[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 03:19:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๐๖ สุวัณณสามชาดก : พระสุวรรณสาม  (อ่าน 148 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5436


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2566 14:29:39 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๐๖ สุวัณณสามชาดก
พระสุวรรณสาม

         มีเรื่องเล่าไว้ในอดีตกาลว่า มีนายพรานสองคนเป็นสหายรักใคร่กันมาก ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านพราน ตั้งบ้านเรือนอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำ
          เมื่อสมัยหนุ่มๆ สองสหายได้สัญญากันไว้ว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย ก็จะให้แต่งงานกัน
          ครั้นอยู่ๆ มา ภรรยาของนายพรานแห่งหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำข้างนี้ ได้คลอดลูกชายออกมา ตั้งชื่อให้ว่า ทุกูล ที่ตั้งชื่ออย่างนั้นเพราะในเวลาเกิด พวกญาติๆ ได้รองรับด้วยผ้าทุกูล
          ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ภรรยาของนายพรานแห่งหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำข้างโน้น ก็ได้คลอดลูกสาวออกมา ตั้งชื่อให้ว่า ปาริกา ที่ตั้งชื่ออย่างนั้น เพราะเกิดฝั่งโน้น
          เมื่อแรกเกิดทารกทั้งสองมีผิวพรรณงามนัก ครั้นเจริญวัยขึ้น รูปร่างหน้าตาก็ยิ่งงามยิ่งสวยเป็นทวีคูณ เด็กหญิงและเด็กชายสองคน แม้จะเป็นลูกพราน พ่อแม่ฆ่าสัตว์ไม่เว้นแต่ละวัน แต่เด็กๆ ทั้งสองไม่เคยเข้าร่วมช่วยพ่อแม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
          เมื่อทุกูลกุมารมีอายุได้ ๑๖ ปี พ่อแม่ก็เตรียมจะหาหญิงมาให้แต่งงานด้วย แต่ทุกูลปฏิเสธ เพราะไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงาน แม้พ่อแม่จะพูดถึงเรื่องการมีครอบครัวอีกหลายครั้ง เขายังคงยืนกรานปฏิเสธเหมือนเดิม
          ฝ่ายปาริกากุมารี ซึ่งตอนนั้นมีอายุได้ ๑๖ ปีเช่นกัน ก็ถูกพ่อแม่รบเร้าจะให้มีสามีเหมือนกัน แต่ปาริการ้องห้ามไว้ อย่าได้พูดเรื่องนี้กันอีก เพราะเธอไม่อยากแต่งงาน
          การที่ทุกูลกุมารกับปาริกากุมารีไม่ปรารถนาจะมีคู่ครอง เพราะทั้งสองคิดตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่าจะประพฤติพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต
          ต่อมาชายหนุ่มหญิงสาวรู้ว่าจะถูกพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจับแต่งงานแบบคลุมถุงชน ทั้งสองจึงเขียนจดหมายลับส่งถึงกันและกัน มีใจความตรงกันว่า “ถ้าเธออยากแต่งงานมีครอบครัวละก็ จงไปแต่งกับคนอื่นเถิด เพราะฉันไม่อยากมีครอบครัว”
          ชายหนุ่มหญิงสาวมองไม่เห็นว่าการแต่งงานมันจะมีความสุขที่ตรงไหน จะกลับสร้างทุกขภัยให้แก่ชีวิตมากกว่า แต่แม้ทั้งสองจะมีความคิดตรงกันดังนั้น ก็ไม่วายจะถูกพ่อแม่จับแต่งงานกันจนได้ แม้จะแต่งงานเป็นผัวเมียกันแล้ว แต่ทั้งสองก็งดเว้นจากเมถุนธรรม ไม่มีเรื่องของผัวๆ เมียๆ หนุ่มสาวอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง อย่างเพื่อน อยู่ด้วยกันอย่างพรหมสององค์ ไม่มีการฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ ไม่มีการขายปลา ขายเนื้อ ทำตัวต่างจากพ่อแม่ ญาติมิตร
          วันหนึ่งบิดามารดาพูดกับนายทุกูลว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเกิดในตระกูลนายพราน แต่ไม่อยากอยู่ครองเรือน ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วจะทำอะไร จะอยู่กันอย่างไร”
          นายทุกูลบอกกับพ่อและแม่ว่า “ถ้าพ่อกับแม่ไม่ขัดข้อง ผมก็จะขออนุญาตออกบวชเป็นฤๅษีชีไพรหาความสงบในอยู่ในป่า”
          บิดามารดารู้ว่าลูกชายกับลูกสะใภ้ไม่อยากอยู่ครองเรือน คิดจะออกบวชอยู่ท่าเดียว อยู่ในตระกูลพราน แต่ไม่ฆ่าสัตว์ แล้วจะทำอะไรอย่างอื่นได้ ดังนั้นจึงอนุญาตแต่โดยดี
          เมื่อบิดามารดาอนุญาตให้บวชได้ ทุกูลกับปาริกาจึงดีใจมาก จัดแจงของจำเป็นส่วนตัวเล็กน้อย ไหว้บิดามารดาแล้วพากันออกจากบ้าน เดินทางไปยังป่าหิมพานต์ ทางฝั่งแม่น้ำคงคา ผ่านแม่น้ำนั้นแล้ว ตรงไปยังแม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาแต่ป่าหิมพานต์ ทั้งสองเดินไปมาอยู่ในบริเวณสักพักหนึ่ง ก็พบอาศรมร้างอยู่หลังหนึ่งจึงพากันเข้าไป ภายในอาศรมมีเครื่องบริขารของนักบวชอยู่ครบครัน และของยังใหม่ๆ อยู่ เข้าใจว่าคงเป็นของผู้มีจิตศรัทธาที่จัดหามาเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่ต้องการจะบวช
          เมื่อโอกาสเหมาะเจาะดีเช่นนี้ ทั้งสองจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าของผู้ครองเรือน แล้วนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้สีแดงแทน โดยนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง บนบ่าพาดด้วยหนังเสือ สวมศีรษะด้วยชฎา  ฝ่ายผู้ชายเรียกว่า ฤๅษี ฝ่ายผู้หญิงเรียกว่า ฤๅษิณี   พระฤๅษีกับฤๅษิณีเจริญเมตตาพรหมวิหารอยู่ในอาศรมอย่างมีความสุข
          บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นและบริเวณใกล้เคียง ต่างก็มีเมตตาต่อกัน ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของนักบวชทั้งสองนั้น พวกมันไม่เบียดเบียนกัน ไม่รังแกกัน เที่ยวหากินด้วยกันอย่างมีความสุขในแต่ละวัน พระฤๅษีจะออกหาผลไม้แต่เช้าตรู่ ส่วนฤๅษิณีก็จะอยู่ทำความสะอาดอาศรม กวาดบริเวณ เตรียมน้ำดื่มไว้รอท่า  เมื่อพระฤๅษีนำผลไม้มาแล้ว ก็เจริญสมณธรรม คือ เมตตาภาวนา แผ่เมตตา ความรักความปรารถนาดีไมตรีจิตให้สัตว์ทั้งปวงมีความสุขโดยทั่วหน้ากัน ทำจิตใจให้มีความผาสุกสำราญ ปลอดจากอารมณ์เดือดร้อนรำคาญทั้งสิ้นทั้งปวง
          อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์บนสวรรค์ได้มองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตว่า พระฤๅษีและฤๅษิณีจะตาบอดกันทั้งหมด ทั้งนี้เพราะกรรมเก่าตามทัน จึงเสด็จลงจากเทวโลกเข้าไปหานักบวชทั้งสอง บอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคตให้ฟัง และบอกว่าท่านทั้งสองจำเป็นจะต้องมีบุตรไว้สักคนหนึ่ง เพื่อจะได้ช่วยดูแลในยามที่ท่านทั้งสองต้องตาบอดมองไม่เห็น ซึ่งจะต้องได้รับความลำบากในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก
