สุรพศ ทวีศักดิ์: ประเด็นมากมายจากศาล 112
<span class="submitted-by">Submitted on Sat, 2023-10-21 21:45</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>สุรพศ ทวีศักดิ์</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>จากที่ผมได้นั่งฟังศาลไต่สวนคดี 112 ของ “อานนท์ นำภา” ปราศรัย “ครบรอบ 1 ปี แฮร์รี่พอร์ตเตอร์” และศาลตัดสินคดี 112 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา “โฟล์ค สหรัฐ สุขคำหล้า” ที่ปราศรัยในกิจกรรมทางการเมือง “บ๊ายบายไดโนเสาร์” ผมคิดว่ามีประเด็นมากมายให้ได้เรียนรู้และคิดต่อ เช่น </p>
<p><strong>- ถ้าเป็นอาจารย์และนักศึกษาด้านนิติศาสตร์ </strong>ไปนั่งฟัง สังเกตการณ์ น่าจะมีประโยชน์มากในการเรียนรู้การถาม-ตอบ ระหว่างอัยการกับพยาน ทนายกับพยาน และการทำงานของศาล ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย การใช้ตรรกะเหตุผลในการซักถาม และการตอบคำถาม การใช้หลักจิตวิทยา การบริหารอารมณ์ และอื่นๆ</p>
<p><strong>- ถ้าเป็นอาจารย์และนักศึกษาด้านรัฐศาสตร์</strong> ไปนั่งฟัง สังเกตการณ์ น่าจะได้เห็นโครงสร้างของอำนาจที่ทำงานภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองของรัฐ เห็นตัวละครฝ่ายโจทก์ จำเลยที่ปะทะโต้แย้งกัน โดยอ้างตัวกฎหมาย ข้อเท็จจริง หลักฐานต่างๆ ที่ตัวละครเหล่านั้นทั้งแสดงออกและซ่อนอุดมการณ์หรือคุณค่าทางการเมืองของฝ่ายที่ตนยึดถืออยู่ แล้วใช้มันเป็น "กรอบ" หรือเป็น "เกณฑ์" ตัดสินผิด-ถูก </p>
<p><strong>- ถ้าเป็นอาจารย์และนักศึกษาด้านปรัชญา </strong>ไปนั่งฟัง สังเกตการณ์ น่าจะได้เห็นประเด็น "นิติปรัชญา" และความคิดหรือคุณค่าทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังอำนาจศาล โจทก์ จำเลย และพยานทั้งสองฝ่าย และเห็น "ความเป็นมนุษย์" ของทุกฝ่าย ทั้งความเป็นมนุษย์ที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความยุติธรรม ศักดิ์ศรีของตนเอง ประชาธิปไตยและสังคมส่วนรวม และเห็นความเป็นมนุษย์ด้านที่สยบยอมเป็น “เครื่องมือ” ของอำนาจที่กดทับเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน</p>
<p><strong>- ถ้าเป็นอาจารย์และนักศึกษาด้านสังคมวิทยา</strong> ไปนั่งฟัง สังเกตการณ์ น่าจะได้เห็นประเด็นปัญหาสังคม เช่นที่ผมกระซิบกับอานนท์เป็นภาษาอิสานว่า "ที่เห็นนั่งๆ กันอยู่นี่มีแต่หมู่เฮาเจ้าข่อย" คือฟากที่นั่งให้กำลังใจพยานโจทก์ กับฟากที่นั่งให้กำลังใจจำเลย รวมทั้งในคลิปการทำร้ายกันในที่ชุมนุมที่ทนายนำมาเปิด ล้วนแต่เป็น "ประชาชนธรรมดาๆ" ที่ต่างดิ้นรนทำมาหากินเหมือนๆ กัน ทำไมคนธรรมดาๆ ระดับที่ยากลำบากในการทำมาหากินเหมือนกันถึงมาขัดแย้งกันเพราะ 112 ขณะที่ชนชั้นผู้มีอันจะกิน นักการเมืองที่มีอำนาจรัฐ และชนชั้นสูงไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยที่เห็นได้อย่างรูปธรรม แต่คนธรรมดาด้วยกันเองกลับมาทำร้ายกันเอง ทั้งด้วยการใช้กฎหมายที่กดขี่ และความรุนแรงอื่นๆ </p>
<p><strong>- ถ้าเป็นนักเขียนดังมีคนอ่านเยอะ</strong> หรือสื่อที่เขียนวิเคราะห์ประเด็นทางสังคมการเมือง ไปนั่งฟัง สังเกตการณ์ คงมีเรื่องราวต่างๆ มีแง่มุมของปัญหา 112 ในด้านต่างๆ มานำเสนอด้วย "วิธีการต่างๆ" ให้เกิดการรับรู้ และถกเถียงกันด้วยเหตุด้วยผล ทั้งมิติลึก กว้าง และมี "หัวใจ" มากขึ้น</p>
<p>ความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ “ศาลเป็นเวทีขัดแย้งทางความคิดของประชาชนด้วยกันเอง” เพราะสิ่งที่ผมได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังในศาลแต่ละวัน มันคือการต่อสู้ทางความคิดความเชื่อระหว่าง "โจทก์" กับ "จำเลย" ซึ่งสองฝ่ายต่างเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง หรือมีความคิดทางการเมืองต่างกันโดยพื้นฐาน</p>
