24 มิถุนายน 2568 18:26:07
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
.:::
วันพระ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: วันพระ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม (อ่าน 471 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 1240
[• บำรุงรักษา •]
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
วันพระ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) วัดพิชโสภาราม
«
เมื่อ:
04 มกราคม 2568 10:34:32 »
Tweet
วันพระ
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ อ.อุบลราชธานี
วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันพระ เป็นวันธัมมสวนะ เป็นวันฟังธรรม นอกจากจะเป็นวันธัมมสวนะแล้ว วันพระนี้ก็ยังถือว่าเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายทั้งปวงตื่นตัวในอันที่จะสร้างสมอบรมบารมีใส่ตนเอง เราได้ฟังเสียงตีกลองดึกในเวลาตี ๓ อันนี้ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณีที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้ประพฤติสืบต่อกันมา การตีกลองดึกก็ถือว่าเป็นการปลุกการเตือนให้ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ลืมวันพระ ให้มีโอกาสได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตามโอกาสอันควร
นอกจากนั้นแล้ว วันพระนั้น พอถึงตอนเช้า หกโมงครึ่ง ก็จะมีศรัทธาสาธุชนทั่วไปทั้งใกล้ทั้งไกลมาร่วมกันทำบุญเป็นกรณีพิเศษ มากกว่าวันปกติ เพราะฉะนั้น วันพระนั้นจึงเป็นวันพิเศษ นอกจากจะให้ทานแล้วก็ยังมีญาติโยมอีกส่วนหนึ่งที่มองเห็นคุณค่าของการรักษาศีล เห็นอานิสงส์ของการรักษาศีล ก็สมาทานศีล ๘ รักษาศีลอุโบสถ จึงเป็นอานิสงส์พิเศษขึ้นมา
เพราะฉะนั้น วันพระนั้นจึงเป็นวันประเสริฐ ประเสริฐด้วยการรักษาศีล เป็นการรักษาศีลอุโบสถ รักษาศีล ๘ ในวันหนึ่งคืนหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังเป็นวันประเสริฐเพราะญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นได้มาร่วมกันทำวัตรสดมนต์เย็น หลังจากนั้นก็ได้ร่วมกันบำเพ็ญสมณธรรมตามกำลังของตนๆ โดยมีการเดินจงกรมนั่งภาวนา บางรูปบางท่านก็ภาวนาทั้งคืน เพราะฉะนั้น วันพระนั้นจึงเป็นวันพิเศษ เป็นวันประเสริฐ เป็นวันที่คนทั้งหลายทั้งปวงได้ตื่นตัวในการทำบุญทำกุศล อันนี้เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกันทางตา
ในส่วนที่ท่านกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ท่านกล่าวว่า พอถึงวันพระเนี่ย ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะมาตรวจตราดูมนุษย์โลกทั้งหลายทั้งปวงด้วยตัวเอง ไม่เหมือนวันทั่วไปนะ ถ้าวันทั่วไปเนี่ย จะให้ผู้เป็นลูกสาวลูกชายมาตรวจดูโลก แต่เมื่อถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ จะมาตรวจเองนะ มาตรวจดูโลก ตรวจดูโลกในที่นี้หมายความว่า มาตรวจดูว่าคนในโลกของเรานี้ปัจจุบันนี้เนี่ย มีความเคารพต่อบิดามารดาไหม มีความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ไหม คนทั้งหลายทั้งปวงมีการให้ทานแก่สมณชีพราหมณ์ไหม คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีการรักษาศีลอุโบสถไหม คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ไหม