          พระฤๅษีถามพระอินทร์ว่า “ท่านจะให้อาตมาทำอย่างไร ในเมื่ออาตมาทั้งสองเป็นนักบวช ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเมถุนธรรมอย่างชาวโลกอีกแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง แล้วจะให้อาตมาต้องมาเสพเมถุนอีก จะไม่เป็นที่เสียหายแก่การประพฤติพรหมจรรย์หรอกหรือ”
          พระอินทร์ตรัสว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องทำถึงอย่างนั้น เพียงแต่เอามือลูบท้องของปาริกาฤๅษิณีเวลาที่นางมีระดู พร้อมกับตั้งสัตยาอธิษฐานก็พอแล้ว”
          พระฤๅษีฟังเช่นนั้นก็รับว่า “โอ! ถ้าเพียงแค่นี้ละก็ อาตมาทำได้”
          ต่อมาเมื่อปาริกาฤๅษิณีมีระดู พระฤๅษีทุกูลก็เอามือไปลูบท้องของนาง แล้วตั้งสัตยาอธิษฐานขอให้คนดีมาเกิด  จากนั้นเทวดาตนหนึ่งที่สิ้นอายุบนสวรรค์แล้วก็จุติจากเทวโลกลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางปาริกาฤๅษิณี  ครั้นผ่านไปได้ ๑๐ เดือน นางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ผิวพรรณของทารกน้อยเปล่งปลั่งดังทองคำธรรมชาติ  ดังนั้น พระฤๅษีและฤๅษิณีจึงตั้งชื่อให้ว่า สุวรรณสาม แปลว่า ทองคำ
          เมื่อทารกน้อยเติบโตขึ้นแล้ว ก็จะมีบางวันที่ฤๅษิณีจะออกไปช่วยพระฤๅษีหาผลไม้ เหง้าไม้ และหัวเผือกหัวมันในป่า วันนั้น เมื่อมารดาบิดาได้อาบน้ำสุวรรณสามให้ดื่มนมแล้ว ก็ให้นอนหลับ แล้วจึงพากันออกไป ช่วงเวลานั้นเหล่านางกินรีที่อาศัยอยู่บนภูเขาก็จะพากันเหาะบินมาทำหน้าที่เป็นนางนมแวดล้อมดูแลมิให้สัตว์หรือสิ่งใดๆ มาทำอันตรายหรือรบกวนทารกน้อยได้
          ตอนกลางวันพวกนางกินรีก็จะพาไปอาบน้ำที่ซอกเขา อุ้มพาขึ้นไปบนยอดเขา นำดอกไม้นานาพรรณมาประดับประดา นำเอาดาลหินอ่อนฝนกับแผ่นหิน ประพรมตามเนื้อตัวร่างกายแล้วก็นำส่งอาศรม เมื่อนางปาริกากลับมาจากป่า ก็รีบให้น้ำนมแก่กุมารทันที  บิดามารดาได้ดูแลทะนุถนอมกุมารมาอย่างดี โดยมีเหล่ากินรีร่วมด้วยช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง จนสุวรรณสามมีอายุได้ ๑๖ ปี
          เช้าวันหนึ่งระหว่างที่บิดามารดาพากันไปหาผลไม้ในป่า สุวรรณสามก็เกิดความคิดว่าการที่บิดามารดาออกไปอย่างนั้นถ้าเกิดอันตรายขึ้น เราจะช่วยได้อย่างไรทันท่วงที อย่ากระนั้นเลย เราควรสังเกตดูทางที่ท่านทั้งสองออกไปหาผลไม้จะดีกว่า หากมีอันตรายเกิดขึ้นจะได้ให้ความช่วยเหลือได้ทันการณ์
          ต่อมาเมื่อบิดามารดาช่วยกันหาบคอนผลไม้มาจากป่าในเวลาเย็น ครั้นเดินมาถึงกลางทาง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาศรมมากนัก ฝนก็ได้ตั้งเค้าขึ้นและได้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ ทั้งสองต้องรีบเข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ติดกับจอมปลวก และในจอมปลวกนั้นมีอสรพิษอาศัยอยู่  ขณะยืนพักนั่งพักอยู่ น้ำฝนผสมน้ำเหงื่อของท่านทั้งสองได้ไหลลงไปในรูของอสรพิษ อสรพิษได้กลิ่นเหงื่อไคลของมนุษย์ ก็โกรธพ่นพิษถูกตาของพระฤๅษีและฤๅษิณี ทำให้ทั้งสองท่านตาบอดทั้งสองข้างในทันที
          เมื่อดวงตามืดมิดมองไม่เห็นอะไร ทั้งสองคนจึงร้องไห้คร่ำครวญว่าชีวิตของเราจบสิ้นเพียงแค่นี้แล้ว ต่างก็เดินออกจากต้นไม้นั้น เดินคลำหาทางข้างโน้นข้างนี้ จึงไปได้ไม่ไกลนัก ยังคงอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้นนั่นเอง
          เหตุที่บิดามารดาของสุวรรณสามต้องมาตาบอดพร้อมกัน เพราะอกุศลกรรมในอดีตชาติที่เคยทำมาด้วยกันตามให้ผล คือ เมื่อชาติก่อน ฤๅษีได้มีอาชีพเป็นหมอ ส่วนฤๅษิณีก็เป็นภรรยาของหมอ
          คราวหนึ่ง คุณหมอได้ไปรักษาตาให้คนไข้รายหนึ่งซึ่งเป็นโรคตา แต่พอรักษาหายเป็นปกติแล้ว คนไข้ซึ่งแม้จะเป็นคนร่ำรวยมากก็ไม่ยอมจ่ายค่ารักษา คุณหมอจึงปรึกษากับภรรยาว่าเราจะทำอย่างไรดีกับคนไข้รายนี้ที่เรารักษาตาจนหายดีแล้วก็ยังไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้เรา ภรรยาฟังสามีกล่าวเช่นนั้นก็โกรธจัด จึงแนะนำสามีว่า เมื่อเขาไม่ยอมจ่ายเราก็อย่าไปเอา แต่พี่จงปรุงยาขึ้นมาขนานหนึ่ง เอาชนิดที่แรงที่สุด ทำยาหยอดตาของมันให้บอดไปเสียเลย คุณหมอเห็นด้วยกับภรรยา จึงปรุงยาแรงชนิดหนึ่งขึ้นมา แล้วนำไปให้คนไข้หยอดตาต่อไป โดยบอกว่า “ตาของท่านยังไม่หายดี อาจจะกำเริบขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ จึงควรใช้ยานี้ตักรากเสีย หยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะหายขาดทันที”
          พอคนไข้รับยาไว้แล้ว คุณหมอก็เดินทางกลับบ้าน  
          ฝ่ายคนไข้รับยาไว้ด้วยความคิดว่ายาของเขาแน่จริงๆ แล้วนอนลง หยอดยาใส่ตา ๒-๓ หยด หลับตาลงนอนพักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหลับผล็อยไป ตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่าตาบอดสนิททั้งสองข้าง มองไม่เห็นอะไรเลย ด้วยผลแห่งกรรมชั่วที่ทำไว้ในครั้งนั้น ได้ส่งผลมาทันในชาตินี้ ทั้งสองจึงตาบอดสนิทพร้อมๆ กัน
          ฝ่ายสุวรรณสามเห็นบิดามารดาไปหาผลไม้นานผิดสังเกตจึงออกเดินตามหา ตะโกนกู่ก้องร้องเรียกหาบิดามารดาไปตลอดทาง บิดามารดาจำเสียงสุวรรณสามได้ จึงกู่รับในทันที  สุวรรณสามวิ่งไปตามเสียงกู่รับ สักพักหนึ่งก็ไปถึงที่ที่บิดามารดากำลังคลำหาทางอยู่ จึงตรงเข้าไปหา พอรู้ว่าลูกกำลังมาเข้าใกล้ บิดามารดาก็ร้องห้ามว่า “ลูกอย่าเข้ามาในบริเวณนี้มีแต่อันตราย”
          สุวรรณสามฉวยได้ไม้ ๒ อัน จึงยื่นส่งให้ท่านทั้งสองพร้อมกับกล่าวว่า “คุณพ่อคุณแม่จับปลายไม้นี้ไว้ให้ดีนะครับ”
          บิดามารดาจับไม้เท้าได้ก็เดินเข้าหาสุวรรณสาม
          สุวรรณสามรู้แล้วว่าท่านทั้งสองตาบอดจึงถามขึ้น “ทำไมคุณพ่อกับคุณแม่จึงตาบอดเล่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นรึ?”
