[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 09:18:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ ยอดแห่งปณิธาน  (อ่าน 3516 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5069


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553 08:25:45 »


 
 
บันทึกการสนทนาของ..พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก
 
 
 
คืนวันมาฆบูชา (28 กุมภาพันธ์ 2553)
 
 
 
 
 
 
 
หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว และพระเมตไตรยพุทธเจ้ายังมิเสด็จมาตรัสรู้ สรรพสัตว์ดุจว่าไร้ซึ่งที่พึ่ง แล้วใครเล่าที่ที่รับภาระแบกรับสรรพสัตว์ในชมพูทวีปต่อจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งก็คือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระศาสดาทรงมอบพวกเราให้กับพระกษิติครรภ์ ดังนั้นพวกเราจึงต้องรู้จักและเข้าใจพระโพธิสัตว์องค์นี้ เพราะด้วยความรู้จักและเข้าใจจึงทำให้เกิดความศรัทธา สิ่งแรกจะต้องรู้จักความหมายของคำว่า “กษิติครรภ์” เสียก่อน คำว่า “กษิติ” (地) คือ แผ่นดิน ความหมายของดินตามพระนามของพระโพธิสัตว์คือ สงบขันติประดุจมหาปฐพี 「安忍不動,猶如大地。」และคำว่า “ครรภ์” (藏) คือลุ่มลึกประดุจคลัง 「靜慮深密,猶如秘藏。」
 
 
 
 
 
 
 
สงบขันติประดุจมหาปฐพี แสดงถึงอำนาจสมาธิฌานของพระกษิติครรภ์ เมื่อท่านออกจากสมาธิฌานจึงทำให้เกิดฤทธิ์ ได้นิรมาณกายหรือแบ่งกายไปมีจำนวนนับแสนโกฏิ (1 โกฏิ คือ สิบล้าน) บรรดาโลกต่างๆ ไม่มีประมาณในจักรวาลที่มีนรก พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็แบ่งกายไม่มีประมาณไปยังนรกเหล่านั้นเพื่อโปรดสัตว์ และบรรดาพุทธเกษตรต่างๆ ไม่มีประมาณในจักรวาล พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็แบ่งกายไม่มีประมาณไปยังพุทธเกษตรเหล่านั้น แต่ละกายหนึ่งๆ ที่แบ่งภาคไปนั้นก็สามารถโปรดสัตว์จำนวนไม่มีประมาณ
 
 
 
“ลุ่มลึกดุจคลัง” หมายถึงเพราะความประณีตแห่งสมาธิฌานของพระกษิติครรภ์จึงทำให้เกิดปัญญาญาณ เมื่อมีปัญญาญาณ จึงสาสารถแล้วพุทธธรรมต่างๆ โปรดสัตว์ประเภทต่างๆ แต่หากจะอธิบายความหมายของคำว่า “กษิติครรภ์โพธิสัตว์” ง่ายๆ นั้นก็คือสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดและเติบโตโดยอาศัยดิน และดินก็ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง พื้นมหาปฐพีมีความเสมอภาคต่อสรรพสัตว์ คือไม่เคยลำเอียงเลย ไม่ว่าสิ่งสวยงามน่ารักก็เติบโตบนพื้นดิน สิ่งน่ารังเกียงกรวดหินก็ตั้งอยู่และเกิดจากพื้นดิน พระโพธิสัตว์ก็แบบนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี พระโพธิสัตว์ก็แลมองด้วยสายตาแห่งเมตตาเท่าๆ กัน
 
 
 
คำว่า “กษิติ” หรือพื้นดินไม่เพียงแต่รองรับสิ่งสวยงามหรือสกปรกน่ารังเกียจเท่านั้น แม้แต่เพชร ทอง อัญมณีต่างๆก็เกิดจากพื้นดิน แต่พื้นดินก็ไม่ได้มีจิตยินดี หากพวกท่านขับถ่ายลงบนพื้นดิน พื้นดินก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจแต่ประการใด พระโพธิสัตว์ก็แบบนี้ ที่ไม่ว่าจะสดุดีชื่นชม ท่านก็ไม่เกิดจิตยินดี แม้จะด่าว่าพระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่เคืองโกรธหรือต่ำต้อยน้อยใจ
 
 
 
คำว่า “ครรภ์” หรือคลังสมบัติ ก็คือ ใต้พื้นมหาปฐพีนี้มีคลังมหาสมบัติซ่อนอยู่มากมาย เพื่อชุบเลี้ยงสรรพชีวิต เช่น ดอกไม้ ต้นไม้ พืชพรรณ ธัญญาหาร ล้วนเกิดจากคลังสมบัติคือแร่ธาตุภายในดิน มนุษย์เองก็ถือเอาทอง เงิน รัตนชาติเป็นคลังสมบัติ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นี้มีคลังสมบัติแห่งบุญกุศลบารมีมากมายประมาณไม่ได้ เพื่อยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ พวกเราทั้งหลายหากต้องการความแข็งแรง ความมีอายุยืน ความร่ำรวย ก็จะได้ตามนั้น เหตุนี้จึงได้ชื่อว่า “ครรภ์” หรือ “คลังสมบัติ”
 
 
 
