[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 23:31:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ถึงเวลาที่ต้องยุติระบบต่างๆ ทางสังคมที่ผิด  (อ่าน 7157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5065


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 มิถุนายน 2553 08:32:19 »




 ปัญหาและวิกฤติของสังคมของมนุษย์ รวมทั้งความแตกแยกของสังคมไทยที่เกิดขึ้นเพราะมูลเหตุพื้นฐานเพียงอย่างเดียว นั่นคือ เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริงที่แท้จริง ถึงได้ทำให้สังคมโลกมีปัญหาและสังคมไทยต้องวิกฤติอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่าที่รู้ เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงสนใจในความจริงอันนั้น ดังนั้น จึงสนใจในปัญญาเป็นที่สุด และปัญญานั้นพุทธศาสนาสอนว่ามีอยู 3 ระดับ ระดับแรกเป็นระดับทุกคนแต่ละคน มีมาตั้งแต่เกิดโดยไม่ต้องสอน เรียกว่า จินตมยปัญญา คือหิวต้องกิน เจ็บต้องร้อง หรือแสดงออกทางประสาทของร่างกายเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะมีสมองหรือไม่มีสมอง ระดับที่ 2 นั่นคือ สูตะมยปัญญา หมายถึงการได้ยิน ได้อ่าน ได้เรียนรู้ จนกระทั่งได้คิดได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ (โยนิโสมนัสสิการระดับแรกหรือระดับโลกียะ อังกฤษเรียกว่า intelligence) ซึ่งได้มาก็ด้วยการแสวงหาความรู้ รวมทั้งอะไรๆ ที่เรียกว่าความเชื่อ ซึ่งมีไม่น้อยที่ผู้เขียนคิดว่า - โดยอาศัยสติปัญญาเท่าที่หามาได้ร่วมกับการคิดจินตนาการอย่างไตร่ตรองหรือโยนิโสมนัสสิการที่ว่า - ซึ่งภาษาอังกฤษไม่มีหรือมีแต่ผู้เขียนไม่รู้ 3 ผู้เขียนอาจได้มาอย่างกะพร่องกะแพร่ง คิดว่าเป็นความจริงแท้ เรียกว่าปัญญาหยั่งรู้หรือปัญญาปรีชาญาณ (intuition ที่ผู้เขียนคิดว่าเราแปลผิดๆ ว่าลางสังหรณ์) ปัญญาระดับ 3 นี้ นักคิดนักเขียนเข้าใจว่า คือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลของคาร์ล จี. จุง (universal unconscious continuum or archetype ของ CarlJung) เพราะฉะนั้น ผู้เขียนถึงได้สนใจชีวิตโดยรวม สนใจแต่มนุษย์ชาติโดยทั่วไป สนใจแต่โลกและสนใจจักรวาล ทั้งในทางวิทยาศาสตร์ทั้งเก่าทั้งใหม่ และศาสนาตามระบบและรูปแบบ โดยเฉพาะพุทธศาสนา ที่นักวิทยาศาสตร์ใหม่หลายคนคิดว่าสอดคล้องแนบขนานกับฟิสิกส์แห่งยุคใหม่จนกระทั่งบางคนมองว่า หรือผู้เขียน - ที่เขียนบทความร่วม 4,000 บทความ มาร่วม 20 ปี - ว่าผู้เขียนคงจะลืมกำพืดของตัวเองไปแล้ว เพราะแทบไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยเลย

     เราที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะเราในประเทศไทย ภายหลังจากการก่อการจลาจล - เพราะผู้เขียนคิดว่ารัฐบาลอาจจะประมาทไปสักหน่อย เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า - ในส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่ง - ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของประชาชนระหว่างคนรวยกับคนจน และคนเมืองกับคนชนบท ซึ่งคือความไม่เป็นธรรมของสังคมที่สำคัญจะสามารถก่ออันตรายได้อย่างที่สุด - จากกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นๆ - กลุ่มผู้ชุมนุมอันประกอบด้วยคนจนและคนชนบทที่สวมใส่เสี้อสีแดง จนกระทั่งสามารถก่อมิคสัญญีให้เกิดขึ้นได้จนกระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายจากการชุมนุมและการจลาจลนั้นๆ ไปถึงร่วมสองพันคน และทรัพย์สินทั้งของรัฐและเอกชนไปมากแสนมาก ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นผู้เขียนเชื่อว่ามีสาเหตุไม่มากก็น้อยมาจาก หนึ่ง เราคนไทยที่ส่วนใหญ่มากๆ ที่ปากบอกว่านับถือพุทธ แต่ดังที่ผู้เขียนบอกในบทความครั้งที่แล้วว่ามักไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรมที่ทางพุทธศาสนาและศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทล้วนบอกว่า กรรมไม่มีทางที่จะหนีได้พ้น เพราะกรรมคือแหล่งที่เกิดของสัตว์ ์โลก รวมทั้งมนุษย์ กรรมทำให้เราเกิดมาไม่เท่ากัน บางคนเกิดมารวยหรือเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่บางคนเกิดมาจนและยากไร้ ที่จะเป็นไปตามกรรมใหม่นั้นๆ โดยไม่มีทางหลีกหนี สอง แต่เรากลับไม่เชื่อเช่นนี้ กลับไปเชื่อ ไปนับถือ และนำมาใช้ก็แต่ระบบของฝรั่งตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ฯลฯ เชื่อก็แต่ในด้านกายภาพรูปธรรมสิ่งที่ตามองเห็นเท่านั้นว่าคือความจริง เช่น สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ความเจริญความก้าวหน้า พัฒนาหรือจีดีพี คือ ความสุขความถูกต้องชอบธรรมแต่เพียงอย่างเดียว ความเป็นตะวันตกในข้อที่ 2 นี้ เรารับมาเป็นวัฒนธรรมของไทยเราไปตั้งแต่กว่าร้อยปีก่อน ซึ่งนับวันจะยิ่งกัดกร่อนชอนไชเข้าไปในกระดูกดำของเรา  ด้วยระบบการศึกษาและวิทยาศาสตร์เก่า ชีววิทยาเก่าๆ แต่คิดจริงๆ ว่าเป็นความจริงแท้ที่สามารถมองเห็นด้วยตาและพิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยีที่ให้ความจริงเท่าที่ตามนุษย์มองเห็นที่สุดแสนจะหยาบใหญ่ในระดับฟิสิกส์ใหม่ ระดับควอนตัมระดับอะตอมและอนุภาค และที่เราคิดว่าเป็นความจริงนั้นๆ ซึ่งก็เป็นเพียงความสัมพันธ์หรือสัมพันธภาพ (relative) กับสิ่งอื่นๆ ในโลกในจักรวาลที่ทุกสรรพสิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์จะพัวพันกันและกันเป็นองค์รวมซ้อนองค์รวมเป็นบูรณาการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่คนไทยเรากว่าที่จะได้ติดตามและยอมรับกันเช่นนั้น ซึ่งก็คือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ - แม้นักวิชาการหรือนักวิทยาศาสตร์เองในปัจจุบัน - นั่นก็หายากยิ่งนัก

     ที่ตั้งเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้นั้น  ผู้เขียนคิดเช่นนั้นจริงๆ และก็ช่วงนี้ดูจะเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมชุมชนของเราเพื่อให้ประเทศไทยเราเป็นผู้นำของโลกอนาคตอันใกล้นี้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง (transform) ตัวเอง หรือโลกทั้งโลกให้ถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติเสียที หลังจากที่ประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกเดินทางผิด และมีวิถีชีวิตอย่างผิดๆ ตามประเทศทางตะวันตกมาเสียนานร่วมสามพันปี ดังที่เราทราบหรือคาดเดาจากปรัชญาของชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติลที่บอกว่า "คนเราหวังแต่จะมีชีวิตที่มีแต่ความสุข" และความสุขนั้นรับรองได้ว่าเป็นไปตามที่ตาเรามองเห็น แถมเอปิคิวรัสยังบอกอีกด้วยว่า ความสุขที่ว่าหมายถึงความสุขสนุกสนานทางกายภาพ (hedonism) เท่านั้น อันเป็นปรัชญาในเชิงรูปธรรมและคลี่คลายเป็นหลักการแยกส่วนกับวัตถุนิยมที่มีเหตุผลของมนุษย์อ้างอิง ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะขัดแย้งกับธรรมชาติหรือไม่ และเหตุผล (reason) ที่แท้จริงเป็นแค่ความคิดจินตนาการของนักปรัชญา (คน) ก็ได้ กลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เรียบร้อยไปในภายหลัง (scientific rationalism)

