[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 09:39:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ควรรีบหันเข้ามาทางนี้ พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี  (อ่าน 857 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1238


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 131.0.0.0 Chrome 131.0.0.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มกราคม 2568 14:48:20 »



ควรรีบหันเข้ามาทางนี้
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร เมืองพัทยา ชลบุรี

คนที่ให้ทานจะรักษาศีลได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ให้ทาน เพราะคนที่ไม่ให้ทานยังมีความตระหนี่มีความโลภ อยากจะได้มากขึ้นอยากจะมีมากขึ้น ก็จะแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มากขึ้น ถ้าต้องผิดศีลก็เอา ขอให้ได้ก็แล้วกัน แต่คนที่ให้ทานอยู่เรื่อยๆ แล้วจะไม่โลภกับสมบัติข้าวของเงินทอง มีแต่อยากจะให้มีน้อยลงไปเรื่อยๆ เหลือไว้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ก็จะรักษาศีลได้ง่าย เพราะมีความเมตตาคิดถึงผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดูแลผู้อื่น ไม่ว่าจะทำอะไรจะคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นก่อนเสมอ ก็จะรักษาศีลได้ มีศีลขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เป็นผลต่อเนื่องจากการให้ทาน ส่วนผลต่อเนื่องของศีลก็คือ จิตที่มีศีลจะสงบกว่าจิตที่ไม่มีศีล จิตที่มีศีลไม่ต้องกังวลกับการกระทำที่เสียหาย เพราะไม่ได้ทำ

จิตที่ไม่มีศีลจะกระวนกระวายกระสับกระส่าย เป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ จิตใจไม่สงบ ก็จะไม่เห็นคุณค่าของความสงบ คนที่มีศีลจะเห็นว่าจิตสงบสบาย ก็อยากจะให้สงบมากขึ้น อยากจะทำจิตให้เป็นสมาธิ เพราะเวลามีสมาธิแล้ว จะยิ่งสงบและมีความสุขมากขึ้น แต่พอออกจากสมาธิแล้ว จิตก็กระสับกระส่ายได้ วุ่นวายได้ เวลาไปเห็นไปสัมผัสไปได้ยินอะไร ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาได้ ก็จะรู้ว่าสมาธิยังไม่พอ ต้องมีปัญญาด้วย เพราะปัญญาจะรักษาใจ เวลาได้ยินได้ฟังอะไร ไม่ให้กระสับกระส่าย ไม่ให้กระวนกระวาย ไม่ให้ดีใจเสียใจ เพราะจะสอนใจให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่อยากกระสับกระส่าย ก็อย่าไปได้เสียกับเขา

ถ้ามีปัญญาประกบตลอดเวลา จิตจะสงบตลอดเวลา ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ จะสงบอย่างถาวร พอเข้าใจแล้วจิตจะถอยเข้ามาข้างใน จะปล่อยวางข้างนอกหมด ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างทุกคนเป็นไปตามเรื่องของเขา ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นใครก็ตาม ต้องเป็นไปตามบุญตามกรรมของเขา เราไปทำอะไรให้เขาไม่ได้หรอก สิ่งที่เราทำได้ก็เพียงเล็กๆน้อยๆ สนับสนุนส่งเสริมให้เขาได้แก้ปัญหาของเขาเองเท่านั้น แต่ปัญหาของเขา บุญกรรมของเขานี้ ไม่มีใครไปแก้ได้ นอกจากตัวเขาเอง ด้วยการละทำกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดี ต่อไปก็จะมีแต่ผลของกรรมดีปรากฏ ก็จะหลุดพ้นได้ ปัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

