คิดมาก็น่าอนิจจัง | | ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา |
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา | | ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ |
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง | | เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร |
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน | | ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป |
ภาพ : โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ประวัติศาสตร์เสียกรุงครั้งที่สองเพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทอนงค์นาฏ เถกิงวิทย์ (*)
ประวัติศาสตร์สมัย "เสียกรุง" ครั้งที่สอง คือ สมัยกรุงศรีอยุธยาล่มสลายนั้นปรากฏเป็นโครงเรื่องหรือเป็นฉากของการดำเนินเรื่องในวรรณคดีอิงประวัติศาสตร์ไทยมากมาย จนอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนี้ เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่กวีและนักประพันธ์นำมาใช้ในการสร้างสรรค์วรรณคดีประเภทนี้มากที่สุด (๑) ผู้แต่งแต่ละคนต่างวาดประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปตามมุมมองของตน นักประพันธ์ที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์สูงก็จะค้นคว้าหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนจะเลือกว่าจะยึดข้อมูลใดเป็นหลัก เพื่อใช้จินตนาการแต่งเติมต่อไปตามจุดยืนและอารมณ์ความรู้สึกของตน ที่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลก็เนื่องจากผู้ประพันธ์มิได้เป็นบุคคลร่วมสมัยกับเหตุการณ์ครั้งกระนั้น ทว่าเป็นบุคคลที่เกิดหลังจากเหตุการณ์การเสียกรุงผ่านไปแล้วนับเป็นร้อยปี อย่างไรก็ดีมีวรรณคดีฉบับหนึ่งที่ผู้แต่งมิได้เป็นบุคคลในสมัยหลังแต่เป็นบุคคลร่วมสมัยเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้วรรณคดีชิ้นนี้มีคุณค่าในแง่ที่เป็นบันทึกของพยานบุคคลผู้ได้มีส่วนรับรู้และบันทึกความคิดเห็นส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ความรู้สึกของตนลงไว้ วรรณคดีฉบับนี้คือ เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของประชาชนคนไทยนัก ในหนังสือประวัติวรรณคดีไทยโดยทั่วๆไปส่วนใหญ่จะไม่มีชื่อของวรรณคดีชิ้นนี้ปรากฏอยู่ ทั้งนี้อาจจะเป็นด้วยผู้แต่งคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(วังหน้าในรัชกาลที่ ๑) เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงร่วมในการยุทธ์กับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมาโดยตลอด จนทรงได้รับสมญานามว่า "พระยาเสือ" ด้วยฝีมือรบอันเก่งกาจ ฉกาจฉกรรจ์ สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวไว้ว่า "แท้จริงแล้วทรงเป็น "กวี" แท้จริงด้วย เพราะ "กวีวรโวหาร" ที่ทรงพรรณนาถึงพระบรมมหาราชวังในพระนครศรีอยุธยาเมื่อยังบริบูรณ์นั้นกระชับ รัดกุมและสง่างามยิ่ง" (๒)
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงแต่งเพลงยาวนิราศนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อครั้งเสด็จบัญชาการกองทัพเรือลงไปเตรียมรบกับพม่าทางภาคใต้เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ชื่อวรรณคดีฉบับนี้คือ เพลงยาวนิราศ เป็นการบ่งบอกประเภทของวรรณคดีไปด้วยในตัวว่าเป็นนิราศซึ่งตามขนบการแต่งนั้น มักจะนิยมรำพึงรำพันถึงนางอันเป็นที่รักที่ต้องจากมา เมื่อกวีไปถึงสถานที่แห่งใดหรือพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นต้นหมากรากไม้สิงสาราสัตว์ก็จะนึกถึงนางในดวงใจอย่างถวิลหาอาลัย แต่ในเพลงยาวนิราศฉบับนี้ สิ่งที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงถวิลหาอาวรณ์หาใช่สตรีนางใดนางหนึ่งไม่ แต่เป็นกรุงศรีอยุธยาที่ได้ล่มสลายไปแล้ว แม้ว่าขณะที่ทรงแต่งนั้น เหตุการณ์วิปโยคจะได้ผ่านไปนับได้ ๒๖ ปีแล้ว แต่ผู้อ่านจะสำเหนียกได้ว่า ยังทรงสะเทือนพระราชหฤทัยอยู่มิรู้วาย ทั้งนี้ คงเป็นเพราะได้ทรงอยู่ร่วมในเหตุการณ์โดยตลอดเนื่องจากทรงรับราชการอยู่กับสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ทรงได้เห็นพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร ไพร่ฟ้าประชาชนยังอยู่ดีมีสุข ดังที่ทรงพรรณนาไว้ว่าประกอบด้วยโภชนากระยาหาร | | ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา |
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา | | เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี |
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน | | รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี |
