[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 02:31:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๐๑ ปัญจุโปสถิกชาดก : ฤๅษีกับสหายธรรม  (อ่าน 318 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 126.0.0.0 Chrome 126.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2567 14:19:27 »




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๒๐๑ ปัญจุโปสถิกชาดก
ฤๅษีกับสหายธรรม

         ในอดีตกาล ได้มีประเทศอันเป็นดงน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก อยู่ระหว่างพรมแดนแห่งแคว้นทั้งสาม มีแคว้นมคธ เป็นต้น  พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลในแคว้นมคธ เจริญวัยแล้วก็เบื่อทางโลกจึงเข้าป่า สร้างอาศรมบถบวชเป็นฤๅษี พำนักอาศัยอยู่ในที่ไม่ไกลอาศรมของท่าน นกพิราบกับภรรยาอาศัยอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง งูอาศัยอยู่ที่จอมปลวกจอมหนึ่งที่ละเมาะป่าแห่งหนึ่ง หมาจิ้งจอกอาศัยอยู่ที่ละเมาะป่าอีกแห่งหนึ่ง เหล่าหมีอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ทั้งสี่สัตว์เหล่านั้นต่างก็เข้าไปหาพระฤาษีฟังธรรมตามกาลอันเป็นโอกาส
          อยู่มาวันหนึ่ง นกพิราบกับภรรยาออกจากรังไปหากิน เหยี่ยวตัวหนึ่งจับนกพิราบตัวที่บินอยู่ข้างหลังแล้วบินหนีไป นกพิราบได้ยินเสียงร้องของนางนกพิราบนั้น เหลียวกลับมองดู เห็นนางนกพิราบนั้นกำลังถูกเหยี่ยวนั้นโฉบไป  ฝ่ายเหยี่ยวก็ฆ่านางนกพิราบนั้นทั้งๆ ที่กำลังร้องอยู่นั้นเอง ตายแล้วจิกกินเสีย  นกพิราบกลุ้มใจเพราะพลัดพรากจากนางนกนั้น ก็คิดว่าความรักนี้ทำให้เราลำบากเหลือเกิน คราวนี้เรายังข่มความรักไม่ได้ แล้วเลยไปสู่สำนักพระดาบส สมาทานอุโบสถเพื่อสงบจิตสงบใจอยู่ในบริเวณนั้น
          กล่าวถึงงู คิดจะแสวงหาเหยื่อออกจากที่อยู่ เที่ยวแสวงหาเหยื่อในสถานเป็นที่เที่ยวไปของแม่โคในบ้านชายแดน ครั้งหนึ่งโคผู้อันเป็นมงคลขาวปลอดของนายอำเภอ กินหญ้าแล้วนอนคุกเข่าที่เชิงปลวกแห่งหนึ่ง เอาเขาขวิดดินเล่นอยู่ งูก็กลัวเสียงฝีเท้าของแม่โคทั้งหลาย เลื้อยไปเพื่อจะเข้าจอมปลวกนั้น ทันใดนั้นโคผู้ก็เหยียบมันด้วยเท้า มันโกรธโคนั้นจึงกัดโคผู้ถึงสิ้นชีวิตตรงนั้นเอง พวกชาวบ้านได้ยินข่าวว่าโคผู้ตายแล้ว ทุกคนพากันมารวมกัน ร้องไห้บูชาโคผู้ตัวนั้นด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น พากันขุดหลุมฝังแล้วหลีกไป
          เวลาคนพวกนั้นกลับแล้ว งูก็เลื้อยออกมาคิดว่า เราอาศัยความโกรธฆ่าโคผู้ตัวนี้เสีย ทำให้มหาชนพากันเศร้าโศก ทีนี้เราข่มความโกรธนี้ไม่ได้แล้ว จักไม่ออกหากินและกลับไปสู่อาศรมนั้น นอนสมาทานอุโบสถเพื่อข่มความโกรธ  ฝ่ายหมาจิ้งจอกเที่ยวแสวงอาหาร เห็นช้างตายตัวหนึ่ง ดีใจว่าเราได้เหยื่อชิ้นใหญ่แล้ววิ่งไปกัดที่งวงได้เป็นเหมือนเวลากัดเสา ไม่ได้ความยินดีที่ตรงงวงนั้น กัดงาต่อไป ได้เป็นอย่างกัดแท่นหิน ปรี่เข้ากัดท้องได้เป็นอย่างกระด้ง ตรงเข้ากัดหางได้เป็นอย่างกัดสาก กรากเข้ากัดช่องทวารหนักได้เป็นเหมือนขนมหวาน มันตั้งหน้าขย้ำด้วยอำนาจความโลภ เลยเข้าไปอยู่ภายในท้อง เวลาหิวก็กินเนื้อในท้องนั้น เวลากระหายก็ดื่มเลือด เวลานอนก็นอนทับไส้และปอด มันคิดว่าทั้งข้าวทั้งน้ำมีเสร็จแล้วในที่นี้ที่เดียว แสนรื่นรมย์อยู่ในท้องช้างนั้นแห่งเดียว ไม่ออกข้างนอกเลย คงอยู่ในท้องช้างเท่านั้น ซากช้างก็แห้งลงด้วยลมและแดด ช่องทวารหนักปิด หมาจิ้งจอกนอนอยู่ภายในท้อง กลับมีเนื้อและเลือดน้อย ร่างกายผ่ายผอมมองไม่เห็นทางออก
          วันหนึ่งเมฆมิใช่ฤดูกาลให้ฝนตกช่องทวารหนักชุ่มชื้นอ่อนตัว ปรากฏช่องให้เห็น หมาจิ้งจอกพอเห็นช่องคิดว่า ลำบากนานนัก ต้องหนีออกช่องนิ้ให้จงได้ แล้วเอานิ้วดันช่องทวารหนัก เมื่อมันมีสรีระหยุ่นดันออกจากที่แคบโดยเร็ว ขนเลยติดอยู่ที่ช่องทวารหนักหมด มันมีตัวโล้นเหมือนจาวตาล หลุดออกมาได้มันคิดว่าเพราะอาศัยความโลภ ต้องเสวยทุกข์นี้ ทีนี้ข่มความโลภนอนสมาทานอุโบสถอยู่แถวนั้นเอง  
