ระยะทาง งบประมาณ การรอคอย: เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ของคนพิการศรีสะเกษ
<span>ระยะทาง งบประมาณ การรอคอย: เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ของคนพิการศรีสะเกษ</span>
<span><span>user8</span></span>
<span><time datetime="2024-08-28T17:17:10+07:00" title="Wednesday, August 28, 2024 - 17:17">Wed, 2024-08-28 - 17:17</time>
</span>
<div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>อรรถพล ศรีชิษณุวรานนท์ รายงาน
คชรักษ์ แก้วสุราช ถ่ายภาพ</p></div>
<div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><div class="summary-box"><ul><li>ที่ศรีสะเกษ การเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ด้วยข้อจำกัดทั้งด้านภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ พื้นที่จังหวัดชายแดนที่ห่างไกลทำให้คนพิการ 63,973 คนในจังหวัดนี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการที่จำเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากกรณีของผู้พิการที่ต้องใช้รถเข็นและขาเทียม ซึ่งชี้ว่าความลำบากในการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการเป็นปัญหาที่เร่งด่วน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างรุนแรง ซ้ำร้ายการเดินทางไกลเพื่อติดต่อศูนย์บริการกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการ ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง</li><li>ทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายกับการออกแบบนโยบายและการจัดการทรัพยากรเพื่อสนับสนุนคนพิการในพื้นที่ห่างไกล โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายอย่างการกระจายศูนย์ซ่อมและบริการเครื่องช่วยความพิการในชุมชน การสนับสนุนค่าเดินทางจากภูมิลำเนาเข้ามาติดต่อศูนย์บริการ การให้คนพิการเลือกเครื่องช่วยความพิการที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์จะทำให้คนพิการสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นและเป็นอิสระได้มากขึ้น #ท้องถิ่นสร้างสื่อสอบ</li></ul></div><p>หากกล่าวถึงดินแดนที่มีภูมิประเทศเป็นที่สูงแล้วลาดลงต่ำ อีกทั้งความหลากหลายทางภาษา อาทิ ภาษาลาว ภาษากูย ภาษาเยอ และภาษาเขมรถิ่นไทย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมรดกทางวัฒนธรรม ที่มีขนาดพื้นที่รวม 8,840 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 1.45 ล้านคน แบ่งเป็น 22 อำเภอ ซึ่งที่กล่าวมานี้คือจังหวัดศรีสะเกษในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย</p><p>ด้วยความหลากหลายและความกว้างใหญ่ของพื้นที่ อีกทั้งจำนวนประชากรราวล้านกว่าคน ด้วยความสงสัย ถ้าว่าด้วยเรื่องของคนพิการกับการเข้าถึงเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ คนพิการในพื้นที่นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากน้อยเพียงไร รวมถึงความเหมาะสมตรงตามความต้องการของคนพิการหรือไม่ และคุณภาพชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งในความหลากหลายไม่ว่าในมิติใด คนพิการต้องถูกกล่าวถึงเพราะเขาเหล่านั้นคือประชากรอีกกลุ่มของประเทศนี้ที่ไม่ควรหลงลืม</p><p>เมื่อดูสถิติรวมทุกประเภทความพิการที่จดทะเบียนคนพิการแล้วมีจำนวนรวมในพื้นที่มีถึง 63,973 คน แบ่งเป็น ชาย 32,315 หญิง 31,658 คน และจำนวนประเภทความพิการที่มีมากสุด เป็นความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายรวม 35,175 คน แยกเป็นชาย 16,614 คน หญิง 18,561 คน อ้างอิงตามสถิติข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤจิกายน 2567 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 (ที่มา: กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) เห็นได้ว่าความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกายมีจำนวนมากกว่าครึ่งของความพิการทุกประเภทที่อาจจะมีความจำเป็นในการใช้เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์</p><p>เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการนั้นอาจจะเป็นมากกว่าเครื่องช่วยหรืออุปกรณ์ แต่เปรียบเสมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่มาทดแทนอำนวยความสะดวกและช่วยลดข้อจำกัดจากความพิการ ให้สามารถใช้ศักยภาพของตนเองในการดำรงชีวิตลดการเป็นภาระการพึ่งพิงคนอื่นๆ ให้ลดน้อยลง</p><div class="note-box"><h3>เครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ คืออะไร?