ตามพระบวรราชประวัติ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีพระนามเดิมว่า บุญมา ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๒๘๖ เป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระชนนีหยก เป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ดำรงตำแหน่งนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร (๓) ดังนั้น ย่อมจะได้ทรงเข้านอกออกในบริเวณพระบรมมหาราชวังอยู่เป็นประจำ และย่อมจะได้ซึมซับความงดงามของเขตพระราชฐานชั้นในที่ทรงสนิทชิดใกล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความผูกพันเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จะลบเลือนไปจากความทรงจำได้ง่ายๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส จึงได้ทรงบันทึกภาพแห่งความประทับใจเหล่านั้นไว้อย่างเต็มไปด้วยความอาลัยเสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง | | พระที่นั่งทั้งสามงามไสว |
ตั้งเรียบระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป | | อำไพวิจิตรรจนา |
มุขโถงมุขเด็จมุขกระสัน | | เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา |
เพดานในไว้ดวงดารา | | ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน |
ที่ตั้งบัลลังก์แก้วทุกองค์ | | ทวารลงอัฒจันทร์หน้าฉาน |
ปราบพื้นรื่นราบดังพระลาน | | มีโรงคชาธารตระการตา |
ทิมดาบคดลดพื้นกำแพงแก้ว | | เป็นถ่องแถวยืดยาวกันหนักหนา |
เป็นที่แขกเฝ้าเข้าวันทา | | ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้ |
สืบทรงวงศ์กษัตริย์มาช้านาน | | แต่บุราณแล้วไม่นับพระองค์ได้ |
พระที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ข้างใน | | มีสระชลาลัยชลธี |
ชื่อที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ | | ที่ประพาสมัจฉาในสระศรี |
ทางเสด็จเสร็จสิ้นสารพันมี | | เป็นที่กษัตริย์สืบมา |
ภาพที่ทรงพรรณนาไว้ข้างต้นมีคุณค่าต่อชาวไทยรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้สามารถจินตนาการได้ว่า สมัยก่อนนั้นกรุงศรีอยุธยาได้เคยมีพระบรมมหาราชวังในลักษณะอย่างไร ประกอบไปด้วยพระที่นั่งและส่วนประกอบใหญ่น้อยตามแบบสถาปัตยกรรมของยุคนั้นอย่างไร
ทั้ง "พระที่นั่งทั้งสาม" (คือพระที่นั่งวิหารสมเด็จ พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์) และ "พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์" สำหรับ "ประพาสมัจฉาในสระศรี" ทั้ง "มุขโถง" "มุขเด็จ" "มุขกระสัน" "บัลลังก์แก้ว" "กำแพงแก้ว" "โรงคชาธาร" "ทิมดาบ" และการตกแต่งภายในที่ "เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา" มีทั้ง "เพดานในไว้ดวงดารา" และ "ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน" ล้วนแล้วแต่เป็นรายละเอียดที่เป็นฐานข้อมูลอันมีคุณค่าสำหรับการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ศิลป์เป็นอย่างยิ่ง
แต่ภาพแห่งความทรงจำมิใช่ภาพแห่งความจริงอีกต่อไป จากวันที่กรุงแตกมาจนถึงวันที่ทรงพระราชนิพนธ์นิราศฉบับนี้กาลเวลาได้ผ่านกรุงธนบุรีมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
พระนครศรีอยุธยาอันรุ่งโรจน์วิจิตรตระการตา "ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้" เหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง ความเป็นจริงนี้สำหรับผู้ที่เคยผ่านวันวารอันน่าภาคภูมิใจกลายเป็นความจริงอันปวดร้าวที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่งประกอบด้วยโภชนากระยาหาร | | ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา |
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา | | เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี |
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน | | รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี |
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นถึงเพียงนี้ | | มาเยินยับอัปรีย์ศรีศักดิ์คลาย |
ทั้งถนนหนทางอารามราช | | มาวินาศสิ้นสุดสูญหาย |
สารพัดย่อยยับกลับกลาย | | อันตรายไปจนพื้นปัถพี |
* เมื่อพระกาฬจะมาผลาญดังทำนาย | | แสนเสียดายภูมิพื้นกรุงศรี |
บริเวณอื้ออลด้วยชลธี | | ประดุจเกาะอสุรีลงกา |
เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้ | | มาเสียสูญไพรีอนาถา |
ผู้ใดใครเห็นจะไม่นำพา | | อยุธยาอาภัพลับไป |
เห็นจะสิ้นอายุพระนคร | | ให้อาวรณ์ผู้รักษาหามีไม่ |
เป็นป่าหญ้ารกดังพงไพร | | แต่จะสาบสูญไปทุกทิวา |
