[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 16:17:28 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๔ เรื่องวิชาแพทย์ไทย  (อ่าน 240 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 14:30:19 »



ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๔

เรื่องวิชาแพทย์ไทย

นายปรีดา ใยมณี
พิมพ์แจกเพื่อเป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ
คุณแม่แป้น ใยมณี ผู้มารดา

ณ เมรุ วัดจันทาราม (กลาง) ตลาดพลู จังหวัดธนบุรี
เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๙๖


คำนำ


นายปรีดา ใยมณี มาแจ้งความ ณ หอสมุดแห่งชาติกรมศิลปากรว่า มีความประสงค์จะพิมพ์หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๔ เรื่องวิชาแพทย์ไทย ชำร่วยในงานฌาปนกิจศพนางแป้น ใยมณี ผู้เป็นมารดา ณ เมรุวัดจันทาราม จังหวัดธนบุรี ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๙๖ กรมศิลปากรมีความยินดีอนุญาตให้นำไปพิมพ์ได้ตามความประสงค์

หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๔ นี้ มีเรื่องเกี่ยวแก่วิชาแพทย์ไทย ๒ เรื่อง คือ เรื่องว่าด้วยวิชาแพทย์ไทย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ได้ทรงนิพนธ์ไว้เรื่อง ๑ เรื่องเวชชปุจฉา พระเจ้าราชวรวงศ์เธอชั้น ๔ กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ แต่ยังดำรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าจรูญโรจน์เรืองศรี ทรงนิพนธ์ไว้เรื่อง ๑ เป็นหนังสือแต่งถวายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงบัญชาการแทนสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒

ว่าเฉพาะเรื่องวิชาแพทย์ไทยที่พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ทรงนิพนธ์นั้น พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์เป็นกวี และเป็นนักเรียน ทรงชำนาญในทางภาษาไทย ได้รับราชการอยู่ในกรมราชเลขานุการ แต่ยังหาทันได้รับกรมไม่ สิ้นพระชนม์เสียเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒ เมื่อทรงปฏิบัติราชการอยู่ โปรดในทางวิชาแพทย์ ทรงศึกษาในเวลาว่างราชการมาเป็นนิจ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งกรมพยาบาลขึ้นสำหรับจัดการโรงพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ เป็นตำแหน่งอธิบดีกรมพยาบาลด้วยอีกหน้าที่ ๑ ได้ทรงเป็นพระธุระไต่ถามความรู้แพทย์จากพระยาประเสริฐศาสตรธำรง (หนู) พระยาพิศณุประสาทเวช (คง) เมื่อยังเป็นขุนแพทย์พิเศษ และพระยาประเสริฐสาตรธำรง (นิ่ม) เมื่อยังเป็นขุนเวชวิสิฐ ทั้งทรงรวบรวมตำราแพทย์มาตรวจตราเมื่อครั้งจัดการโรงพยาบาลต่าง ๆ มีโรงศิริราชพยาบาลเป็นต้น จนได้ความรู้ลัทธิวิธีแพทย์ไทย ทรงเรียบเรียงหนังสือเรื่องนี้ถวายตามความคุ้นเคย และความนิยมของแพทย์ไทยในสมัยนั้น จึงเป็นหนังสือที่แต่งดีทั้งในภาษาไทย และในทางอธิบายลักษณะวิชาแพทย์ไทยตามความคิดใหม่ ถึงบุคคลที่มิได้เป็นแพทย์อ่านก็เห็นจะไม่เบื่อหน่าย

เรื่องเวชชปุจฉานั้น กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ ผู้นิพนธ์ ก็อยู่ในเจ้านายพระองค์ ๑ ซึ่งได้เอาใจใส่ศึกษาวิชาแพทย์ ได้รับราชการในตำแหน่งนายแพทย์กรมทหารรักษาพระราชวัง เมื่อในรัชกาลที่ ๕ จึงแต่งหนังสือเรื่องเวชปุจฉานี้ถวายตามความคุ้นเคย และพระดำริของท่าน เห็นว่าเป็นหนังสือน่าอ่านเหมือนกัน และเห็นว่าเป็นเรื่องว่าด้วยวิชาแพทย์ไทยเหมือนกับเรื่องที่พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ทรงนิพนธ์ จึงได้เอามารวบรวมพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มเดียวกัน