พระอริยสัจ๔ นี้แหละคือหินลับปัญญา ทำให้ปัญญาของสัตว์โลกแหลมคม จนสามารถตัดภพตัดชาติ ตัดกิเลสตัดความอยากให้หมดไปจากจิตจากใจได้ ธรรมอื่นตัดไม่ได้ สมาธิตัดไม่ได้ ศีลตัดไม่ได้ ทานตัดไม่ได้ สติตัดไม่ได้ ต้องปัญญาในอริยสัจ๔ ปัญญาในไตรลักษณ์เท่านั้น ไม่มีใครรู้ปัญญานี้นอกจากพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ถ้ามาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา จะไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย ยกเว้นพระโพธิสัตว์ ผู้ได้บำเพ็ญบุญบารมีมามาก จนสามารถสอนตัวเองได้ เช่นพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนพระองค์เอง ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่รู้กี่แสนล้านคนที่จะทำอย่างนี้ได้ พวกเราเป็นคนธรรมดาสามัญชน ต้องอาศัยคนฉลาดเอกบุรุษ อย่างพระพุทธเจ้าเป็นครูเป็นอาจารย์

ชาตินี้ได้มาเจอคำสอนของเอกบุรุษแล้ว ถ้าไม่ตักตวงก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะได้มาเจออีกเมื่อไหร่ ยากมาก ศาสนานี้คำสอนนี้ มีอายุไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปี ดังที่ได้ทรงทำนายไว้ หลังจากนั้นแล้วก็จะเป็นช่วงที่ปราศจากคำสอน ที่เรียกว่าพุทธันดร ก็ไม่รู้กี่กัป จะต้องกลับมาเกิดมาตาย ไม่รู้อีกกี่ล้านชาติกี่ล้านภพ กว่าจะได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าอีก อาจจะไม่ได้พบกับองค์หน้าก็ได้ คือพระศรีอารย์ อาจจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในช่วงนั้นก็ได้ อาจจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงคำสอนของท่านหายไปแล้วก็ได้ ก็จะไม่ได้เจอพระศรีอารย์ พระศรีอารย์ก็จะเป็นเหมือนกับพระพุทธเจ้าในอดีต ที่เราได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน ว่าก่อนหน้านี้มี ๓ พระองค์ ที่มาตรัสรู้มาสั่งสอนสัตว์โลก หลังจากนี้ก็จะมีอีกพระองค์หนึ่งชื่อพระศรีอารย์ เราอาจจะพลาดทั้งหมดเลย

พวกเราโชคดีที่ได้เจอพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ถ้าไม่ศรัทธาไม่ปฏิบัติก็ช่วยไม่ได้ มันไม่ยากนะ แค่ ๗ วัน ๗ คืนเท่านั้นเอง เราทนนั่งเครื่องบินหลายชั่วโมงไปรอบโลกได้ แค่นั่งพิจารณาความตาย ๗ วัน ๗ คืนไม่ได้ให้มันรู้ไป นี่คือการบ้าน แล้วคราวหน้ามาเล่าให้ฟัง วันเวลามันผ่านไปเร็วนะ นี่ปีใหม่ก็หมดเข้าไปเกือบเดือนแล้ว ชีวิตก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ชีวิตเราเป็นเหมือนเทียน พอจุดแล้วก็มีแต่จะสั้นลงๆไปเรื่อยๆ อายุยาวขึ้นแต่ชีวิตมันสั้นลง ตัวเลขมันยาวขึ้น ตอนนี้ ๔๐ นะ ๕๐ นะ มันยาวขึ้น แต่ชีวิตมันสั้นลง คือส่วนที่เหลืออยู่นี้จะน้อยลงสั้นลงไปเรื่อยๆ เวลาที่จะได้บำเพ็ญได้เจริญมรรคนี้ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ควรรีบหันเข้ามาทางนี้ มีภารกิจการงานอะไรที่ปลดเปลื้องได้ ตัดได้ ก็ปลดเปลื้องมันไปเถิด ตัดมันไปเถิด ทำงานนี้ดีกว่า งานนี้เป็นงานที่แท้จริง งานอื่นทำไปก็เท่านั้นแหละ

