[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
09 มิถุนายน 2568 15:14:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท-ประวัติศาสตร์เสียกรุงครั้งที่สอง  (อ่าน 418 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6075


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 27 มีนาคม 2568 13:27:24 »


คิดมาก็น่าอนิจจัง              ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน    ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป
ภาพ : โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ประวัติศาสตร์เสียกรุงครั้งที่สอง
เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

อนงค์นาฏ เถกิงวิทย์ (*)

ประวัติศาสตร์สมัย "เสียกรุง" ครั้งที่สอง คือ สมัยกรุงศรีอยุธยาล่มสลายนั้นปรากฏเป็นโครงเรื่องหรือเป็นฉากของการดำเนินเรื่องในวรรณคดีอิงประวัติศาสตร์ไทยมากมาย จนอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนี้ เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่กวีและนักประพันธ์นำมาใช้ในการสร้างสรรค์วรรณคดีประเภทนี้มากที่สุด (๑) ผู้แต่งแต่ละคนต่างวาดประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปตามมุมมองของตน นักประพันธ์ที่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์สูงก็จะค้นคว้าหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนจะเลือกว่าจะยึดข้อมูลใดเป็นหลัก เพื่อใช้จินตนาการแต่งเติมต่อไปตามจุดยืนและอารมณ์ความรู้สึกของตน ที่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลก็เนื่องจากผู้ประพันธ์มิได้เป็นบุคคลร่วมสมัยกับเหตุการณ์ครั้งกระนั้น ทว่าเป็นบุคคลที่เกิดหลังจากเหตุการณ์การเสียกรุงผ่านไปแล้วนับเป็นร้อยปี อย่างไรก็ดีมีวรรณคดีฉบับหนึ่งที่ผู้แต่งมิได้เป็นบุคคลในสมัยหลังแต่เป็นบุคคลร่วมสมัยเลยทีเดียว และด้วยเหตุนี้จึงทำให้วรรณคดีชิ้นนี้มีคุณค่าในแง่ที่เป็นบันทึกของพยานบุคคลผู้ได้มีส่วนรับรู้และบันทึกความคิดเห็นส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ความรู้สึกของตนลงไว้ วรรณคดีฉบับนี้คือ เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของประชาชนคนไทยนัก ในหนังสือประวัติวรรณคดีไทยโดยทั่วๆไปส่วนใหญ่จะไม่มีชื่อของวรรณคดีชิ้นนี้ปรากฏอยู่ ทั้งนี้อาจจะเป็นด้วยผู้แต่งคือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(วังหน้าในรัชกาลที่ ๑) เป็นที่รู้จักกันในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงร่วมในการยุทธ์กับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมาโดยตลอด จนทรงได้รับสมญานามว่า "พระยาเสือ" ด้วยฝีมือรบอันเก่งกาจ ฉกาจฉกรรจ์   สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวไว้ว่า "แท้จริงแล้วทรงเป็น "กวี" แท้จริงด้วย เพราะ "กวีวรโวหาร" ที่ทรงพรรณนาถึงพระบรมมหาราชวังในพระนครศรีอยุธยาเมื่อยังบริบูรณ์นั้นกระชับ รัดกุมและสง่างามยิ่ง" (๒)

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงแต่งเพลงยาวนิราศนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อครั้งเสด็จบัญชาการกองทัพเรือลงไปเตรียมรบกับพม่าทางภาคใต้เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ชื่อวรรณคดีฉบับนี้คือ เพลงยาวนิราศ เป็นการบ่งบอกประเภทของวรรณคดีไปด้วยในตัวว่าเป็นนิราศซึ่งตามขนบการแต่งนั้น มักจะนิยมรำพึงรำพันถึงนางอันเป็นที่รักที่ต้องจากมา เมื่อกวีไปถึงสถานที่แห่งใดหรือพบเห็นสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นต้นหมากรากไม้สิงสาราสัตว์ก็จะนึกถึงนางในดวงใจอย่างถวิลหาอาลัย แต่ในเพลงยาวนิราศฉบับนี้ สิ่งที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงถวิลหาอาวรณ์หาใช่สตรีนางใดนางหนึ่งไม่ แต่เป็นกรุงศรีอยุธยาที่ได้ล่มสลายไปแล้ว แม้ว่าขณะที่ทรงแต่งนั้น เหตุการณ์วิปโยคจะได้ผ่านไปนับได้ ๒๖ ปีแล้ว แต่ผู้อ่านจะสำเหนียกได้ว่า ยังทรงสะเทือนพระราชหฤทัยอยู่มิรู้วาย ทั้งนี้ คงเป็นเพราะได้ทรงอยู่ร่วมในเหตุการณ์โดยตลอดเนื่องจากทรงรับราชการอยู่กับสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ทรงได้เห็นพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร ไพร่ฟ้าประชาชนยังอยู่ดีมีสุข ดังที่ทรงพรรณนาไว้ว่า