</h3><p>เครื่องช่วยความพิการ หมายถึงอุปกรณ์ภายนอกร่างกายที่ออกแบบสำหรับช่วยเหลือคนพิการในการดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างปกติหรือใกล้เคียงปกติตามศักยภาพ เช่น รถเข็นวีลแชร์ ไม้เท้า Walker เป็นต้น</p><p>กายอุปกรณ์ หมายถึงแขนขาเทียมที่ใช้ในความพิการแขนขาขาด ซึ่งมีชื่อเต็มคือกายอุปกรณ์เทียมและกายอุปกรณ์เสริม เช่น แขนขาเทียม เป็นต้น</p></div><h2>Day 1 จากกรุงเทพสู่ศรีสะเกษ</h2><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942408418_4eece7b5bf_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ชานชาลาสถานีรถไฟศรีสะเกษ</p><p class="text-align-center picture-with-caption"><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942493159_c5567e776a_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy">
ย่านร้านค้าหน้าสถานีรถไฟศรีสะเกษ</p><p>เราเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพผ่านถนนหมายเลข 24 มุ่งสู่ตัวเมืองศรีสะเกษ ร่วมเจ็ดชั่วโมงสี่สิบเจ็ดนาที ระยะทางรวม 565 กิโลเมตร ซึ่งดูเป็นการเดินทางที่ใช้เวลานานพอสมควร แต่นั่นเป็นหมุดหมายแรกของการเดินทางไปในครั้งนี้ เพื่อมาพบกับคนพิการหญิงสองคนแรกที่เดินทางมาจาก อ.เบญจลักษ์ เรานัดพบกันในตัวเมืองศรีสะเกษ หากจะกล่าวถึงการเข้าถึงสิทธิ์เครื่องช่วยความพิการ เช่น รถวีลแชร์ ที่นอนลมและเบาะลมกันแผลกดทับ ว่าเธอทั้งสองต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ถึงได้รับตามสิทธิ์ที่ควรได้ นั้นยาวนานเพียงใด และสิ่งที่ได้รับมีความเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งคุณภาพชีวิตนั้นเป็นอย่างไรหากมีเครื่องช่วยความพิการที่เหมาะสม และมีความต้องการอย่างไรในการสนับสนุนให้ชีวิตมีอุปสรรคน้อยลง</p><h2>เครื่องช่วยความพิการ
รถเข็นคันแรกกว่าจะเข้าถึงได้
และหลายคนอาจไม่ได้ใช้เพราะไม่เหมาะสม</h2><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53941256087_df040f476f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สมัย สวัสดีพ่อ</p><p>สมัย สวัสดีพ่อ ปัจจุบันอายุ 48 ปี ความพิการของเธอเริ่มเมื่อตอนอายุหนึ่งขวบ จากโรคโปลีโอทำให้ร่างกายช่วงใต้เอวลงไปลีบเล็ก จนไม่สามารถเดินเองได้ นับแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 20 ปี เธอยังไม่เคยได้รับรถเข็น (wheelchair) จากที่ไหนสักคันเลย การใช้ชีวิตในช่วงนั้นต้องคลานจนเข่าด้าน แต่เธอสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำอาหารและงานบ้านได้ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก </p><p>เธอเล่าให้ฟังว่าได้รับรถเข็นคันแรกเมื่อมีอายุ 21 ปีและมีครอบครัวแล้วโดยทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้ทำเรื่องส่งขอไปทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ส่วนจังหวัด (พมจ.) แต่กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลานานประมาณสองสามเดือน แต่เมื่อได้รับมาก็ไม่ได้ใช้เพราะคุณภาพไม่เหมาะสมกับตัวใช้ได้ไม่สะดวก มีน้ำหนักมาก คันใหญ่ ไม่สามารถเข็นเองได้ นั่งแล้วไม่มั่นใจ “คันนั้นที่ได้มาเข็นยากเป็นรถเข็นแบบของโรงพยาบาลที่เขาเข็นผู้ป่วย หนักเข็นเองไม่ได้นอกจากมีคนมาช่วย ไม่ค่อยสะดวกก็กลับมาคลานเหมือนเดิม เวลาใช้ก็ตอนที่มีธุระในเมืองถึงได้ใช้ต้องมีคนไปด้วยช่วยเข็น” สมัย