คำว่า “โพธิสัตว์” เป็นคำบาลี-สันสกฤต คำว่า “โพธิ” คือมรรค คือธรรม “สัตว์” ก็คือจิต หรือสิ่งมีชีวิตที่มีใจครอง ดังนั้น “โพธิสัตว์” จึงแปลได้ว่า “สิ่งมีชีวิตที่มีธรรม สิ่งมีชีวิตที่ตื่นจากกิเลส” ก็ได้ ความรู้ตื่นจากกิเลสหมายถึงพุทธมรรค สิ่งมีชีวิตก็คือสรรพสัตว์ แปลโดยรวมอีกอย่างคือ “สรรพสัตว์ผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่ ที่ปรารถนาพุทธภูมิ”
 
 
 
โพธิสัตว์ตามคติมหายานยังแบ่งเป็นฝ่ายบรรพชิตผู้ออกบวช กับฆราวาสผู้ครองเรือน อย่างเช่น ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ในวิมลเกียรตินิทเทสสูตร ท่านก็เป็นคฤหัสถ์โพธิสัตว์ คือเป็นผู้ครองเรือนพร้อมๆไปกับการประพฤติตนเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่า ท่านวิมลเกียรตินี้เป็นพระโพธิสัตว์ชั้นสูง ที่มาจากอภิรตีโลกธาตุด้านทิศตะวันออกของพระอักโษภยะพุทธเจ้า ที่ปรากฏกายเป็นคหบดียังโลกของเรานี้ เพื่อมาช่วยพระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดสัตว์ หากเราท่านไม่มีปัญญา ขันติเสมือนท่านวิมลเกียรติ ก็จะต้องระวังการโปรดสัตว์ในสังคมโลกีย์ มิเช่นนั้น ตนเองจะแพ้หรือไม่เท่าทันกิเลส และตกสู่ห้วงโลกีย์เสียเอง แต่หากว่าเราท่านยังไม่บรรลุธรรมที่ไม่เสื่อมถอยอย่างแท้จริงแล้ว ทางที่ดีก็ควรจะห่างไกลจากวัตถุ หรือสิ่งเย้ายวนทางโลกีย์ต่างๆ ตั้งมั่นอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาตามขั้นตอนดีกว่า
 
 
 
เมื่อสมัยที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังประทับในโลก ก็มีบรรพชิตโพธิสัตว์มากมาย อย่างเช่น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นต้น ท่านเหล่านั้นก็ทรงศีล ทรงธรรมอยู่ท่านกลางหมู่สงฆ์สาวกเช่นกัน ทุกพระองค์เหล่านั้นต่างก็ต้องออกบวชเสียก่อน ถึงจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้
 
 
 
ในคัมภีร์กษิติครรภ์ทศจักรสูตร (地藏十輪經) กล่าวว่า “บรรดาพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายในอดีต ปัจจุบันและอนาคต เพื่อยังประโยชน์ให้หมู่สัตว์ จึงพยายามธำรงรักษา 2 สิ่งคือ 1.เพื่อสืบสายพระรัตนตรัย ทำให้พระรัตนตรัยไม่ขาดสิ้น จึงสละเรือนแล้วออกบวช แล้วนุ่งห่มผ้าย้อมฝาดของพระศาสดา 2.เพื่อธำรงรักษาศรัทธาแห่งยานทั้ง 2 คือ เถรวาทและมหายาน 2 ประการนี้ มีเพียงพระพุทธเจ้า มหาโพธิสัตว์ และบุคคลที่มีจิตใจยิ่งใหญ่ จึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าท้าวมหาพรหมและพระเจ้าจักรพรรดิจะทำได้โดยง่าย” พวกเราทั้งหลายจึงควรตระหนักถึงเหตุปัจจัยในปัจจุบันของตนเอง ที่ไม่ว่าจะออกบวชหรือครองเรือน ก็ควรจะมีศีล เพียรปฏิบัติธรรมให้ดี
 
 
 
ในพระสูตรกล่าวยกย่องพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ว่า “กษิติครรภ์ราชา” หรือ ตี่จั้งอ้วง (地藏王)อ คำว่า “ราชา” หมายถึงผู้เป็นอิสระยิ่งใหญ่ หมายความว่าพระกษิติครรภ์ได้บรรลุธรรมสูงสุด ถึงมหาวิมุตติแล้ว เราทั้งหลายยังไม่พ้นจากวัฏสงสาร จึงเรียกว่ายังไม่เป็นอิสระ แต่พระกษิติครรภ์นั้นท่านเป็นอิสระจากวัฏสงสารแล้ว หากท่านต้องการมายังโลกมนุษย์เวลาใดก็ย่อมได้ จะไปเมื่อไรก็ย่อมได้ เข้าออกวัฏสงสารได้อย่างอิสรเสรี
 
 
 
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ปรากฏกายในภูมิมนุษย์ เทวดา เปรต นรกอยู่เสมอ หากถามว่าท่านปรากฏกายแบบใด ท่านก็ปรากฏกายในรูปของผู้ออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด มือข้างหนึ่งถือดวงแก้ว อีกข้างหนึ่งถือ คฑาธุดงค์ ดั่งคำว่า “แก้วมณีโชติสว่างถึงเทวมณเฑียร สุวรรณคฑาเบิกนรกทวาร” 「明珠照徹天堂路,金錫鎮開地獄門。」พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เพื่อจะทำให้สรรพสัตว์เคารพและเลื่อมใสพระรัตนตรัย จึงปรากฏกายในรูปของพระสงฆ์
 
 
 
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้มายังโลกมนุษย์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งท่านมาถือกำเนิดในตระกูลของพระราชาแห่งเมืองซินหลั่ว (新羅國) หรือประเทศเกาหลีในปัจจุบัน ตระกูล “จิน” พระนามว่า “เฉียวเจวีเย๋” (金喬覺) เมื่อพระชนมายุ 24 พรรษาทรงออกผนวชแล้วเสด็จมายังภูเขาเก้ายอด
(九華山) ประเทศจีนพร้อมกับสุนัขสีขาวตัวหนึ่งชื่อ “ซ่านทิง” (善聽) ท่านเห็นว่ายอดเขาทั้ง 9 นี้ มีลักษณะเหมือนดอกบัวและเป็นสัปปายะเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม จึงได้พักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ยามกระหายน้ำก็ดื่มน้ำจากป่า ยามหิวก็เสวยดินละเอียดสีขาวชนิดหนึ่ง (ชาวพื้นเมืองจิ่วหัวซานเรียกว่า ดินกวนอิม) นำมาคลุกกับข้าวแล้วต้ม ต่อมามีคนมาพบพระกษิติครรภ์อยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าท่านมีความเป็นอยู่ยากลำบากยิ่งนัก จึงปรึกษาชาวบ้านว่าจะสร้างวัดขึ้นแห่งหนึ่ง
 
 
 
สมัยนั้นที่เขาเก้ายอด มีคหบดีผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาชื่อ “หมิ่นกง” (閔公) ใจบุญสุนทาน เลี้ยงพระคราวใดก็ต้องนิมนต์พระกษิติครรภ์มาด้วยทุกครั้ง เมื่อได้ยินว่าพระกษิติครรภ์จะสร้างวัด ตนเองจึงสมัครใจจะถวายที่ดินให้ ท่านหมิ่นกงจึงถามพระกษิติครรภ์ว่าต้องการที่ดินในการสร้างวัดเท่าใด พระกษิติครรภ์ตอบว่า “ต้องการที่ดินขนาดเท่าจีวรผืนเดียว” เมื่อท่านหมิ่นกงมองๆ ดูแล้วเห็นว่าจีวรผืนหนึ่งก็ไม่กี่ฟุต แต่เมื่อขึงกางจีวรออกแล้ว ก็ปกคลุมไปทั่วเขาทั้งเก้ายอด เมื่อท่านหมื่นกงเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเป็นฤทธิ์ของอริยสงฆ์โดยแท้ ท่านจึงจัดแจงถวายเขาทั้งเก้ายอดให้พระกษิติครรภ์ เมื่อชาวเมืองซินหลั่ว รู้ข่าวว่าราชบุตรเมืองของตนมาบำเพ็ญธรรมที่เขาเก้ายอดก็เดินทางมาติดตามพระภิกษุกษิติครรภ์เป็นจำนวนมาก
 
 
 
เวลานั้นบุตรชายของท่านหมิ่นกงก็ออกบวชติดตามพระกษิติครรภ์ด้วย มีธรรมฉายาว่า “ภิกษุเต้าหมิง” (道明和尚) อีกไม่ช้านาน ท่านหมิ่นกงก็ออกบวชโดยกราบบุตรของตนเองเป็นอาจารย์ ดังนั้นเราจึงเห็นข้างๆ รูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีพระภิกษุหนุ่ม และคหบดีหนวดเครายาวยืนอยู่ซ้ายขวา
 
 
 
พระภิกษุกษิติครรภ์ได้เป็นผู้นำสาธุชนจำนวนมากปฏิบัติธรรมที่เขาเก้ายอดเป็นเวลา 75 ปี เมื่อพระกษิติครรภ์มีพระชนมายุได้ 99 พรรษา ในคืนวันที่ 30 เดือน 7 ตามจันทรคติจีน (潤七月三十日) ท่านได้ดับขันธ์ลง ภูเขาเก้ายอดของประเทศจีนจึงเป็น 1 ใน 4 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของจีนมาจนถึงปัจจุบัน
 
 
 
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยังมีอีกพระนามคือ “ผู้ปลอบประโลมหมู่สัตว์” (善安慰說者) ท่านสามารถใช้วิธีการที่แยบคาย สามารถอธิบายอรรถะข้อธรรมที่ยากให้ง่าย และสามารถนำพาผู้เริ่มศึกษาการเป็นโพธิสัตว์ให้พวกเขามีจิตที่ไม่ท้อถอยอีกด้วย
 
 
 
พระกษิติครรภ์ก็เหมือนกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า ที่มีปณิธานจะมาโปรดสัตว์ในโลกแห่งความเสื่อม พระกษิติครรภ์นี้ท่านมีน้ำพระทัยยิ่งใหญ่นัก ยิ่งโลกเสื่อมและสกปรกเท่าใดท่านยิ่งต้องการไปเท่านั้น สัตว์โลกยิ่งมีกรรมชั่วหนักหนาเท่าใดท่านยิ่งต้องการไปโปรดเท่านั้น เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในโลกแห่งความเสื่อมนี้แล้ว ดังนั้นพระกษิติครรภ์จึงเป็นผู้สืบต่อภาระจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้วโดยชอบอย่างยิ่ง ในกษิติครรภ์มูลปณิธานสูตร (地藏菩薩本願經) กล่าวว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงมอบพวกเราทั้งหลาย ให้กับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เราจึงวางใจได้
 
 
 
