[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 02:47:01 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระสีวลี ผู้เจริญด้วยลาภสักการะ  (อ่าน 716 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2564 16:06:39 »



พระสีวลี
ผู้เจริญด้วยลาภสักการะ ครั้งพุทธกาล

พระสีวลีมหาเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีลาภ พระองค์เป็นพระราชโอรสของ "พระนางเจ้าสุปปวาสาราชเทวี" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์โกลิยวงศ์แห่งกรุงโกลิยะ ท่านอาศัยอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

ในขณะที่ท่านอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานั้น ทำให้พระมารดาของท่านมีโชคลาภสักการะเกิดขึ้นอย่างมากมายอย่างไม่ขาดสาย และท่านต้องมานอนทนทุกข์ทรมานอยู่ในท้องของพระมารดา ยาวนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗

บุพกรรม (กรรมเก่า) สาเหตุที่ทำให้พระสีวลี ต้องอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน นั้นก็เป็นเพราะอดีตกรรมฝ่ายอกุศลของท่านที่ทำเอาไว้ในอดีตชาติ

ท่านได้เกิดเป็นพระราชา ของเมืองกสินคร เมืองกสินคร และเมืองปสินคร เกิดมีศึกสงครามระหว่างกัน พระราชาของเมืองกะสินคร ได้ทรงยกกองทัพใหญ่ไปปิดล้อมเมืองปสินครเอาไว้ ด้วยหวังว่าถ้าชาวเมืองปสินครถูกปิดล้อมเอาไว้ไม่ให้ ประชาชนออกไปทำมาหากินนอกเมืองได้ เดี๋ยวก็จะยอมแพ้ไปเอง

พระเจ้ากสินคร ทรงให้กองทัพยกไปล้อมเมืองปสินครเอาไว้เป็นเวลานานถึง ๗ ปี ๗ เดือน แล้วชาวเมืองปสินครก็ยังไม่ยอมแพ้

พระเจ้ากสินครก็ทรงแปลกพระทัยว่า ทำไมเราให้กองทัพไปปิดล้องเมืองปสินครเอาไว้นานถึง ๗ ปี ๗ เดือนแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ราชบุรุษไปสืบดูว่ามันเป็นเพราะอะไร?

เมื่อราชบุรุษไปสืบดูแล้ว ก็ทราบว่าสาเหตุที่ชาวเมืองปสินครยังไม่ยอมแพ้นั้น ก็เป็นเพราะชาวเมืองปสินครยังออกไปทำมาหากินนอกเมืองได้อยู่ โดยการออกไปทางประตูเล็กซึ่งอยู่ทางด้านหลังของกำแพงเมือง

เมื่อพระเจ้ากสินครทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงได้ส่งกองทัพเล็กซึ่งมีทหาร ๑๐,๐๐๐ นาย ไปปิดล้อมประตูเล็กเอาไว้เป็นเวลา ๗ วัน ประชาชนชาวปสินครทนต่อความอดอยากไม่ไหว เพราะออกไปทำมาหากินนอกเมืองไม่ได้ จึงได้จับเอาพระเจ้าปสินคร ผู้ที่เป็นพระราชาของตนฆ่าเสียแล้วยกราชสมบั ให้แก่พระเจ้ากสินคร

การยกทัพมาล้อมประตูเล็กของเมืองเอาไว้นี้ได้ผลดี ทำให้ชาวปสินครต้องยกธงขาว ยอมแพ้อย่างราบคาบ ด้วยผลแห่งกรรมอันนี้แล ทำให้พระสีวลีต้องมานอนทนทุกข์ทรมานอยู่ในพีะครรภ์ของพระมารดายาวนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน


บุพกรรม (กรรมเก่า ) ที่ทำให้เป็นผู้มีลาภมาก

ในอดีตชาติ ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระพุทธวิปัสสีตถาคตเจ้า” มีกุลบุตรผู้หนึ่งได้เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ตำบลหนึ่งใกล้เมืองพันธุมดี

ในครั้งนั้นชาวเมืองกับพระราชาได้ทำบุญแข่งกัน โดยการจัดเครื่องถวายทานแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า วันหนึ่งพวกชาวเมืองเตรียมจะถวายทาน แต่ก็ได้พบว่าในทานของพวกตนนั้นมีครบทุกอย่างแล้ว ยังขาดก็แต่น้ำผึ้งเท่านั้น จึงได้จัดส่งคนออกไปหาน้ำผึ้งกับเนยแข็ง โดยคอยดักดูผู้คนที่มาจากชนบทที่เดินทางเข้ามาในเมืองว่าผู้ใดจะมีสิ่งใดติดตัวมาบ้าง