งานหลักของเราก็คือ คันถธุระกับวิปัสสนาธุระ งานในศาสนามี ๒ งานมี ๒ ธุระนี้ คันถะก็คือการศึกษาพระธรรมคำสอน ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ พิจารณาเกิดแก่เจ็บตายอยู่เรื่อยๆ ทำบุญให้ทานให้หมด เก็บไว้เท่าที่จำเป็น อย่าไปหวง ศีลก็รักษาให้ดี สมาธิก็ทำให้มาก ปัญญาก็พิจารณาสลับกับสมาธิ ถ้าอยู่ในสมาธิก็อย่าไปพิจารณา ให้พักจิต ให้จิตมีความสงบให้นานที่สุด ให้นิ่งให้นานที่สุด พอจิตออกมาจากความสงบออกมาจากความนิ่งแล้ว ก็เอามาพิจารณาความตาย เกิดแก่เจ็บตาย ลุกขึ้นมาเดินจงกรม ท่องไปก่อนก็ได้ เกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปไม่ได้ เราก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย เขาก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย คนนั้นก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย คนนี้ก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย คิดไปอย่างนี้ให้ติดไปกับใจ พอเหนื่อยพอเมื่อยก็หยุด กลับเข้ามานั่งสมาธิ ทำจิตให้สงบให้เย็นให้สบาย พอมีกำลังพอถอนออกมา ก็พิจารณาต่อ ไม่ว่าจะทำอะไร

ในขณะที่ไม่อยู่ในสมาธิ ให้มีเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในใจตลอดเวลา เห็นอะไรก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย คนนั้นคนนี้ก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปจะติดเป็นนิสัย ไม่ต้องบังคับ เบื้องต้นเป็นเหมือนรถที่สตาร์ทไม่ติด ต้องเข็นก่อน เข็นให้วิ่ง พอวิ่งแล้วก็ใส่เกียร์เครื่องก็ติด พอเครื่องติดแล้วก็ไม่ต้องเข็น จะวิ่งไปเอง ปัญญาจะหมุนไป จนกลายเป็นปัญญาอัตโนมัติ เป็นมหาสติมหาปัญญา จะพิจารณาตลอดเวลา จะไม่คิดเรื่องอื่น จะคิดเท่าที่จำเป็น พอเข้าสู่งานนี้แล้ว จะปล่อยงานอื่นหมด งานที่จำเป็นก็คืองานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นพระก็ไปบิณฑบาต แล้วก็ฉัน ฉันเสร็จก็เข้าทางจงกรม เดินจงกรมพิจารณา แล้วก็นั่งสมาธิ สลับกับการทำกิจวัตร ปัดกวาดตอนบ่าย สรงน้ำตอนเย็น แล้วก็เดินจงกรมนั่งสมาธิสลับกันไป จนถึงเช้าก็ออกบิณฑบาต ในใจมีแต่พิจารณาเกิดแก่เจ็บตายไปเรื่อยๆ แล้วความหลงจะมาหลอกได้อย่างไร ความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย จะไม่มีโอกาสออกมาได้ อยู่ที่การทำงานนี้

ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยเอางานนี้กัน ถูกความหลงดึงให้ไปทำงานอื่นแทน ห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ ห่วงเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้ แล้วก็แก้ปัญหาของเขาไม่ได้อยู่ดี เขาก็แก่ไปเจ็บไปตายไปอยู่ดี เราก็แก่ไปเจ็บไปตายไปอยู่ดี แล้วก็ทุกข์ไปกับการแก่การเจ็บการตาย ถ้าทำงานนี้เราจะไม่ทุกข์ แก่เจ็บตายก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่ความทุกข์ไม่มีในใจเรา นี่คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เกิดจากการทำธุระทั้ง ๒ นี้คือ คันถธุระกับวิปัสสนาธุระ เราต้องศึกษาต้องฟังอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่ฟังอยู่เรื่อยๆ แล้วจะลืม.

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.233 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 14 พฤษภาคม 2568 18:32:32