          กล่าวถึงหมีออกจากป่าแล้ว ถูกความอยากครอบงำยิ่ง จึงไปสู่บ้านชายแดนในแคว้นมัลละ พวกชาวบ้านได้ยินว่าหมีมาแล้ว ต่างถือธนูและพลองเป็นต้นพากันไปล้อมละเมาะที่หมีนั้นเข้าไป มันรู้ว่าถูกมหาชนล้อมไว้ จึงออกหนี เมื่อมันกำลังหนีอยู่นั้นเอง ฝูงชนพากันยิงด้วยธนู ตีด้วยพลอง มันหัวแตกเลือดไหลอาบไปที่อยู่ของตน ได้คิดว่าทุกข์นี้เกิดเพราะอำนาจความโลภ คือ ความอยากยิ่งของมัน ทีนี้ข่มความโลภคือความอยากยิ่งนี้ไว้มิได้ แล้วจักไม่หากินละ ไปสู่อาศรมนั้น สมาทานโอสถเพื่อข่มความอยากยิ่ง  ฝ่ายดาบสเล่า ก็อาศัยของตน ตกไปในอำนาจมานะ ไม่สามารถจะยังฌานให้บังเกิดได้
          ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งทราบความที่ดาบสนั้นมีมานะ กล่าวว่า สัตว์ผู้นี้มิใช่อื่นเลย ที่แท้เป็นหน่อเนื้อแท้พระพุทธเจ้า จักบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในกัลป์นี้เองแหละ เราต้องกระทำการข่มมานะของนี้เสียแล้ว กระทำให้สมาบัติบังเกิดจงได้ จึงมาจากป่าหิมพานต์ตอนเหนือ ขณะเมื่อดาบสนั้นกำลังนอนอยู่ในอาศรมนั้นเอง นั่งเหนือแผ่นกระดานหินของดาบสนั้น ดาบสนั้นออกมาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นนั่งเหนืออาสนะของตนก็ขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านแล้วตบมือตวาดว่า “ฉิบหายเถิด ไอ้ถ่อย ไอ้กาลกรรณี ไอ้สมณะหัวโล้น มึงมานั่งเหนือแผ่นกระดานของข้าทำไม”
          ครั้งนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวกับท่านว่า “พ่อคนดี เหตุไรพ่อจึงมีแต่มานะ ข้าพเจ้าบรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้วนะในกัลป์นี้เอง พ่อก็จักเป็นพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอกาลเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้าจักมีชื่อว่า สิทธัตถะ” บอกนามตระกูลโคตรและพระอัครสาวกเป็นต้น แล้วได้ประทานโอวาทว่า “พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะเป็นคนหยาบคายเพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย”
          ครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า เธอไม่รู้ความใหญ่หลวงแห่งชาติและความใหญ่โตแห่งคุณของเรา เธอสามารถก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา แล้วเหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าของตนลงในมณฑลชฎาของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม พอท่านไปแล้ว ดาบสถึงสลดใจคิดว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะเหมือนกัน มีสรีระหนักไปในอากาศได้ดุจปุยนุ่น ที่ทิ้งไปในช่องลม เพราะถือชาติเรามิได้กราบเท้าทั้งคู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นปานฉะนี้ มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร ขึ้นชื่อความชาตินี้จักกระทำอะไรได้ ศีลและจรณะเท่านั้นเป็นใหญ่ในโลกนี้ ก็แต่ว่ามานะของเรานี้แลจำเริญอยู่ จักพาไปหานรกได้ ทีนี้เรายังข่มมานะนี้มิได้แล้วจักไม่ไปหาผลาผลเข้าสู่อาศรมสมาทานโอสถเพื่อข่มมานะเสีย นั่งเหนือกระดานเลียบเป็นกุลบุตรผู้มีญาณใหญ่ ข่มมานะเสียได้ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดได้แล้ว จึงออกไปนั่งที่แผ่นกระดานหินท้ายที่จงกรม
          ครั้งนั้นมีนกพิราบพากันเข้าไปหาท่าน ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พระดาบสจึงถามนกพิราบว่า “ในวันอื่นๆ เจ้าไม่ได้มาเวลานี้ เจ้าคงไม่ได้หาอาหาร ในวันนี้เจ้าเป็นผู้รักษาอุโบสถหรือไฉนเล่า”
          นกพิราบเรียนว่า “ขอรับกระผม”
