สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 10-16 ก.ย. 2566
<span class="submitted-by">Submitted on Sat, 2023-09-16 12:39</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p><strong>‘พิพัฒน์’ เดินหน้าดันค่าแรง 400 บาท เล็งถก ครม. 25 ก.ย. ฝั่ง สอท.ห่วงธุรกิจเจ๊ง</strong></p>
<p>เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2566 ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเด็นการผลักดันกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุลประธาน ส.อ.ท. และคณะ ให้การต้อนรับ</p>
<p>นายพิพัฒน์กล่าวว่า ภารกิจของกระทรวงแรงงานมีความสำคัญอย่างมากในการดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้มั่นคง ภาคแรงงานเองจะต้องเข้มแข็ง มีทักษะฝีมือ และมีหลักประกันทางสังคม การหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงานและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม วันนี้เรามีประเด็นต้องหารือทั้งหมด 8 ประเด็น</p>
<p>นายพิพัฒน์กล่าวว่า ประเด็นแรกเกี่ยวกับการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันของไทยกับประเทศคู่แข่ง ประเด็นที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีนำระบบออโตเมชั่นมาใช้ทดแทนกำลังแรงงานที่ขาดแคลน ประเด็นที่ 3 การจัดทำฐานข้อมูล (Big Data) ทันสมัย ถูกต้อง แม่นยำและครบถ้วน เพื่อบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ด้านแรงงาน ประเด็นที่ 4 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน (STEM) ประเด็นที่ 5 การแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้าวทำงานที่คนไทยไม่ทำ (3D) ประเด็นที่ 6 การแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยภายในประเทศ ประเด็นที่ 7 แนวทางเพิ่มรายได้ให้กับแรงงาน และประเด็นสุดท้าย ปรับเพิ่มค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานให้เป็นธรรมระหว่างลูกจ้าง-นายจ้าง</p>
<p>นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผลจากการหารือในครั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการดำเนินการร่วมกันในทางนโยบายจากหลายภาคส่วน กระทรวงแรงงานจะทำตามอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่เป้าหมายสำคัญที่กระทรวงวางเป้าหมายไว้คือการสร้างให้พี่น้องแรงงานมีอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 400 บาท โดยการพัฒนาฝีมือแรงงาน Up Skill Re Skill ให้มีทักษะฝีมือแรงงานชั้นสูงและมีมาตรฐานฝีมือ จะได้รับการจ้างงานที่มีค่าจ้างสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นไปตามกลไกการจ่ายค่าจ้างตามความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน รวมถึงแนวคิดให้มีการจ้างงานรายชั่วโมง ในตอนนี้ยังไม่สามารถประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ทันที แต่จะเร่งหารือทุกฝ่ายเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนโดยคำนึงถึงค่าเงินเฟ้อด้วย “ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่มีน้อยลง เราจะขยายอายุงานบางภาคส่วนได้หรือไม่เป็นเรื่องต้องทำการบ้าน หลังหารือทุกภาคส่วนและได้ข้อสรุปแล้ว กระทรวงแรงงานจะประกาศมอบเป็นนโยบายของขวัญปีใหม่ 2567 ต่อไป” นายพิพัฒน์กล่าว</p>
<p>นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลในเดือนพฤศจิกายนนี้ อยากให้ยึดมติคณะกรรมการไตรภาคี โดยค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันนั้นอยากให้พิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน การขึ้นราคาเดียว 400 บาทต่อวัน หรือขึ้น 19-20% อาจทำให้หลายอุตสาหกรรมกระทบหนักจากต้นทุนที่กระชากแรง เพราะปัจจุบันจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมมีประมาณ 20 อุตสาหกรรมจ่ายไม่สูงเพราะใช้แรงงานเข้มข้น และยังมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทั่วประเทศกว่า 3 ล้านคน ที่เหลือจ่ายเกิน 400 บาทต่อวัน บางอุตสาหกรรมถึง 800 บาทต่อวันแต่ยังหาแรงงานยาก ดังนั้นการปรับค่าจ้างต้องสอดรับศักยภาพแรงงาน และความสามารถของผู้ประกอบการ</p>