          ทั้งสองเล่าให้สุวรรณสามฟังว่า “เมื่อตอนฝนตก พ่อกับแม่ได้ไปยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างจอมปลวกโน้น แล้วอยู่ๆ ก็ตาบอดขึ้นมา มองอะไรไม่เห็นเลย”
          สุวรรณสามฟังเช่นนั้น สังเกตดูจอมปลวกก็รู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงถูกงูพ่นพิษใส่ ตาถึงได้บอดเช่นนั้น จึงได้ร้องไห้โฮออกมา แต่แล้วสักครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมาสลับกันไป บิดามารดาเกิดความสงสัยจึงถามว่า “ลูกเอ๋ย! ทำไมเจ้าร้องไห้แล้วหัวเราะเล่า เจ้าเป็นอะไรไปรึ?”
          สุวรรณสามตอบว่า “ที่ลูกร้องไห้ ก็เพราะเสียใจที่พ่อแม่ต้องมาตาบอดในขณะที่ลูกยังเด็กอยู่ แต่ที่ลูกหัวเราะออกมา ก็เพราะดีใจที่ลูกจะได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ เพื่อตอบแทนบุญคุณบ้างในคราวนี้ คุณพ่อคุณแม่อย่าได้คิดวิตกกังวลอะไรไปเลย ลูกจะคอยเอาใจใส่ดูแลให้มีความผาสุกสำราญทั้งหมดและขอให้เบาใจได้”
          สุวรรณสามปลอบโยนบิดามารดาให้สบายใจแล้ว ก็พาท่านทั้งสองเดินทางกลับอาศรม
          ครั้นถึงอาศรมแล้ว ก็หาเชือกมาผูกเป็นราวไว้รอบๆ อาศรม เส้นหนึ่งโยงที่พักกลางคืน เส้นหนึ่งโยงไปที่พักกลางวัน เส้นหนึ่งโยงไปที่เดินจงกรม เส้นหนึ่งโยงไปที่บรรณศาลา เส้นหนึ่งโยงไปที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ พอทำเสร็จแล้ว สุวรรณสามก็ให้บิดามารดาฝึกเดินไปยังที่ต่างๆ ให้เกิดความเคยชิน บอกให้ท่านทั้งสองสบายใจได้ เพราะเขาจะคอยดูแลพ่อแม่ให้อยู่ดีมีสุข ให้มีความสะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง
          บิดามารดาฟังสุวรรณสามแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ แต่ก็อดสงสารลูกไม่ได้ที่ต้องมารับภาระเลี้ยงดูพ่อในขณะที่ยังเป็นเด็กอยู่ สุวรรณสามได้เอาใจใส่ดูแลบิดามารดาอย่างใกล้ชิด
          เช้าตรู่จะเข้าไปจัดเก็บที่นอนของบิดามารดาให้เรียบร้อย ทำความสะอาดอาศรมและบริเวณรอบๆ จากนั้นก็นำผลไม้ไปให้บริโภค เมื่อพ่อแม่บริโภคเสร็จ ตนจึงบริโภคภายหลัง
          ช่วงสาย สุวรรณสามจะเข้าป่าเก็บผลไม้มาไว้ให้บิดามารดาได้บริโภคในตอนเย็นและเช้ารุ่งขึ้น ในเวลาที่สุวรรณสามออกไปหาผลไม้ จะมีเหล่ากินรีคอยติดตามไปช่วยด้วย ในขณะที่สัตว์ป่าทั้งหลายก็เดินตามไปเป็นขบวน บรรดานกก็พากันบินว่อนอยู่เหนือศีรษะ
          ช่วงเย็น สุวรรณสามกลับจากไปหาผลไม้ ก็ไปตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตามาไว้สำหรับดี่มกิน ชะล้างและอาบ จากนั้นตกเย็นก็อาบน้ำให้บิดามารดาและจัดผลไม้ให้บริโภคทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น สุวรรณสามจะคอยนั่งอยู่ใกล้ๆ บิดามารดา เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือ คอยดูว่าบิดามารดาชอบผลไม้อะไรบ้าง จะได้หยิบส่งเพิ่มเติมให้อีก ทั้งสามพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีทุกข์อันใดมาแผ้วพานแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพราะสุวรรณสามทำหน้าที่ของลูกได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีอันใดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
          สุวรรณสามถือเป็นวันรุ่นตัวอย่างที่มีใจเปี่ยมด้วยความกตัญญูกตเวทีตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเพียงอายุ ๑๖ ปี เขาก็ตั้งมั่นในกตัญญูกตเวทีแล้ว ไม่ได้คิดถึงเรื่องเที่ยวเตร่เฮฮาหาความสนุกสนานอย่างวัยรุ่นทั่วๆ ไป วัยรุ่นทั้งหลายจึงควรถือเอาสุวรรณสามเป็นบุคคลในดวงใจที่ควรเอาเยี่ยงอย่างปฏิบัติตาม
          สุวรรณสามนั้นถือธรรมประพฤติธรรมปฏิบัติตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เมื่อเติบโตขึ้นเขาจึงดำรงธรรมอย่างคงเส้นคงวา ไม่พลิกผันเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างวัยรุ่นสมัยนี้  ดังนั้น ตลอดชีวิตเขาจึงไม่ได้ทำผิดพลาดอะไรเลย ไม่ผิดต่อตัวเอง ไม่ผิดต่อพ่อแม่
          คุณธรรมอีกอย่างหนึ่งที่มีอยู่ประจำใจของสุวรรณสามนอกเหนือไปจากเมตตาก็คือความกตัญญู เพราะสุวรรณสามนั้นเลี้ยงดูพ่อแม่จนตลอดชีวิต
          จะกล่าวถึงพระราชาพระองค์อนึ่ง พระนามว่า ปิลยักขราช หรือพระเจ้าปิลยักษ์ กษัตริย์เมืองพาราณสี
          วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่าออกล่าสัตว์เพียงลำพังพระองค์เดียว เพื่อจะเอาเนื้อสัตว์มาเสวยให้สำราญพระทัย เมื่อมอบหมายการปกครองดูแลพระนครให้แก่พระชนนีแล้ว ก็ผูกสอดเครื่องราชาวุธ ๕ อย่าง แล้วเสด็จเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ทรงไล่ล่าฆ่าเนื้อได้ก็ปิ้งเสวยอย่างมีความสุข จากนั้นก็เสด็จไปที่แม่น้ำมิคสัมมตา ได้ถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามเคยมาตักน้ำไปอาบบิดามารดาเป็นประจำ ได้ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเนื้อเต็มไปหมด จึงเอากิ่งไม้มาทำซุ้มประทับนั่ง แอบซุ่มอยู่ในนั้นเพื่อคอยยิงสัตว์ที่จะมาดื่มน้ำ