อันที่จริงนั้น แม้พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงมอบพวกเราให้พระกษิติครรภ์ พระกษิติครรภ์ก็ได้โปรดสัตว์อยู่ในสหาโลกธาตุแห่งนี้มาแล้ว 11 กัลป์ (พระอมิตาภะพุทธะตรัสรู้มาแล้ว 10 กัลป์) การโปรดสัตว์ของพระกษิติครรภ์นั้น พระสูตรกล่าวว่า มีแต่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เท่านั้นที่เทียมเท่าได้ นอกจากพระมหาโพธิสัตว์ 2 องค์นี้แล้ว ก็ไม่มีโพธิสัตว์องค์ใดเลยที่เทียบเท่าได้
 
 
 
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีปณิธานหรือความตั้งใจมั่นว่า “เมื่อโปรดสรรพสัตว์หมดสิ้นแล้วจึงจะสำเร็จโพธิญาณ หากนรกยังไม่ว่างจะไม่ขอสำเร็จพุทธผล” 「眾生度盡方証菩提,地獄未空誓不成佛。」ข้อนี้ทำให้รู้ว่าความตั้งใจของพระกษิติครรภ์ในการที่จะโปรดสัตว์นั้น ไม่จำเพาะเจาะจงอยู่แต่โลกแห่งนี้ แต่ไปทั่วโลกธาตุต่างๆ ไม่มีที่จำกัดและสิ้นสุด ดังนั้นจึงขนานนามพระองค์ว่า “พระมหาปณิธานกษิติครรภ์ราชาโพธิสัตว์” (大願地藏王菩薩)
 
 
 
เมื่อครั้งที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงกษิติครรภ์มูลปณฺธานสูตรที่ดาวดึงส์สวรรค์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยปัญญา พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยจริยาวัตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยกรุณา ต่างก็มาอนุโมทนาสาธุการ ข้อนี้เป็นเพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์คือ “มหาปณิธานราชา” หรือผู้เป็นใหญ่แห่งปณิธาน (大願王) ความหมายคือ มหาปณิธานนั้นคลอบคลุมไปทั้งมหาปัญญา มหาจริยาวัตร และมหากรุณา เมื่อมีมหาปัญญา มหาจริยาวัตร และมหากรุณาแล้วจึงสามารถประกาศมหาปณิธานได้ ความยิ่งใหญ่ทั้ง 3 นี้จะขาดสิ่งใดไม่ได้ หากคนไม่มีปัญญา เขาก็จะมีกิเลสมาก ทุกวันตนเองก็ได้แต่สั่งสมสิ่งเศร้าหมองของจิตไม่รู้ ไม่คิดจะขจัดสิ่งนั้นออกไป ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่เห็นโทษของกิเลสจึงทำให้จมกองทุกข์ยิ่งขึ้น จนยากที่จะถอนตัว คนแบบนี้จะมีปณิธานจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้อย่างไร ,หากมีปณิธานตั้งใจจะช่วยเหลือสรรพสัตว์แต่ผู้ไม่ปฏิบัติโพธิสัตวธรรม ความหวังนั้นก็เป็นจริงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อประกาศปณิธานแล้วจึงต้องประพฤติโพธิสัตวจริยา และหากไม่มีจิตเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่เป็นพื้นฐาน ผู้นั้นก็จะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เพื่อสรรพสัตว์ไม่ได้เลย
 
 
 
ในมหาปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงมีทั้งมหาปัญญา มหาจริยา มหากรุณารวมอยู่พร้อม ทั้งยังมีความอาจหาญ พากเพียร ไปยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์อื่นๆ ในคัมภีร์กษิติครรภ์ทศจักรสูตรปริเฉทที่ 1 ได้กล่าวเปรียบเทียบอานิสงค์ไว้ดังนี้ …
 
 
 
“ พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูก่อนกุลบุตร สมมุติว่ามีบุคคลหนึ่ง ได้มีจิตเลื่อมใส เคารพบูชา นอบน้อมเป็นที่พึ่ง ภาวนาถึง และตั้งจิตอธิษฐานต่อเมตไตรยะ มัญชุศรี อวโลกิเตศวร สมันตภัทร และมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มีจำนวนเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา อยู่ตลอดเวลาหนึ่งร้อยกัลป์ กุศลนั้นก็ยังไม่เท่ากับอีกบุคคลหนึ่ง ที่มีจิตเลื่อมใส เคารพบูชา นอบน้อมเป็นที่พึ่ง ภาวนาถึง ตั้งจิตอธิษฐานต่อกษิติครรภ์โพธิสัตว์ แม้เป็นเวลาเพียงการบริโภคอาหารมื้อหนึ่ง ความปรารถนาทั้งปวงที่มีอยู่ในใจ ก็จะสำเร็จอย่างรวดเร็ว
 
 
 
เหตุไฉนนั้นฤๅ เพราะกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ยังประโยชน์ และความผาสุกแก่หมู่สัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก จึงทำให้ความปรารถนาทั้งหลายของหมู่สัตว์ได้สมบูรณ์พร้อม เป็นดุจแก้วจินดามณี แลดุจคลังมหาสมบัติ เพราะโพธิสัตว์องค์นี้ปรารถนาจะสั่งสอนหมู่สัตว์ทั้งหลาย มีปณิธานและกรุณาที่ยิ่งใหญ่มานานแสนนาน มีความกล้าหาญและพากเพียรยิ่งนัก มากกว่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เธอทั้งหลายพึงสักการะบูชาเถิด”
 
 
 
เหตุผลที่มีอานิสงค์เช่นนี้ อ้างตาม กษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร ตอนหนึ่งว่า …
 
 
 