<p>“วิธีปรับขึ้นค่าจ้างที่เหมาะสมคือ การขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อแต่ละปี หรือจะขึ้นตามต้นทุนเงินเฟ้อบวกเอ็กซ์ และปัจจุบันประสิทธิภาพแรงงานไทยในกลุ่มอาเซียน ยังไม่เทียบเท่าเวียดนามและอินโดนีเซีย เนื่องจากยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ได้เต็มที่ ดังนั้นไทยควรรีบเร่งเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานไทย ให้แข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ เพราะต้องทำงานเป็นปาท่องโก๋ อุตสาหกรรมจะเติบโตได้ ต้องมีกระทรวงแรงงานคอยสนับสนุน” นายเกรียงไกรกล่าว</p>
<p>นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธาน ส.อ.ท.และประธานสายงานแรงงาน กล่าวว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเป็นไปตามอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีที่แต่ละจังหวัดร่วมพิจารณาสอดคล้องกับปัจจัยเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ จีดีพี ความเดือดร้อนของลูกจ้าง ความสามารถการจ่ายของนายจ้าง และผลิตภาพแรงงาน ควรปราศจากการแทรกแซงจากหน่วยงานภายนอก และปัจจุบันนายจ้างไม่ได้จ่ายแบบเหมารวม แต่จ่ายตามทักษะ เพื่อความเป็นธรรมกับแรงงานที่มีประสบการณ์</p>
<p>รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังจากการหารือ กระทรวงแรงงานย้ำว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนภายในปี 2567 โดยจะหารือในรายละเอียดทั้งในส่วนของแรงงานไทยและแรงงานเพื่อนบ้าน เพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 25 กันยายนนี้ ขณะที่ ส.อ.ท.ประเมินว่าเมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ ตลอดจนเงินเฟ้อแล้วการปรับค่าจ้างขั้นต่ำน่าจะอยู่ระดับ 3-4% เท่านั้น</p>
<p>
ที่มา: มติชนออนไลน์, 16/9/2566</p>
<p><strong>‘พิพัฒน์ ’ให้นโยบาย 8 ข้อ ยกระดับกระทรวงแรงงานเร่งปรับค่าจ้าง 400 บาทสนองข้อสั่งการนายก</strong></p>
<p>14 ก.ย. 2566 ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เป็นประธานประชุมมอบนโยบายปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนงานกระทรวงแรงงาน มีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงร่วมประชุม โดยมีนโยบายสำคัญที่จะผลักดันในปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” 8 ข้อ คือ 1.พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานชั้นสูงรองรับการจ่ายค่าจ้างตามความสามารารถ 2.เร่ง Up-Skill ทักษะฝีมือแรงงานเพื่อการมีงานทำ รองรับเศรษฐกิจใหม่ 3.ใช้ระบบ One Stop Service บริหารการทำงานของแรงงานต่างด้าวครบจบที่จุดเดียว 4. เพิ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 5.ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุขแรงงาน (Micro Finance) 6.กองทุนมั่นคง แรงงานมั่งคั่ง ประกันสังคมยั่งยืน 7.ประกันสังคมยุคใหม่ สร้างความมั่นคง เพิ่มความมั่นใจ (Best E-Service) และ 8.สร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงาน</p>
<p>นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จะขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านแรงงานที่นายกฯ แถลงต่อสภาเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. โดยจะนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท นายกฯ ไม่ได้กำหนดในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา แต่เป็นการหาเสียงของพรรคการเมืองว่าค่าจ้างในปี 2570 ต้องไปถึง 600 บาท แต่ในการแถลงของนายกฯ ต้องเอา 400 บาท มาเป็นตัวตั้งต้นในปี 2567 จึงต้องสนองโดยจะต้องหารือกับทั้งฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายรัฐก่อน อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 จะเป็นการปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานไปก่อนทุกสาขา จะต้องได้ไม่ต่ำกว่า 400 บาท สำหรับค่าจ้างขั้นต่ำ จะเป็นไปตามระบบไตรภาคี ถ้าอยู่ครบ 4 ปี 600 บาทถึงแน่นอน</p>