กล่าว</p><p>ปัจจุบันนี้สำหรับ สมัย เป็นประธานชมรมการดำรงชีวิตอิสระคนพิการอำเภอเบญจลักษณ์ เวลาออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเธอนั่งรถที่ได้รับบริจาคมาจากประเทศญี่ปุ่น ที่บริจาคผ่านทางชมรมคนพิการเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เธอสามารถมีชีวิตอิสระได้มากขึ้นสะดวกขึ้น เวลาไปไหนก็ไม่ต้องพึ่งพิงใครเข็นเองได้เพราะน้ำหนักเบา การได้นั่งบนรถคันนี้ทำให้มั่นใจเวลาที่ต้องออกจากบ้าน ซึ่งนี่เป็นอีกภาพสะท้อนหากมีรถเข็นที่เหมาะสมกับสภาพความพิการ คุณภาพชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงไม่จมอยู่กลับที่เหมือนอดีตที่ผ่านมา </p><p>อย่างไรก็ตามรถเข็นคันนี้ก็มีปัญหาซ่อมบ่อย โดยเฉพาะในส่วนของยางในล้อเข็นด้านหลังและลูกปืนล้อ การซ่อมแซมหากเล็กน้อยที่บ้านยังพอช่วยแก้ไขให้ได้ ถ้าหากชำรุดเสียหายมากต้องเดินทางไปซ่อมในตัวอำเภอที่ห่างออกไปกว่า 20 กิโลเมตรหรืออาจต้องไปเมืองศรีสะเกษที่อยู่ห่างจากบ้านถึง 120 กิโลเมตร ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมาก ศูนย์ซ่อมรถเข็นพอมีในศรีสะเกษแต่การเดินทางลำบาก การที่ขนไปซ่อมไม่ได้ง่าย บางทียกไปแล้วไม่มีอะไหล่เสียเที่ยวเปล่า หรือบางทีต้องสั่งอะไหล่จากออนไลน์มา แล้วค่อยเอาไปซ่อมให้เขาเปลี่ยนอะไหล่ให้ ถึงตอนนั้นก็ไม่ได้นั่งรถต้องรอจนซ่อมเสร็จ</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942157026_943248ca62_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">รถเข็นของสมัย สวัสดีพ่อ</p><p>ปัจจุบัน สมัย มีรถเข็นไว้ใช้งานสองคัน เธอยังไม่เคยไปขอรับใหม่ เนื่องจากข้อมูลที่เธอรับรู้รถเข็นตามสิทธิในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อคนพิการในจังหวัดจึงต้องการให้คนที่ไม่เคยรับสิทธิ์ได้เข้าถึงก่อน “เคยคิดอยู่จะไปขอเบิกใหม่ตามสิทธิคนพิการ แต่ยังไม่เคยไปขอใช้สิทธิตรงนั้นเลย ของเรายังพอใช้ได้อยู่เลยอยากแบ่งให้คนอื่นๆ เบิกไปใช้ก่อน” สมัย กล่าวและว่า เธอจะช่วยให้ข้อมูลคนอื่นๆ ว่าสามารถไปเบิกได้ที่ไหน แล้วต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง อีกทั้งคอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกของเพื่อนคนพิการด้วยกันเพื่อช่วยลดขั้นตอนลดเวลา</p><h2>ที่นอนลมและเบาะลมกันแผลกดทับใบแรกได้มาตอนไหน </h2><p>สำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวนอกเหนือจากรถเข็นดีๆ ที่น้ำหนักเบา ที่นอนลมและเบาะลมสำหรับกันแผลกดทับเวลานอนและเวลานั่งรถเข็น นับได้ว่าเป็นสิ่งของอีกชิ้นที่มีผลต่อคุณชีวิตคนพิการต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยของสองชิ้นนี้หากต้องซื้อเองราคาค่อนข้างสูง สำหรับคนพิการและครอบครัวที่มีรายได้ไม่เพียงพอคงไม่สามารถเข้าถึงได้ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตอย่างแน่นอน อย่างกรณีของ</p><p>ณัฐนรี พงษ์บรรเทา เธอเป็นสมาชิกชมรมคนพิการหนองงูเหลือม อยู่ที่ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษณ์ ได้รับความพิการเนื่องจากถูกยิงกระดูกตัดไขสันหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 ทำให้เป็นอัมพาตตั้งแต่ใต้หน้าอกลงมาไม่สามารถขยับและเดินไม่ได้ ปัจจุบันเธอมีแผลกดทับรอบที่สองที่ยังไม่หายและกำลังรักษาอยู่ โดยปัจจุบันเธออายุ 53 ปี ไม่มีอาชีพและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน เนื่องจากมีแผลกดทับทำให้ต้องนอนบนเตียงตลอดเวลา ไม่มีที่นอนลมจึงต้องพลิกตัวและนอนคว่ำเพื่อลดการกดทับ การล้างแผลทำด้วยตัวเองและต้องซื้ออุปกรณ์เองทั้งหมด ไม่สามารถเบิกได้ แต่เธอยังช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น ย้ายตัวลงจากเตียง กวาดบ้าน ถูบ้าน และซักผ้าหากนั่งบนรถเข็น แต่ไม่สามารถนั่งได้ตลอดวันเพราะจะทำให้แผลแย่ลง เธอมีรายได้จากเบี้ยความพิการเดือนละ 800 บาท โดยมีพี่สาววัย 54 ปีคอยช่วยดูแล</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942493244_04e6047f6d_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ณัฐนรี พงษ์บรรเทา</p><p>ในปี พ.