ถ้าคราวใดมาเห็นคนทั้งหลายทั้งปวงเคารพในบิดามารดา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้หลักผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล มีการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์เป็นต้น เทวดาทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็เกิดความยินดี มีความปราโมทย์ มีความรื่นเริง มีความบันเทิงใจ คิดว่าคนทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในมนุษย์นี้เนี่ย อีกไม่นานหนอ คนเหล่านี้ก็จะขึ้นมาเป็นญาติของเรา ก็จะมาเกิดในสวรรค์ ก็มีความร่าเริงบันเทิง มีความปราโมทย์ คิดว่าสวรรค์นั้นคงจะเต็มไปด้วยบุคคลผู้มีบุญ
แต่ว่าในคราวใด คนที่อยู่ในมนุษย์โลกของเราเนี่ย ไม่รู้จักคุณของพ่อของแม่ ไม่รู้จักคุณของครูบาอาจารย์ ไม่รู้คุณของการรักษาศีลอุโบสถ ไม่รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จำแนกแจกทานต่างๆ ไม่รู้จักการภาวนา เป็นต้น เทวดาเหล่านั้นก็มาส่งข่าวให้ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็จะนำข่าวสารนั้นไปประชุมในเทวสภาที่ชั้นดาวดึงส์ มีท้าวสักกะเป็นหัวหน้า มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ได้รับคำรายงานจากลูกสาวลูกชาย ก็จะนำความนั้นไปกราบทูลพระอินทร์
พระอินทร์ก็จะประกาศในเทวสภาว่า ขณะนี้เนี่ย โลกมนุษย์นั้นไม่มีการเคารพในพ่อในแม่ ไม่มีความเคารพในบุคคลผู้ที่มีคุณ ไม่มีการแจกทานแก่คนขอทาน แก่นักบวช แก่ผู้ที่เป็นสมณะ ไม่มีการไหว้พระธรรมสวดมนต์เป็นต้น เทวดาทั้งหลายทั้งปวงก็จะมีใจห่อเหี่ยว มีใจหดหู่ มีใจหงอยเหงาไม่เบิกบาน เพราะจะมีความเข้าใจว่า คนที่อยู่ในมนุษย์ที่ประพฤติไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักคุณของพ่อของแม่ ไม่รู้จักคุณของครูบาอาจารย์ ไม่รู้จักคุณของผู้มีคุณ ไม่รู้จักการจำแนกแจกทาน ไม่มีการรักษาศีลอุโบสถ ไม่มีการภาวนาเนี่ย อีกสักครู่หนึ่ง คนเหล่านี้ก็จะไปเกิดในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คนที่จะมาเกิดในเทวโลกก็จะน้อยลงไป เพราะคนประพฤติไม่ถูกต้อง เนี่ย เทวสภาก็จะประชุมกัน แล้วก็เกิดความสลดใจในลักษณะอย่างนี้
เพราะฉะนั้น วันพระนั้นจึงเป็นวันสำคัญ เราทั้งหลายทั้งปวงก็มาร่วมกันไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ในวันพระ บางรูปบางท่านก็ปฏิบัติธรรมโต้รุ่ง ตามกำลังของตนๆ เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญบารมีในวันพระนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราต้องทำ
คำว่า บำเพ็ญบารมี นั้นหมายความอย่างไร บารมีนั้นท่านกล่าวว่า ยังบุคคลผู้กระทำหรือยังบุคคลผู้บำเพ็ญให้ข้ามถึงฝั่ง สิ่งใดที่ยังบุคคลผู้บำเพ็ญให้ข้ามถึงฝั่งคือพระนิพพาน สิ่งนั้นชื่อว่า บารมี มีการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาเป็นต้น