<p>และเป็นการต่อสู้ทางความคิดระหว่าง "พยานฝ่ายโจทก์" กับ "พยานฝ่ายจำเลย" ที่มีความคิด อุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน ซึ่งพยานมีทั้งนักกิจกรรม นักวิชาการที่แสดงความเห็นทางการเมืองต่างกันหรือขัดแย้งกันอยู่แล้ว (โดยเฉพาะพยานฝ่ายโจทก์ เป็นพวกปกป้องสถาบันหรือแสดงความเห็นสาธารณะในทางเพ่งเล็งจับผิดนักสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว)</p>
<p>พูดอีกอย่างคือ “ศาลคือเวทีต่อสู้ทางความคิดความเชื่อทางการเมือง” ของ "ประชาชน" สองฝ่ายดังกล่าว โดยใช้<strong> “กฎหมายบังคับศรัทธา” </strong>คือมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญที่อ้างในคำฟ้องของอัยการและคำพิพากษาของศาลเสมอว่า "พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้" ซึ่งเป็นการนำ "หลักศรัทธาความเชื่อแบบยุคก่อนสมัยใหม่" ตามคติพราหมณ์ฮินดู-พุทธมาบัญญัติบังคับไว้ใน “รัฐธรรมนูญที่เป็นนวัตกรรมของประชาธิปไตยสมัยใหม่” และศาลก็ใช้มาตรา 112 โดยตีความให้สอดรับกับมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ</p>
<p>ดังนั้น “สภาวะย้อนแย้ง” ระหว่างความคิดเก่ากับใหม่ในรัฐธรรมนูญและมาตรา 112 คือเงื่อนให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน หรือทำให้ความคิดทางการเมืองที่แตกต่างของแต่ละฝ่ายไม่มี "เสรีภาพที่เท่าเทียม" (equal liberty) ในการแสดงออก เพราะฝ่ายหนึ่งแสดงออกในทางเทิดทูนสดุดีได้เต็มที่ แต่อีกฝ่ายแสดงออกด้านตรงข้ามไม่ได้</p>
<p><strong>เราทุกคนต่างก็ "รู้ดี" กันทั้งนั้นว่า การต่อสู้ทางความคิดบนเวทีศาลที่ใช้กฎหมายเช่นนี้ ฝ่ายที่ยืนยันสิทธิ เสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออกตามหลักประชาธิปไตยย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างชัดเจน นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยากลำบากมากกว่าจะได้รับความยุติธรรม</strong></p>
<p>เพราะเท่าที่ฟังจากเหตุผลของศาลที่ตัดสินจำคุกโฟล์ค และจากคำให้การของพยานโจทก์คดีอานนท์ ผมรู้สึกว่า "ศาลคือเวทีปะทะขัดแย้งทางความคิดเก่ากับใหม่" อย่างชัดเจน </p>
<p>ความคิดเก่าคือ ศรัทธา/ความเชื่อแบบก่อนยุคสมัยใหม่ที่ว่า "พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้" อันเป็นความเชื่อหรือศรัทธาแบบพราหมณ์-พุทธที่ถูกนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ดังกล่าวแล้ว ผลที่ตามมาคือ ทำให้ความคิดแบบสมัยใหม่ เช่น สิทธิ เสรีภาพ และอื่นๆ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญถูกกดทับให้อยู่ภายใต้ความคิดความเชื่อหรือศรัทธาแบบเก่านั้น</p>
<p>ดังนั้น ความคิดเก่าหรือศรัทธาความเชื่อแบบเก่าที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ จึงเป็น<strong> “ศรัทธาความเชื่อที่ถูกบังคับโดยอำนาจรัฐ”</strong> เพราะเป็นความเชื่อหรือศรัทธาที่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย
ดังเช่น พยายานโจทย์พูดตอนหนึ่งว่า "ในเมื่อมันมีกฎหมายแบบนี้อยู่ (หมายถึงมี รธน. บัญญัติว่า "พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะล่วงละมิดมิได้" และมี 112 อยู่) จำเลยไปพูดแบบนั้นมันก็ต้องผิดกฎหมายสิ ถ้าอยากพูดแบบนั้นได้ ก็ต้องแก้กฎหมายให้ได้ก่อน" (คำพูดแบบนี้ผมเคยได้ฟังจากปากของอาจารย์ด้านกฎหมายด้วย ซึ่งเขาพูดถูก แต่เขาแสร้งไม่พูดถึง “การห้ามแตะ” กฎหมายใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์)</p>