ศ. 2562 เธอเคยเป็นแผลกดทับเต็มก้น ต้องนอนโรงพยาบาลเบญจลักษ์นาน 3 เดือน และโรงพยาบาลศรีสะเกษอีก 1 เดือน ใช้เวลาหลายปีกว่าแผลจะหาย แต่ปัจจุบันแผลกดทับกลับมาอีกครั้ง โดยเธอยังคงนอนบนที่นอนธรรมดาเช่นเดิม เธอเล่าว่าที่นอนลมและเบาะลมมีผลต่อการป้องกันแผลกดทับ หากไม่มีเบาะลมนั่ง แผลจะเละ ตั้งแต่ถูกยิงและเดินไม่ได้ เบาะลมใบแรกเพิ่งได้รับในปีนี้ พ.ศ. 2567 ซึ่งได้มาจากชมรมคนพิการหนองงูเหลือมที่ช่วยขอให้จากโรงพยาบาลศรีสะเกษ หากต้องทำเรื่องเองคงไม่ได้เพราะค่าเดินทางสูงและต้องไปหลายรอบ</p><p>เธอมีรายได้เพียง 800 บาทต่อเดือนจากเบี้ยยังชีพผู้พิการ ซึ่งไม่พอจ่ายค่าเดินทาง โดยค่าเหมารถในอำเภอเบญจลักษ์ประมาณ 300 บาท หากไปโรงพยาบาลศรีสะเกษจะสูงถึง 1,000 บาท ทำให้เธอไม่สามารถเดินทางไปขอเบาะลมเองได้</p><p>ปัจจุบันที่นอนลมและเบาะลมยังไม่ถูกจัดเป็นเครื่องช่วยความพิการที่สามารถเบิกได้ แต่เธอเห็นว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันแผลกดทับ หากเกิดแผลกดทับแล้วจะทำให้การใช้ชีวิตยากขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดที่อาจถึงแก่ชีวิตได้</p><p>ในส่วนของรถเข็น เธอเล่าว่าตั้งแต่พิการได้รับรถเข็นคันแรกจากโรงพยาบาล ซึ่งใช้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน รวมถึงใช้สำหรับอาบน้ำ ทำให้รถเกิดสนิมและพังเร็ว เธอต้องเปลี่ยนรถเข็นทุกปี เนื่องจากไม่สามารถเบิกใหม่ได้หากไม่ครบ 5 ปี และการทำเรื่องเบิกใช้เวลานาน เธอจึงต้องซื้อรถเข็นเองหรือขอรับบริจาคจากผู้อื่น ซึ่งคุณภาพไม่คงทน</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942614245_b544290f95_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ณัฐนรี พงษ์บรรเทา</p><p>เธอหวังว่ารัฐบาลจะลดระยะเวลาการขอเบิกและปรับปรุงเงื่อนไขให้เหมาะสม เช่น เพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ และจัดตั้งศูนย์เบิกและซ่อมแซมเครื่องช่วยความพิการในชุมชน เพื่อช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนพิการที่มีรายได้น้อยและอยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้ดีขึ้น</p><h2>Day 2 จากตัวเมืองสู่อำเภอขุนหาญและอำเภอกันทรลักษ์</h2><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942408183_0a58f092e6_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942614070_65532bedf8_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ระหว่างทางในศรีสะเกษ</p><p>วันต่อมาเราเดินออกจากตัวเมืองศรีสะเกษผ่านถนนหมายเลข 2111 และถนนหมายเลข 221 ไปเพื่อไปพบคนพิการอีกสองคนที่ความพิการขาขาด ที่อยู่ในอำเภอขุนหาญและอำเภอกันทรลักษ์ โดยสองอำเภอนี้มีพื้นที่กับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา โดยที่แรกเราเดินทางไปอำเภอขุนหาญระยะทางจากตัวเมืองศรีสะเกษ 75 กิโลเมตร และออกจากอำเภอขุนหาญไปอำเภอกันทรลักษ์ ระยะทางอีก 42 กิโลเมตร </p><p>ในหลายจังหวัดอาจจะมีศูนย์บริการกายอุปกรณ์อย่างขาเทียม กระจายตัวครอบคุมถึงระดับอำเภอ แต่ในจังหวัดศรีสะเกษนั้นมีไม่ครอบคุมทุกอำเภอ อีกทั้งระยะทางถึงตัวจังหวัดก็ห่างไกลทำให้คนพิการในอำเภอที่อยู่ไกลจากตัวเมืองไม่ได้รับความสะดวกมากนัก หากแม้คนพิการบางรายมีรถส่วนตัว ค่าน้ำมันการเดินทางในปัจจุบันค่อนข้างสูง หรือการเช่าเหมารถก็แพงขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อครั้ง เมื่อขาชำรุดอาจจะไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ได้อย่างมีคุณภาพ อย่างกรณีของ สำรวย บุญลอด นั้นจึงกลายเป็นข้อจำกัด</p><h2>เข้าถึงกายอุปกรณ์(ขาเทียม)ได้ แต่สู้ค่าเดินทางไม่ไหว</h2><p>กรณีของสำรวย บุญลอด ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหนองบัวเลน ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ เธอเสียขาจากการเหยียบกับระเบิดในปี 2552 และได้รับขาเทียมครั้งแรกหลังจากรอประมาณ 3 เดือน ช่วงนั้นเธอต้องปรับตัวอย่างมากในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันและเดินด้วยความลำบาก</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942493044_e829e384bc_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สำรวย บุญลอด</p><p>ปัจจุบันสำรวยใส่ขาเทียมมาแล้ว 15 ปี และเปลี่ยนขาเทียมมาแล้วประมาณ 7 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งต้องใช้เวลาสองเดือนในการปรับตัวและแก้ไขขาให้เข้ากับร่างกาย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศรีสะเกษสูงถึง 1,000 บาทต่อครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหน่วยบริการย่อยของมูลนิธิขาเทียมในอำเภอขุนหาญ ทำให้เธอสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ไปใช้บริการได้ง่ายขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง</p><p>สำรวยเล่าว่าปัญหาหลักที่ทำให้ต้องเปลี่ยนขาเทียมบ่อยคือ การเสื่อมสภาพของฝ่าเท้ายาง ซึ่งส่งผลต่อการเดินและความสมดุล โดยเธอใช้ขาเทียมในการทำงานหนักทั้งในไร่และเป็นผู้ช่วยคนพิการในชุมชน ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้นเมื่อขาเทียมมีรูปลักษณ์และสีสันที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เธอกล้าที่จะแต่งตัวและใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942157231_10b32d3974_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p>เธอยังหวังว่าการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับคนพิการในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p><h2>ศูนย์ซ่อมแซมกายอุปกรณ์เทียมในชุมชน ภาพฝันที่อยากเห็น</h2><p>ด้วยระยะทางที่ไกลจากตัวเมือง หนึ่งในความต้องการหลักของกลุ่มคนพิการขาขาดคือการมีศูนย์ซ่อมแซมกายอุปกรณ์เทียมที่กระจายอยู่ในชุมชน แม้จะดูเป็นภาพฝันที่ห่างไกล แต่สำหรับวิชัย โภคพันธุ์ มันเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นจริงๆ
วิชัย โภคพันธุ์ อายุ 67 ปี อาศัยอยู่ที่บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เขาเป็นอดีตทหารพรานรุ่นแรกและทหารผ่านศึก ความพิการเกิดจากการเหยียบกับระเบิดขณะทำไร่ปลูกมันใกล้ชายแดนในช่วงปี 2523 หลังจากปลดจากทหารแล้ว ปัจจุบันเขายังคงทำไร่ทำนา และมีอาชีพรับจ้างเป็นงานหลัก นอกจากนี้ยังเป็นนักกีฬายิงปืนคนพิการของจังหวัดและทำงานอาสาช่วยเหลือเพื่อนคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53941255647_ab1288a68f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">วิชัย โภคพันธุ์</p><p>วิชัยเคยเปลี่ยนขาเทียมมาแล้วถึง 10 ขา โดยขาเทียมของเขายังมีส่วนประกอบจากไม้ซึ่งทนทานต่อการใช้งานในไร่และนา อย่างไรก็ตาม เมื่อไม้เสื่อมสภาพและผุพัง การซ่อมหรือเปลี่ยนขาใหม่แต่ละครั้งในอดีตต้องเดินทางไกลถึง 130 กิโลเมตรเข้าสู่ตัวเมือง แม้ว่าปัจจุบันจะมีศูนย์ซ่อมในอำเภอกันทรลักษ์ ทำให้เข้าถึงการซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น แต่การเดินทางยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคนพิการในพื้นที่ห่างไกล</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942408163_c0c486be35_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">วิชัย โภคพันธุ์ และขาเทียมของเขา</p><p>วิชัยสะท้อนว่าหากมีศูนย์ซ่อมและเบิกอุปกรณ์กายเทียมกระจายอยู่ในชุมชน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะหลายครอบครัวไม่มีรายได้มากพอจะรับภาระค่าเดินทางได้ บางคนไม่มีแม้แต่มอเตอร์ไซค์หรือรถส่วนตัว เขาเสนอว่า “ถ้าไม่มีช่างที่ทำขาเทียมได้ แค่มีช่างที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่พื้นขา สายเข็มขัด หรือซ่อมแซมเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าที่จะต้องเดินทางไกล” ความต้องการนี้เป็นการแสดงถึงความหวังที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนพิการในพื้นที่ห่างไกลให้ดีขึ้น</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>
