สมเด็จพระญาณสังวรฯ เมื่อครั้งทรงเป็นพระราชาคณะ
ที่พระโศภณคณาภรณ์
สัญญา สติ ปัญญา (
สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
สัญญา คือความจำ เป็นอนัตตา คือไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ ปรารถนาให้จำไว้ก็ไม่จำปรารถนาให้ลืมก็ไม่ลืม ปรารถนาไม่ให้จำก็จำ ปรารถนาไม่ให้ลืมก็ไม่ลืม และความจำที่เป็นสัญญาก็เป็นความจำตรงไปตรงมาทั้งสิ้ นทั้งเรื่อง ไม่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผล
ดังนั้นสัญญาจึงต้องประกอบ
พร้อมด้วยสติ เพราะ สติเป็นความระลึกได้ที่ประกอบพร้อมด้วยเหตุและผล สติไม่ได้เป็นความจำแบบสัญญา ความจำ คือสัญญานั้น
แม้จะตั้งใจรักษาไว้ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ต้องลืม แต่สติความระลึกได้นั้น เมื่อตั้งสติไว้ รู้เรื่องพร้อมกับรู้เหตุรู้ผล ก็จะมีสติอยู่ได้เหตุการณ์ทั้งหลายที่ประสบพบผ่านแม้ นาน เมื่อมีสติระลึกได้ ก็จะระลึกได้พร้อมทั้งเหตุทั้งผลทั้งปวงสัญญา ความ จำกับสติความระลึกได้มีความแตกต่างกันที่สำคัญอย่างยิ่ง
ในเรื่องเดียวกันสัญญาอาจเป็นคุณ แต่ก็อาจเป็นโทษ ส่วนสติเป็นแต่คุณไม่เป็นโทษ ความพยายามมีสติระลึกรู้จึงเป็นความถูกต้องและเป็นไป ได้ยิ่งกว่าพยายามจดจำ ด้วยสัญญา.
ความจำที่เป็นสัญญานั้น มีผิดเพราะมีลืมและมีโทษ เพราะไม่ประกอบพร้อมด้วยเหตุผลความรู้ถูกรู้ผิด โทษของสัญญาคือความไม่สงบแห่งจิตแตกต่างจากความไม่ลืมมีสติระลึกได้ ซึ่งประกอบพร้อมด้วยเหตุผลความรู้ถูกรู้ผิด
อันเป็นปัญญา ปัญญานั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณ มีแต่นำไปสู่ความสงบแห่งทุกข์ความสงบแห่งจิตและจิตยิ่งสงบเพียงใด ยิ่งตั้งมั่นเพียงนั้น ปัญญายิ่งสว่างรุ่งโรจน์
มีพลังเพียงนั้น
: แสงส่องใจ ตุลาคม ๒๕๓๖
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ขอบคุณลานธรรมจักร
น้องฝน (rain....) :
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,562.0.htmlอนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