<p><strong>แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับพยานโจทก์หลายๆ เรื่อง แต่นี่คือข้อเท็จจริงว่า "เมื่อมีกฎหมายบังคับศรัทธาอยู่" และมีกฎหมาย เช่น 112 เป็นต้นเอาผิด "การล่วงละเมิด" หรือ "การแสดงออกที่ไม่เคารพสักการะ" ซึ่งตีความได้กว้างครอบจักรวาลมาก ก็ย่อมจะมีการฟ้อง และการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้อยู่ ดังเห็นได้ในคำพิพากษาคดี 112 ที่มีการโยง รธน. มาตรา 6 กับ 112 ซ้ำๆ บ่อยครั้งมาก</strong></p>
<p>ขณะที่คนที่โดน 112 คือคนที่ยืนยัน "คุณค่าสมัยใหม่" อันได้แก่ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นคนเท่ากัน ฯลฯ แต่ใน "เวทีศาล" คือการต่อสู้หักล้างกันด้วยการอ้างเรื่องตัวบทกฎหมาย พยาน หลักฐานที่สามารถตีความให้เข้าหรือไม่เข้า "ข่าย" ความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ทว่ามันมีคุณค่าหรือการบังคับศรัทธาความเชื่อแบบก่อนสมัยใหม่อยู่ในตัวบทกฎหมายที่ไม่ถูกตั้งคำถามว่าขัดกับคุณค่าสมัยใหม่ของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ และมันมีคุณค่าสมัยใหม่อยู่เบื้องหลังของคำพูด ข้อความที่จำเลยปราศรัยหรือแสดงออก แต่คุณค่าเหล่านั้นกลับ "เบาหวิว" ไม่มีน้ำหนักให้ศาลรับฟังได้เลย นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงยากมากที่จำเลยคดี 112 จะได้รับ “ความยุติธรรม” ตามหลักนิติรัฐ (rule of law) เพราะไม่ได้ใช้หลักนิติรัฐกับคดี 112 อยู่แล้ว</p>
<p><strong>ในส่วนของอานนท์ที่ถูกดำเนินคดี 112 และคดีการเมืองอื่นๆ รวม 15 คดี ฝากบอกมาว่าอยากให้สื่อ และนักวิชาการพูดถึงปัญหา 112 และการนิรโทษกรรมคดีการเมือง 112 ต่อไป แม้จะยังไม่ชนะ แต่ไม่ควรปล่อยให้สังคมลืมปัญหานี้ไป</strong></p>
<p>อานนท์ทำหน้าที่ทนายคดี 112 และคดีการเมืองอื่นๆ มาตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งเป็นยุคการต่อสู้ของ “คนเสื้อแดง” และทำต่อเนื่องเรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ขณะที่เป็นนักโทษอยู่ในคุก เขาเองยังต้องมาศาลในฐานะ “จำเลย” คดี 112 และคดีการเมืองอื่นๆ และมาทำหน้าที่ในฐานะ “ทนาย” ของนักสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยที่ถูกกดปราบด้วย 112 </p>
<p>หลังรัฐประหาร 2557 แม้รัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ คสช. จะประกาศใช้แล้วในปี 2560 แต่รัฐบาลเผด็จการก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้ “สิทธิเลือกตั้ง” จึงเกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ออกมาชุมนุมเป็นระยะๆ อานนท์คือหนึ่งในแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง แม้รัฐบาลเผด็จการจะไม่แยแสต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มนี้ก็ตาม แต่การที่กลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวต่อเนื่องจึงทำให้สื่อทวงถามการเลือกตั้งต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ทำให้เราได้เลือกตั้งในปี 2562 และ 2566 </p>
<p>แต่ถึงแม้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ ส.ส. ข้างมากเพียงพอเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ แต่ด้วยกลไกรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเผด็จการ ทำให้ปี 2562 พรรคฝ่ายเผด็จการตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และปี 2566 พรรคเพื่อไทยต้องเปลี่ยนขั้วมาร่วมกับพรรคฝ่ายเผด็จการเดิมตั้งรัฐบาล ภายใต้ <strong>“เงื่อนไขที่ไม่เป็นประชาธิปไตย”</strong> คือ เงื่อนไขไม่นิรโทษกรรมคดี 112 ไม่แก้ 112 และไม่แตะหมวดสถาบันกษัตริย์ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดยฝ่ายเผด็จการ </p>