เพราะฉะนั้น การที่เราได้มาบำเพ็ญทาน บำเพ็ญศีล บำเพ็ญภาวนานี้เนี่ย เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤต โดยเฉพาะเราปฏิบัติธรรมโต้รุ่ง อันนี้ถือว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะยังความปรารถนาของเราให้สมบูรณ์ เพื่อที่จะยังความปรารถนาของเราให้ถึงฝั่ง ผู้ใดปรารถนาสิ่งใดๆ ถ้าเราบำเพ็ญบารมีเหมือนกับที่เราบำเพ็ญอยู่นี้นะ ไม่ช้าไม่นานเราต้องสำเร็จตามความปรารถนาของเรา
เราปรารถนามนุษย์สมบัติ เรามารักษาศีล เรามาฟังเทศน์ฟังธรรม เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย มันเกินความเป็นมนุษย์สมบัติแล้วนะ บุญที่เรากระทำมันยิ่งกว่าสิ่งที่จะให้เราไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วนะ เพราะเรารักษาศีลอุโบสถศีล ๘ หรือว่าให้เราไปเกิดเป็นเทวดาเนี่ย การที่เรามาเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน มันก็เกินแล้วนะ เกินความไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว หรือว่าจะให้เราไปเกิดในพรหมโลก ถ้าเราเจริญฌาน ฌานไม่เสื่อมเราตายไป เราก็ไปเกิดในพรหมโลกได้ ตามกำลังของฌานที่มันไม่เสื่อม
หรือว่าเราต้องการที่จะบรรลุมรรคผลพระนิพพาน เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับที่เรากำลังทำอยู่นี้ ก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพานนะ สิ่งที่เราทั้งหลายทั้งปวงกำลังบำเพ็ญอยู่นี้เนี่ย มันก็ลงไปในห้วงภวังคจิตของเรา คุณงามความดีที่เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย มันลงไปในห้วงภวังคจิตของเรา แล้วก็เก็บไว้ในใจของเรานะ ในเมื่อร่างกายของเรามันแตกตายทำลายขันธ์ไป มันก็ตายแต่ร่างกายนะ แต่ว่าใจของเราไม่ตาย ใจของเรานั้นมันมีจิตมีวิญญาณอยู่ ก็ไปเกิดตามภพภูมิตามบุญตามกรรมที่เราสร้างไว้ เราสร้างกรรมไว้อย่างไร สร้างบุญไว้อย่างไร สร้างเหตุไว้อย่างไร มันก็ไปเกิดตามนั้น ถ้าเราสร้างบุญไว้ก็ไปเกิดตามอานุภาพแห่งบุญ มาเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดในพรหมโลก ตลอดถึงพระนิพพาน ตามบุญของเรา
ถ้ามันเป็นกามาวจรบุญ ก็ไปเกิดในมนุษย์ไปเกิดในสวรรค์ ถ้าเป็นรูปาวจรบุญก็ไปเกิดในรูปพรหม ถ้าเป็นอรูปาวจรบุญก็ไปเกิดในอรูปพรหม ถ้าเป็นโลกุตระบุญ สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ ก็ไปสู่พระนิพพาน สิ่งที่เรากระทำเนี่ย มันสั่งสมไว้ในจิตในใจของเรา มันไม่ได้ไปไหนนะ เวลาร่างกายของเรามันตายไป มันก็ตายไปแต่ร่างกาย แต่ว่าใจมันไม่ตายไปด้วย เหมือนกับต้นไม้นั่นแหละ มันเติบโตขึ้นมาแล้วมันก็ผลิดอกออกผล ผลมันก็จะสุก อย่างเช่นมะม่วงอย่างนี้นะ เมื่อมันโตเต็มที่แล้วมันก็จะผลิดอกออกผลขึ้นมา ผลมะม่วงก็จะโตวันโตคืน ก็เป็นผลมะม่วงสุก แล้วก็หล่นลงมาพื้นดิน พวกเนื้อมะม่วงก็ดี พวกเปลือกมะม่วงก็ดี มันเปรียบเสมือนกับร่างกายของเรา มันก็จะเสื่อมสภาพไปของมัน มันแตกดับแล้วนะ มันก็ย่อยสลายไปเป็นปุ๋ยเป็นดินไป แต่เมล็ดมะม่วงมันยังไม่ตาย มันยังมีเชื้ออยู่ เมื่อมันมีเชื้ออยู่ มันได้ดินที่มีความชื้น ได้อากาศได้น้ำได้แสงแดด มันก็แตกหน่อขึ้นมา เป็นต้นมะม่วงต้นใหม่ขึ้นมา ข้อนี้ฉันใด ใจของเรานั้นเปรียบเสมือนกับเมล็ดของมะม่วงนะ เมื่อมันได้ภพได้ภูมิ ได้โอกาสที่จะปฏิสนธิในท้องของมารดาที่มันจะไปปฏิสนธิตามภูมิของตนเนี่ย มันก็จะไปปฏิสนธิตามนั้น เหมือนกับเมล็ดมะม่วงมันได้อากาศได้น้ำได้ดินได้แสงแดดเพียงพอนี่แหละ มันก็จะแตกหน่อขึ้นมา เป็นมะม่วงต้นใหม่นะ เราจะกล่าวว่าเป็นมะม่วงต้นเก่าก็ไม่ได้ แล้วต้นใหม่มันมาจากไหน มันก็มาจากต้นเก่านั่นแหละ ในลักษณะอย่างนี้นะ นี่มันสืบเนื่องกันไปมาอย่างนี้
จิตวิญญาณของเราที่ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ มันก็สืบทอดจากจิตวิญญาณที่อยู่ในภพภูมินี้แหละ แต่มันไปถือเอาถือเอาร่างใหม่ขึ้นมา ต้นมะม่วงนั้นจะเป็นต้นเก่าก็ไม่ใช่ มันเป็นต้นใหม่ แต่ต้นใหม่นั้นก็อาศัยต้นเก่าเกิดขึ้นมา จิตดวงเก่าที่ไปอยู่ในร่างใหม่เนี่ย มันก็เป็นคนๆ ใหม่ขึ้นมา ในลักษณะอย่างนี้นะ เหมือนกับหัวหอมนี่แหละ ต้นหอมก็ดี ต้นกระเทียมก็ดีเนี่ย เวลามันแก่ขึ้นมาแล้วเราก็เอาหัวหอมนั้นเก็บไว้เป็นพันธุ์ ถึงเวลาเราเอาไปปลูก ใบมันก็งอกขึ้นมาอีก เราจะว่าต้นหอมนั้นมันเป็นต้นเดิมก็ไม่ใช่ แต่มันก็อาศัยต้นเดิมนั่นแหละเกิดขึ้นมา จิตวิญญาณของเราก็ไม่ต่างอะไรกัน มันก็อาศัยของเดิมนี่แหละ อาศัยทุนเดิมคือบุญคือกุศล อาศัยวิบากกรรมที่เราสร้าง ก็ไปเกิดตามพภพภูมินั้นๆ
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีการบำเพ็ญบารมี เราต้องมีการสร้างสสมอบรมคุณงามความดี ก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันยังไม่จบมันยังไม่สิ้น ชีวิตไม่ได้สิ้นอยู่ที่ความตาย เบื้องหลังของความตายนั้น ชีวิตของเราก็ยาวนานเหลือเกิน ชีวิตเบื้องหลังของความตายยิ่งเป็นสิ่งที่น่าระทึกใจนะ เพราะว่าภพภูมิของเราไม่รู้ว่าจะยาวนานขนาดไหน
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรามาให้ทานก็ดี มารักษาศีล ไหว้พระธรรมสวดมนต์ก็ดี ถือว่าเป็นการสร้างบารมี ถ้าเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้แล้วเนี่ย เราท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ เป็นสิ่งที่น่ากลัวนะ เป็นสิ่งที่หวาดเสียว เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยภัยต่างๆ ท่านกล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีบุญ ไม่ได้สั่งสมอบรมคุณงามความดี ไม่ได้สั่งสมในการให้ทานรักษาศีลไหว้พระทำวัตรสวดมนต์เจริญภาวนา ไม่ได้ทำคุณงามความดีอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย การที่เราท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่หวาดเสียวนะ