<p>นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการยกระดับฝีมือแรงงานนั้น จะทำทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงานที่จะส่งไปต่างประเทศนั้น ต้องมีการพัฒนาฝีมือให้ตรงความต้องการระเทศต้นทาง เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งตนหวังว่าจะมาช่วยสร้างสมดุลเรื่องรายได้เกี่ยวกับแรงงาน เพราะปัจจุบันเรามีแรงงานต่างด้าว กว่า 4 ล้านคน ทำรายได้กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ใช้จ่ายเงินในประเทศไทยเพียงเล็กน้อย ที่เหลือส่งกลับประเทศต้นทาง ทำให้เรายังขาดดุลตรงนี้ราวๆ 3 แสนล้านบาท จึงตั้งเป้าให้มีการส่งแรงงานไทยมีฝีมือไปทำงานต่างประเทศ ตั้งเป้าให้สร้างรายได้ไม่น้อยไปกว่า 3 แสนล้านบาท หรือมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการพัฒนาฝีมือแรงแรงงานผู้ลี้ภัยให้มีงานทำด้วย </p>
<p>นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากยังเตรียมหารือปลัดกระทรวงแรงงาน เลขาธิการประกันสังคม และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาช่องทางเพิ่มผลกำไรให้กับกองทุนประกันสังคม จากปัจจุบัน 2.4 ล้านล้านบาท ปีที่แล้วมีกำไร 7 หมื่นล้านบาท ปี 2566 คาดว่าจะมีกำไร 6 หมื่นล้านบาท แต่ต้นตั้งเป้าให้ได้มากกว่านี้ ราวๆ ปีละ 5% หรือ 1.2 แสนล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังมีแนวคิดที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ประกันตนที่เป็นหนี้นอกระบบ ให้มีการนำเงินกองทุนฯ ส่วนหนึ่ง มาให้ผู้ประกันตนยืมไปจ่ายหนี้นอกระบบ รายละ 5 หมื่นบาท แล้วให้นายจ้างหักจากเงินเดือน ส่งคืนประกันสังคม อย่างไรก็ตาม ยังต้องหารือในข้อกฎหมายก่อน</p>
<p>ในวันเดียวกันนี้ นายพิพัฒน์ ยังได้เปิดเผยถึงสเปกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่ แทนนายบุญชอบ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ว่า ตนยืนยันชัดเจนว่าไม่นิยมแต่งตั้งคนข้ามห้วย ตนต้องการให้คนในกระทรวงได้เติบโต อีกทั้ง คนในกระทรวงเอง ซึ่งเป็นคนที่ทำงานมานาน มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านแรงงาน กฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถที่จะเริ่มงานได้เลย ไม่ต้องมานับหนึ่งใหม่ อย่างตนก็เป็นคนมาใหม่ ยังต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน</p>
<p>ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า ในส่วนของการฝึกทักษะฝีมือผู้ลี้ภัยนั้น อาจจะเริ่มต้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และมีการกำหนดพื้นที่ให้สามารถทำงานได้ ไม่ได้อนุญาตให้เดินทางไปทำงานได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย</p>
<p>
ที่มา: เดลินิวส์, 14/9/2566</p>
<p><strong>โฆษกรัฐบาล ระบุรับเงินเดือน 2 งวดต่อเดือน เป็นทางเลือกให้ข้าราชการ</strong></p>
<p>นายชัย วัชรรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ นโยบายแบ่งจ่ายเงินเดือน 2 งวด มาจากแนวคิด ของข้าราชการจำนวนหนึ่ง ที่มองว่าการจ่ายเงินเดือนเต็มในช่วงสิ้นเดือน ทำให้หมุนเงินไม่ทัน ขอให้รัฐบาลจ่ายกลางเดือน 50% เพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งเมื่อรัฐบาลคำนวณแล้วมีข้อเสีย 2 ข้อคือ กรมบัญชีกลางต้องหาวิธีสร้างระเบียบใหม่ และ รัฐบาลต้องนำเงินเดือนครึ่งหนึ่งมาจ่ายเร็วขึ้น 15 วัน แต่หากทำให้ข้าราชการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงออกมาเป็นนโยบาย แต่ถ้ามีข้าราชการคนใดไม่เห็นด้วยก็จะให้เลือกได้ว่าจะรับเงินเดือนกี่งวด ยืนยันการจ่ายเงินเดือน 2 งวดต่อเดือน ไม่ได้ทำให้ได้เงินน้อยลง และไม่กระทบการจ่ายหนี้</p>
<p>
ที่มา: MCOT News FM 100.5, 14/9/2566</p>