          เย็นวันนั้น สุวรรณสามก็ได้ออกไปตักน้ำตามปกติ โดยมีฝูงสัตว์นานาชนิดแวดล้อมไปเป็นขบวน ขณะนั้นพระเจ้าปิลยักษ์ซึ่งแอบซุ่มอยู่ในซุ้มทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสามเดินมาท่ามกลางฝูงสัตว์นานาชนิดก็ทรงสงสัยว่าท่านผู้นี้จะเป็นใครกัน จะเป็นเทวดาหรือนาคหนอ เพราะเท่าที่เสด็จผ่านมายังไม่พบเห็นมนุษย์สักคนเดียว ทรงอยากรู้จักเป็นนักหนา อยากจะร้องถามว่าเป็นใครกัน ก็เกรงไปว่าถ้าเป็นเทวดาก็จะเหาะหนีไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคก็จะดำดินไปเสีย แต่เราเองก็ไม่อาจจะท่องเที่ยวอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ได้ตลอดไป จำจะต้องกลับพาราณสี ถ้าพวกขุนนางอำมาตย์ถามเราถึงการมาเที่ยวในป่าหิมพานต์ว่าได้เห็นสัตว์แปลกประหลาดอะไรบ้าง ถ้าเราตอบว่าเห็น พวกเขาก็ซักไซร้ว่าสัตว์ที่ว่านั้นชื่ออะไร ถ้าเราตอบว่าไม่ได้ก็จะถูกพวกเขาติเตียนเอาได้ ในที่สุด พระเจ้าปิลยักษ์จึงตัดสินพระทัยว่า เราจะยิงสัตว์ประหลาดนี้ให้อ่อนกำลังลงก่อนจึงค่อยไต่ถามเอาความในภายหลัง
          ขณะนั้น สุวรรณสามได้เดินมาถึงท่าน้ำ โดยที่บรรดาฝูงสัตว์ซึ่งมาถึงก่อนได้ลงดื่มน้ำแล้วขึ้นมาริมฝั่งยืนคอยสุวรรณสามอยู่ จากนั้นสุวรรณสามจึงลงอาบน้ำ ครั้นอาบน้ำเสร็จแล้ว สุวรรณสามก็ขึ้นจากน้ำ นุ่งผ้าเปลือกไม้สีแดงแล้วห่มอีกผืนหนึ่ง พาดหนังเสือเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง เอาหม้อตักน้ำ ยกหม้อน้ำขึ้นเช็ดน้ำ แล้วแบกด้วยบ่าซ้าย เตรียมจะกลับอาศรม
          พระเจ้าปิลยักษ์ก็ทรงดำริว่า เราควรจะยิงในตอนนี้แหละ แล้วก็ยกธนูอาบยาพิษขึ้นจ้องเล็งไปที่ลำตัวของสุวรรณสาม พอได้จังหวะพอดีก็ยิงออกไป ถูกสีข้างข้างขวาของสุวรรณสามแล้วทะลุออกข้างซ้าย
          บรรดาฝูงสัตว์ครั้นทราบว่าเธอถูกยิง ต่างก็ตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเข้าป่าไปหมด
          สุวรรณสามเมื่อรู้ตัวว่าถูกยิงก็ไม่ปล่อยสติ เขาตั้งสติได้เร็ว ค่อยๆ ประคองหม้อน้ำวางลงบนพื้นทราย เอนกายนอนหันศีรษะไปทางทิศที่บิดามารดาอยู่บนพื้นทรายที่มีสีดุจแผ่นหินคล้ายกับรูปหล่อทองคำ คุมสติให้แน่วแน่แล้วประกาศว่า “ในป่าหิมพานต์นี้ ไม่เห็นมีใครที่จะเป็นเวรกับเราหรือกับบิดามารดาของเรา”
          แล้วก็สำรอกโลหิตออกมาจากปาก พลางร้องถามว่า “ใครหนอมายิงเราซึ่งประมาทขาดสติเจริญเมตตาขณะกำลังแบกหม้อน้ำ กษัตริย์ พราหมณ์ หรือแพศย์คนไหนยิงเราแล้วก็แอบซ่อนตัวอยู่ เนื้อของเราก็กินไม่ได้ หนังของเราก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไฉนจึงยิงเราได้ เพราะเหตุไรหนอ ท่านเป็นใคร ท่านเป็นลูกเต้าของใคร เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร แน่ะ สหาย เราถามท่านแล้วจงบอกเราเถิด ยิงเราแล้วแล้วจึงซ่อนตัวอยู่อีก” พูดได้เท่านั้นก็ฟุบแน่นิ่งไป
          พระเจ้าปิลยักษ์ทรงแปลกพระทัยเมื่อได้ยินคำสุภาพอ่อนหวานของสุวรรณสาม จึงทรงดำริว่า “ท่านผู้นี้ถูกเรายิงด้วยธนูอาบยาพิษจนล้มลงแล้ว ไม่แสดงความโกรธเคืองเราสักนิด ไม่ด่าไม่ตัดพ้อเรา กลับเรียกหาเราด้วยถ้อยคำที่สุภาพอ่อนหวานรื่นหู จับจิตจับใจเหลือเกิน เราจะเข้าไปหา” แล้วก็เสด็จไปประทับยืนอยู่ข้างๆ สุวรรณสาม พร้อมกับตรัสว่า “พ่อหนุ่ม! เราเป็นพระราชาแคว้นกาสี มีชื่อว่าปิลยักขราช เรามอบหมายการดูแลบ้านเมืองให้อยู่ในอำนาจของพระชนนี แล้วก็ออกจากแว่นแคว้นมาล่าสัตว์ในป่านี้แต่เพียงผู้เดียว เราเป็นนักแม่นธนู ผู้คนที่จะไปชมพูทวีปต่างรู้จักเราว่าเป็นนักแม่นธนูมือหนึ่ง”
          พระราชาหยุดนิดหนึ่งแล้วตรัสถามว่า “เป็นลูกเต้าของใคร เราอยากจะรู้จักเหลือเกิน”
          สุวรรณสามคิดว่า ถ้าเราจะทูลว่าเราเป็นเทวดา นาค ยักษ์ กินนร หรือกษัตริย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง พระราชาก็คงจะเชื่อเราเป็นแน่ แต่เราจะทูลแต่ความจริงเท่านั้น คิดดังนั้นแล้วก็กราบทูลว่า
          “ทรงพระเจริญ! ข้าพระองค์เป็นบุตรของพระฤๅษี ชื่อว่า สุวรรณสาม วันนี้ข้าพระองค์นอนอยู่บนปากเหวแห่งมรณะ ข้าพระองค์ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษเหมือนกับพวกเนื้อถูกพรานป่ายิง ขอพระองค์จงทอดพระเนตรดูข้าพระองค์ที่นอนจมอยู่ในกองเลือด เชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูลูกศรที่แล่นข้างขวาทะลุออกทางซ้าย ข้าพระองค์นอนกระสับกระส่ายในปากก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ต้องคอยบ้วนออกอยู่สมอ
          ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์ทำไม ธรรมดาว่าคนฆ่าเสือเหลืองก็เพราะอยากได้หนัง ฆ่าช้างก็เพราะต้องการงา เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ยิงข้าพระองค์เพราะต้องการอะไร?”
