ความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือบรรดาคนเหล่านี้จึงมีความสามารถในการให้อรรถาธรรมใดๆ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากพระสูตรต่างๆ ซึ่งพระอริยะเจ้าทั้งปวงได้บัญญัติไว้ ดังนั้นพระสูตรและปิฎกทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายมหายานหรือหินยานรวมทั้งคัมภีร์อรรถกถาทั้งสิบสองภาค ทั้งหมดถูกจำแนกไว้เป็นชั้นๆ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการและอุปนิสัยของบุคคลผู้มีอินทรีย์ยิ่งหย่อนกว่ากันเป็นชั้นๆ นั่นเอง โอวาทที่มีสอนอยู่ในพระคัมภีร์ เหล่านั้นพระอริยะเจ้าบัญญัติขึ้นโดยยึดหลักสำคัญว่า มีตัวปัญญาแฝงอยู่ในทุกคนถ้าไม่มีคนก็ไม่จำเป็นต้องมีธรรมะด้วย
เหตุนี้เราจึงทราบได้ว่าธรรมะบัญญัติขึ้นมาสำหรับคนโดยเฉพาะ พระสูตรต่างๆ เกิดขึ้นโดยพระศาสดาผู้ประกาศสูตรนั้นๆ นั่นเอง เพราะเหตุที่คนบางพวกเป็นคนฉลาดซึ่งเราเรียกกันว่า "คนเด่น" และบางพวกเป็นคนโง่เขลา ซึ่งเราเรียกกันว่า "คนด้อย" ดังนั้นคนฉลาดจึงแสดงโอวาทแก่คนเขลา ในเมื่อเขาต้องการให้สอนด้วยการกระทำเช่นนี้เอง คนเขลาก็อาจลุถึงความสว่างไสวด้วยความรวดเร็วได้และใจของเขาก็แจ่มแจ้งด้วยเหตุนี้ แล้วคนเขลาเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคนฉลาดอีกต่อไป
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยืนยันว่า "ถ้าเอาการตรัสรู้ออกเสียแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันระหว่างพระพุทธเจ้ากับคนสามัญอื่นๆ ความสว่างวาบเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครก็ได้กลายเป็นคนเสมอกันกับพระพุทธเจ้า" พระวจนะตอนนี้เป็นการยอมรับสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ว่าเหมือนกันเพราะ "ธรรมญาณ" เดิมมาจากที่เดียวกัน ไม่มีข้อแตกต่างกันเลย เพราะสมัยที่พระพุทธเจ้าหรือพระอริยะเจ้าองค์ใดก็ตามที่ยังไม่ตรัสรู้อนุตตรธรรมก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ธรรมดา "ธรรมะเป็นของที่มีประจำอยู่ในใจของเราแล้ว จึงไม่มีเหตุผลในข้อที่ว่าเราไม่สามารถเห็นซึมซาบแจ้งชัดในสภาวะแท้ของ "ตถตา" สภาพที่มีแต่ธรรมญาณเช่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้" ทุกคนจึงมีโอกาสเห็นแจ้ง "ธรรมญาณ" เหมือนกัน
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยกเอาข้อความในโพธิสัตว์ศีลสูตรที่กล่าวเอาไว้ว่า "ธรรมญาณของเราเป็นของบริสุทธิ์โดยเด็ดขาดและถ้าเรารู้จักใจของเราเองและรู้แจ้งชัดว่าตัวธรรมชาติแท้ของเราคืออะไรแล้วเราก็จะบรรลุถึงพุทธภาวะได้ทุกๆ คน" หรือในข้อความในพระสูตร วิมลกิรตินิเทศสูตรก็ยืนยันกล่าวว่า "ทันใดนั้น เขาตรัสรู้แจ่มแจ้งสว่างไสว และได้รับใจของเขาเองกลับคืนมา" ความหมายตามข้อความนี้ก็คือ คนที่สู้รบปรบมือกับกิเลสของตนเองจนกำหราบได้หมดสิ้นแล้ว "ธรรมญาณ" เดิมแท้อันสะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้วจักปรากฎขึ้นเองก็เสมือนหนึ่งตัวตนที่แท้จริงได้ปรากฎชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ถูกกิเลสครอบงำเอาไว้นานถึงหมื่นปี ธาตุแท้ของทุกคนเป็นหนึ่งเดียวแต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กิเลส แต่คนมีกิเลสเหมือนกัน เพียงแต่แตกต่างกันด้วยความหยาบละเอียด ดังนั้นในความเหมือนจึงมีความแตกต่าง และในความแตกต่างนั้นเองจึงมีความเหมือนกัน ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
Credit by :
http://www.watnai.org/forum1/index.php?topic=340.0ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