กรมศิลปากร ขออนุโมทนากุศลบุญราศีทักษิณานุปทานกิจ ซึ่งนายปรีดา ใยมณี ได้บำเบ็ญอุทิศส่วนกุศลให้แก่นางแป้น ใยมณี มารดาผู้ล่วงลับด้วยความกตัญญูกตเวทีตามหน้าที่ของสาธุชน ขอผลบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญตลอดจนที่ให้พิมพ์หนังสือแจกเป็นสาธารณประโยชน์ จงพลวปัจจัย อำนวยให้ซึ่งอิฐวิบูลมนูญผลแก่ผู้ล่วงลับไป ตามควรแก่คติวิสัยในสัมปรายภพทุกประการ เทอญ. ๚ะ


กรมศิลปากร
๑๓ มีนาคม ๒๔๙๖

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 14:36:16 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๔

เรื่องวิชาแพทย์ไทย

เรื่องแพทย์หมอ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์
ทรงนิพนธ์​

----------------------------
 

คำเรียกว่าหมอ ๆ ในภาษาของเรา ดูเหมือนจะเข้าใจกันว่าผู้รู้แก้โรคภัยไข้เจ็บอย่าง ๑ คนเจ้าตำรับตำราเข้าใจการอะไร ๆ อย่าง ๑ เพราะฉะนั้นคำว่าหมอจึงเป็นชื่อของคนหลายจำพวก เช่นหมอที่รักษาโรคภัย ด้วยวิธีใช้สรรพยาต่างๆ ตามคัมภีร์แพทย์ก็เรียกว่าหมอ ยังพวกที่ใช้วิชาอย่างหนึ่ง เช่นหลับตาบ่นงึมๆ งำๆ เสกอะไรให้กินให้ทา หรือขีดๆ เขียนๆ แล้วทายไปตามตำราที่ตนเชื่อถือบ้าง ตามที่ได้หลับตาเห็นตามสังเกตของตนบ้าง คือหมอดู หมอเสกเป่า หมอน้ำมนต์ หมอภูตเรียกว่ารักษาทางใน แก้ฝีแก้กระทำเหล่านี้ ก็เรียกหมออีกพวก ๑ ยังผู้ที่ชำนาญในการหัดปรือปราบปรามสัตว์ต่าง ๆ เช่นหมอช้าง หมอม้า หมอจระเข้เหล่านี้ เขาก็เรียกว่าหมอเหมือนกัน ที่สุดจนคำคนเรียกกันโดยหยอกล้อของคนโบราณหรือคนต่ำๆ ในทุกวันนี้ ก็พอใจเรียกเพื่อนกันว่า หมอนั่นหมอนี่ จนถึงเติมคำว่า อ้ายหมอนั่นอ้ายหมอนี่ ก็มีคำหมอปนอยู่ จะมาแต่อะไร เพราะเหตุใดจึงเรียกกันเช่นนั้นก็ไม่ทราบ คำเรียกหมอนี้ ถ้าไม่ใช่คำหยอกล้อที่กล่าวมาข้างต้น เป็นคำเรียกโดยพวกเจ้าตำราแล้ว ก็เติมคุณวิชาของคนจำพวกนั้น ๆ ​เข้าท้ายคำหมอ เช่นหมอนวด หมอยา หมอกุมาร หมอพยุงครรภ์ หมอดู หมอเสกเป่า หมอช้าง หมอจระเข้ เป็นต้น ตรวจดูคำว่าหมอของชาวเราอยู่ข้างคล้ายกับภาษาจีน เรียกหมอยาหมอดูว่าซินแส หรือภาษาอังกฤษเรียกว่าดอกเตอร์นั้นก็เรียกคนหลายจำพวก คือหมอยา หมอศาสนา หมอกฎหมายเหล่านี้ เป็นดอกเตอร์ทั้งสิ้น แล้วเติมคุณวิชาเข้าท้ายชื่อด้วย เช่นหมอยาเรียกดอกเตอร์ออฟเมดิซีน หมอศาสนาเรียกดอกเตอร์ออฟเดวินิตี หมอชำนาญภาษาต่าง ๆ เรียกดอกเตอร์ออฟฟิโลโซฟี หมอกฎหมายเรียกดอกเตอร์ออฟลอ คำว่าดอกเตอร์แล้วเติมคุณวิชานี้เหมือนคำว่า หมอและเติมยาหรือนวด ในภาษาของเราทีเดียว แต่คำเรียกดอกเตอร์ในภาษาอังกฤษนั้น ผิดกับคำว่าหมอของเราอยู่อย่างหนึ่ง ค่อนอยู่ข้างจะยะโสกลาย ๆ คล้ายไปข้างคำเรียกพระสงฆ์ที่ได้ไล่หนังสือแล้ว ว่าเปรียญหรือมหานั่นมหานี่อยู่หน่อยหนึ่ง เป็นต้นว่าพระสงฆ์องค์ใด ถึงจะรู้พระปริยัติธรรมแตกฉานจนเป็นครูเป็นอาจารย์ใคร ๆ แล้วก็ดี ถ้าไม่ได้มาไล่หนังสือในท่ามกลางพระราชาคณะผู้ใหญ่ และได้พระราชทานพัดยศเปรียญแต่ง จะใช้ชื่อว่าเปรียญหรือมหาไม่ได้เป็นอันขาด ดอกเตอร์ทุก ๆ อย่างก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้เข้าไล่วิชานั้น ๆ ในที่ประชุมนักปราชญ์มีหนังสือสำหรับตัวชำนิชำนาญวิชานั้นจริงแล้ว เป็นดอกเตอร์ไม่ได้ดุจกัน ส่วนหมอของเรานั้นจะไล่มิไล่สุดแต่เขารู้ว่ามีวิชาอย่างดังกล่าวมาแล้วเรียกหมอทั้งสิ้น