          พระเจ้าปิลยักษ์ฟังเสียงแหบพร่าของสุวรรณสามก็ทรงรู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่กล้าตรัสความจริง ได้ตรัสความเท็จว่า “พ่อสุวรรณสาม! เรามาเที่ยวป่าก็เพื่อล่าสัตว์เอามาย่างกิน พอเราได้พบเนื้อที่นี่ก็ตั้งใจจะยิงให้ได้สักตัว แต่ก็ยิงไม่ได้ เพราะพ่อหนุ่มเดินมา ทำให้พวกเนื้อเหล่านั้นหนีไปหมด เราจึงโกรธและยิงออกมาอย่างนี้”
          สุวรรณสามฟังแล้วก็รู้ว่าที่พระราชาตรัสนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว จึงทูลขึ้นทันทีว่า “พระองค์ตรัสอะไรเช่นนั้น ฝูงเนื้อในป่าหิมพานต์นี้เมื่อเห็นข้าพระองค์แล้วหนีไปยังไม่เคยมี เพราะพวกเราคุ้นเคยกันจนไว้ใจกันและกันได้    จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จักแยกแยะผิดถูก ฝูงสัตว์ในป่าที่แม้จะดุร้ายก็ไม่เคยสะดุ้งกลัวข้าพระองค์  อย่าว่าแต่สัตว์เหล่านั้นเลย แม้แต่พวกกินรีที่ขี้ขลาดตาขาวที่อาศัยอยู่ขนเขาคันธมาทน์นี้ พวกเขาเห็นข้าพระองค์แล้วก็ยังสะดุ้งกลัว พวกเราต่างชื่นชมไว้ใจกันและกัน เดินทางมาระหว่างป่ากับภูเขาได้อย่างปลอดภัย เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเนื้อทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ไปทำไม”
          พระเจ้าปิลยักษ์ทรงดำริว่า เรายิงสุวรรณสามผู้ไร้ความผิด แล้วยังจะกล่าวมุสาอีก ไม่เป็นการสมควร เราควรจะบอกความจริงเสียดีกว่า แล้วก็ตรัสว่า “พ่อสุวรรณสาม! จริงอย่างที่เจ้าพูด พวกเนื้อทั้งหลายเห็นเจ้าแล้วไม่ได้ตกใจกลัวแม้แต่น้อย เรากล่าวเท็จกับเจ้า ที่จริงเรายิงเจ้าก็เพราะอยากจะยิง แต่พอเห็นเจ้าแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ จะเป็นเทวดาหรือนาคก็ไม่รู้ได้ ครั้นจะส่งเสียงถามไถ่ก็เกรงจะหนีไปเสียก่อน จึงตัดสินใจยิงก่อนแล้วค่อยถาม แล้วเจ้าล่ะอาศัยอยู่ที่ไหนกับใคร ใครใช้ให้เจ้ามาตักน้ำที่นี้หรือ”
สุวรรณสามสะกดกลั้นทุกขเวทนาเป็นอันมาก บ้วนโลหิตสดๆ ออกจากปากแล้วทูลว่า “บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอดกันหมดทั้งสองคน ข้าพระองค์เลี้ยงดูท่านทั้งสองอยู่ในป่าใหญ่ ที่ข้าพระองค์มาที่แม่น้ำมิคสัมมตานี้ ก็เพื่อมาตักน้ำไปอาบท่านทั้งสองนั่นแหละ”
          กราบทูลดังนั้นแล้ว ก็บ่นรำพึงรำพันออกมาว่า “โอ! อาหารยังพอมีให้คุณพ่อคุณแม่กินได้อีกสัก ๖ วัน แต่ท่านทั้งสองตามืดบอด เกรงว่าจะต้องตายเสียก่อนเพราะไม่มีน้ำจะดื่ม  ความทุกข์เราที่ถูกยิงด้วยลูกศรนี้ แม้จะเป็นทุกข์มากแต่ก็เป็นเรื่องธรรมที่เกิดมาเป็นคนอาจต้องประสบทุกข์อย่างนี้บ้าง แต่ความทุกข์ที่เราไม่ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่นั้น เป็นความทุกข์ยิ่งกว่า ที่สำคัญคุณพ่อกับคุณแม่ เมื่อไม่เห็นเราก็จะร้องเรียกหาตลอดทั้งคืน เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานรับก็จะโศกาอาดูร (โศกเศร้า) จนใจแทบขาดทีเดียว เราเคยนวดเฟ้นมือเท้าให้ท่าน ต่อไปนี้คงจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว”
          พอรำพันจบก็สะกดกลั้นความเจ็บปวดกายและใจเอาไว้อย่างเต็มที่ แม้เลือดจะไหลออกจากบาดแผลไม่หยุดหย่อน คอแห้งผาก เรี่ยวแรงถอยถดลดลงไปมากแล้ว แต่สุวรรณสามก็ยังข่มตาไว้ไม่ให้หลับ ไม่ปล่อยสติ กลับควบคุมสติไว้ได้อยู่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง
          พระราชาฟังเสียงคร่ำครวญรำพันของสุวรรณสามก็ทรงร้อนพระทัย คิดขึ้นมาว่า สุวรรณสามเป็นผู้มีความกตัญญูต่อบิดามารดายิ่งนัก ขนาดว่าถูกธนูได้รับความทุกข์หนักถึงปางตายก็ยังไม่วายคิดถึงบิดามารดา ไม่คิดถึงความทุกข์ของตนเองแม้แต่น้อย เรานี้ได้ทำบาปหนักนักหนาแล้ว เพราะทำผิดต่อผู้มีคุณธรรม เราควรจะปลอบใจเขาอย่างไรดีหนอ ถ้าความผิดครั้งนี้ถึงกับทำให้เราต้องตกนรก ราชสมบัติก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้ากระนั้นเราจะอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพ่อแม่ของสุวรรณสามให้ดีเท่าที่เขาได้ทำมา การตายของสุวรรณสามจะไม่เปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน แล้วก็ตรัสปลอบสุวรรณสามว่า
          “พ่อสุวรรณสาม! ขอให้เจ้าจงเบาใจเถิด อย่าได้ร้องไห้ร่ำไรมากเลย เราจะรับเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนอย่างที่เจ้าเคยทำมา พ่อสุวรรณสาม! ตอนนี้บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ป่าไหนเราจะไปเลี้ยงดูท่าน คอยเฝ้ารับใช้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”
          สุวรรณสามฟังพระราชาตรัสรับผิดชอบเช่นนั้นก็ดีใจ จึงกราบทูลว่า “ดีแล้วพระเจ้าข้า! พระองค์โปรดทรงเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ของข้าพระองค์ด้วยเถิด เหนือหัวนอนของข้าพระองค์ไป จะมีทางเดินเล็กๆ อยู่ทางหนึ่ง จากทางนี้ไปประมาณกึ่งเสียงกู่ ก็จะถึงอาศรมซึ่งเป็นที่อยู่ของบิดามารดาของข้าพระองค์ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเลี้ยงดูท่านทั้งสองเถิดพระเจ้าข้า”
          ครั้นกราบทูลดังนั้นแล้ว สุวรรณสามก็สะกดกลั้นทุกขเวทนาอันสาหัสไว้ด้วยกำลังความรักที่มีต่อบิดามารดาอย่างสุดซึ้ง ประคองมืออันสั่นเทายกขึ้นพนมทูลวิงวอนพระเจ้าปิลยักษ์ให้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้ว่าจะเลี้ยงดูบิดามารดาให้อย่างดี เขากล่าวด้วยเสียงอ่อนล้าใกล้หมดแรงเต็มทีว่า “ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ข้าพระราชาผู้สร้างความเจริญให้แก่ชาวกาสี ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ขอพระองค์จงโปรดเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอดของข้าพระองค์ในป่าใหญ่ให้มีความผาสุก ข้าพระองค์ขอกราบถวายบังคม ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกท่านทั้งสองว่าข้าพระองค์ขอกราบเท้า” สุวรรณสามยกมือพนมแล้วกราบลงพื้น จากนั้นก็สลบแน่นิ่งไป
          พระเจ้าปิลยักษ์ทอดพระเนตรเห็นสุวรรณสามมีอาการแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ปากปิด ตาหลับ ก็ตกพระทัย จึงตรวจดูลมหายใจเข้าออก ปรากฏว่าไม่มีลมหายใจเข้าออกอีกต่อไปแล้ว มือเท้าเนื้อตัวแข็ง ก็ทราบชัดว่าบัดนี้สุวรรณสามสิ้นลมแล้ว จึงเศร้าโศกพระทัยอย่างใหญ่หลวง ยกสองพระหัตถ์ขึ้นกุมพระเศียร (เอามือกุมหัว) แล้วทรงพระกันแสงคร่ำครวญด้วยเสียงอันดังที่หลงไปฆ่าคนดีเสียได้