เมื่อพิการ, ทำอย่างไรบ้านจึงจะน่าอยู่, 14 ธันวาคม 2566</li><li>
ฝ่าระเบียบและปัญหาสารพันในการเข้าถึงสิทธิของคนพิการ (ตอนจบ), 18 ธันวาคม 2566</li><li>
เคว้งคว้างอยู่กลางเมืองใหญ่ด้วยสถานะของ ‘คนไร้บ้าน’, 10 กุมภาพันธ์ 2567</li><li>
ธรรมาภิบาล กระจายอำนาจ ความหวังของ “คนไร้ที่พึ่ง” (1) กลับไม่ได้เพราะไม่มีบ้านให้กลับ, 16 พฤษภาคม 2567</li><li>
ธรรมาภิบาล กระจายอำนาจ ความหวังของ “คนไร้ที่พึ่ง” (2) ได้เวลาผ่าตัดความเหลื่อมล้ำ, 29 พฤษภาคม 2567</li></ul></div><p> </p><h2>สถานการณ์การเข้าถึงสิทธิ์ ผ่านมุมมององค์กรคนพิการในศรีสะเกษ</h2><p>ฤทธิชัย สดใส นายกสมาคมฟื้นฟูคนพิการ อำเภอกันทรลักษ์ ได้สะท้อนประสบการณ์จากการทำงานในพื้นที่ โดยหนึ่งในภารกิจหลักของสมาคมคือการให้ความสำคัญกับเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของพวกเขา หากคนพิการสามารถเลือกเครื่องช่วยได้เอง ก็จะลดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ส่งเสริมความมั่นใจ และช่วยลดการพึ่งพาครอบครัว ทำให้พวกเขามีชีวิตที่เป็นอิสระและมีศักดิ์ศรีมากขึ้น</p><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942157381_3d0e3017c8_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">ฤทธิชัย สดใส</p><p>ทางสมาคมฯ ให้ข้อมูลและช่วยเหลือคนพิการให้เข้าถึงสิทธิเฉลี่ย 20-30 คนต่อปี โดยใช้ 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ 1. สนับสนุนให้ข้อมูลและคำแนะนำ หากคนพิการสามารถไปดำเนินการเองได้ 2. ประสานงานกับท้องถิ่นให้ช่วยส่งต่อและสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิ และ 3. หากช่องทางแรกและสองไม่สำเร็จ สมาคมฯ จะดำเนินการพาคนพิการไปเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่ทำให้คนพิการไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ คือระยะทางและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น จากอำเภอกันทรลักษ์ไปยังศรีสะเกษ มีระยะทางไปกลับ 130 กิโลเมตร ค่าน้ำมันอาจสูงถึง 800-1,000 บาท และหากเหมารถ ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึง 1,500-1,700 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่ากิน และยังไม่มีความแน่นอนว่าจะได้รับเครื่องช่วยกลับมาในวันนั้น ทำให้บางคนยอมที่จะไม่ไปหาหมอเพราะค่าใช้จ่ายสูงและความไม่แน่นอนนี้</p><p>ฤทธิชัยได้เสนอแนวทางการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เช่น ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) และโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ใกล้บ้านเป็นผู้รับผิดชอบการเบิกและซ่อมอุปกรณ์กายอุปกรณ์ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและความลำบากในการเดินทาง โดยเฉพาะการวัดขนาดรถเข็นหรือการประเมินสภาพคนพิการที่สามารถทำได้ในระดับท้องถิ่น จากนั้นจึงส่งเรื่องต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ</p><p>นอกจากนี้ เขายังย้ำว่าคนพิการควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกเครื่องช่วยความพิการหรือกายอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเอง เพราะการใช้งานของแต่ละคนแตกต่างกัน การให้พวกเขาเลือกเครื่องช่วยที่ตรงตามความต้องการจะช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ได้รับสิ่งที่รัฐจัดให้เพียงอย่างเดียว</p><h2>สถานการณ์การเข้าถึงสิทธิ ผ่านมุมมองสถาบันสิรินธร</h2><p class="text-align-center picture-with-caption"><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942614310_b6a0794eb9_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy">