​ในที่นี้ประสงค์จะว่าแต่ลักษณะหมอที่รักษาไข้เจ็บมนุษย์ทั้งหลายซึ่งบางทีเรียกว่าแพทย์อย่างเดียว ที่ได้ชักหมออื่นๆ คือหมอดูหรือดอกเตอร์ซินแสว่ามาข้างต้น ก็เพราะเกี่ยวกับคำว่าหมอเท่านั้น แต่หมอรักษาไข้เจ็บด้วยคุณยาที่แลเห็นประโยชน์ได้จริงๆ มีหมอยาหมอนวด หมอกุมาร หมอยาตา หมอทรพิษ หมอบาดแผล เหล่านี้ควรจะเรียกว่าแพทย์ทั้งสิ้น เพราะวิชาเหล่านี้ออกจากคัมภีร์แพทย์คือเวชชศาสตรตามภาษามคธ แต่คำเวชชมากลายเป็นแพทย์นี้เห็นจะเป็นโบราณาจารย์ใช้แผลงมา

ส่วนวิชาของหมอแพทย์ ซึ่งมีแพร่หลายอยู่ในเมืองเรามาช้านานแล้วนี้ ก็เป็นวิชามาแต่ชาวมคธ หรือฮินดูแท้ทีเดียว ข้าพเจ้าได้เห็นในคัมภีร์แพทย์แทบทุกเล่ม อ้างว่าโกมารภัจแพทย์ซึ่งเป็นชาวมคธแท้ได้เรียบเรียงไว้ หรือมิฉะนั้นก็มีคำอัญชลีนอบน้อมแก่โกมารภัจทุกเล่ม ทั้งคำเริ่มต้นก็เป็นภาษามคธก่อนแล้วจึงแปลเป็นไทย บางทีก็ใช้ภาษามคธ ดุจคำว่า ตรีกะฏก ตรีผลา ปถวีธาตุ มารุตวิการ ใช้ศัพท์ดังนี้เป็นต้น ทั้งสรรพยาที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็มักเป็นเครื่องเทศต่างๆ ซึ่งเป็นของในอินเดียเป็นพื้นของยาไทย แต่ผู้ที่จะนำมาและแปลออกเป็นภาษาสยามนี้ มิได้ปรากฏในที่ใด คงจะแพร่หลายเข้ามาช้านานหลายร้อยปีแล้ว เหมือนกับผู้ที่นำพุทธศาสนาและไสยศาสตรเข้ามาก็ไม่ปรากฏว่ามาเมื่อไร ใครเอามาบอกให้เหมือนกัน วิชาแพทย์นี้ก็คงมาถึงประเทศเราพร้อม ๆ กันกับศาสนานั้นๆ เพราะเหตุนั้นจึงควรเรียกชนพวกที่รู้วิชาแพทยศาสตร ว่าแพทย์เสียทีเดียวจะได้ต้อง​กับคำแผลง ซึ่งมาแต่เวชชภาษามคธเจ้าของวิชาเดิมนั้น ทั้งจะได้แปลกกับหมอต่าง ๆ ที่มิได้ใช้วิชาอย่างนี้เช่นหมอสัตว์เป็นต้น แต่คำว่าแพทย์นั้นมิใช่ว่าในบัดนี้จะไม่ใช้เมื่อไร ก็มีคำเรียกร้องอยู่บ้างแต่น้อยตัวไม่ทั่วไป อยู่ข้างถนัดคำว่าหมอมากกว่าเพราะขึ้นปากเจนใจ

