้งาน


ใบกล้วย
ในด้านคุณไสยทางเมตตามหานิยม มักนำใบกล้วยตีบไปลงอาคมพร้อมเขียนชื่อคนที่ตนรัก แล้วเอาไปพับเก็บใต้หมอน ใต้ฟูกที่นอนหรือให้วัวกิน หรือเผาไฟเอาขี้เถ้าคลุกข้าวให้สุนัขกิน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อหวังผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเมตตา นอกจากนี้ผู้เฒ่าผู้แก่สอนไว้ว่า หากชายหนุ่มอยากทราบว่าหญิงสาวใดเป็นทายาทของตระกูลผีกะหรือไม่ ให้เอาใบ “ตองกล้วยงำเครือ” คือใบตองที่ยื่นออกไปให้ร่มเงาแก่เครือกล้วยโดยให้มองลอดผ่านใบตองดูหญิงสาวที่ว่าหากเห็นมีลิงสองตัวคอยเคล้าเคลียเลียใบหน้าหญิงสาวแสดงว่าเป็นทายาทผีกะ


ผลกล้วย
คนที่ถืออาคมขลังจะมีข้อห้ามมิให้ลอดต้นกล้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นกล้วยที่มีผลออกเป็นเครือและมีใบตองกล้วยงำเครือ เพราะเชื่อว่าอาคมจะเสื่อมถอย ในส่วนของผลกล้วยที่มีลักษณะเป็นเครือมักนิยมใช้เป็นเครื่องสักการะในพิธีไหว้ครู คู่กับพร้าวเครือ (ทะลาย) ตาลเครือ สำหรับผลแก่ที่จะนำไปบ่มให้สุก ท่านให้ไหว้วาน “แม่มาน” คือคนท้องแก่มาลูบคลำก่อนนำไปบ่ม เชื่อว่าผลกล้วยนั้นจะสุกเหลืองงามน่ารับประทาน และโบราณยังห้ามคนมีครรภ์กินกล้วยแฝด เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีลูกแฝดซึ่งคลอดยากและเลี้ยงยาก นอกจากนี้ผลกล้วยสุกหนึ่งลูกคู่กับข้าวเหนียวสุกหนึ่งปั้น ที่เรียกว่า “เข้าปั้นกล้วยหน่วย” ยังเป็นเครื่องประกอบพิธีผูกข้อมือบายศรีสู่ขวัญของชาวล้านนาอีกด้วย


ปลีกล้วย
ในส่วนของปลีกล้วย ล้านนามีความเชื่อหลายประการ อาทิ การนำเอาหัวปลีเข้าพิธีอุปสมบทเพิ่มอายุ  การเอาหัวปลีประกอบพิธีกับศพคนตายคลอดลูก ความเชื่อเรื่องปลีกล้วยออกกลางลำ กล้วยมีหัวปลีหลายหัว มียอดหลายยอด ตลอดถึงข้อห้ามในการใช้ปลีประกอบอาหารเลี้ยงแขก ในพิธีอุปสมบท กรณีที่นาคมีอายุไม่ครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ จะนำปลีกล้วย ๑ หัว เข้าร่วมพิธี เพื่อเป็นเคล็ดว่ามีอายุเพิ่มมาอีก ๑ ปี โดยอาศัยเสียงพ้องว่า “ปลี” ซึ่งคนล้านนาออกเสียงว่า “ปี๋” เสียงเดียวกับคำว่า “ปี” ด้านการฝังศพโดยเฉพาะศพของคนที่คลอดลูกตายแต่รกยังติดอยู่ในท้อง ก่อนฝังต้องให้หมออาคมขลังผ่าท้องเอารกออกเสียก่อน มิเช่นนั้นวิญญาณของผู้ตายจะกลายเป็นผีดุเที่ยวหลอกหลอนผู้คนไม่ยอมไปผุดไปเกิด ในการผ่าเอารกออกมีวิธีปฏิบัติอยู่สองวิธี คือผ่าศพเอารกออกโดยตรงและวิธีผ่าปลีกล้วยตานีแทนการผ่าศพ เฉพาะวิธีผ่าปลีกล้วยนั้น หมอจะนำปลีกล้วยตานีมาเสกแล้ววางบนท้องศพ จากนั้นใช้เคียวอาคมผ่าปลีออกเป็นสองส่วน ใช้ปลายเคียวแคะเอายอดของหัวปลีที่อยู่ส่วนกลาง โดยสมมุติเป็นรกจากท้องออกมาวางบนผ้าที่ปูรอรับอยู่ แล้วนำไปฝังอีกที่หนึ่ง ทำเช่นนี้ถือว่าได้ผ่าเอารกออกแล้ว ส่วนเรื่องปลีกล้วยที่ทะลุออกกลางลำต้นนั้น ชาวล้านนาถือว่า “อุบาทว์” ประเภท “วรุณณอุบาทว์” ดังปรากฏในตำราอุบาทว์ของวัดดวงดี อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า “...ต้นเดียวมีปลี ๒ หัวก็ดี ๓ หัวก็ดี...กล้วยตกปลีกลางลำก็ดี ต้นเดียวมียอดสองสามยอดก็ดี...เหตุทังหลายฝูงนี้ ชื่อว่าพระวรุณณอุบาทว์เสี้ยงแล”  คือ กล้วยต้นเดียว มีหัวปลี ๒-๓ หัว ปลีทะลุออกกลางลำ มียอด ๒-๓ ยอด ทั้งหมดนี้ เรียกว่า “วรุณณอุบาทว์”  ไม่ควรนำมาใช้ประโยชน์แต่ประการใด สำหรับข้อห้ามในการใช้ปลีประกอบอาหารเลี้ยงแขกนั้น เชื่อกันว่าปลีเป็นส่วนสุดท้ายหรือเป็นที่สิ้นสุดของต้นกล้วย การนำเอาอาหารที่ปรุงจากหัวปลีมารับประทานร่วมกัน จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายชิงชังกัน จนต้องสิ้นสุดความมีไมตรีต่อกันไปในที่สุด


แสงกล้วย
“แสง” ตรงกับภาษาไทยว่า “คด” ได้แก่หินที่เกิดในสัตว์หรือต้นไม้ มีอานุภาพด้านคุณไสยตามชนิดของคด “แสงกล้วย” เป็นคดที่เกิดในต้นกล้วยมีสีขาวขุ่น มีอานุภาพด้านความร่มเย็น อุดมสมบูรณ์และเมตตามหานิยม

เรื่องราวของความเชื่อเกี่ยวกับกล้วยที่กล่าวมาตามลำดับ  บางอย่างยังคงเชื่อถือกันอยู่ แต่หลายอย่างเลือนลางจางไป เพราะวิถีชีวิตของคนล้านนาปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับกล้วยน้อยลง  องค์ความรู้ต่างๆ ก็พลอยลดความสำคัญลงตามกาลเวลา


ขอขอบคุณ
- เว็บไซต์ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ที่มาเรื่อง)
-เว็บไซต์ เกษตรก้าวไกลดอท คอม (ที่มาภาพประกอบ)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.328 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 16 เมษายน 2567 01:17:59