<p><strong>ครู-ตำรวจ ไม่เห็นด้วย แบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ลั่นเกาไม่ถูกที่คัน กระทบทั้งระบบ แนะขึ้นเงินเดือน หาแหล่งเงินกู้ให้ครูรวมหนี้ไว้ที่เดียว</strong></p>
<p>วันที่ 13 ก.ย. 2566 นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะเปลี่ยนการจ่ายเงินข้าราชการจากเดือนละ 1 รอบ เป็น 2 รอบ คาดว่าจะเริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2567 ว่า ตนไม่เห็นด้วย มองว่า ข้าราชการทุกคนควรมีสิทธิและเสรีภาพที่จะได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน ไม่ใช่เป็นการแบ่งจ่าย 2 รอบ มองว่าเป็นการเอาปัญหาของข้าราชการบางคนมากระทบกับข้าราชการทุกคน ซึ่งจะส่งผลกระทบภาพรวมทั้งระบบ</p>
<p>นายรัชชัยย์ กล่าวต่อว่า หากจ่ายเงินเดือน 2 รอบจริง มองว่าจะเป็นการสร้างภาระ สร้างความปั่นป่วนให้ข้าราชการอย่างมาก เป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน เกาจนเป็นแผล สิ่งที่รัฐบาลสามารถช่วยเหลือข้าราชการทั้งระบบ คือเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ สถาบันการเงินต่างๆ ให้ลดดอกเบี้ย หรืออาจจะพักชำระหนี้ โดยการพักชำระหนี้จะต้องไม่คิดดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมาแม้จะบอกว่าช่วยเหลือโดยการพักชำระหนี้ แต่สถาบันการเงินก็ยังเก็บดอกเบี้ยอยู่ ทำให้เงินต้นก็ไม่ลด แถมดอกเบี้ยยังพุ่งทะยานอีก</p>
<p>นายรัชชัยย์ กล่าวอีกว่า ถ้าแบ่งจ่ายเงินเดือน 2 รอบ จะกระทบทั้งระบบ ที่ผ่านมาครูเป็นหนี้จำนวนมาก รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือโดยออกกฎหมายบังคับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู เก็บดอกเบี้ยไม่เกิน 3-3.5% เป็นต้น หรือ รัฐบาลอาจจะหาแหล่งเงินกู้ ให้ครูสามารถกู้ยืม เพื่อรวมหนี้สินไว้ที่เดียวกันทั้งหมด โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี สามารถกำหนดได้เลยว่าจะต้องหักจากเงินเดือนครู เชื่อว่ารัฐบาลจะหาแหล่งให้ครูกู้เงินเพื่อเคลียร์หนี้สินได้แน่นอน หากรัฐบาลเป็นผู้รับรองกับสถาบันการเงินนั้นๆ</p>
<p>ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับชั้นประทวนรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ไม่ค่อยจะเห็นด้วย เพราะตามปกติทุกเดือน ตำรวจชั้นผู้น้อยมีหนี้สินที่จะต้องถูกหักจากเงินกู้ของสหกรณ์ฯ อยู่แล้ว เงินเดือนที่ออกมาจะได้รับไม่เต็มจำนวน เมื่อออกเดือนละ 2 ครั้งก็จะทำให้จัดการค่าใช้จ่ายต่อเดือนยากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเห็นว่าแบบเดิมนั้นสะดวกดีอยู่แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ปรับขึ้นเงินเดือน เพื่อให้เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจจะดีกว่า เพราะตอนนี้ข้าวของของสินค้าแพงมาก</p>
<p>
ที่มา: ข่าวสด, 13/9/2566</p>
<p>มติ ครม.นัดแรก เคาะปรับจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 รอบ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2567</p>
<p>13 ก.ย. 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยได้กล่าวถึงมาตรการต่างๆ ที่อนุมัติในวันนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน ทั้งลดค่าไฟฟ้า จาก 4.45 บาท เหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มในรอบบินเดือน ก.ย.นี้เป็นต้นไป ลดราคาน้ำมันดีเซล ลดให้ราคาต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยจะเริ่มได้ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ รวมถึงการพักหนี้เกษตรกร</p>
<p>ทั้งนี้เรื่องกระแสเงินสดในกระเป๋าของทุกคนว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยรัฐบาลได้เปลี่ยนการจ่ายเงินข้าราชการจากเดิมเดือนละ 1 รอบ เป็นเดือนละ 2 รอบ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2567 ส่วนตัวรายละเอียดนั้นจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งเนื่องจากมีการแก้ไขระบบหลายๆ อย่างจึงไม่สามารถดำเนินการได้เลยในทันที</p>