<p><strong>นี่คือผลพวงของรัฐประหาร ซึ่งก็คือการทำรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่อเนื่อง 2 ครั้ง และฝ่ายทำรัฐประหารก็ “กล้า” ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มอำนาจนำทางการเมืองให้กลุ่มหรือเครือข่ายตนเอง และพวกเขาก็ใช้กลไกต่างๆ ที่กล้าสร้างขึ้นมาอย่างขัดหลักการประชาธิปไตยนั้นทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งอย่างรัฐบาลเพื่อไทยปัจจุบัน “ไม่กล้า” ทำอะไรเลยในด้านปกป้องสิทธิมนุษยชน แม้แต่นิรโทษกรรมคดีการเมือง 112 ก็ไม่กล้าทำ ไม่ต้องพูดถึงการแก้ 112 และกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้เป็นประชาธิปไตย </strong></p>
<p>แน่นอนว่าอานนท์เข้าใจ “เงื่อนไข” ดังกล่าวดี และรู้ว่าตัวเขาเองยังไงก็ต้องเผชิญชะตากรรมในฐานะนักโทษที่ไม่รู้ว่าจะได้อิสรภาพวันไหน แต่เขาก็ไม่ปริปากบ่นถึงความทุกข์ของตนเอง ในการสนทนากัน เขาเข้าใจ “ข้อจำกัด” ของทั้ง “เพื่อไทย” และ “ก้าวไกล” ที่จริงแล้วเขาเข้าใจคำฟ้องของโจทก์ และพยานฝ่ายโจทก์ว่าทำไมพวกเขาถึงฟ้องและให้เหตุผลเช่นนั้น เช่นเดียวกับเข้าใจข้อจำกัดของศาลในการทำหน้าที่ภายใต้อำนาจที่แตะต้องไม่ได้ แต่อานนท์ก็ยังมี “ความหวัง” ท่ามกลางสภาวะที่ดูสิ้นหวัง!</p>
<p>หากเราตามข่าวคนที่โดน 112 และคดีการเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในคุกและทยอยเข้าคุก พวกเขาก็ยังคงสื่อสารต่อสังคมนี้ว่า พวกเขายังต่อสู้กับ “ความอยุติธรรม” เพื่อให้สังคมนี้มีเสรีภาพและประชาธิปไตย เช่นเดียวกัน อานนท์มองว่าความคิดคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาชี้ชัด ถ้าเรายังคงรักษาการต่อสู้ทางความคิดต่อเนื่องเอาไว้ได้ ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงที่เราคาดหวังก็ต้องเกิดขึ้นจริง</p>
<p><strong>ภาพที่ผมเห็นทุกครั้งที่มาศาลคือ อานนท์กับภรรยานั่งปรึกษากันหาวิธีช่วยเหลือนักโทษการเมือง 112 และครอบครัวของพวกเขาที่อานนท์มองว่า “ลำบากมากกว่า” เช่น ครอบครัวของ “กลุ่มทะลุแก๊ซ” บางคนที่ภรรยาตั้งครรภ์ 5 เดือน และอีกหลายครอบครัวที่เผชิญความลำบากหลายๆ ด้าน</strong></p>
<p>ผมรู้สึกว่านักสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยทุกคนที่ติดคุกคดีการเมือง 112 และคดีการเมืองอื่นๆ และที่ทยอยติดคุกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกทำให้กลายเป็น “ตัวประกัน” ภายใต้ “เงื่อนไขที่ไม่เป็นประชาธิปไตย” ในการตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ถูกกำหนดให้มาทำหน้าที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลประยุทธ์ในการรักษาโครงสร้างอำนาจทางการเมืองแบบยุคเก่า</p>
<p>คำถามสำคัญคือ ทำไม “คนในคุก” อย่างอานนท์และเพื่อนๆ ยังมี “ความหวัง” ขณะที่ “คนนอกคุก” อย่างเราๆ ดูจะสิ้นหวังและ “เงียบเสียง” ที่จะทวงถามและเรียกร้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องให้รัฐบาล “นิรโทษกรรมคดีการเมือง 112 และคดีการเมืองอื่นๆ” เพราะนี่คือเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำเพื่อเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการเปิดพื้นที่เสรีภาพให้ทุกฝ่ายที่เห็นต่างได้มีโอกาสถกเถียงอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต่อไป</p>
<p><strong>พูดอีกอย่างคือ ทั้งๆ ที่เราควรจะนิรโทษกรรมคดีการเมือง 112 แก้ปัญหาปากท้อง และสร้างกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไปพร้อมๆ กันก็ได้ แต่กลับเน้นโฆษณาเรื่องแก้ปัญหาปากท้อง โดยปล่อยให้มีนักโทษการเมือง 112 เป็นตัวประกัน และปล่อยให้การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไป </strong></p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทค
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/10/106466