          “โอ! เราหลงผิดคิดไปว่าจะไม่แก่ไม่ตาย แต่ตอนนี้เราได้มาเห็นจริงกับตาตัวเอง เพราะได้เห็นสุวรรณสามสิ้นลมหายใจมาหยกๆ การที่ความตายจะไม่มาถึงนั้นเป็นไม่มี สุวรรณสามถูกลูกศรอาบยาพิษ ยังพูดกับเราได้ แต่ตอนนี้ไม่พูดอะไรออกมาอีกแล้ว เราจะต้องไปตกนรกอย่างแน่นอน เราไม่มีความสงสัยในข้อนี้เลย เพราะสิ่งที่เราทำนั้นบาปหยาบช้านัก แม้ตอนยังไม่ตาย เราก็จะได้คำติเตียนจากประชาชน โอ! เราทำกรรมหนักจริงหนอ”

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5436


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2566 14:39:43 »


ท้าวกบิลยักษ์เจ้าเมืองพาราณสีออกล่าสัตว์ เห็นสุวรรณสามมาตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตา 
คิดว่าไม่ใช่มนุษย์จึงแผลงศรใส่ สุวรรณสาม


พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๐๖ สุวัณณสามชาดก
พระสุวรรณสาม

         ในครั้งนั้น ยังมีนางเทพธิดานามว่า พสุนธรี สถิตอาศัยอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ เคยเป็นมารดาของสุวรรรณสามมาในอดีตชาติ โดยปกตินางจะนึกถึงสุวรรณสามอยู่เนืองนิตย์ และคอยหาหนทางช่วยเหลือเสมอ แต่ในวันที่สุวรรณสามถูกยิงนั้น นางไปร่วมประชุมอยู่ในเทวสมาคม ครั้นกลับมาริมฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา ตอนนี้พระราชาทรงกันแสงอย่างหนัก นางรู้ว่าถ้านางไม่ไปที่นั่น สุวรรณสามบุตรที่รักจักต้องตายอยู่ในที่นั้นอย่างแน่นอน ทั้งพระราชาก็จะเศร้าโศกเสียพระทัยจนถึงกับเสด็จสวรรคตทีเดียว แล้วบิดามารดาของสุวรรณสามก็จะขาดอาหาร ไม่มีน้ำจะดื่ม ในที่สุดก็จะซูบผอมตายไป แต่ถ้าเราไปแล้ว พระราชาก็จะถือหม้อน้ำไปหาบิดามารดาของสุวรรณสามที่อาศรม ครั้นไปถึงแล้วก็จะแจ้งให้ทั้งสองทราบว่า พระองค์ได้ฆ่าสุวรรณสามตายเสียแล้ว พระองค์จะถูกรบเร้าให้พาไปหาสุวรรณสาม เมื่อพบสุวรรณสามแล้ว พวกเขากับเราก็จะตั้งสัตยาธิษฐาน พิษลูกศรก็จะผ่อนคลายบรรเทาลง ลูกของเราก็จะรอดชีวิตคืนมา  บิดามารดาของลูกเขาก็จะหายตาบอด พระราชาจะได้สดับคำสั่งสอนของสุวรรณสาม เพราะฉะนั้นเราจะไปที่นั้น คิดดังนั้นแล้ว นางเทพธิดาก็เหาะไปในอากาศโดยไม่ปรากฏกายเลย มุ่งตรงไปที่ฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกล่าวปราศรัยกับพระราชาด้วยหวังจะอนุเคราะห์ว่า
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงทำผิดอย่างใหญ่หลวงนัก พระองค์ได้ทำบาปกรรมอันชั่วช้าที่ได้ฆ่าสุวรรณสาม บิดามารดาสุวรรณสามก็จะพลอยสิ้นชีวิตไปด้วย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตรและขาดอาหาร เท่ากับพระองค์ได้ฆ่าคนทั้งสามเสียด้วยลูกศรดอกเดียวกัน มาเถิดพระราชา เชิญพระองค์เสด็จมาเถิด ข้าพเจ้าจะถวายโอวาทเพื่อช่วยพระองค์พ้นจากนรกแล้วไปสู่สวรรค์  
          ขอให้พระองค์จงทรงเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอดของสุวรรณสามในป่า ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเหมือนกับที่สุวรรณสามเคยเลี้ยงดูมา ทำได้อย่างนี้พระองค์ก็จะได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน”
          พระราชาได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นตัวผู้สั่งสอน ก็ทรงรู้สึกกลัวครั่นคร้าม แต่พอนึกถึงคำสั่งสอนตอนท้ายที่บอกว่าจะพ้นนรกและไปสวรรค์ได้ด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดาแทนสุวรรณสามก็ดีพระทัย หายห่วงว่าจะไม่ต้องตกนรกแน่แล้ว ทั้งยังจะได้ไปสวรรค์อีกด้วย จึงทรงหาดอกไม้มาบูชาร่างของสุวรรณสาม ประพรมด้วยน้ำเย็นใสสะอาด ทำประทักษิณคือเดินเวียนขวาอันเป็นการแสดงความเคารพ ๓ รอบ กราบสุวรรณสามแล้วยกหม้อน้ำขึ้นแบกรีบเสด็จไปยังอาศรมทันที
          เมื่อพระเจ้าปิลยักษ์เสด็จไปถึงอาศรม ตอนนั้นพระฤๅษีทุกูลนั่งอยู่ในอาศรม  พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินทาง พระฤๅษีก็จำได้ว่านี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของลูกชายเป็นแน่ เพราะเสียงฝีเท้านี้หนักมาก จึงร้องถามว่า “นั่นใครมา คงจะไม่ใช่สุวรรณสามหรอกนะ เพราะสุวรรณสามเดินเบากว่านี้มาก แต่เสียงเดินนี้หนักมาก ท่านเป็นใครกัน มาหาเราด้วยธุระอะไรหรือ?”
          พระราชาฟังแล้วก็ทรงดำริว่า ถ้าเราไม่บอกความจริงว่าเราเป็นพระราชา บอกแต่เพียงว่าเราฆ่าลูกชายของท่านเสียแล้ว ท่านทั้งสองก็จะโกรธเอา ด่าว่ากล่าวคำหยาบใส่เรา ถึงตอนนั้นเราก็จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ อาจจะเข้าไปทำร้ายท่านทั้งสองเอาก็ได้ แล้วบาปกรรมก็จะตกแก่เรา แต่ถ้าเราบอกว่าเราเป็นพระราชา ทั้งสองอาจเกรงกลัวเรา แล้วจะไม่กล้าพูดจาอะไรรุนแรงกับเรา จึงตรัสขึ้น
          “เราเป็นพระราชาของชาวกาสี มีชื่อว่าพระเจ้าปิลยักษ์ เราจากแว่นแคว้นมาเที่ยวไล่ล่าหาเนื้อในป่านี้”
          พระฤๅษีเมื่อทราบว่าเป็นพระราชา ก็ออกมาหน้าอาศรมกราบถวายบังคม นำผลไม้มาต้อนรับ แล้วทุกูลฤๅษีก็ทูลว่า “พระมหาบพิตร! พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาแต่ไกลก็เหมือนใกล้ อาตมาเชิญมหาบพิตรเสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่ มีทั้งมะพลับ มะหาด มะซาง และหมากเม่า ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ผลดีๆ เถิด พระเจ้าข้า  และนี่คือน้ำเย็นที่ตักมาแต่แม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ขอเชิญพระองค์เสวยตามพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่”
          พระราชาได้รับการต้อนรับอย่างนี้แล้ว ก็ทรงคิดว่าเรายังไม่ควรบอกเรื่องที่เราฆ่าสุวรรณสามตาย ควรทำเป็นไม่รู้เรื่อง พูดอะไรต่อมิอะไรไปก่อน แล้วจึงค่อยบอกทีหลัง  จึงตรัสว่า “ท่านทั้งสองตาบอดกันหมด มองไม่เห็นอะไร แล้วใครหาผลไม้เหล่านี้มาเลี้ยงท่านได้ ผลไม้น้อยใหญ่มากมายที่วางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยนี้ คงมีคนตาดีจัดหามาให้ได้เป็นแน่”