เหมือนกับเราเกิดขึ้นมาในโลกมนุษย์นี้แล้วเนี่ย เราไม่รักษาศีลเลย เราไม่ให้ทานเลย เราไม่รู้จักการให้ทาน เราไม่รู้จักการรักษาศีลเลย ลองนึกดูสิ มันจะน่ากลัวขนาดไหน ในเมื่อร่างกายของเรามันแตกตายทำลายขันธ์ เกิดขึ้นมานี่ เราไม่ได้รักษาศีล เราไม่รู้จักการให้ทาน ข้าวต้มสักกระบวยข้าวสวยสักทัพพีเราก็ไม่เคยให้ นอกจากนั้นแล้วเนี่ย เรายังฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์อื่น ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียดยุยงให้คนแตกร้าวสามัคคีกัน นอกจากนั้นยังดื่มสุราเมรัย สนุกสนานเฮฮาไปวันๆ เราลองนึกดูสิว่า ถ้าคนไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีลตามที่กล่าวมา เวลาเขาตายไปมันจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเขาตายไปในขณะที่เขาไม่มีศีลสักข้อเลย ไม่มีทานสักอย่างเลย ถ้าเขาตายไปแล้วเนี่ย ไปเกิดเป็นมนุษย์ สมมุตินะ ไปเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์นั้นก็เป็นมนุษย์ที่ยากจน ต้องถือกระเบื้องคอทาน ต้องถือกะลาขอข้าว ต้องลำบากลำบน หาอยู่หากินแต่ละวันๆ ก็ลำบาก
นอกจากนั้นแล้วเนี่ย บุคคลผู้ไม่รักษาศีล ๕ แม้แต่ข้อเดียว เกิดมาก็จะมีร่างกายพิกลพิการ ร่างกายอัปลักษณ์ มีตาก็ไม่สมประกอบ มีหูก็ไม่สมประกอบ มีปากก็ไม่สมประกอบ เราลองนึกดูสิว่า ถ้าเราไปเกิดเป็นคนอย่างนั้นแล้วเนี่ย ซ้ำอาหารก็ไม่มีจะอยู่จะกิน ลองนึกดูสิ มันจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน เนี่ยชีวิตหลังความตายนะ แต่ถ้าเขาเกิดเป็นคนอย่างนั้นอีก ในที่ที่ไม่มีศาสนา คือไปเกิดในสมัยที่ไม่มีศาสนาอีก เขาจะเป็นยังไงอีก เขาก็ยิ่งทำกรรมต่อเติมไปอีกเรื่อยๆ ลองนึกดูสิว่า ภพชาติของคนเหล่านั้นเนี่ย จะน่ากลัวขนาดไหน
ก็เหมือนกับเราปิดตาเข้าถ้ำนั่นแหละ ถ้ำมันมืดอยู่แล้ว เราเอาผ้าปิดตาสัก ๒ ชั้น ๓ ชั้น แล้วก็เดินเข้าถ้ำ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ภพนี้ก็ลึกไปเรื่อยๆ ภพหน้าก็ลึกไปเรื่อยๆ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเป็นบาปเป็นกรรมเป็นอกุศลเนี่ย มันมากขึ้นหนาขึ้น จากมนุษย์ที่ไม่รู้จักการให้ทาน จากมนุษย์ที่ไม่รู้จักการรักษาศีล ก็อาจจะเป็นช้างเป็นม้านะ ต่ำไปกว่านั้นก็เป็นวัวเป็นควาย ต่ำไปกว่านั้นก็เป็นหมูเป็นหมา ต่ำไปกว่านั้นก็เป็นเป็ดเป็นไก่ ต่ำไปกว่านั้นก็เป็นกุ้งเป็นปลาเป็นหอย ต่ำไปกว่านั้นก็เป็นไส้เดือนเป็นหนอน นี่เราลองนึกดูสิ มันก็ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ต่ำลงเรื่อยๆ ในลักษณะอย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้น วันพระเนี่ย เขาจึงเชื่อว่าเป็นวันสร้างบารมี เป็นวันสั่งสมบารมีจริงๆ เหมือนกับพวกเราทั้งหลายทั้งปวงที่มาร่วมกัน มันลำบากในการทำวัตร ในการสวดมนต์ ในการนั่งภาวนา แต่ความลำบากที่เรามาอดมาทนมาต่อสู้นี่แหละ มันจะปวัตติลงไปในห้วงภวังคจิตของเรา แล้วก็เก็บไว้ในจิตของเรานี่แหละ สิ่งที่เราสั่งสมไว้ดีแล้ว เป็นอันสั่งสมไว้ดีแล้วนะ