บังเอิญวันนั้นกุลบุตร (พระสีวลีในชาติต่อมา) ได้เดินทางเข้าไปในเมือง โดยนำเอากระบอกเนยแข็งมาด้วยหมายจะเอาไปแลกสิ่งของในเมือง แต่ระหว่างทางก่อนจะเข้าเมือง ได้พบรวงผึ้งรวงหนึ่งโตขนาดเท่างอนไถ กุลบุตรนั้นจึงได้เอารวงผึ้งนั้นเข้าไปในเมืองด้วย

ชาวเมืองเห็นรวงผึ้งก็ดีใจ จึงได้ขอซื้อรวงผึ้งในราคาถึง ๑,๐๐๐ กหาปนะ (กหาปนะ เป็นชื่อของเงินที่ใช้ในสมัยโบราณ) ทำให้กุลบุตรเกิดความแปลกใจมาก เพราะลำพังเนยแข็งกับน้ำผึ้งนี้ ไม่มีราคามากถึงเพียงนี้เลย ราคาแค่ ๕ กหาปนะเท่านั้น แต่ทำไมชาวเมืองถึงให้ราคามากเช่นนี้ จึงทำเป็นไม่ขาย เพื่อใคร่จะรู้ราคาที่แท้จริงของมันว่า มันเท่าไหร่กันแน่

ชาวเมืองกลัวจะไม่ได้น้ำผึ้ง และกลัวจะแพ้พระราชา จึงได้ขึ้นราคารวงผึ้งนั้นอีกถึง ๒,๐๐๐ กหาปนะ กุลบุตรเกิดความสงสัยก็เลยถามชาวเมืองว่า “พวกท่านจะเอาน้ำผึ้งไปทำอะไร ถึงกล้าซื้อรวงผึ้งราคามากถึงเพียงนี้”

ชาวเมืองทั้งหลายก็ตอบว่า “จะเอาไปทำบุญ เครื่องไทยทานทั้งหลายของพวกเรามีครบทุกอย่างแล้วยังขาดยังขาดก็แต่น้ำผึ้งนี้แหละ พ่อหนุ่ม”

กุลบุตรคนนี้เป็นชาติแห่งบุคคลผู้ฉลาด จึงได้ฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า “เออ! เราเกิดมาเป็นคนยังไม่ได้ทำบุญอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่นเขาเลย เพราะฐานะของเรายากจน บัดนี้ เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของเราแล้วจำเราจะเอารวงผึ้ง และเนยแข็งนี้ถวายเป็นทานเถอะ” เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว จึงได้ตอบชาวเมืองทั้งหลายไปว่า “รวงผึ้งนี้ข้าพเจ้าไม่ขาย แต่ข้าพเจ้าอยากจะเอารวงผึ้งนี้ถวายเป็นทานร่วมกับพวกท่าน จะได้หรือไม่”

ชาวเมืองทั้งหลายจะได้น้ำผึ้งโดยไม่ต้องซื้อก็ดีใจตอบตกลงทันที เมื่อได้น้ำผึ้งสมความตั้งใจแล้ว ชาวเมืองทั้งหลายก็ได้นำเอากุลบุตรคนนั้น เข้าไปร่วมทำบุญด้วย ในขณะที่ทำการถวายทานกุลบุตรก็ได้ยกเอาน้ำผึ้งที่กรองดีแล้ว เข้าไปถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้า
พระพุทธองค์เมื่อทรงรับน้ำผึ้งของกุลบุตรแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า “ขออย่าให้น้ำผึ้งของกุลบุตรคนนี้หมดไป ขอให้กุลบุตรคนนี้ได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์ได้ครบทุกรูป ที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้เถิด”

พระภิกษุสงฆ์ที่มารับทานของชาวเมืองในวันนั้น มีประมาณ ๖๘,๐๐๐ รูป ส่วนกุลบุตรก็ได้ถวายทานน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์ พร้อมพระพุทธเจ้าด้วยมือของตนเองครบทุกรูปแล้ว ก็อธิษฐานจิตว่า “ขอให้ทานนี้ จงเป็นทานอันยิ่งใหญ่ เกิดชาติใดภพใดก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีโชคลาภมากกว่าคนทั้งหลาย”