แพทย์หญิง วิชนี ธงทอง </p><p>หากเราย้อนไปดูต้นทางของคนทำงานเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์หลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องคุยกับสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูซึ่งถือเป็นหน่วยงานหลักในประเทศในเรื่องของการแจกจ่าย เราคุยกับ พญ.วิชนี ธงทอง รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ถึงทิศทางการทำงานในภาพรวมของนโยบายเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์สำหรับคนพิการว่าในมุมของคนทำงานเห็นปัญหาเรื่องไหนและอยากผลักดันในเรื่องอะไร</p><p>หมอสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการที่มีความแตกต่างกัน กายอุปกรณ์หมายถึงขาแขนเทียมที่ใช้ในผู้ป่วยแขนขาขาดส่วนรถวีลแชร์ปิดเครื่องช่วยความพิการเป็นอุปกรณ์ภายนอกที่ออกแบบสำหรับช่วยเหลือคนพิการในชีวิตประจำวันให้ใกล้เคียงปกติตามศักยภาพ การนิยามจึงสำคัญสำหรับการอ้างอิงรายการ อุปกรณ์การฟื้นฟูทางการแพทย์ แต่อุปกรณ์บางอย่างก็ไม่ได้อยู่ในรายการจึงทำให้เกิดอุปสรรคต่อการเบิกเช่นที่นอนเบาะลมที่ถูกจัดอยู่ในสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ใช่อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการในการดำรงชีวิตประจำวัน</p><p>“พอเป็นที่นอนลมก็จะถูกจัดเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก แต่พอดีว่ามันเพิ่มคุณภาพชีวิตดันไม่ใช่ เราก็ต้องไปโต้แย้ง เพราะมันไม่ใช่อุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการในการดำรงชีวิตประจำวันเค้าก็มองว่าที่นอนลมมันถูกวางไว้มันไม่ได้ช่วยให้เขาลุกขึ้นมาออกไปใช้ชีวิตประจำวันแต่อย่างใดก็แล้วแต่หมวดนี้เราก็โต้แย้งว่ามันเป็นกลุ่มอื่นๆ พอมันมีคำจำกัดความแล้วมันต้องสัมพันธ์กับความพิการ” พญ.วิชนี กล่าว</p><p>เมื่อพูดถึงสถานการณ์ของกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการในประเทศไทยหมอสะท้อนว่า จากสถิติปี 2565 ความต้องการของคนพิการที่ต้องใช้การอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลืออยู่ที่ร้อยละ 16.6 คิดเป็น 205,000 คน จากตัวเลขคนพิการที่จดทะเบียนและแฝงทั้งหมด 4,000,000 กว่าคน ซึ่งพิจารณาจากจำนวนตัวเลขพบว่าจำนวนที่มีความต้องการมากที่สุดเป็นกลุ่มเครื่องช่วยฟังรองลงมาคือกลุ่มไม้เท้าขาเดียวแว่นตาและรถเข็นวีลแชร์ ซึ่งโดยภาพรวมจะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่หากพิจารณาจากงบประมาณสถาบันสิรินธรใช้งบประมาณ 17 ล้านบาทต่อปี โดยมีที่มามาจากการตั้งเบิกกับสามกองทุน อันได้แก่ กองทุน สปสช. กรมบัญชีกลาง และประกันสังคม เฉลี่ยตกคนหนึ่ง 4,000 – 5,000 บาท เฉพาะงานกายอุปกรณ์เป็นงบที่โรงพยาบาลตั้งงบแล้วไปซื้ออุปกรณ์เพื่อเบิกตามสิทธิ</p><h2>งบประมาณที่ไม่พอ</h2><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942157046_1bb78e6a9f_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p>ในด้านของการจัดหางบประมาณสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูหมออธิบายว่ายังคงขาดแคลน หากพิจารณาจากรายชื่อที่รอได้รับกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปี 2567 จะต้องต้องใช้งบประมาณอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาท คิดเป็นประมาณเพียง 30% ของความต้องการทั้งหมด</p><p>พญ. วิชนี กล่าวอีกว่า “ย้อนหลังไปสามปีช่วงที่ไม่ใช่โควิดมันจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 ถึง 25 ล้าน บาทต่อปีเพราะฉะนั้นตอนนี้เราได้มา 30% จากความต้องการที่ขอซึ่งมันก็จะเป็นยอดสะสมด้วยนะพูดง่ายง่ายก็คือได้ 30% จาก 100 