          พระฤๅษีทุกูลทูลว่า “มหาบพิตร! สุวรรณสามลูกชายรูปร่างสันทัดงดงาม น่าเอ็นดู มีผมดกดำยาวสวยงามมาก เพราะปลายผมงอนช้อนขึ้น เขาเป็นคนนำผลไม้มา ตอนนี้ถือหม้อไปตักน้ำที่แม่น้ำ ป่านนี้คงอยู่ระหว่างเดินทางกลับ”
          พระราชาเห็นว่าคงได้เวลาที่จะบอกความจริงแล้ว จึงตรัสว่า “สุวรรณสาม ลูกชายที่น่ารักของท่านทั้งสอง ถูกลูกศรของเรานอนตายจมกองเลือดอยู่บนหาดทรายที่ท่าน้ำนั้น”
          พอได้ยินดังนั้น พระฤๅษีทุกูลก็นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าถอดสี แสดงอาการซึมเศร้าออกมาทันที  นางปาริกาฤๅษีซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ นั้น พอได้ทราบข่าวร้ายว่าสุวรรณสามถูกลูกศรนอนตายจมกองเลือดอยู่ ก็เอ่ยถามพระฤๅษีว่า “ท่านทุกูล! ท่านพูดอยู่กับใคร ใครมาบอกท่านว่าลูกชายของเราถูกลูกศรตายแล้ว ใจของฉันมันหวั่นหวาดแทบจะขาดรอนๆ เพราะได้ยินคำว่าสุวรรณสามถูกฆ่าตายเสียแล้ว กิ่งอ่อนของต้นโพธิ์ถูกลมพัดให้หวั่นไหวฉันใด ใจของข้าก็หวั่นไหวเพราะได้ยินว่าสุวรรณสามถูกฆ่าตายแล้วฉันนั้น ท่านบอกมาเร็วๆ เถิด”
          ทุกูลฤๅษีตั้งสติได้ก็กล่าวปลอบโยนพระฤๅษิณีว่า “ปาริกาเอ๋ย! ท่านผู้นี้พระเจ้ากาสี พระองค์มาบอกเราว่าทรงยิงลูกสุวรรณสามด้วยศร ตอนนี้ลูกนอนจมกองเลือดอยู่ที่หาดทรายที่ท่าน้ำ แต่แม่อย่าได้โกรธเคืองพระองค์เลย จะเป็นบาปเวรไปเปล่า นึกเสียว่ามันเป็นอกุศลกรรมครั้งเก่าของเราและลูกก็แล้วกัน”
          ปาริกากล่าวทั้งสะอื้นว่า “ลูกของเราเป็นคนดีและน่ารักออกอย่างนั้น เขาได้เลี้ยงดูเราอย่างดี ไม่ให้เดือดร้อนแม้แต่สักเล็กน้อย ในเมื่อมันมาฆ่าลูกของเราให้ตายไปอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้โกรธเคืองได้อย่างไรเล่า”
          ทุกูลฤๅษีกล่าวปลอบใจว่า “ปาริกาเอ๋ย! ลูกของเราเป็นคนดีที่หาได้ยากเหลือเกิน แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรโกรธผู้ที่ฆ่าลูกของเรา เหล่าบัณฑิตย่อมสรรเสริญผู้ไม่โกรธคนที่ฆ่าลูกคนเดียวนั้นอย่างพระราชาพระองค์นี้ พระองค์ทรงทำผิดแล้วก็ทรงยอมรับผิด เราอย่าได้โกรธเคืองพระองค์เลย จะตกนรกเอาเปล่าๆ”
          กล่าวดังนั้น ทั้งสองก็ร้องไห้คร่ำครวญจนใจแทบจะขาด ทั้งพระฤๅษีและฤๅษิณีก็ช้อนทรวงด้วยสองมือ พร่ำพรรณนาคุณงามความดีของลูกชายไม่ขาดปากอย่างน่าสงสาร
          พระเจ้าปิลยักษ์เห็นท่านทั้งสองเสียอกเสียใจแล้วก็สะเทือนพระทัย จึงตรัสปลอบโยนว่า “ขอท่านทั้งสองอย่าได้คร่ำครวญหวนไห้ไปมากกว่านี้เลย ข้าพเจ้าได้รับปากสุวรรณสามว่าจะอยู่ดูแลท่านทั้งสองให้ดีที่สุดให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยดูแลมาทีเดียว ขอท่านทั้งสองจงคลายโศกคลายเศร้าเสียเถิด”
          ทุกูลฤๅษีกับปาริกาฤๅษิณีทูลว่า “มหาบพิตรเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้น พระองค์ทรงเป็นพระราชาของอาตมาทั้งสอง พวกอาตมาจึงไม่อาจให้พระองค์มาอยู่ปฏิบัติพวกอาตมา พวกอาตมาจะขออยู่ตามประสายากอย่างนี้พระเจ้าข้า   พระเจ้าปิลยักษ์ได้ทรงฟังเช่นนั้นก็เบาพระทัยที่บิดามารดาของสุวรรณสามไม่เพียงจะไม่โกรธเคืองพระองค์ แต่กลับแสดงความจงรักภักดีเสียอีกด้วย เพื่อแสดงความจริงใจให้ทั้งสองเห็น จึงตรัสว่า “ท่านทั้งสองอย่าถ่อมเนื้อถ่อมตัวเกรงอกเกรงใจไปเลย อย่าคิดว่าข้าพเจ้าเป็นพระราชา แต่จงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นลูกของท่านเหมือนอย่างสุวรรณสามก็แล้วกัน”
          ทั้งสองทูลวิงวอนว่า พระองค์ไม่ต้องมาอยู่ดูแลหรอก ขอเพียงพาทั้งสองไปหาสุวรรณสามก็พอแล้ว จะได้มีโอกาสลูบคลำตัวลูกสักหน่อยเท่านั้น
          พระเจ้าปิลยักษ์ทรงเห็นว่ามืดค่ำแล้ว จึงผัดผ่อนเอาไว้ในวันพรุ่งนี้ แต่ท่านทั้งสองร้อนใจไม่อาจอยู่รอถึงวันพรุ่งนี้ได้ จึงทรงพาไปในคืนนั้นเอง
          เมื่อไปถึงที่แล้วทั้งสองก็ลูบคลำตัวสุวรรณสาม ทุกูลฤๅษีช้อนศีรษะของสุวรรณสามขึ้นเอาไว้บนตัก  ปาริกาฤๅษิณียกเท้าสุวรรณสามขึ้นมาพาดบนตักของตนเช่นกัน แล้วทั้งสองก็ร้องไห้คร่ำครวญ “พ่อสุวรรณสาม! ลูกเอาแต่หลับใหลไม่ได้สติ เจ้าเอาแต่หลับจริงๆ ไม่ยอมพูดจากับพ่อแม่บ้างเลย เจ้าเคลิบเคลิ้มเอามากมายคล้ายกับคนดื่มสุราเข้มข้น เจ้าเคืองใครรึ เจ้านี่ช่างถือตัวไม่ใช่เล่น ดูซิไม่ยอมพูดจาแม้แต่กับพ่อแม่   ลูกเคยบำรุงดูแลพ่อแม่ผู้ตาบอด บัดนี้ลูกมาตายเสียแล้ว ต่อไปนี้ใครเล่าจะคอยทำความสะอาดชฎาที่เปื้อนฝุ่น ใครเล่าจะคอยกวาดถูอาศรมให้สะอาดสะอ้าน ใครจักคอยจัดน้ำเย็นน้ำร้อนให้อาบ ใครจะไปหาผลไม้มาให้พ่อแม่กิน เมื่อสิ้นลูกเสียแล้วพ่อแม่ก็ไม่เห็นมีใครอีก”
          ระหว่างนั้นปาริกาได้ลูบคลำไปบนหน้าอกของสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอุ่นๆ อยู่ คิดว่าลูกชายคงยังไม่ตาย เพียงแค่สลบไสลไปเท่านั้น จึงตั้งสัตยาอธิษฐานกล่าวคำสัตย์ว่า “ลูกสุวรรณสามนี้เป็นผู้ประพฤติธรรมอยู่เนืองนิตย์ เป็นผู้กล่าวแต่คำสัตย์จริง ไม่เคยพูดเท็จ เขาได้เลี้ยงดูบิดามารดามาอย่างดี  มีความเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่ในสกุล เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ด้วยการกล่าวคำสัตย์คำจริงนี้ ขอให้พิษจงหายไป ด้วยผลบุญอย่างใดอย่างหนึ่งที่ลูกสุวรรณสามได้ทำแก่แม่และพ่อ ขออานุภาพบุญกุศลนั้น จงดลบันดาลให้พิษหายสิ้นไป”  พอสิ้นคำแม่ปาริกา สุวรรณสามก็พลิกตัวไปทางขวาแล้วนอนหลับต่อไป พระฤๅษีทุกูลเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงตั้งสัตยาอธิษฐานอย่างนั้นบ้าง พอสิ้นคำพ่อทุกูล สุวรรณสามก็พลิกตัวไปทางซ้ายแล้วนอนหลับต่อไป ฝ่ายเทพธิดาพสุนธรี ได้ตั้งสัตยาอธิษฐานขึ้นว่า “เราอาศัยอยูที่ภูเขาคันธมาทน์มานาน เราไม่เคยรักใครมากเท่าลูกสุวรรณสามนี้เลย ด้วยคำสัตย์คำจริงนี้ ขอให้พิษจงหายไป  พอสิ้นคำเทพธิดา ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้น ๔ อย่างพร้อมๆ กันคือ
          ๑. สุวรรณสามหายเจ็บหายป่วย ลุกขึ้นเดินได้อย่างคนปกติ
          ๒. ดวงตาของบิดามารดาของสุวรรณสามก็หายบอด กลับเห็นเป็นปกติ
´        ๓. ดวงตะวันขึ้นแจ่มจ้า
          ๔. คนทั้งสี่ คือพระเจ้าปิลยักษ์ พระฤๅษีทุกูล  พระฤๅษิณีปาริกา และสุวรรณสามได้ไปปรากฏอยู่ที่อาศรม