ประกอบด้วยโภชนากระยาหาร        ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี
 

ตามพระบวรราชประวัติ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีพระนามเดิมว่า บุญมา ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๒๘๖ เป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระชนนีหยก เป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ดำรงตำแหน่งนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร (๓) ดังนั้น ย่อมจะได้ทรงเข้านอกออกในบริเวณพระบรมมหาราชวังอยู่เป็นประจำ และย่อมจะได้ซึมซับความงดงามของเขตพระราชฐานชั้นในที่ทรงสนิทชิดใกล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความผูกพันเช่นนี้มิใช่สิ่งที่จะลบเลือนไปจากความทรงจำได้ง่ายๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส จึงได้ทรงบันทึกภาพแห่งความประทับใจเหล่านั้นไว้อย่างเต็มไปด้วยความอาลัย

เสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง               พระที่นั่งทั้งสามงามไสว
ตั้งเรียบระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป อำไพวิจิตรรจนา
มุขโถงมุขเด็จมุขกระสัน เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา
เพดานในไว้ดวงดารา ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน
ที่ตั้งบัลลังก์แก้วทุกองค์ ทวารลงอัฒจันทร์หน้าฉาน
ปราบพื้นรื่นราบดังพระลานมีโรงคชาธารตระการตา
ทิมดาบคดลดพื้นกำแพงแก้ว    เป็นถ่องแถวยืดยาวกันหนักหนา
เป็นที่แขกเฝ้าเข้าวันทา ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้
สืบทรงวงศ์กษัตริย์มาช้านาน    แต่บุราณแล้วไม่นับพระองค์ได้
พระที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ข้างใน    มีสระชลาลัยชลธี
ชื่อที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์     ที่ประพาสมัจฉาในสระศรี
ทางเสด็จเสร็จสิ้นสารพันมี    เป็นที่กษัตริย์สืบมา
   

ภาพที่ทรงพรรณนาไว้ข้างต้นมีคุณค่าต่อชาวไทยรุ่นหลังเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้สามารถจินตนาการได้ว่า สมัยก่อนนั้นกรุงศรีอยุธยาได้เคยมีพระบรมมหาราชวังในลักษณะอย่างไร ประกอบไปด้วยพระที่นั่งและส่วนประกอบใหญ่น้อยตามแบบสถาปัตยกรรมของยุคนั้นอย่างไร

ทั้ง "พระที่นั่งทั้งสาม" (คือพระที่นั่งวิหารสมเด็จ พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์) และ "พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์" สำหรับ "ประพาสมัจฉาในสระศรี" ทั้ง "มุขโถง" "มุขเด็จ" "มุขกระสัน" "บัลลังก์แก้ว" "กำแพงแก้ว" "โรงคชาธาร" "ทิมดาบ" และการตกแต่งภายในที่ "เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา" มีทั้ง "เพดานในไว้ดวงดารา" และ "ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน" ล้วนแล้วแต่เป็นรายละเอียดที่เป็นฐานข้อมูลอันมีคุณค่าสำหรับการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ศิลป์เป็นอย่างยิ่ง

แต่ภาพแห่งความทรงจำมิใช่ภาพแห่งความจริงอีกต่อไป จากวันที่กรุงแตกมาจนถึงวันที่ทรงพระราชนิพนธ์นิราศฉบับนี้กาลเวลาได้ผ่านกรุงธนบุรีมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์

พระนครศรีอยุธยาอันรุ่งโรจน์วิจิตรตระการตา "ดั่งเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้" เหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง ความเป็นจริงนี้สำหรับผู้ที่เคยผ่านวันวารอันน่าภาคภูมิใจกลายเป็นความจริงอันปวดร้าวที่ทำใจยอมรับได้ยากยิ่ง