มาทุกปี... ก็ต้องยอมรับว่างบประมาณเป็นข้อจำกัดเพราะถามว่านอกจากเรื่องรายการที่บอกว่ายังไม่ทั่วถึงและยังไม่เข้าถึงทั้งสามกองทุนเป็นรายการเฉพาะเรื่องมูลค่าสูงอีกเรื่องหนึ่งคือว่างบประมาณของโรงพยาบาลซึ่งไปตั้งซื้อจัดซื้อเรื่องนี้ก็มีปัญหาเหมือนกัน”</p><h2>เงื่อนไขที่โรงพยาบาล(อื่น) ต้องเจอ</h2><p>ปัญหาเรื่องเครื่องช่วยความพิการและกายอุปกรณ์ไม่ได้มีแต่สถาบันสิรินธรที่เผชิญเท่านั้นหากพิจารณาโรงพยาบาลใหญ่ใหญ่ตามจังหวัดต่างๆก็เผชิญเงื่อนไขเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้างเช่นเดียวกับสถาบันสิรินธรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างเป็นจำนวนมากและรัฐไม่มีเงินมากพอที่จะสนับสนุน ซึ่งโรงพยาบาลอื่นๆมีเงื่อนไขต่างจากสถาบันสิรินธรตรงที่ไม่สามารถเบิกเงินจากกองทุนได้ เหมือนสถาบัน</p><p>รวมถึงปัญหาเรื่องการไม่มีพื้นที่ในการเก็บอุปกรณ์รวมถึงเจ้าหน้าที่ในการบริหารจัดการอุปกรณ์เหล่านั้นไม่มีหน่วยงาน Support เพราะโรงพยาบาลจะต้องตั้งหน่วยและบุคลากรขึ้นใหม่</p><p>เธอกล่าวว่า โรงพยาบาลส่วนใหญ่มักต้องใช้งบประมาณไปกับค่ายา ทำให้ไม่มีงบเพียงพอที่จะลงทุนในด้านการช่วยเหลือผู้พิการ เขาเสนอว่า รัฐควรเข้ามาสนับสนุนในเรื่องนี้ เนื่องจากการจัดหาเครื่องช่วยหรือกายอุปกรณ์จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก ซึ่งโรงพยาบาลไม่สามารถจัดหาได้เพียงพอ นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า การเพิ่มรายการอุปกรณ์อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่ควรมีการจัดตั้งหน่วยบริการเฉพาะทาง ที่คล้ายกับสถาบันสิรินธร แต่ควรกระจายตัวในหลายพื้นที่ เพื่อให้ผู้พิการในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น</p><p>“สำหรับโรงพยาบาลทั่วไปถ้าเป็นสิ่งของพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่ในสามกองทุนเค้าก็จะใช้วิธีว่ามีสต๊อกแล้วให้คนไข้ซึ่งก็ทำได้บางโรงพยาบาลซึ่งที่เหลือก็จะเป็นจากการไปตั้งซื้อทีละตัวหรือใช้วิธีสั่งแล้วไปเบิกข้างนอกมาซึ่งในสิทธิ์ของ สปสช ไม่ได้อำนวยเหมือนสิทธิ์ของราชการโดยระเบียบ” พญ. วิชนี กล่าว</p><p>เธอกล่าวว่า หากไปต่างจังหวัด จะเห็นว่าโรงพยาบาลไม่ได้สั่งซื้ออุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า แต่ต้องเขียนลิสต์และรอการแจกจ่ายทีหลัง ซึ่งไม่สามารถตำหนิโรงพยาบาลได้เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าฉุกเฉินอีกมากมาย ทำให้การจัดสรรงบประมาณทั้งหมดมาใช้กับเรื่องนี้เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งยังไม่มีพื้นที่สำหรับเก็บอุปกรณ์ จึงต้องมีเจ้าหน้าที่พัสดุคอยดูแลคลัง ซึ่งแตกต่างจากการผ่าตัดที่สามารถหยิบใช้ของได้ทันที
เธอเสนอว่าอาจจำเป็นต้องมีหน่วยพยาบาลเฉพาะทาง ที่ทำหน้าที่แทนโรงพยาบาลในการเก็บรักษาและจัดซื้ออุปกรณ์ เช่น ศูนย์สาธิตเครื่องช่วยความพิการที่มีอยู่ในบางสถาบัน หากโรงพยาบาลทุกแห่งมีหน่วยนี้ก็คงจะดี แต่การเชื่อมโยงหน่วยนี้กับบริการในกลุ่มงานฟื้นฟูอาจไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ระบบคลังเข้ามาดูแล ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับโรงพยาบาลที่จะต้องตั้งหน่วยงานและบุคลากรขึ้นมาใหม่ เธอยอมรับว่าหน่วยฟื้นฟูสามารถช่วยได้บ้าง แต่โรงพยาบาลก็มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำคัญในเรื่องนี้</p><h2>รายการกายอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างกัน</h2><img src="
https://live.staticflickr.com/65535/53942157496_27000dd3e7_k.jpg" width="2048" height="1365" loading="lazy"><p class="text-align-center picture-with-caption">สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ จ.นนทบุรี</p><p>หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการมีหน่วยกระจายกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยคนพิการคือ แต่ละกองทุนมีเงื่อนไขในการสนับสนุนงบประมาณที่แตกต่างกันตัวอย่างเช่น ถ้าคนพิการที่มีบัตรคนพิการก็จะใช้ลิสต์ของกรมการแพทย์เป็นพื้นฐาน แต่ในกองทุนอื่นก็จะมีลิสต์เป็นของตัวเอง หมอสะท้อนว่าควรมีการจัดทำลิสต์ที่คนหลากหลายกลุ่มสามารถเข้าถึงได้โดยเฉพาะอุปกรณ์ มูลค่าสูงซึ่งเป็นข้อจำกัดของโรงพยาบาลจังหวัดในห