<p>โดยเหตุผลของการปรับเปลี่ยนนั้นเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้มากพอสมควร ถ้ามีการจ่ายเงิน 2 รอบ จะได้ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องรอคอยสิ้นเดือนก็จะมีเงินแบ่งจ่ายออกมา</p>
<p>สำหรับการจ่ายเงินเดือนข้าราชการในปัจจุบันกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ประกาศปฏิทินการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ค่าจ้างลูกจ้างประจำ ซึ่งมีการจ่ายเดือนละ 1 รอบ ในปี 2566 นี้ 4 เดือนที่เหลือ ตั้งแต่เดือน ก.ย.-ธ.ค. วันจ่ายเงินเดือนข้าราชการและค่าจ้างลูกจ้างประจำ เป็นดังนี้</p>
<p>เดือนกันยายน 2566 เงินเข้าบัญชี 26 ก.ย.2566</p>
<p>เดือนตุลาคม 2566 เงินเข้าบัญชี 26 ต.ค.2566</p>
<p>เดือนพฤศจิกายน 2566 เงินเข้าบัญชี 27 พ.ย.2566</p>
<p>เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าบัญชี 26 ธ.ค.2566</p>
<p>
ที่มา: Thai PBS, 13/9/2566</p>
<p><strong>ศอ.บต. เร่งหารือแก้ปัญหาแรงงานไทยในร้านต้มยำกุ้ง ประเทศมาเลเซีย จัดทำข้อเสนอให้รัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบาย</strong></p>
<p>คณะผู้บริหาร ศอ.บต.ลงพื้นที่รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย เร่งหารือการแก้ปัญหาแรงงานไทยในร้านต้มยำกุ้งพร้อมจัดทำข้อเสนอให้รัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายการแก้ไขปัญหาแรงงานไทยให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว</p>
<p>ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำโดย นายวิสันติ์ ประเสริฐศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (กระทรวงแรงงาน) ลงพื้นที่ไปยังรัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นประธานเปิดกิจกรรมสานสัมพันธ์ประจำปีเครือข่ายต้มยำกุ้ง และการแข่งขันฟุตซอลไทยมาเลย์คัพ 2023 ณ มะละกาสปอร์ตคอมเพล็กซ์ (kompleks sukan melaka) โดยเครือข่ายต้มยำกุ้งมาเลเซีย ร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบการ และแรงงานในต้มยำกุ้งกับหน่วยงานงานราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี นางเปรมวดี สันหนู ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (กระทรวงพาณิชย์) น.ส.กนกรัตน์ พงษ์ธัญญะวิริยา ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) นาวาเอก จักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ตลอดจน นายโจฮารี บินอาหมัด ประธานชมรม Ukhuwah (เป็นเครือข่ายต้มยำกุ้งเครือข่ายใหญ่) และผู้ประกอบการ รวมถึงแรงงานไทยที่ทำงานในร้านต้มยำกุ้ง แต่ละรัฐ จำนวน 13 รัฐ เข้าร่วมจำนวนมาก</p>
<p>สำหรับบรรยากาศเป็นอย่างคึกคัก มีผู้เข้าร่วมแข่งขันจำนวน 23 ทีม จาก 13 รัฐ โดยเริ่มเปิดการแข่งขันด้วยการให้ประธานในพิธี พร้อมด้วย นายกสมาคมต้มยำกุ้งมามาเลเซีย และผู้ประกอบการร้านอาหาร ยิงลูกบอลเข้าสู่ประตู ก่อนจะเริ่มเปิดการแข่งขันด้วยคู่นัดพิเศษ ระหว่างผู้บริหาร ศอ.บต. กับผู้ประกอบการร้านต้มยำกุ้ง ซึ่งผลการแข่งขันเสมอกัน 2 ประตูต่อ 2</p>
<p>จากนั้น คณะฯ เดินทางไปยังร้านอาหาร Sha BB Home Food & Beverage ซึ่งอยู่ในรัฐมะละกา เพื่อร่วมรับประทานอาหารค่ำ พร้อมร่วมประชุม Focus Group กับตัวแทนร้านอาหารแต่ละรัฐ จำนวน 13 รัฐ ที่มาร่วมกิจกรรมสานสัมพันธ์ประจำปี เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเครือข่ายผู้ประกอบการร้านอาหาร “ต้มยำกุ้ง” เพื่อการจัดทำข้อเสนอให้รัฐบาลเพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายการแก้ไขปัญหา โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การแก้ไขให้ร้านค้าให้สามารถประกอบกิจการได้ถูกต้องตามกฎหมายการแก้ไขให้แรงงานไทยสามารถเข้าไปทำงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายร้านอาหารเพื่อบริหารจัดการ ร้านอาหารในเครือข่าย แรงงานในเครือข่าย รวมทั้งการจัดตั้งบริษัทหรือสหกรณ์เพื่อดำเนินกิจการของเครือข่ายเป็นต้น</p>
