ช่วงปลายทศวรรษที่ ๖๐ เสื้อทีเชิ้ตถูกนำมาย้อมสี โดยเอาเชือกมัดก่อนย้อมให้เป็นลวดลาย
หรือระบายสี หรือพิมพ์ซิลค์สกรีนเป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพและสัญลักษณ์ของการประท้วง
เสื้อทีเชิ้ตกลายเป็นเวทีแสดงความรู้สึกส่วนตัว หลักปรัชญา โฆษณาผู้สมัครรับเลือกตั้ง
และสินค้าต่าง ๆ ก็ตอนช่วงทศวรรษที่ ๗๐ สงครามเวียดนามผลักดันทีเชิ้ตเข้าสู่โลกของตัวอักษร
และการแสดงความเห็นโต้แย้ง เด็กหนุ่มสาวสวมทีเชิ้ตพิมพ์ข้อความต่อต้านสงครามเวียดนาม
ให้คนทั่วไปรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา
เราไม่ต้องแบกป้ายประท้วงให้เมื่อยมือ ในเมื่อสามารถเขียนข้อความร้องทุกข์ไว้บนหน้าอกเสื้อได้
ไม่ว่าจะไปฟังการหาเสียงทางการเมือง หรือแค่ไปกินเบอร์เกอร์ก็สวมทีเชิ้ตออกไปได้ ขณะที่อเมริกา
กำลังเริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นมากกว่าความรู้ ทีเชิ้ตดูจะเป็นเวทีวาทะที่เหมาะเจาะ
เราไม่ต้องพูดอะไรสักคำทุกคนก็รู้ว่าจุดยืนของเราเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเรื่องสงคราม ความขัดแย้ง
ทางเพศ หรือต่อต้านผู้อยู่ในอำนาจ ไม่นานนักทีเชิ้ตก็ถูกใช้แสดงความคิดเห็นในเรื่องทุกเรื่องที่คิดได้
หรือสื่อคำสารภาพส่วนตัว เช่น “เสรีภาพในการสูบกัญชา” หรือ “ปลดนิกสัน” หรือ
“ฉันยังเป็นสาวบริสุทธิ์ (แต่นี่เสื้อตัวเก่านะ)” ประโยคหลังนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของทีเชิ้ตที่ได้มาจากทีเชิ้ตคอปิด คือทำให้ไม่ต้องผูกเนกไท บุรุษทั้งหลาย
ต่างสำนึกบุญคุณเสื้อทีเชิ้ตคอปิดกันอยู่ชั่วกาลนาน ผู้หญิงเองก็ได้ใส่เสื้อที่ดูแลรักษาง่ายนี้แทนเสื้อ
แบบที่เคยใส่ไปด้วย สำนักงานหลายแห่งยินยอมให้พนักงานใส่เสื้อทีเชิ้ตผ้าฝ้ายแบบเรียบ ๆ สีเดียว
แล้วใส่เสื้อสูททับมาทำงานได้
นักวิชาการผู้ศึกษาวัฒนธรรมในตอนนี้ต่างก็เสียใจว่าพวกเขาไม่เคยคาดเลยว่า ทีเชิ้ตจะกลายเป็น
ประดิษฐกรรมของมนุษย์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด และสำคัญที่สุดของแฟชั่นในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันเทคโนโลยีแฟชั่นในนิวยอร์กก็ยังจัดนิทรรศการทีเชิ้ตเพื่อแสดงให้เห็น
เหตุการณ์ต่าง ๆ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ ตามที่มีบันทึกไว้บนทีเชิ้ต ตั้งแต่ปฏิบัติการพายุทะเลทราย
ไปจนถึงคดีของ วิลเลียม เคนเนดียิ่งไปกว่านั้น สามแผนกของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ
ได้แก่ แผนกเครื่องแต่งกาย ชีวิตตามชุมชน และประวัติศาสตร์การเมือง ก็สะสมทีเชิ้ตไว้สำหรับ
แสดงนิทรรศการด้วย
ประดิษฐกรรมใหม่ล่าสุดตอนนี้คือ ทีเชิ้ตที่มีสีแบบใหม่เรียกว่า“ สีนูน” ที่ใช้วิธีบีบเอาจากหลอด
โดยตรงออกมาเป็นหยดใหญ่ ทำให้เสื้อทีเชิ้ตของเด็ก ๆ กลายเป็นเสื้อในฝัน เพราะมีลายนูนต่ำ
เสื้อทีเชิ้ตที่ไวต่อความร้อนจะเปลี่ยนสีได้เมื่อสวมใส่ลงบนร่างกายก็กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ไม่มีใครทราบว่า เรื่องราวของเสื้อทีเชิ้ตจะจบสิ้นลงเมื่อใดแต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ตราบใดที่คนอเมริกัน
ยังคิดว่าต้องระบายความในใจให้โลกรู้อยู่ละก็ ตราบนั้นเจ้าเสื้อทีเชิ้ตก็คงจะต้องอยู่ต่อไป
ข้อมูลนี้ได้มาจากบทความเรื่อง “ทีเชิ้ต เสื้อยืดยอดฮิตของชาวอเมริกัน”
โดย เจ.ดี. รีด ในนิตยสารเสรีภาพ ฉบับที่ ๑/๒๕๓๖
“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”