วัดวาอารามในพระพุทธศาสนาที่เป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองคู่แผ่นดินก็พลอยตกอยู่ในสภาพที่น่าสลดสังเวชใจ ช่างน่าสะเทือนใจเป็นยิ่งนักสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้เคยเห็นยอดโบสถ์ยอดวิหารช่อฟ้าใบระกา ตลอดจนพระพุทธรูปในเครื่องทรงอร่ามมลังเมลือง มองครั้งใดก็เต็มตื้นไปด้วยศรัทธาปสาทะ เป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของชาวกรุงศรีอยุธยา ต้องมากลับกลายเป็นเพียงเศษอิฐเศษปูนถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านกองจมดินคิดมาก็น่าอนิจจัง | | ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา |
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา | | ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ |
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง | | เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร |
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน | | ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป |
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจะทรงเป็นกำลังสำคัญของสมเด็จพระเชษฐาธิราช ในการป้องกันประเทศแล้ว ยังทรงมีส่วนในการสร้างพระนคร คือ สร้างพระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) สร้างป้อม ประตูยอด สะพาน วังเจ้านาย บ้านรับแขกเมือง และบ้านข้าราชการหลายแห่ง ทรงสร้างโรงเรือถวายเป็นส่วนของพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุฯ พระราชวังบวร วัดชนะสงคราม วัดโบสถ์ วัดบางลำพู วัดเทวราชกุญชร วัดส้มเกลี้ยง ส่วนวัดเก่าที่ทรงปฏิสังขรณ์คือวัดสำเพ็ง วัดปทุมคงคา วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี วัดสุวรรณดาราราม และทรงสมทบทำหอพระมณเทียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระวิหารคดในวัดพระเชตุพนฯ ตลอดจนทรงสร้างอาคารต่างๆที่ใช้ในงานศพด้วยถาวรวัตถุ ณ วัดสุวรรณาราม (๔) ทั้งนี้ด้วยหน้าที่ของคนไทยคนหนึ่ง เมื่อมีโอกาส มีอำนาจ มีทรัพย์ มีปัญญา ก็อุทิศแรงกายแรงใจอย่างเต็มสติกำลังเพื่อสร้างกรุงขึ้นมาใหม่ (๕) แม้ว่ากรุงใหม่ที่สร้างนี้จะไม่สามารถลบภาพของกรุงเก่าอันเป็นที่สนิทเสน่หาไปได้ก็ตาม ยามใดที่หวนนึก กรุงเก่าก็ยังปรากฏอย่างแจ่มชัดในมโนทัศน์ไม่มีวันลบเลือนก็สูญสิ้นศรีมลายหายหมด | | จะปรากฏสักสิ่งไม่มีว่า |
อันถนนหนทางมรรคา | | คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน |
ร้านเรียบเป็นระเบียบด้วยรุกขา | | ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งพิธีปีเดือนทุกคืนวัน | | สารพันจะมีอยู่อัตรา |
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข | | แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา |
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา | | อยุธยาจะสาบสูญไป |
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว | | ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส |
นับวันแต่จะยับลับไป | | ที่ไหนจะคืนคงมา |
ไป่ปรากฏเหตุเสียเหมือนดังนี้ | | มีแต่บรมสุขา |
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา | | อนิจจาสังเวชทนาใจ |
ความอาลัยอาวรณ์ระคนเจือปนไปด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้งทำให้กลายเป็นความแค้นใจไปอย่างช่วยไม่ได้ สังเกตจากถ้อยคำที่ทรงใช้ นอกจากจะเป็นคำที่แสดงอารมณ์โศกอันเกิดจากบาดแผลภายในที่ยากจะเยียวยาแล้ว ยังมีถ้อยคำที่แสดงอารมณ์รุนแรงตามแบบฉบับนักรบที่กรำศึกสงครามมาโชกโชน ผ่านวันเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากจนสามารถเห็นคนไทยเงยหน้าสู้ฟ้าได้อย่างไม่อายใคร เพราะสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่คราใดที่หวนรำลึกถึงห้วงวิกฤติเมื่อครั้งกระนั้น ก็อดที่จะเคียดขึ้งขึ้นมามิได้ ด้วยสมัยเมื่อยังมีตำแหน่งเป็นเพียงนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร ได้เห็นความเป็นมาเป็นไปในราชสำนักอยู่ตำตา แต่ไร้ซึ่งหนทางที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ใดๆทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ | | จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ |
มิได้พิจารณาข้าไท | | เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา |
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ | | ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา |
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา | | จะตั้งแต่งเสนาธิบดี |
ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน | | จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี |
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี | | จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา |
ในวรรคกลอนที่พาดพิงถึงสภาพการณ์ภายในราชสำนักนี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงเอ่ยถึงทัพพม่าที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียกรุงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ไว้ด้วย นั่นคือทัพของพระเจ้าอลองพญามังลองที่ยกเข้ามาพร้อมมังระราชบุตรในปี พ.ศ.๒๓๐๒ ซึ่งหากไม่บังเอิญถูกรางปืนแตกต้องพระองค์ประชวรเป็นเหตุให้ทัพพม่าต้องถอยกลับไป ก็ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที | | มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน |
ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน | | เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป |
ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย | | ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้ |
ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป | | มิได้เห็นจะฝืนคืนมา |
จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่ | | ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา |
ครั้นทัพเขากลับยกมา | | จะองอาจอาสาก็ไม่มี |
แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ | | จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่ |
ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี | | เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ |
สืบเนื่องจากความสะเทือนใจอาลัยอาวรณ์ในกรุงศรีอยุธยาที่ล่มสลายไปแล้วนั้นเอง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงได้คิดที่จะเอากลับคืนจากพม่าบ้างในการศึกเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ซึ่งเป็นการศึกคราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระราชดำริว่า ควรจะไปตีเมืองเมาะตะมะและเมืองร่างกุ้งเพื่อลองกำลังพม่า หากสำเร็จก็จะตีให้ถึงเมืองหลวง จึงโปรดให้เกณฑ์ทัพยกไปโดยโปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปทรงบัญชาการต่อเรือรบอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อจะยกกองทัพเรือไปทางแม่น้ำเมืองมะริด (๖) เพลงยาวนิราศได้เป็นที่บันทึกพระราชดำริและพระราชปณิธานของกรมพระราชวังบวรฯในการศึกครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงความเป็นนักรบและนักวางแผนการยุทธ์ผู้เจนจบจำจะคิดให้ผิดแต่ก่อนมา | | เป็นทัพหน้านาวายกไป |
ตามทางทะเลไปสงขลา | | จะขุดพสุธาเป็นคลองใหญ่ |
ให้เรือรบออกประจบเอาเมืองไทร | | ปากใต้ฝ่ายทะเลให้พร้อมกัน |
จึงจะยกไปตีเอามะริด | | จะปิดปากน้ำเสียให้มั่น |
ทัพเรือมันจะพลอยเข้าช่วยกัน | | จะตีบั่นเกยทัพให้ยับไป |
รบไหนจะให้ยับลงที่นั่น | | แต่กึ่งวันไม่ให้ทนทานได้ |
จะทำการครั้งนี้ให้มีชัย | | จะไว้เกียรติให้สืบทั้งแผ่นดิน |
วรรคกลอนในตอนนี้สะท้อนว่า เหตุการณ์การเสียกรุงยังคงฝังใจคนร่วมสมัยอยู่ หากจะเปรียบเป็นแผลก็เป็นแผลที่ยังคงทิ้งรอยไว้ เมื่อเห็นหรือสัมผัสรอยนั้นทีไรก็ให้เจ็บแปลบที่ใจไปทุกคราวอันกรุงรัตนอังวะครั้งนี้ฤา | | จักพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย |
พม่าจะมาเป็นข้าไท | | จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา |
แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย | | จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา |
จะได้ชูกู้ยกนัครา | | สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน |
ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด | | จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์ |
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์ | | เที่ยวล้างขอบขัณฑ์ทุกพารา |
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข | | รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา |
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา | | ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล |
อย่างไรก็ตามการศึกครั้งนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไม่สามารถ "จะเห็นเมืองพม่าในครั้งนี้" ดังที่ได้ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้