“พระเมตไตรยะ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระสมันตภัทร ซึ่งล้วนแต่เป็นมหาโพธิสัตว์ ปณิธานของแต่ละพระองค์นั้น ยังมีที่สิ้นสุดลงได้ แต่ปณิธานของพระกษิติครรภ์นั้น ไม่มีสิ้นสุด อานิสงค์จึงหาประมาณไม่ได้ ไปตามกำลังของปณิธาน ”
 
 
 
น่าสังเกตอย่างหนึ่งที่ว่าการเลื่อมใสสักการะพระกษิติครรภ์ แล้วจะได้รับผลบุญมากมายกว่าการกราบไหว้พระโพธิสัตว์อื่นๆ คือ สัตว์ในนรกหรืออบายภูมินั้น ล้วนแต่เป็นผู้มีกรรมหนัก ขึ้นชื่อว่าเกิดในอบายแล้ว ก็ย่อมหาความเจริญไม่ได้ เป็นผู้โง่เขลา สอนยาก เพราะกรรมเก่ามาปิดกั้นปัญญาให้เห็นธรรมยาก แต่พระกษิติครรภ์ก็ยังมีกรุณาไพศาล เลือกที่จะไปโปรดสัตว์ในภพภูมิเหล่านี้ ด้วยความอดทนและวิริยะ ท่านใช้อุปายะหรือวิธีการมากมายเพื่อโปรดสัตว์นรกเหล่านั้น จึงเรียกได้ว่า งานของพระกษิติครรภ์นั้นยากกว่างานอื่นๆ หลายเท่านัก ในพระสูตรว่า ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายถามพระกษิติครรภ์ว่า “เหตุใดท่านถึงลงไปโปรดสัตว์ในนรก พระกษิติครรภ์ตอบว่า หากเราไม่ไปแล้วใครจะไป” ซึ่งถือเป็นคำตอบที่สั้นๆ แต่ได้ใจความ
 
 
 
ปัจจุบันมนุษย์โลกแม้จะได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม ได้มีโอกาสถือศีล ขัดเกลากิเลส ฝึกสติตามรู้ตามดูกายและจิต ให้เห็นตามเป็นจริง แต่หลายท่านก็ยังประมาทอยู่ ยังนึกกันว่าเรายังมีเวลาอีกมาก หากความตายมาถึงเราแล้วก็จะไม่ทันการ ต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นภาระของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อีก
 
 
 
 
 
 
 
ข้อนี้คือเหตุผลที่ว่า หาใช่พระมหาโพธิสัตว์อื่นๆ จะด้อยกว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ แต่ว่ามหาปณิธานของพระกษิติครรภ์ เป็นเลิศกว่าปณิธานของโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ดั่งคำที่ว่า ความกรุณาของพระอวโลกิเตศวร เป็นเลิศกว่ากรุณาของโพธิสัตว์ทั้งปวง ปัญญาของพระมัญชุศรีเป็นเลิศกว่าปัญญาของโพธิสัตว์ทั้งปวง แต่ละพระองค์ล้วนเสมอภาคกัน หมู่สัตว์ย่อมมีจิตศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ตามจริตอัธยาศัยของตน ซึ่งจะได้รับมหากุศลที่ไม่มีประมาณทั้งสิ้น
 
 
 
 
 
 
 
“เมื่อโปรดสรรพสัตว์หมดสิ้นแล้วจึงจะสำเร็จโพธิญาณ หากนรกยังไม่ว่างจะไม่ขอสำเร็จพุทธผล” เพราะเหตุปัจจัยอะไรจึงทำให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ขอให้พวกเราไปอ่านกษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร ซึ่งมีกล่าวบรรยายไว้อย่างละเอียด พระกษิติครรภ์ไม่ได้ประกาศปณิธานว่า “โปรดสัตว์จนนรกว่าง” มาแค่ชาติเดียว หรือสองชาติ แต่ท่านประกาศปณิธานแบบนี้มาหลายชาติประมาณไม่ได้
 
 
 
เพราะพระกษิติครรภ์พบเห็นสัตว์ที่ทำบาป ชาตินี้ทำกรรมชาติถัดไปก็ได้รับทุกข์ เมื่อชาติที่รับทุกข์ก็ยังทำกรรมอีก ทำให้ชาติถัดๆไปก็ต้องรับกรรมอีกไม่จบสิ้น บาปและทุกข์ของสรรพสัตว์ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย ยกตัวอย่างให้ชัดเจนคือ มีคนขี้โมโหหงุดหงิดมาก ชาติหน้าเขาจะได้รับผลกรรมทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ และเมื่อชาติที่เขาเกิดมามีหน้าตาไม่น่ารักแล้ว นิสัยขี้โมโหและฉุนเฉียวก็ยังอยู่ หากเขาเห็นคนสวยคนหล่อ ก็เกิดจิตคิดจะทำร้าย จึงทำให้ในชาติที่สามถัดไปอีก ก็ต้องมีรูป่างหน้าตาที่น่ารังเกียจอย่างเดิม หากเขาไม่ระงับความโกรธ ความขี้โมโห ความแค้นอาฆาตให้ได้ในชาตินี้ ก็จะเป็นนิสัยเบื้องลึกให้โทษแก่ตัวเองไม่มีที่จบสิ้น หนักเข้าก็ต้องตกสู่นรกภูมิ เมื่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เห็นสรรพสัตว์เป็นทุกข์และมีบาปที่ไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ ท่านก็จึงประกาศปณิธานจะโปรดสรรพสัตว์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่สิ้นสุดเช่นกัน หมายให้พวกเขาไม่ต้องจมในทะเลทุกข์อีก
 
 
 