ประกอบด้วยโภชนากระยาหาร       ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์นักหนา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นถึงเพียงนี้    มาเยินยับอัปรีย์ศรีศักดิ์คลาย
ทั้งถนนหนทางอารามราช    มาวินาศสิ้นสุดสูญหาย
สารพัดย่อยยับกลับกลาย    อันตรายไปจนพื้นปัถพี
* เมื่อพระกาฬจะมาผลาญดังทำนาย    แสนเสียดายภูมิพื้นกรุงศรี
บริเวณอื้ออลด้วยชลธี    ประดุจเกาะอสุรีลงกา
เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้ มาเสียสูญไพรีอนาถา
ผู้ใดใครเห็นจะไม่นำพา อยุธยาอาภัพลับไป
เห็นจะสิ้นอายุพระนคร  ให้อาวรณ์ผู้รักษาหามีไม่
เป็นป่าหญ้ารกดังพงไพร แต่จะสาบสูญไปทุกทิวา

วัดวาอารามในพระพุทธศาสนาที่เป็นสิ่งคู่บ้านคู่เมืองคู่แผ่นดินก็พลอยตกอยู่ในสภาพที่น่าสลดสังเวชใจ ช่างน่าสะเทือนใจเป็นยิ่งนักสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้เคยเห็นยอดโบสถ์ยอดวิหารช่อฟ้าใบระกา ตลอดจนพระพุทธรูปในเครื่องทรงอร่ามมลังเมลือง มองครั้งใดก็เต็มตื้นไปด้วยศรัทธาปสาทะ เป็นที่พึ่งทางใจ และเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของชาวกรุงศรีอยุธยา ต้องมากลับกลายเป็นเพียงเศษอิฐเศษปูนถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านกองจมดิน

คิดมาก็น่าอนิจจัง              ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน    ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจะทรงเป็นกำลังสำคัญของสมเด็จพระเชษฐาธิราช ในการป้องกันประเทศแล้ว ยังทรงมีส่วนในการสร้างพระนคร คือ สร้างพระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) สร้างป้อม ประตูยอด สะพาน วังเจ้านาย บ้านรับแขกเมือง และบ้านข้าราชการหลายแห่ง ทรงสร้างโรงเรือถวายเป็นส่วนของพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุฯ พระราชวังบวร วัดชนะสงคราม วัดโบสถ์ วัดบางลำพู วัดเทวราชกุญชร วัดส้มเกลี้ยง ส่วนวัดเก่าที่ทรงปฏิสังขรณ์คือวัดสำเพ็ง วัดปทุมคงคา วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี วัดสุวรรณดาราราม และทรงสมทบทำหอพระมณเทียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระวิหารคดในวัดพระเชตุพนฯ ตลอดจนทรงสร้างอาคารต่างๆที่ใช้ในงานศพด้วยถาวรวัตถุ ณ วัดสุวรรณาราม (๔) ทั้งนี้ด้วยหน้าที่ของคนไทยคนหนึ่ง เมื่อมีโอกาส มีอำนาจ มีทรัพย์ มีปัญญา ก็อุทิศแรงกายแรงใจอย่างเต็มสติกำลังเพื่อสร้างกรุงขึ้นมาใหม่ (๕) แม้ว่ากรุงใหม่ที่สร้างนี้จะไม่สามารถลบภาพของกรุงเก่าอันเป็นที่สนิทเสน่หาไปได้ก็ตาม ยามใดที่หวนนึก กรุงเก่าก็ยังปรากฏอย่างแจ่มชัดในมโนทัศน์ไม่มีวันลบเลือน

ก็สูญสิ้นศรีมลายหายหมด        จะปรากฏสักสิ่งไม่มีว่า
อันถนนหนทางมรรคา    คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน
ร้านเรียบเป็นระเบียบด้วยรุกขา ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งพิธีปีเดือนทุกคืนวัน สารพันจะมีอยู่อัตรา
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา       อยุธยาจะสาบสูญไป
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว    ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับลับไป    ที่ไหนจะคืนคงมา
ไป่ปรากฏเหตุเสียเหมือนดังนี้ มีแต่บรมสุขา
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา อนิจจาสังเวชทนาใจ


ความอาลัยอาวรณ์ระคนเจือปนไปด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้งทำให้กลายเป็นความแค้นใจไปอย่างช่วยไม่ได้ สังเกตจากถ้อยคำที่ทรงใช้ นอกจากจะเป็นคำที่แสดงอารมณ์โศกอันเกิดจากบาดแผลภายในที่ยากจะเยียวยาแล้ว ยังมีถ้อยคำที่แสดงอารมณ์รุนแรงตามแบบฉบับนักรบที่กรำศึกสงครามมาโชกโชน ผ่านวันเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากจนสามารถเห็นคนไทยเงยหน้าสู้ฟ้าได้อย่างไม่อายใคร เพราะสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง แต่คราใดที่หวนรำลึกถึงห้วงวิกฤติเมื่อครั้งกระนั้น ก็อดที่จะเคียดขึ้งขึ้นมามิได้ ด้วยสมัยเมื่อยังมีตำแหน่งเป็นเพียงนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร ได้เห็นความเป็นมาเป็นไปในราชสำนักอยู่ตำตา แต่ไร้ซึ่งหนทางที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ใดๆ

ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ     จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท    เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา    จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน    จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี   จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา

ในวรรคกลอนที่พาดพิงถึงสภาพการณ์ภายในราชสำนักนี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงเอ่ยถึงทัพพม่าที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาก่อนที่จะเสียกรุงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ไว้ด้วย นั่นคือทัพของพระเจ้าอลองพญามังลองที่ยกเข้ามาพร้อมมังระราชบุตรในปี พ.ศ.๒๓๐๒ ซึ่งหากไม่บังเอิญถูกรางปืนแตกต้องพระองค์ประชวรเป็นเหตุให้ทัพพม่าต้องถอยกลับไป ก็ไม่แน่ว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยอาจเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีก

ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที   มิได้มีเหตุเสียจึงแตกฉาน
ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
ถึงเพียงนี้ละไม่มีที่กริ่งเลย ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่    ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
ครั้นทัพเขากลับยกมา   จะองอาจอาสาก็ไม่มี
แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ    จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี    เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ

สืบเนื่องจากความสะเทือนใจอาลัยอาวรณ์ในกรุงศรีอยุธยาที่ล่มสลายไปแล้วนั้นเอง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงได้คิดที่จะเอากลับคืนจากพม่าบ้างในการศึกเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖ ซึ่งเป็นการศึกคราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระราชดำริว่า ควรจะไปตีเมืองเมาะตะมะและเมืองร่างกุ้งเพื่อลองกำลังพม่า หากสำเร็จก็จะตีให้ถึงเมืองหลวง จึงโปรดให้เกณฑ์ทัพยกไปโดยโปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปทรงบัญชาการต่อเรือรบอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อจะยกกองทัพเรือไปทางแม่น้ำเมืองมะริด (๖) เพลงยาวนิราศได้เป็นที่บันทึกพระราชดำริและพระราชปณิธานของกรมพระราชวังบวรฯในการศึกครั้งนี้ ซึ่งแสดงถึงความเป็นนักรบและนักวางแผนการยุทธ์ผู้เจนจบ

จำจะคิดให้ผิดแต่ก่อนมา       เป็นทัพหน้านาวายกไป
ตามทางทะเลไปสงขลา จะขุดพสุธาเป็นคลองใหญ่
ให้เรือรบออกประจบเอาเมืองไทร    ปากใต้ฝ่ายทะเลให้พร้อมกัน
จึงจะยกไปตีเอามะริด    จะปิดปากน้ำเสียให้มั่น
ทัพเรือมันจะพลอยเข้าช่วยกัน    จะตีบั่นเกยทัพให้ยับไป
รบไหนจะให้ยับลงที่นั่น     แต่กึ่งวันไม่ให้ทนทานได้
จะทำการครั้งนี้ให้มีชัย    จะไว้เกียรติให้สืบทั้งแผ่นดิน

วรรคกลอนในตอนนี้สะท้อนว่า เหตุการณ์การเสียกรุงยังคงฝังใจคนร่วมสมัยอยู่ หากจะเปรียบเป็นแผลก็เป็นแผลที่ยังคงทิ้งรอยไว้ เมื่อเห็นหรือสัมผัสรอยนั้นทีไรก็ให้เจ็บแปลบที่ใจไปทุกคราว

อันกรุงรัตนอังวะครั้งนี้ฤาจักพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไท    จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา
แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน
ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์
อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์เที่ยวล้างขอบขัณฑ์ทุกพารา
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา    ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล

อย่างไรก็ตามการศึกครั้งนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทไม่สามารถ "จะเห็นเมืองพม่าในครั้งนี้" ดังที่ได้ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้

เพลงยาวนิราศฉบับนี้จบลงด้วยการกล่าวถึงคำทำนายแต่เก่าก่อน ซึ่งเปรียบเทียบเป็นนิทานว่า หงส์มากินน้ำในหนองแล้วถูกพรานป่าอองไจยฆ่า โดยเปรียบพรานป่าเป็นพม่า ส่วนหงส์นั้นคือมอญ พม่าสามารถตีเอามอญได้ แต่นิทานยังมีต่อไปว่าจะมีพยัคฆ์มากินพรานที่ยิงหงส์ตาย ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯ ทรงตีความตอนนี้ว่า พยัคฆ์ก็คือไทย ทัพไทยในครั้งนี้จะพิชิตพม่าที่คือพรานป่าตามคำทำนาย