          เมื่อตาแจ่มใสมองเห็นดีแล้ว พระฤๅษีกับพระฤๅษิณีเห็นสุวรรณสามหายเป็นปกติดีแล้วก็ดีใจ ตรงเข้าไปโอบกอดอย่างมีความสุข จากนั้นสุวรรณสามได้กล่าวขึ้นว่า “ลูกสุวรรณสาม ขอความสุขความเจริญจงมีแก่พ่อแม่ ตอนนี้ลูกลุกขึ้นได้แล้ว มีความปลอดภัยดี ขอพ่อและแม่อย่าได้คร่ำครวญอีกเลย จงพูดเพราะๆ กับลูกเถิด”
          สุวรรณสามมองไปทางพระราชา แล้วก็ถวายบังคมกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า! พระองค์เสด็จมาดีแล้ว พระองค์เสด็จมาไกลเหมือนใกล้ ขอพระองค์เสวยผลไม้เท่าที่มีอยู่ มีทั้งมะพลับ มะซาง มะหาด และหมากเม่า  ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยแต่ผลดีๆ เถิด  และนี่คือน้ำเย็นที่ตักมาแต่แม่น้ำมิคสัมมตา ซึ่งไหลมาจากซอกเขา ขอเชิญพระองค์เสวยตามพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ดีใจมากที่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่”
          พระเจ้าปิลยักษ์ทรงอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงตรัสขึ้นว่า “เรารู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนมืดไปแปดด้าน เราเห็นสุวรรณสามตายไปกับตา แต่แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ มันยังไงกันหนอ”
          สุวรรณสามคิดในใจว่า พระราชาเข้าใจว่าเราตายไปแล้ว แต่ที่แท้เรายังไม่ตาย เดี๋ยวเราจะประกาศให้พระองค์ทรงทราบว่า ทำไมเราจึงไม่ตาย จึงทูลว่า  “ขอเดชะ! ใครๆ ก็ย่อมเข้าใจว่าคนที่ไม่มีลมหายใจอย่างข้าพระองค์ จะต้องตายอย่างแน่แล้ว แต่บุคคลใดในโลกนี้เลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบธรรม เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมแก้ไขคุ้มครองบุคคลนั้นให้ปลอดภัย บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยชอบธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว เขาย่อมร่าเริงเบิกบานใจอยู่ในสวรรค์”
          พระราชาทรงสดับอย่างนั้นก็ทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ แม้แต่เทวดาทั้งหลายก็ยังช่วยเยียวยาโรคภัยที่เกิดขึ้นแก่ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา พ่อสุวรรณสามนี้ช่างเป็นคนดีและน่ารักเหลือเกิน ทรงดำริฉะนี้แล้วก็ยกพระหัตถ์ขึ้นพนมแล้วตรัสว่า
          “พ่อสุวรรณสาม! เราช่างโง่งมมืดมิดไปทั่วทิศ แต่มาสว่างไสวได้ก็เพราะพ่อนี่แหละ เราจึงขอยึดเอาท่านเป็นสรณะ ขอท่านจงเป็นสรณะของเราด้วยเถิด”
          สุวรรณสามทูลพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช ถ้าพระองค์มีพระประสงค์จะเสด็จไปสวรรค์ มีพระประสงค์จะเสวยทิพยสมบัติใหญ่แล้วละก็ จงประพฤติในทศพิธราชธรรมเถิด ซึ่งข้าพระองค์จะทูลถวายดังต่อไปนี้”
          พระเจ้าปิลยักษ์ทรงแสดงความเคารพและน้อมรับโอวาทด้วยความจริงใจ
          ลำดับนั้น สุวรรณสามจึงถวายโอวาทราชธรรมจรรยาที่เรียกว่า ทศพิธราชธรรมดังต่อไปนี้ “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ทรงประพฤติดี ประพฤติชอบในพระชนก พระชนนี มิตร อำมาตย์ ไพร่พล ชาวบ้าน ชาวเมือง ชาวชนบท สมณพราหมณ์ ฝูงเนื้อและฝูงนกเถิด เมื่อพระองค์ประพฤติชอบประพฤติดีอยู่อย่างนี้ ก็จะได้เสด็จไปสู่สวรรค์อย่างแน่นอน”
          “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระอินทร์ เทวดา พรหม ได้เสวยทิพย์อยู่ในสวรรค์ ก็เพราะธรรมที่ประพฤติดีแล้วชอบแล้วนั่นเอง  ดังนั้น ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
          ครั้นกล่าวโอวาทอย่างนี้แล้ว สุวรรณสามได้ถวายเบญจศีล หรือศีล ๕ ให้พระราชานำไปปฏิบัติ
          พระราชาสมาทานศีล ๕ แล้ว ก็ทรงน้อมให้สุวรรณสามทรงขอขมาโทษแล้วเสด็จกลับกรุงพาราณสี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างยิ่งใหญ่ มีการให้ทานและรักษาศีล ๕ ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมโดยสม่ำเสมอตลอดพระชนมชีพ ครั้นเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์
          ฝ่ายสุวรรณสามได้ปฏิบัติบำรุงดูแลบิดามารดาอย่างดีเยี่ยม ได้บำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอจนสำเร็จอภิญญาและสมาบัติพร้อมๆ กับบิดามารดา เป็นสุขอยู่ในฌานจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลกด้วยกันทั้งสามคน โดยบิดามารดาไปก่อน แล้สุวรรณสามจึงตามไปทีหลัง
   
 
นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้เลี้ยงดูบิดามารดาย่อมมีความสุขความเจริญ”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
โย มาตรํ ปิตรํ วา  มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
อิเธว นํ ปสํสนฺติ  เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ

ผู้ใดเลี้ยงดูมารดาบิดาตามธรรมเนียม
เขาอยู่ในโลกนี้ผู้นั้นคนทั้งปวงก็สรรเสริญ
ตายไปแล้วจะชื่นบานอยู่บนสวรรค์ (๒๘/๑๔๑๙)

ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดย ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๑ กัสสปมันติยชาดก : บิดาชรากับบุตรน้อย
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 635 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 19:58:21
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๒ ติตติรชาดก : ฤๅษีปากจัด
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 553 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 20:02:37
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๓ โสมทัตตชาดก : โสมทัตคนประหม่า
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 581 กระทู้ล่าสุด 06 กุมภาพันธ์ 2564 20:05:57
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๔ ธัมมัทรชาดก : ธรรมธัชบัณฑิต
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 506 กระทู้ล่าสุด 11 มีนาคม 2564 18:33:29
โดย Kimleng
พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๕ อัฏฐิเสนชาดก : ฤๅษีอัฏฐิเสน
ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
Kimleng 0 478 กระทู้ล่าสุด 12 มีนาคม 2564 19:29:23
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.783 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 17 มีนาคม 2567 18:32:54