ในคำสอนของพระพุทธศาสนา แบ่งการเกิดและตายของมนุษย์เป็น 4 อย่างคือ
 
 
 
1. ผู้มามืดไปมืด ความมืดนี้ไม่ได้หมายถึงนรกอย่างเดียว ความมืดบนโลกมนุษย์อีกด้วยก็คือความยากจน มีทุกข์มาก มีโรคมาก หากได้เกิดในที่มืดแล้วยังทำกรรมชั่วอีก เมื่อตายไปก็ต้องตกอบายภูมิแน่นอน
 
 
 
2. ผู้มามืดไปสว่าง หมู่สัตว์ที่ถึงแม้จะเกิดในครอบครัวยากจน เกิดในที่ๆเต็มไปด้วยภัยพิบัติอันตราย แต่ตนเองก็ยังพยายามช่วยเหลือผู้อื่น ถือศีลสร้างบารมี เมื่อสิ้นชีพแล้วก็จะได้ไปเสวยบุญในเทวโลก
 
 
 
3. ผู้มาสว่างไปมืด คือผู้ที่เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย มีร่างกายน่ารักและฉลาด จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่มาสว่าง แต่ทว่าตนเองกลับใช้ทรัพย์สินและอำนาจทำบาป เมื่อตายไปจะต้องรับทุกข์ในอบายภูมิ 3 จึงเรียกว่ามาสว่างไปมืด
 
 
 
4. ผู้มาสว่างไปสว่าง คือผู้ที่แม้ว่าตนเองจะมีเงินทอง หน้าตาน่ารักน่าชม ทั้งยังเฉลียวฉลาด แต่ก็ยังหมั่นสร้างบุญบารมีอีก เมื่อสิ้นใจแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์หรือเสวยสุขบนโลกมนุษย์
 
 
 
 
 
 
 
ไม่ว่าจะเกิดหรือตายแบบไหน ก็จะต้องมีสักวันที่เกิดมาแล้วไม่รู้จักพุทธธรรม ไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นการง่ายต่อการทำบาปและตกนรก หากว่าไม่มีพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์โปรดสัตว์อยู่ในนรก บัดนี้พวกเราทั้งหลายคงยังรับทุกข์อยู่ในนรกเป็นแน่ ในแต่ละวันเวลาเช้า เที่ยงและค่ำคืนพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ จะแสดงธรรมในนรก เพื่อให้สัตว์นรกได้ฟังพุทธธรรมเพื่อปลูกฝังบุญกุศล เมื่อกุศลเจริญงอกงาม ก็ย่อมสำนึกได้ว่าตนเองมีความผิด แล้วจึงขมากรรม เมื่อขมากรรมแล้วพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็จะส่งพวกเขาออกจากนรก พวกเราก็เป็นผู้ที่พระกษิติครรภ์เคยช่วยให้พ้นจากนรกเช่นกัน เพราะไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยลงนรก พระกษิติครรภ์จึงมีพระคุณกับพวกเรา เราควรขอบคุณท่านอย่างยิ่ง และควรรู้จักท่านให้ถูกต้องด้วย
 
 
 
ในคัมภีร์ฝ่ายมหายานที่กล่าวถึงพระกษิติครรภ์มีอยู่หลายเล่ม แต่เป็นที่แพร่หลายมีอยู่ 3 เล่มคือ 1.มหาสังคีติกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตร (大乘大集地藏十輪經) 2.สูตรว่าด้วยการทำนายวิบากกรรมดีชั่ว (占察善惡業報經) 3.กษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร (地藏菩薩本願經) เล่มที่ 3 นี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายที่สุด เรียกย่อๆว่า “ตี่จั้งเกง” ตี่จั้งเกงถือว่าเป็นพระสูตรแห่งความกตัญญูของพุทธศาสนา กล่าวคือความกตัญญู 2 เรื่อง คือ 1.พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เสด็จไปดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ และ 2. หลายภพหลายชาติที่พระกษิติครรภ์ได้ช่วยมารดาออกจากนรกแล้วตั้งมหาปณิธาน
 
 
 
ในพระสูตรกล่าวว่า การให้ร้ายทำลาย หัวเราะเยาะผู้ที่เคารพเลื่อมใสบูชาพระกษิติครรภ์ จะเป็นบาปใหญ่หลวงนัก จะต้องรับทุกข์ในนรกอเวจี แล้วทำไมนรกแห่งนี้จึงเรียกว่า “อเวจี” (阿鼻地獄) ตามความหมายแบบมหายานบอกว่า มาจากภาษาอินเดีย ความหมายคือ ไม่อาจช่วยได้ (無救) กล่าวคือ เมื่อเข้าไปในอเวจีแล้วเพียงครั้งเดียว ก็จะช่วยให้ออกมายากเหลือเกิน, อเวจี ยังแปลได้อีกว่า ไม่ปกปิด (無遮) คือหากใครตกอเวจีแล้ว ไม่มีใครอาจหยุดยั้งได้ อเวจีเป็นนรกที่รับทุกข์มากที่สุด
 
 
 
เพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้บรรลุถึงสัจจธรรมความจริงของฟ้าดิน หรือก็คือได้บรรลุธรรมแล้ว หากให้ร้ายทำลายพระกษิติครรภ์ก็คือการทำลายธรรมจึงมีบาปหนัก บาปนั้นไม่ใช่พระโพธิสัตว์มอบให้ แต่เป็นเพราะเราให้ร้ายพระโพธิสัตว์จึงเกิดเป็นบาปขึ้น อุปมา เราถ่มน้ำลายใส่ฟ้าน้ำลายนั้นย่อมตกมาที่เราเอง ซึ่งเป็นน้ำลายที่เราถ่มเอง ไม่ใช่ฟ้าถ่มใส่เรา
 