ทัพเราเข้าต้องคำทำนาย คือเสือร้ายอันแรงฤทธา
จะไปกินพรานป่าที่ฆ่าหงส์    ให้ปลดปลงม้วยชีพสังขาร์

แต่กาลเวลาก็ได้ทำให้ประจักษ์แล้วว่า พยัคฆ์ในคำทำนายมิใช่ชาติไทย แต่เป็นชาติอื่นที่ทำให้ "อังวะจะฉิบหายในครั้งนี้" วรรคกลอนสุดท้ายในเพลงยาวนิราศเป็นการอัญเชิญเทพยดาจากสวรรค์มาอำนวยพร และดลใจให้ชาวไทยช่วยกันสู้จนกว่าการศึกจะเสร็จสิ้น

เดชะเทเวศร์ช่วยอวยชัย ที่คิดไว้ขอให้สมปรารถนา
ตั้งแต่สวรรค์ชั้นกามา ตลอดจนมหาอัครพรหม
ขอจงมาช่วยอวยพรชัย    ที่มาดไว้ให้ได้ดังประสงค์
จะดลใจไทยกรุงให้นิยม ช่วยระดมกันให้สิ้นศึกเอยฯ

เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พ.ศ.๒๓๓๖ นี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของวรรณคดีที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์อย่างแนบแน่น เนื่องจากสาระสำคัญคือการกล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สองเหตุการณ์ คือการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๓๑๐ และการยกทัพไทยไปตีเมืองพม่า พ.ศ.๒๓๓๖ อีกทั้งผู้ประพันธ์ก็เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยผู้หนึ่งที่ได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งสองมาด้วยพระองค์เอง ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความทุกข์ยากลำเค็ญที่ทรงเผชิญมา แม้ว่าจะเป็นเพียงมุมมองหนึ่งของบุคคลเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นการบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกของคนสมัยอยุธยาที่ถ่ายทอดอารมณ์สะเทือนใจได้อย่างลึกซึ้ง ในฐานะกวี "พระยาเสือ" สมควรแล้วกับคำว่า "กวีวรโวหาร" โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบทกลอนที่ประทับใจทุกผู้ทุกนามบทนี้

เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร

-------------------------------------------

(*) จาก อนงค์นาฏ เถกิงวิทย์, เอกสารคำสอน วิชาวรรณคดีกับประวัติศาสตร์ ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔.

(๑) วินิตา ดิถียนต์. "เบื้องหลัง รัตนโกสินทร์ การนำวิธีวิจัยมาใช้ในการแต่งนวนิยายอิงประวัติศาสตร์" ในรัตนโกสินทร์.บริษัท ต้นอ้อ จำกัด.กรุงเทพฯ ๒๕๓๕.หน้า๔๒๒.
กลับไปที่เดิม

(๒) สุจิตต์ วงษ์เทศ. "กรุงแตก" ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองก็จะออกไปอยู่ไพร" ในศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๖ ๒๕๓๘ หน้า ๕๕-๖๓.
กลับไปที่เดิม

(๓) ศิลปากร, กรม, อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล สหประชาพาณิชย์, ๒๕๒๖, หน้า ๑๑๔.
กลับไปที่เดิม

(๔) อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๑๔, ๑๑๕, ๑๒๘.
กลับไปที่เดิม

(๕) การสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงยึดแบบอย่างกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก กล่าวคือ การสร้างสิ่งต่างๆสำหรับพระนคร เช่น พระบรมมหาราชวัง ก็ทรงสร้างตามพระราชวังที่กรุงศรีอยุธยา เป็นต้นว่า พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ลอกแบบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท หรือสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ในส่วนของศิลปวัฒนธรรมแบบแผนประเพณีต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ฟื้นฟูแบบอย่างจากกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น ดังเช่นที่มีสำนวนพูดกันว่า สร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี และนามของกรุงเทพฯ เองก็ยึดนามของกรุงศรีอยุธยาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานสำคัญให้เห็นการต่อเนื่องของราชธานีประเทศไทยมาตามลำดับ นามเต็มของกรุงเทพฯ คือ "กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทรา อยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๕๘, ๑๕๙.
กลับไปที่เดิม

(๖) อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, หน้า ๑๙๕.


ที่มา : เว็บไซต์ http://pioneer.chula.ac.th/ (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มีนาคม 2568 13:30:03 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.888 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 02 มิถุนายน 2568 23:14:25