     นั่นคือพื้นฐานวิธีคิดของชาวฝรั่งอันเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตะวันตกที่ได้กลายเป็นอารยธรรม "สมัยใหม่" ไปทั่วทั้งโลกในปัจจุบัน นั่นคือพื้นฐานของความเจริญก้าวหน้าพัฒนาที่ทุกๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งสังคมที่บ้านเราพาลคลั่งไคล้กระวนกระวายแสวงหา นั่นคือสิ่งที่ตอกย้ำพิสูจน์ได้แต่เฉพาะรูปกายและความเป็นวัตถุ (materialism) ของหลักการทั้งหมด ความเป็นตะวันตกที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง และมนุษย์เรา - ที่ก็เป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ว่าฝรั่งที่มักแสดงว่าไม่ยอมรับ เช่น ฟรานซิส เบคอน หรืออเล็กซานเดอร์ โป๊ป - และที่เราจำต้องแก้ไขโดยด่วน หาไม่แล้วมนุษยชาติก็จะต้องสูญสลายหายไปทั้งเผ่าพันธุ์ในฉับพลันทันทีเหมือนกับไดโนเสาร์  เพียงแต่เวลาที่เราไม่รู้อย่างแน่นอนว่าเป็นเมื่อไหร่? แต่คิดว่าคงจะใกล้ๆ นี้ เพราะเหตุว่าเราได้ทำอย่างผิดธรรมชาติจริงๆ เรากระทั่งดูถูกดูแคลนและเบียดเบียนธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวมาตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะว่า อารยธรรม "สมัยใหม่" ที่ว่าที่ทุกประเทศในโลกโดยไม่มีการยกเว้น เว้นแต่สังคมที่เราเรียกว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนจริงๆ ออกไปไกลๆ หรือไปหายากจริงๆ เช่น แถวอะเมซอนนั่น พูดง่ายๆ นั่นคืออารยธรรมของโลกในปัจจุบัน เป็นแต่ราวๆ 2,500 ปีมาแล้ว ที่กรีซ และเพราะอริสโตเติลที่เชื่อว่าวัตถุประสงค์ของชีวิตทุกชีวิต คือการแสวงหาชีวิตที่ดี ซึ่งเขาสรุปว่าชีวิตที่ดีมีคุณภาพนั้นก็คือความสุขนั่นเอง และเนื่องจากอริสโตเติลมีความคิดเห็นเป็นตรงกันข้ามกับพลาโตอาจารย์ของเขา เพราะอริสโตเติลเชื่อเฉพาะโลกนี้ซึ่งเป็นโลกที่ตามองเห็นนี้เท่านั้นว่าเป็นความจริง (this world only) ซึ่งต่อมาด้วยเหตุผลข้อนี้กับวิทยาศาสตร์กายภาพของเซอร์ไอแซค นิวตัน ชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน และจิตวิทยาของซิกมันด์ ฟรอยด์ ทั้ง 3 องค์ความรู้ 3 วิทยาการที่สรรค์สร้างอารยธรรม "สมัยใหม่" ให้กับโลกใบนี้และกับมวลมนุษยชาติ อารยธรรมที่เมื่อก่อนนี้เป็นเพียงวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตกที่ได้แพร่กระจายสู่อเมริกา และสุดท้ายแพร่กระจายสู่ที่อื่นและที่ต่างๆ ของโลกทั้งโลก โดยเฉพาะทางตะวันออก สู่อินเดีย จีนและประเทศไทย อารยธรรม "สมัยใหม่" ที่มีความรู้แยกส่วน และวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีกายภาพวัตถุนิยม (materialism) อันเป็นองค์ความรู้ที่ผิดไปจากธรรมชาติอย่างที่สุด ดูถูกธรรมชาติอย่างที่สุด ที่สำคัญคือไร้ทั้งจิตของปัจเจกบุคคลและจิตวิญญาณร่วมโดยรวมของจักรวาลอย่างที่สุด ฉะนั้น อารยธรรม "สมัยใหม่" จึงมีแต่จะก่อความแตกแยกร้าวฉาน กิเลสตัณหาและความอิจฉาริษยาให้แก่มนุษย์ ทั้งภายใน-ภายนอก เพราะอารยธรรมให้แต่ความจริงอย่างเดียวที่ตาเห็นเท่านั้น จึงมีแต่ผลิตความก้าวหน้าพัฒนาที่แยกส่วน สังคมใครสังคมมัน นอกจากนี้ความรู้และวิทยาศาสตร์กายภาพยังผลิตสร้างระบบทุกๆ ระบบของสังคม ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ฯลฯ ผิดไปทั้งนั้น นั่นคือ ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่ต่อต้านคัดค้านธรรมชาติอย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุด ผิวเผินที่สุด หยาบที่สุดที่เราได้รับมาจากทางตะวันตกนั้น ได้ทำให้ทุกๆ ประเทศทั่วทั้งโลกยอมรับอารยธรรม "สมัยใหม่" นั้นด้วยความยินดีและปรีดาอย่างสุดๆ