<p>นายวิสันติ์ ประเสริฐศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า การลงมาเยี่ยมในครั้งนี้ สืบเนื่องด้วย นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการ ศอ.บต. เร่งให้ผู้บริหารของ ศอ.บต. ประกอบด้วย ผู้เลขาธิการ ศอ.บต. จากกระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นกระทรวงที่สำคัญในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาของผู้ประกอบการและแรงงานไทยที่มาสร้างอาชีพในประเทศมาเลเซีย ซึ่งที่ผ่านมาทาง ศอ.บต. ได้ทราบว่าในจำนวนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหา คือการอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน เช่น การออก pasport การออก work permit เพื่อการประกอบธุรกิจในประเทศมาเลเซียและแรงงานที่เดินทางไปทํางานในร้านอาหาร และทางรัฐบาล โดย ศอ.บต. ให้ความสำคัญเรื่องดังกล่าวเพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถเข้ามาทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป</p>
<p>
ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 13/9/2566</p>
<p><strong>กลุ่มเครือข่ายแรงงานเก็บเบอรรี่ป่ายื่นหนังสือที่รัฐสภาขอความอนุเคราะห์ทบทวนข้อตกลงแรงงานระหว่างประเทศไทย-สวีเดน</strong></p>
<p>12 ก.ย. 2566 กลุ่มเครือข่ายแรงงานเก็บเบอรรี่ป่า “ Network of thai berry pickers” นำโดยนางดอกริ ชานชะลา และนายไพรสันติ จุมอังว เข้ายื่นหนังสือต่อนายสุเทพ อู่อ้น ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่รัฐสภา เนื่องด้วยเกษตรกรผู้เก็บเบอร์รี่ป่าได้รับความเดือดร้อนถูกหลอกให้ทำงานอย่างหนักตลอด 70 วัน โดยไม่มีวันหยุดให้แรงงานเหล่านั้น เข้าป่าเพื่อเก็บเบอร์รี่ในประเทศสวีเดิน และฟินแลนด์ โดยโควต้าเกี่ยวข้องเข้าทำงานนั้นเป็นข้อตกลงซึ่งระหว่างกระทรวงแรงงานของประเทศ และประเทศสวีเดน</p>
<p>โดยได้ยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์ 1.ให้ทบทวนรายงานปัญหาการถูกค้ามนุษย์กับเจ้าพนักงานสอบสวนของทั้งสวีเดนและฟินแลนด์ ในปี 2565 เพื่อเร่งกระบวนการสอบสวน คืนความยุติธรรมให้กับแรงงานผู้เก็บเบอร์รี่ 2.ให้จัดการระบบโควต้าภายใต้วิถีการจัดการโดยขบวนการค้ามนุษย์นี้ และให้ใช้ระบบข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐ โดยที่ค่าใช้จ่ายการนำพาคนงานไปจากประเทศไทย เป็นภาระของบริษัทที่ได้รับโควต้า ไม่ใช่พลักดันให้เป็นภาระของผู้ใช้แรงงานซึ่งค่าเดินทางปีละ 150,000 บาท 3.ให้รัฐบาลไทย สวีเดน ฟินแลนด์ ตั้งคณะกรรมการทบทวนศึกษาปัญหาและศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย นับตั้งแต่การเริ่มใช้ระบบโควต้าในปี พ.ศ. 2548 โดยมีตัวแทนกลุ่มประกอบคณะกรรมการ เพื่อหามาตรการเยียวยาและชดเชยความเสียหายให้กับเกษตรกรไทยที่ถูกหลอกไปเก็บเบอร์รี่ และ 4. ให้ทบทวนคดีที่ถูกฟ้องร้องเมื่อสิ้นฤดูกาลเก็บเบอร์รี่ป่าในปี พ.ศ. 2565 เนื่องจากถูกฟ้องร้องให้ใช้หนี้หลังจากกลับมาประเทศไทย รวมถึงขอให้มีการชดเชยช่วยเหลือเหยื่อของการถูกค้ามนุษย์</p>
<p>ด้านนายสุเทพ อู่อ้น รับเรื่องโดยจะนำเรื่องเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้ทราบร่วมแก้ไขปัญหาให้กลุ่มแรงงาน</p>
<p>
ที่มา: สยามรัฐ, 12/9/2566</p>
<p><strong>'เศรษฐา ทวีสิน' ชี้แจงนโยบายแรงงานของรัฐบาล เร่งเจรจาค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท</strong></p>
<p>วันที่ 12 ก.ย. 2566 ที่รัฐสภา เป็นวันที่สอง หลังจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญในช่วงเช้าคือ แนวนโยบายแรงงานที่แถลงต่อรัฐสภา เปรียบเทียบกับนโยบายที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เคยหาเสียงไว้</p>
<p>ด้าน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงข้อซักถามต่างๆ เหล่านั้น โดยประเด็นหลักอย่างนโยบายที่หาเสียงไว้ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เศรษฐา ชี้แจงว่า จะมีการเจรจาทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่างแรงงาน ผู้ว่าจ้าง และรัฐบาล เพื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ในระดับเหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่ 400 บาท โดยเร็วที่สุด เป็นต้น</p>