กุลบุตรได้ใส่บาตรด้วยน้ำผึ้งแก่พระภิกษุสงฆ์ครบทุกรูปแล้ว จึงได้ทูลขอพรจาก พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งกุศลทานที่ข้าพระองค์ได้กระทำแล้วในวันนี้ เกิดชาติใดภพใดก็ตาม ขอให้ข้าพระองค์ จงเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายในทางโชคลาภเถิด พระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนาว่า “ขอให้เป็นไปตามที่ท่านปราถนาเถิด”

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กุลบุตรนั้นก็ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอมิได้ขาดจนสิ้นอายุขัย นี้คือบุรพกรรมทีเป็นส่วนดีและไม่ดีของพระสีวลี ที่ได้กระทำเอาไว้ในอดีตชาติ

พระสีวลี อาศัยอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า และพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า “ขอพระนางสุปปวาสาเทวีเจ้า พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นสตรีมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้ออกมาโดยง่ายเถิด”

ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางเจ้าก็อันตรธานหายไป พระนางเจ้าประสูติพระราชโอรสออกมาอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลาย ได้ขนานพระนามพระราชโอรสของ พระนางเจ้าสุปปวาสาเทวีว่า “สีวลีกุมาร”

เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงได้บอกความประสงค์ของตนแก่พระสวามีให้ไปกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ให้มารับมหาทาน พร้อมด้วยอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน

ในวันถวายมหาทานนั้น เจ้าสีวลีกุมาร มีพระวรกายแข็งแรงดุจพระกุมารผู้มีอายุได้ ๗ ปี ได้ช่วยพระราชบิดา และพระราชมารดาจัดแจงกิจการต่างๆ

วันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระสารีบุตรมหาเถระ ได้สนทนากับเจ้าสีวลีกุมาร แล้วชักชวนให้ออกผนวช

เจ้าสีวลีกุมาร ผู้มีพระจิตน้อมไปในการผนวชอยู่แล้ว เมื่อพระมหาเถระชักชวน จึงกราบทูลขอพระราชานุญาตจากพระราชบิดาและพระราชมารดา

เมื่อได้รับพระราชานุญาตแล้ว จึงติดตามพระมหาเถระ ไปยังอารามพระสารีบุตรมหาเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจะปัญจกะกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่
๑. เกสา (ผม)
๒. โลมา (ขน)
๓. นขา (เล็บ)
๔. ทันตา (ฟัน)
๕. ตโจ (หนัง)

ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ ว่าเป็นของไม่งามเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ เจ้าสีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนลงบนศีรษะเพื่อปลงเกสา

ครั้งแรกนั้นท่านก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อปลงผมเสร็จแล้ว ท่านได้ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าท่านเป็นพระพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกอื่นๆ อีกด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อพระองค์ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จเดินทางไกลที่กันดาร ถ้ามีพระสีวลีร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูป ไปเยี่ยมพระเรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า “ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัยเลย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”

พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า” พระอานนท์กราบทูล

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงเดินไปในทางลัดไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยเรื่องอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลี ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกเขา เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลีนั้นด้วย”

พระสีวลีมหาเถระ ได้รับการยกย่องในทางเป็นผู้มีลาภมาก เพราะอำนาจบุญกุศลที่พระสีวลีได้ถวายน้ำผึ้งให้เป็นทาน ในสมัยของ "พระวิปัสสสีพุทธเจ้า" เอาไว้ในอดีตชาติ ด้วยบุญกุศลนี้เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยโชคลาภสักการะ โดยมีเทพยดา, นาค, ครุฑ, และมนุษย์ทั้งหลาย นำเครื่องอุปโภคและบริโภคมาถวายโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใดๆ ในป่า, ในบ้าน, ในน้ำ, หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงได้ทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัท ตรัสยกย่องท่านอยู่ในตำแหน่ง "เอตะทัคคะ" เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้มีโชคลาภมาก
นับว่าท่านพระสีวลีมหาเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการพระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลา แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
คำอาราธนา พระสีวลี
บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
หมีงงในพงหญ้า 0 2639 กระทู้ล่าสุด 03 สิงหาคม 2553 23:57:47
โดย หมีงงในพงหญ้า
พระเถระชีวิตพิสดาร (พระสีวลี พระสังกัจจายน์ และ พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม)
เกร็ดศาสนา
Kimleng 0 8160 กระทู้ล่าสุด 06 สิงหาคม 2556 14:33:31
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.437 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 24 กุมภาพันธ์ 2567 01:05:49