     ผู้เขียนเชื่อว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะทำอะไรที่กล่าวมานั้นให้สำเร็จ เราจะต้องคิดออกว่า การที่เราจะฟื้นฟู เยียวยา หวังในความปรองดอง ฯลฯ จากคนในสังคมเดียวกัน เหมือนพี่น้องกัน หากว่าแตกแยกร้าวฉานกันช้านานก็เป็นเช่นจานกระเบื้องที่แตกเป็นผุยผงนั้น ความเคียดแค้นชิงชังระหว่างกันนั้นจะเลวร้ายกว่าคนต่างเผ่าพันธุ์มากนัก แทบจะไม่มีทางหวนกลับมาคืนดีเหมือนเดิมได้เลย เช่น ยิวกับอาหรับที่เป็นศัตรูกันก่อนยุคของโมเสส แม้ว่าต่างก็เป็นเซมิติคด้วยกัน ลองกลับไปอ่านหนังสือของทอมัส คูห์น ใหม่อีกทีก็ได้ ความผิดพลาดไม่แน่นอนนั้นคือความจริงแท้ แต่เราที่เกิดเป็นมนุษย์นั้น อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองดำรงชีวิตตลอดเวลาเพื่อแก้ไข เราชอบใจหรือไม่ชอบใจอย่างไร? เราก็ต้องแก้ไขซ่อมแซมอยู่วันยังค่ำ หากเราไม่แก้ คนอื่นก็ต้องแก้ แก้ไขกันอยู่นั่นแล้ว เพราะชีวิตคือความทุกข์จึงต้องแก้ไข จนกว่าเราจะรู้ความจริงที่แท้จริง

     ความจริงที่แท้จริงคือความไม่แน่นอนและความทุกข์ และความจริงก็คือโลกนี้จักรวาลนี้ประกอบขึ้นด้วย 2 อย่างเท่านั้น คือนามกับรูป ซึ่งหมายถึงจิตรู้ (จิตสำนึก) กับรูปร่าง ซึ่งเมื่อไล่ไปแล้วก็คือจิตกับกายนั่นเอง เพราะฉะนั้น ความเป็นตะวันตกที่มองเท่าที่ตาเห็น หูได้ยิน มองเห็นแต่กาย แต่รูปธรรมกาย-วัตถุที่ตั้งอยู่ภายนอกว่าเป็นความจริงที่แท้จริงแต่เพียงอย่างเดียวจึงผิดมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้พัฒนามาทีหลัง เช่น ตรรกะและเหตุผล ความรู้ ระบบต่างๆ ของสังคมตั้งแต่ต้นเลยจึงผิดมากกว่า ในขณะที่ตะวันออกเอง แม้ว่าจะเห็นรูปกาย แต่กลับไปสนใจในสิ่งที่ตามองไม่เห็น  หูไม่ได้ยินว่าเป็นความจริงแท้เพียงอย่างเดียว คือสนใจในจิตใจหรือจิตมากกว่า จนพัฒนาต่อไปกระทั่งไปเป็นจิตนิยมที่งมงายหรือไสยศาสตร์ ตะวันตกที่มีแต่กายวัตถุจึงมีความเจริญก้าวหน้าทางกายภาพยิ่งนัก ซึ่งผิดเพราะความจริงนั้นต้องมีทั้งนามกับรูป หรือกายกับจิต จิตนั้นจะต้องไม่ใช่จิตนิยมที่งมงายหรือไสยศาสตร์อย่างว่า แต่จะต้องเป็น จิตวิญญาณ (spirituality) ที่จะนำไปสู่การตรัสรู้หรือนิพพาน.

http://www.thaipost.net/sunday/300510/22755

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น: ความทรงจำนอกมิติ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2465 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2744 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2051 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1995 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2048 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.382 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 22 เมษายน 2567 12:49:19