<p>เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ตั้งคำถามถึงนโยบายในช่วงหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ในเวลานั้นมีนโยบายเพื่อแรงงานจำนวนมาก เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท จบปริญญาตรีเงินเดือน 25,000 บาท เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค ส่งเสริมการรวมก่อตั้งสหภาพแรงงาน เป็นต้น</p>
<p>แต่นโยบายที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา เหลือเพียงเงินดิจิทัล 10,000 บาท ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค</p>
<p>เซีย กล่าวว่า ในวันนี้ไม่ขออะไรมาก ขอเพียงให้นายกฯ รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแรงงานทำตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำถือว่าเป็นผลงานของพรรคเพื่อไทย ใครสั่งให้ถอดนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 อย่ายอม และการที่นายกฯ ชี้แจงว่าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเร็วที่สุด แต่เร็วที่สุดกราบระยะเวลาเมื่อไหร่ สรุปนโยบายที่หาเสียงไว้ใช้เวลาทำเท่าไร</p>
<p>เซีย ยังขอนายกฯ ให้ทำตามที่หาเสียงไว้ คือ</p>
<p>1. ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และจบปริญญาตรี 25,000 บาท</p>
<p>2. สร้างงานใหม่กว่า 20 ล้านตำแหน่ง</p>
<p>3. ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิแรงงานเข้าถึงการจ้างงานโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ</p>
<p>4. สิทธิวันลาคลอดและสิทธิแรงงานคู่สมรส</p>
<p>5. เสนอกฎหมายแรงงานให้ทันสมัย</p>
<p>6. ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวก่อตั้งสหภาพแรงงาน</p>
<p>7. รับรองอนุสัญญา ILO 87และ 98 ว่าด้วยเสรีภาพ รับรองสิทธิของลูกจ้างในการสมาคม และสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม</p>
<p>ศิริโรจน์ ธนิกกุล สส.สมุทรสาคร เขต 2 พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถึงแรงงาน 2 กลุ่มคือ แรงงานแพลตฟอร์ม (ไรเดอร์) และแรงงานข้ามชาติ ซึ่งจากคำที่ว่า “ทำให้ผู้ใช้แรงงานเข้าถึงสวัสดิการที่เหมาะสม” และคำว่า “การเปิดรับแรงงานต่างด้าว” แล้ว ศิริโรจน์ตั้งข้อสังเกตว่า นายกฯ ไม่ได้กล่าวถึงแรงงานอีกเลยในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่มีรายละเอียดบอกว่าระบบสวัสดิการที่เหมาะสมคืออะไร หรือการเปิดรับแรงงานต่างด้าวจะมีอะไรแตกต่างกับรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยทำมาบ้าง</p>
<p>อย่างไรเดอร์ ที่เป็นเป็นอาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการเกิดโควิด-19 แต่ไรเดอร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศิริโรจน์ ยกตัวอย่าง ค่ารอบที่ไม่เป็นธรรมที่บริษัทต้นสังกัดสามารถปรับลดได้ตลอดเวลา บังคับรับงานพ่วงต้องทำงานเพิ่มแต่ได้เงินน้อยลง ไรเดอร์ต้องแบกรับต้นทุนและความเสี่ยงเอง ไรเดอร์ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงานทำให้สิทธิสวัสดิการมีเพียงเท่าที่บริษัทจะเมตตาให้</p>
<p>ศิริโรจน์ชี้ว่า ทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้คือ คือการแก้ไขกฎหมาย เพราะปัจจุบันไรเดอร์ไม่ใช่ลูกจ้าง และบริษัทไม่ใช่นายจ้างตามกฎหมายแรงงาน จึงต้องเข้าไปแก้ไขกฎหมายให้ครอบคลุม กำหนดเลยว่านิยามของผู้จ้างงานที่มีต่อคนทำงานเป็นอย่างไร สัญญาจ้างที่เป็นธรรมคืออะไร ต้องมีสิทธิในการรวมตัวเป็นสหภาพ มีสวัสดิการที่เหมาะสมต่อความเสี่ยงการทำงาน </p>