          ครั้งนั้นเมื่อท่านจะถามมันว่าด้วยเหตุไรเล่า กล่าวว่า “เพราะเหตุใดบัดนี้เจ้าจึงมีความขวนขวายน้อย ไม่ต้องการอาหาร อดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถ” นกพิราบได้ฟังดังนั้นแล้วได้กล่าวว่า “แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าบินไปกับนางนกพิราบ เราทั้ง ๒ ชื่นชมยินดีกันอยู่ในป่าประเทศนั้น  ทันใดนั้นเหยี่ยวได้โฉบนางนกพิราบไปเสีย ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากนางไป แต่จำต้องพลัดพรากจากนาง เพราะพลัดพรากจากนาง ข้าพเจ้าเสวยเวทนาทางใจ เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้ารักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า ความรักอย่าได้กลับมาหาเราอีกเลย”
          เมื่อนกพิราบแถลงอุโบสถกรรมของตนแล้ว ดาบสจึงถามงูเป็นต้นทีละตัวๆ แม้สัตว์เหล่านั้นก็พากันแถลงความจริง เมื่อจะถามงูกล่าวว่า “ผู้ไปไม่ตรง เลื้อยไปด้วยอก มีลิ้น ๒ ลิ้น เจ้ามีเขี้ยวเป็นอาวุธ มีพิษร้ายแรง เพราะเหตุไรเจ้าจึงอดกลั้นความหิวกระหายมารักษาอุโบสถ”
          งูกล่าวว่า “โคของนายอำเภอกำลังเปลี่ยว มีหนอกกระเพื่อมมีลักษณะงาม มีกำลัง มันได้เหยียบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าโกรธจึงได้กัดมัน มันก็ถูกทุกขเวทนาครอบงำถึงความตาย ณ ที่นั้น  ลำดับนั้น ชนทั้งหลายก็พากันหลีกไปไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้รักษาอุโบสถด้วยคิดว่า ความโกรธอย่าได้มาถึงเราอีกเลย”
          ดาบส เมื่อจะถามสุนัขจิ้งจอก จึงกล่าว่า “สุนัขจิ้งจอก เนื้อของคนที่ตายแล้วมีอยู่ในป่าช้าเป็นอันมาก อาหารชนิดนี้เป็นที่พอใจของเจ้า เพราะเหตุไรเจ้าจึงอดกลั้นความกระหายมารักษาอุโบสถ”
          สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า “สัตวฺทั้ง ๔ นั้นพรรณนาอุโบสถกรรมของตนอย่างนี้แล้ว ก็ชวนกันลุกขึ้นไหว้ดาบส เมื่อจะถามบ้างว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วันอี่นๆ ในเวลานี้ พระคุณเจ้าเคยไปหาผลาผล วันนี้เหตุไรพระคุณเจ้าจึงไม่ไปกระทำอุโบสถกรรมอยู่ จึงกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อความอันใด ท่านก็ได้ถามพวกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหมดก็ได้พยากรณ์ข้อความอันนั้นตามที่ได้รู้เห็นมา ข้าแต่ท่านผู้เป็นวงศ์พรหมผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าจะขอถามท่านบ้างละ เพราะเหตุไรท่านจึงรักษาอุโบสถเล่า”
          ฝ่ายพระดาบสนั้นก็แถลงแก่พวกนั้นว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง ผู้ไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส นั่งอยู่ในอาศรมของฉันครู่หนึ่ง ท่านได้บอกให้ฉันทราบถึงที่ไปที่มา นามโคตรและจรณะทุกอย่างถึงอย่างนั้น ฉันก็มิได้กราบไหว้เท้าทั้ง ๒ ของท่าน  อนึ่ง ฉันก็มิได้ถามถึงนามและโคตรของท่านเลย เพราะเหตุนั้นฉันจึงรักษาอุโบสถ ด้วยคิดว่า มานะอย่าได้มาถึงฉันอีกเลย”
          พระดาบสแถลงการณ์กระทำอุโบสถของตนอย่างนี้แล้วตักเตือนสัตว์เหล่านั้นส่งต่อไป กลับเข้าอาศรม สัตว์เหล่านั้นต่างพากันไปที่อยู่ของตน พระดาบสมีฌานไม่เสื่อม ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า สัตว์พวกนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่านได้ไปสวรรค์ตามๆ กัน
 

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ต่างคน ก็ต่างจิตต่างใจ”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
นานาทิฏฺฐิเก นานยิสฺสสิ เต
มนุษย์ทั้งหลายต่างความคิดความเห็นกัน
ท่านจะกำหนดให้คิดเห็นเหมือนกันหมดเป็นไปไม่ได้ (๒๗/๗๓๐)

ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดยธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 กรกฎาคม 2567 14:32:04 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.26 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้