เหมือนกับภิกษุที่เข้าปริวาสกรรมนั่นแหละ เมื่อปกปิดอาบัติไว้ ๑๐ วัน ก็ต้องอยู่ปริวาส ๑๐ วัน เมื่อปกปิดอาบัติไว้ ๕ วัน ก็ต้องอยู่ปริวาส ๕ วัน ขณะที่อยู่ปริวาส ๕ วัน หรือ ๑๐ วันนั่นแหละ ภิกษุที่มาสมาทานปริวาสนั้น ได้ประพฤติวัตรดีแล้ว ราตรีนั้นก็เป็นอันประพฤติดีแล้ว ราตรีนั้นก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว สมมุติว่าภิกษุรูปนั้นสิกขาลาเพศไป เขาก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติเมื่อมาบวชใหม่อีกรอบ ถ้าปกปิดอยู่ ๕ วันก็ต้องประพฤติปริวาสเพิ่มเติมอีก ๔ วันนะ เมื่อประพฤติปริวาสอีก ๔ วัน ก็เป็นอันบริบูรณ์สมบูรณ์เมื่อรวมกับวันหนึ่งที่เขากระทำไว้แต่ตอนบวชครั้งก่อน สิ่งที่เราทำไว้ก็เป็นสิ่งที่เรากระทำไว้ ราตรีใดที่เราประพฤติดีแล้ว ก็เป็นอันประพฤติดีแล้ว บุญกุศลที่เราประพฤติไว้ดีแล้วเนี่ย ก็เป็นอันประพฤติดีแล้ว เราจะตายไปมันก็เป็นของเรานั่นแหละ
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้มันจึงเป็นของเราจริงๆ การให้ทานรักษาศีล ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์เนี่ย เป็นของเราจริงๆ เมื่อการให้ทาน การรักษาศีล การไหว้พระทำวัตรสวดมนต์เป็นของเราจริงๆ แล้วเนี่ย บุญมันมีจริง ภพหน้าชาติหน้ามันมีจริงแล้วเนี่ย แล้วเรายังจะต้องการอะไรที่จะยิ่งไปกว่าทาน เราจะต้องการอะไรที่ยิ่งไปกว่าการรักษาศีล เราจะต้องการอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการเจริญสมถกรรมฐาน เราจะต้องการอะไรที่จะยิ่งกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อบรรลุมรรคผลพระนิพพาน มันมีสิ่งที่ยิ่งกว่าทาน มันมีสิ่งที่ยิ่งกว่าศีล มันมีสิ่งที่ยิ่งกว่าสมาธิ มันมีสิ่งที่ยิ่งกว่าวิปัสสนาญาณ มันมีสิ่งที่ยิ่งกว่ามรรคผลพระนิพพานด้วยหรือในโลกนี้ ในโลกมนุษย์นี้ แล้วก็ในเทวโลก พรหมโลก มันมีสิ่งที่ดีกว่านี้ด้วยเหรอ มันไม่มีนะ
พุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา มรรค ผล พระนิพพานนี่ สูงสุดแล้วนะ พระนิพพานสูงสุดแล้วนะ นิพพานเป็นยอดธรรม เป็นบรมธรรม เป็นที่สุดแห่งธรรม แล้วก็เป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรากระทำนั้นน่ะมันจึงเป็นสิ่งที่สูงสุดแล้ว เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาร่วมกันบำเพ็ญบารมีนี่ เป็นคุณงามความดีของเราแท้ๆ การที่เราทั้งหลายทั้งปวงมาร่วมกันรักษาศีลอุโบสถเนี่ย จึงกล่าวว่าเป็นวันอันประเสริฐ เป็นวันอันเลิศ เป็นวันที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้ตื่นตัวว่องไวก้าวหน้าในการสร้างสมอบรมคุณงามความดี
ถ้าเรามากระทำอย่างนี้แล้วเนี่ย เราตั้งความปรารถนา เราปรารถนาอะไรต่างๆ สามารถสำเร็จได้ดังใจที่เราปรารถนา นี่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้แล้วนะ เราให้ทาน เรารักษาศีล เราไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามที่เรากระทำอยู่นี้เนี่ย รับรองเลยว่า เราปรารถนาสิ่งใดๆ ก็จะได้สิ่งนั้นสมความมุ่งมัดปรารถนา จะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่บุญวาสนา ความเพียร และปัญญาของบุคคลนั้นนะ.
บันทึกการเข้า
[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...