<p>เรื่องแรงงานข้ามชาติ ที่มีมาประมาณ 2 ล้านคน แต่การแถลงนโยบายของนายกฯ มีเพียงประโยชน์สั้นๆ ว่า จะมีการเปิดรับเเรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่เข้ามาทำงานสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งศิริโรจน์กล่าวว่า ไม่เห็นรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดการเปิดรับแรงงานต่างด้าว กระบวนการแก้ไขกฎหมาย นโยบายที่ออกมาเป็นอย่างไร แตกต่างกับสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อย่างไร</p>
<p>ศิริโรจน์ ยังฝากคำถามไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องของท้องถิ่น เพราะภาษีที่ได้จากแรงงานต่างด้าวจะเข้าไปสู่ส่วนกลาง แต่เงินที่กระจายมาให้กับท้องถิ่นนั้นคำนวณจากจำนวนของประชากรคนไทยในพื้นที่ ทำให้ท้องถิ่นต้องแบกรับการดูแลแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ปัญหานี้จะมีการแก้ไขอย่างไร</p>
<p>จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อและรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามถึงนโยบายหาเสียง เรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 25,0000 บาท ที่สัญญาทำได้ ปี 2570 และค่าแรงขั้นตำ 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 ซึ่งจากนโยบายที่แถลงของนายกรัฐมนตรี เขียนไว้ว่าค่าแรงขั้นต่ำที่จะทำคือ ‘ค่าแรงที่เป็นธรรม’ จึงมีการตั้งคำถามถึงนโยบายที่หาเสียงไว้หายไปไหน และแนวทางของนโยบายค่าแรงเป็นอย่างไร</p>
<p>เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามถึงเรื่องแรงงานว่า "ประเทศเราเป็นประเทศที่โชคดีอย่างหนึ่ง เป็นที่ต้องการของแรงงานมาก อัตราการว่างงานต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย ที่ประชากรมีงานทำ แต่ความต้องการของแรงงานมีเยอะมาก เพราะฉะนั้นการพึ่งแรงงานต่างชาติเป็นเรื่องจำเป็น แรงงานต่างชาติมากับเรื่องการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเป็นอยู่ ศักดิ์ศรี ความปลอดภัยและความมั่งคงที่พึงจะได้”</p>
<p>“ปัญหาหลายๆ อย่างที่กล่าวถึง เรื่อง one stop service หลายรัฐบาลก็พยายามทำกันแล้ว เป็นเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลของเราตระหนักดี และได้มีการรับฟังข้อมูลเบื้องต้นมาจากปัญหาการประมงที่เกิดขึ้น เราเองก็จะพยายามทำเรื่อง one stop service ให้ได้ดีขึ้น ให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยคำนึงถึงทั้งผู้ประกอบการผู้ใช้แรงงานและแรงงานต่างด้าวด้วย”</p>
<p>เศรษฐา กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การท่องเที่ยวเพื่อดึงเงินเข้าภาคบริการ ค่าแรงจะถูกปรับขึ้นตามความต้องการของแรงงาน นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคบริการแล้ว ยังลดค่าใช้จ่ายพลังงานของประชาชน และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ด้วย โดยที่หลังจากที่แถลงนโยบายเสร็จ ได้ให้แนวทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดำเนินการเป็นวาระเร่งด่วน</p>
<p>ส่วนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่หลายพรรคพูดไว้ เพราะหลายท่านเป็นห่วงกังวลประชาชนที่อยู่ชายขอบของสังคมต้องการดูแลมีรายได้ที่เหมาะสมพอกับการใช้จ่ายประจำวัน เรื่องนี้เราจะมีการเจรจาทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่างแรงงาน ผู้ว่าจ้าง และรัฐบาล เพื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำให้ในระดับเหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่ 400 บาท โดยเร็วที่สุด</p>
<p>ปัญหาไรเดอร์ เศรษฐา กล่าวชี้แจงว่า ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง และกล่าวขอบคุณสำหรับคำเตือนจากผู้อภิปราย</p>
<p>“ผมได้ให้แนวทางกระทรวงแรงงานเพื่อเจรจากับภาคเอกชน เพื่อยกระดับสวัสดิการและค่าแรงให้เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น”</p>
<p>นอกจากนั้น เศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางจัดระเบียบค่าโดยสายทั้งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไรเดอร์ และแท็กซี่ ให้มีความยุติธรรมโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารและไรเดอร์</p>
<p>“เรายังมีแนวทางให้กระทรวงคมนาค