การที่คนเรามารู้จักยาแก้โรคภัย ซึ่งนับว่าเป็นประกันชีวิตรในเหตุที่ไม่ควรตาย ไม่ให้ตายได้นี้ ก็น่าจะสืบหาตัวผู้ต้นคิด ซึ่งเป็นผู้มีคุณแก่เรามาก และเป็นผู้ฉลาดผู้มีความเพียรยิ่งจริง ๆ อุตส่าห์สืบสวนสังเกตจนถึงรู้รสสรรพยาอย่างนั้นแก้นั่น ซึ่งเป็นของจะทดลองได้ช้านานเต็มที แต่คัมภีร์แพทย์ที่มีอยู่ก็ว่าลิ่วลอยไปจนเหลือจะเชื่อได้ เป็นต้นว่า โกมารภัจได้เรียนวิชาจากทิศาปาโมกข์ เมืองตักกศิลา มีญาณวิเศษ จะเดินไปที่ใดสรรพว่านยาก็ร้องประกาศตัวว่าชื่อนั้นแก้โรคนั้นดังนี้ ในคัมภีร์ตักกสิลาที่ว่าด้วยไข้จับไข้พิษ ก็ว่าคนในเมืองตักกสิลาประพฤติพาลทุจริต บังเกิดไข้พิษตายทั้งเมือง กระดูกก่ายกองอยู่ มีพระดาบสอันทรงฌาน เมื่อออกจากสมาบัติแล้ว ก็เข้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนชาวเมือง ได้เห็นกาลมรณะมีแก่มนุษย์ในที่นั้น เกิดสังเวชแล้วเล็งญานก็รู้เหตุบังเกิดความกรุณา จึงเลือกสรรดูด้วยอำนาจฌาน รู้จักซากศพบุคคลที่จะเป็นผู้ทรงวิชาแพทย์ได้จึงชุบให้เป็นขึ้น แล้วก็บอกวิธีพยาบาลทั้งยาทุกอย่างให้สั่งสอนสืบกันต่อมา ดาบสนั้นจะได้วิชามาแต่ผู้ใด หรือได้ด้วยฌานสมาบัติอย่างไรก็มิได้กล่าวไว้ การที่คนโบราณพอใจแต่งหนังสือหรือสอนวิชาอันใดแล้ว อ้างว่าได้มาแต่เทวดา หรือดาบสฤๅษีมีตะบะฌานกล้าเช่นนี้ชุกชุมนั้น ก็คง​มีประโยชน์ดีในเวลานั้นมาก เพราะเหตุที่คนย่อมนับถือผู้สร้างโลกเทวดาต่างๆ ถ้าจะไม่อ้างเช่นนั้นและบอกว่าตนสืบสวนเรียบเรียงตกแต่งทดลอง ก็คงไม่มีใครเชื่อถือวิชานั้น เขาจะมุ่งหมายประโยชน์อย่างหนึ่งแล้วจึงแอบอ้างเอา ถ้าจะเอาถ้อยคำแอบอ้างนั้นมาเล่าให้คนในบัดนี้ ที่เป็นผู้ค้นคว้าทดลอง หรือหมั่นคิดหาเหตุ ก็คงจะหมิ่นประมาทและเหมาว่าช่างเถอะเป็นแน่แท้ เห็นจะสู้บอกว่าสืบสวนทดลองเองไม่ได้ แต่คนทุกวันนี้ที่ยังเชื่อถือเช่นนั้นก็มีถมไป ส่วนการที่ควรจะเดาเอาได้นั้น ธรรมดามนุษย์ที่รู้จักกินอาหารรู้นุ่งห่มปิดบังความอาย หรืออยู่ในที่มุงบังกันแดดฝนแต่เดิมมา ก็คงจะไม่มีฤๅษีชีป่าอะไรบอกให้ทำ คงจะค่อยรู้ค่อยทำมาทีละน้อย ๆ