 
 
ยังมีบางคนกล่าวว่า “พระกษิติครรภ์เป็นเพียงหัวหน้าผีที่เป็นใหญ่ในนรก มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับวิญญาณและนรกโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับคนเราเลย” นับเป็นความเห็นที่ผิด ยิ่งขนาดที่ห้ามกราบไหว้บูชาและอ่านท่องพระสูตรของพระกษิติครรภ์ในบ้านอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการเรียกภูติผีเข้าบ้าน นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดอีกข้อ ในพระสูตรชื่อ มหาสังคีติกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตร และสูตรที่ว่าด้วยการทำนายวิบากกรรมดีชั่ว กล่าวว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า พระกษิติครรภ์ได้บรรลุปัญญาญาณที่ลึกซึ้งแล้ว สามารถที่จะบรรลุพุทธภูมิได้แล้ว แต่ว่าท่านยังหวนนึกถึงปณิธานของตนเองเมื่อก่อนอยู่ จึงจะขออยู่ช่วยให้สรรพสัตว์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วตนเองจึงจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น พระกษิติครรภ์จึงยังอยู่ในรูปกายของโพธิสัตว์ โปรดสัตว์ทั้ง 6 ภูมิอยู่ทั่ว 10 ทิศ” แล้วจะพูดว่าพระกษิติครรภ์เกี่ยวข้องแต่นรกและภูตผีได้อย่างไร
 
 
 
พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า “พระกษิติครรภ์มีรูปกายงดงามสง่า ประเสริฐและวิเศษอย่างยิ่ง เว้นแต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดประเสริฐและสง่างามไปกว่าพระกษิติครรภ์อีกแล้ว” หากพระกษิติครรภ์เป็นหัวหน้าผี มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว พระพุทธองค์จะไม่ทรงสรรเสริญแบบนี้ ในกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตรก็กล่าวว่า “พระกษิติครรภ์เสมือนดวงตาที่บริสุทธิ์ของโพธิสัตว์ทั้งหลาย สามารถเป็นผู้นำหมู่โพธิสัตว์ให้บำเพ็ญบารมี แล้วจะประสาใดกับบุถุชนทั้งปวง” พระพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตเบื้องหน้า ก็ทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์ ในพระสูตรกล่าวอีกว่า ในชาติหนึ่งพระกษิติครรภ์เคยเป็นพระราชา แล้วตั้งปณิธานไว้กับพระราชาอีกองค์ พระราชาอีกองค์นั้นได้กล่าวว่า “ขอให้เราสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าโดยเร็ว แล้วเราจะมาช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์” และพระราชาอีกองค์ก็กล่าวว่า “ตราบใดสัตว์ยังไม่พ้นทุกข์ทั้งหมด เราจะไม่ขอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า” ซึ่งพระราชาองค์แรกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านานมาแล้ว แต่พระราชาองค์หลัง(พระกษิติครรภ์) ก็ยังโปรดสัตว์ให้หมดสิ้นตามปณิธานอยู่ถึงปัจจุบัน ตามที่พูดไปแล้วว่า หากพระกษิติครรภ์ก้าวสู่พุทธภูมิอีกก้าวเดียวก็สามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง อันเราสามารถยึดมั่นเป็นที่พึ่งได้ อย่างไม่ต้องสงสัย
 
 
 
 
 
 
 
ข้อที่คนทั่วไปสงสัย จนอาจกล่าววาจาจาบจ้างพระกษิติครรภ์ว่าเพียงเห็นรูป หรือได้ยินพระสูตร หรือเลื่อมใสบูชา จะทำให้รอดพ้นจากนรกได้นั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ก็จะขออธิบายให้ฟังเลยว่า การเห็นรูป หรือการเลื่อมใสพระโพธิสัตว์องค์นี้ ตามนัยยะทางธรรมแล้วนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็น หรือสักแต่ว่าการก้มหัวลงไปกราบ หรือจุดธูปเทียนอย่างดี ถวายเครื่องกระดาษเงินทองมากๆ แล้วจะเรียกว่าเลื่อมใสบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดของชาวโลกที่ไม่มีปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจที่ถูกต้องสามารถไปปฏิบัติได้จริง ก็คือกฎแห่งกรรม ในกษิติครรภ์มูลปณิธานสูตร (ตี่จั้งเกง) มีกล่าวไว้ 23 ข้อ ไม่ได้ละเว้นแม้แต่พระภิกษุ ภิกษุณี ซึ่งถ้าเราละกรรมชั่ว 23 ข้อนี้ได้ ก็มั่นใจได้ว่าในชาตินี้ตนเอง ครอบครัว ประเทศจะสันติสุขแน่นอนและในโลกหน้าก็จะได้พบความสุข จุดประสงค์ในการหมั่นสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ก็เพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำผิดอยู่ได้รู้ตัวและหยุดการกระทำนั้นเสีย ผู้ที่ทำผิดแล้วก็ให้สำนึกผิดและไม่ทำอีก แม้มีกรรมหนักก็จะทุเลาเบาบางไปได้บ้างก็ยังดี ยิ่งสำนึกและขมากรรมด้วยใจจริงและมากเท่าไร วิบากกรรมก็จะเบาบางไปเท่านั้น เพราะบุญและบาปเกิดขึ้นที่ใจเราทั้งสิ้น จึงขอให้เราทุกคนระวังใจให้ดี เพราะใจเราคิดชั่ว ความชั่วถึงออกมาทางกายและวาจา ถึงบอกว่าเมื่อเราสำนึกผิดด้วยใจจริงแล้ว กุศลกรรมจะเกิดขึ้นแทนที่ความผิดในใจ แต่การสำนึกผิดอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยคนที่ทำได้ เพราะมีวิบากชั่วปิดกั้นจิตอยู่ นอกจากจะอาศัยพุทธานุภาพ หรือกำลังปณิธานของพระโพธิสัตว์องค์ที่มีความตั้งใจจะช่วยเหลือสัตว์โลกแบบนี้
 