เพลงยาวนิราศฉบับนี้จบลงด้วยการกล่าวถึงคำทำนายแต่เก่าก่อน ซึ่งเปรียบเทียบเป็นนิทานว่า หงส์มากินน้ำในหนองแล้วถูกพรานป่าอองไจยฆ่า โดยเปรียบพรานป่าเป็นพม่า ส่วนหงส์นั้นคือมอญ พม่าสามารถตีเอามอญได้ แต่นิทานยังมีต่อไปว่าจะมีพยัคฆ์มากินพรานที่ยิงหงส์ตาย ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯ ทรงตีความตอนนี้ว่า พยัคฆ์ก็คือไทย ทัพไทยในครั้งนี้จะพิชิตพม่าที่คือพรานป่าตามคำทำนายทัพเราเข้าต้องคำทำนาย | | คือเสือร้ายอันแรงฤทธา |
จะไปกินพรานป่าที่ฆ่าหงส์ | | ให้ปลดปลงม้วยชีพสังขาร์ |
แต่กาลเวลาก็ได้ทำให้ประจักษ์แล้วว่า พยัคฆ์ในคำทำนายมิใช่ชาติไทย แต่เป็นชาติอื่นที่ทำให้ "อังวะจะฉิบหายในครั้งนี้" วรรคกลอนสุดท้ายในเพลงยาวนิราศเป็นการอัญเชิญเทพยดาจากสวรรค์มาอำนวยพร และดลใจให้ชาวไทยช่วยกันสู้จนกว่าการศึกจะเสร็จสิ้นเดชะเทเวศร์ช่วยอวยชัย | | ที่คิดไว้ขอให้สมปรารถนา |
ตั้งแต่สวรรค์ชั้นกามา | | ตลอดจนมหาอัครพรหม |
ขอจงมาช่วยอวยพรชัย | | ที่มาดไว้ให้ได้ดังประสงค์ |
จะดลใจไทยกรุงให้นิยม | | ช่วยระดมกันให้สิ้นศึกเอยฯ |
เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พ.ศ.๒๓๓๖ นี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของวรรณคดีที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์อย่างแนบแน่น เนื่องจากสาระสำคัญคือการกล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สองเหตุการณ์ คือการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๓๑๐ และการยกทัพไทยไปตีเมืองพม่า พ.ศ.๒๓๓๖ อีกทั้งผู้ประพันธ์ก็เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยผู้หนึ่งที่ได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งสองมาด้วยพระองค์เอง ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความทุกข์ยากลำเค็ญที่ทรงเผชิญมา แม้ว่าจะเป็นเพียงมุมมองหนึ่งของบุคคลเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นการบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกของคนสมัยอยุธยาที่ถ่ายทอดอารมณ์สะเทือนใจได้อย่างลึกซึ้ง ในฐานะกวี "พระยาเสือ" สมควรแล้วกับคำว่า "กวีวรโวหาร" โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบทกลอนที่ประทับใจทุกผู้ทุกนามบทนี้เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ | | เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา |
เสียทั้งตระกูลนานา | | เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร |
-------------------------------------------
(*) จาก อนงค์นาฏ เถกิงวิทย์, เอกสารคำสอน วิชาวรรณคดีกับประวัติศาสตร์ ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
(๑) วินิตา ดิถียนต์. "เบื้องหลัง รัตนโกสินทร์ การนำวิธีวิจัยมาใช้ในการแต่งนวนิยายอิงประวัติศาสตร์" ในรัตนโกสินทร์.บริษัท ต้นอ้อ จำกัด.กรุงเทพฯ ๒๕๓๕.หน้า๔๒๒.
กลับไปที่เดิม
(๒) สุจิตต์ วงษ์เทศ. "กรุงแตก" ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองก็จะออกไปอยู่ไพร" ในศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๖ ๒๕๓๘ หน้า ๕๕-๖๓.
กลับไปที่เดิม
(๓) ศิลปากร, กรม, อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล สหประชาพาณิชย์, ๒๕๒๖, หน้า ๑๑๔.
กลับไปที่เดิม
(๔) อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๒๘.
กลับไปที่เดิม
(๕) การสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงยึดแบบอย่างกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก กล่าวคือ การสร้างสิ่งต่างๆสำหรับพระนคร เช่น พระบรมมหาราชวัง ก็ทรงสร้างตามพระราชวังที่กรุงศรีอยุธยา เป็นต้นว่า พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ลอกแบบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท หรือสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ในส่วนของศิลปวัฒนธรรมแบบแผนประเพณีต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ฟื้นฟูแบบอย่างจากกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น ดังเช่นที่มีสำนวนพูดกันว่า สร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี และนามของกรุงเทพฯ เองก็ยึดนามของกรุงศรีอยุธยาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานสำคัญให้เห็นการต่อเนื่องของราชธานีประเทศไทยมาตามลำดับ นามเต็มของกรุงเทพฯ คือ "กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทรา อยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๕๘, ๑๕๙.
กลับไปที่เดิม
(๖) อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๙๕.
ที่มา : เว็บไซต์ http://pioneer.chula.ac.th/ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)