 
 
นรกและสวรรค์นั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือ เทพพรหมใดๆ สร้างขึ้น แต่เกิดขึ้นเพราะกรรมดี และกรรมชั่วที่สัตว์โลกสร้างขึ้นเอง สมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่ง นั่งสมาธิในป่าช้า ได้เห็นเทวดาองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ แล้วนำดอกไม้ทิพย์มาบูชาร่างที่ไร้วิญญาณในป่าช้า พระภิกษุจึงถามเหตุผล เทวดาจึงตอบว่า “ศพนี้คือร่างของเราในอดีต เพราะร่างนี้หมั่นรักษาศีล ทำความดี ฟังธรรม เมื่อตายไปเราจึงได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ ดังนั้นเราจึงเอาดอกไม้มาบูชา” พระจึงตอบไปว่า “เธอควรบูชาดอกไม้ให้กับใจของเธอเอง ที่ทำให้เธอคิดจะทำความดีเถิด” เมื่อเทวดาได้ยินแบบนี้ก็เกิดปัญญาแล้วกลับสวรรค์ไป
 
 
 
ต่อมา พระภิกษุได้เห็นผีเปรตมาทุบตีซากศพในป่าช้า พระท่านก็ถามเหตุผล ก็ได้รับคำตอบว่า “ร่างนี้เคยเป็นของข้าเมื่อชาติก่อน เพราะว่ามันได้แต่อิจฉาริษยา ละโมบโลภมาก พอร่างนี้แตกดับจึงทำให้ข้าจึงมาเกิดเป็นเปรตหิวโหยอย่างนี้” พระตอบไปว่า “เธอควรทุบตีใจของตัวเอง ที่เป็นเหตุให้เธออิจฉา ฯลฯ ร่างนี้ของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย” เมื่อเปรตได้ยินจึงมีสติแล้วกลับไป
 
 
 
หากจิตที่เศร้าหมองและความชั่วรวมกันแล้วนรกจึงเกิด เมื่อจิตกุศลและความดีรวมกันสวรรค์จึงเกิด ทุกๆคนสามารถสร้างสวรรค์และนรกได้ จนถึงสามารถสร้างพุทธเกษตรของตนเองก็ได้ด้วยการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า นรก สวรรค์และพุทธเกษตรแต่เดิมนั้นไม่มี นรกเกิดขึ้นเพราะกรรมชั่ว สวรรค์เกิดขึ้นเพราะกรรมดี พุทธเกษตรเกิดขึ้นเพราะพระกรุณาและอุปายะของพระพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์ พระกษิติครรภ์เมตตาสงสารสัตว์โลก ทุกข์เกิดจากบาป ท่านจึงขอให้เราอย่าทำบาป เมื่อไม่มีบาปก็ไม่มีทุกข์ แล้วการไม่ทำบาปเป็นอย่างไร ก็คือการมีศีล5 ศีล8 ก็รับรองได้ว่าจะไม่ตกอบายภูมิแน่นอน
 
 
 
การเห็นรูปของพระกษิติครรภ์ ก็คือการเข้าใจและซาบซึ้งในปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของพระกษิติครรภ์ ว่าท่านมีความตั้งใจว่าจะโปรดสัตว์ผู้มีบาปให้หมดจากนรก ,และการอ่านท่องพระสูตรจนเลื่อมใสนั้น ก็คือ เมื่ออ่านท่องพระสูตรแล้ว ก็น้อมจิตพิจารณาตามคำสอน ที่ว่าด้วยเรื่องกฎแห่งกรรม หากเข้าใจได้ตามนี้ จึงจะเกรงกลัวและละอายบาป ไม่กล้าทำผิดอีก บาปก็ไม่เกิดอีก เราจึงพ้นจากนรกได้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ได้เห็นรูปพระโพธิสัตว์ เลื่อมใสกราบไหว้พระโพธิสัตว์แล้วทำให้พ้นจากนรกได้จริงๆ ไม่ใช่แค่การสวดมนต์กันเป็นวันๆ คืนๆ โดยไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กำลังจะสอนอะไรเรา เรามีแต่ศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา พากันไปหลงตัวบุคคล หลงสถานที่มากกว่าให้ความสำคัญกับพระธรรม เมื่อเป็นอย่างนี้จึงกลายเป็นความหลงงมงาย ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักเหตุผลทางพระพุทธศาสนา ทำให้ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่มองมหายาน เป็นเพียงพิธีกรรมและความเชื่อที่เกิดมาในยุคหลัง แล้วผู้ที่ประกอบพิธีกรรมเองก็ไม่รู้ไม่เข้า

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น: กษิติครรภ์ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.722 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 24 มีนาคม 2567 08:22:52