เมื่อมีความกระวนกระวายด้วยไข้เจ็บขึ้นแล้ว ก็คงเดาหาอะไรกินอะไรแก้ เมื่อหายสบายปกติ ก็จำไว้ทีละเล็กละน้อยเหมือนกินอาหารเหมือนกัน เดิมก็คงจะกินได้น้อยสิ่งน้อยอย่างมาก่อน แล้วก็ทำให้ปราณีตและเลือกฟั้นเพิ่มเติมต่อมา ส่วนยานั้นก็คงจำได้บอกเล่ากันมาหลายชั่วชีวิต จนมากขึ้น ๆ ผู้มีปัญญาได้เก็บร้อยกรองเป็นตำราไว้ ตั้งแต่แรกรู้ยามาจนบัดนี้คงไม่ต่ำกว่า ๓๐๐๐ ปี เพราะอาหารและยานี้นับว่าเป็นของคู่ชีวิตมนุษย์และสัตว์เดียรฉานได้ ด้วยถ้าว่าไม่กินอาหารก็คงหิว เมื่อเจ็บไม่สบายก็ต้องกระวนกระกายแก้ไข เห็นจะไม่ต้องมีเทวดาหรือผู้ใดบอกให้เป็นแน่ อย่าว่าแต่มนุษย์ที่มีความคิดมาก ซึ่งจะรู้ทางทุกข์สุขได้ยาวกันยาวเวลาเลย แต่สัตว์บางจำพวกที่เราพบจะสังเกตได้ เช่นแมวเป็นต้น ใคร ๆ ก็จะเคยเห็น คือเมื่อ​แมวไม่สบายในคอหรือในตัวแล้ว มักพอใจกินใบตะไคร้บ้าง หญ้าบ้าง ให้เข้าไปกวาดน้ำลายแล้วสำรอกออกมาดังนี้ ส่วนสัตว์อื่น ๆ ก็คงจะมีเหมือนกัน แต่เรามิได้สังเกตก็ไม่รู้เท่านั้น เพราะเหตุว่าอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ทั้งสิ้น เป็นของคนทดลอง แล้วใช้บริโภคทีละน้อย ๆ จึงได้ไม่เหมือนกันทั่วไปทุกประเทศ มนุษย์ที่อยู่หมู่หนึ่งก็ใช้ก็กินไปอย่างหนึ่ง แปลกกว่าพวกมนุษย์ที่อยู่ไกลออกไปอีกหมู่หนึ่ง เช่นคนไทยกินข้าวเป็นอาหารสำคัญ ยาแก้โรคภัยก็ใช้รากไม้ใบไม้เป็นพื้น ฝรั่งกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารสำคัญ ยาก็ชอบใช้แร่ใช้ธาตุเป็นพื้น ถ้าจะมีรากไม้ใบยาก็ทำเป็นกรดเป็นเกลือต่าง ๆ ผิดกว่าของชาวเรามาก ก็เพราะคนและภูมิประเทศอยู่ต่างกัน ก็ต่างเดาและเชื่อถือ เมื่อไปมาหากันเข้าได้ ก็ได้แลกเปลี่ยนกันใช้สรอย ที่ว่าเดานี้ก็มีพยานอยู่ คือ หมอฝรั่งแต่ก่อน มักใช้ยาที่เอาเพชร์ทับทิมมรกตและธาตุแร่เงินทองต่าง ๆ บดเป็นยา ในบัดนี้ก็มักใช้รากไม้ใบไม้ผลไม้ ที่ค้นสืบได้จากประเทศอื่นได้มากแล้ว แต่ก็ยังเว้นที่จะกัดเป็นกรดเป็นเกลือไม่ได้ ส่วนเพชร์ทับทิมมรกตก็เป็นอันเลิกไป ส่วนตำราหมอไทยที่ว่าด้วยเบญจกูลนั้น ก็มีความชัดว่าเดา คือเดิมฤๅษีองค์หนึ่งฉันแต่รากช้าพลู องค์หนึ่งฉีนแต่สค้าน องค์หนึ่งขิงแห้ง องค์หนึ่งเจตมูลเพลิง องค์หนึ่งพริกไทย แล้วมาปฤกษารวมกันทุกอย่างเข้า เรียกว่าเบญจกูล ให้มีคุณมากขึ้น นี่ก็เป็นเดาขึ้น แต่เป็นฤๅษีเดาทั้งนั้น เป็นวิสัยโบราณ จะเว้นเทวดาฤๅษีไม่ได้ ยาอื่น ๆ ก็คงเป็นดังนี้ทั้งสิ้น แต่ทว่าอ้างฤๅษีและเทวดามอบให้นี้ ไม่ใช่ชาวเรา​ทีเดียว เป็นมาแต่ชาวอินเดียทำมาก่อนแล้ว การทว่าเดานี้ก็มีนิทานเบ็ดเตล็ดเล่ากันต่อ ๆมาว่า นายใช้บ่าวทำการกรำฝนทนแดดจนตัวร้อนเป็นไข้จับ ส่วนนายก็โกรธว่าบ่าวบิดพลิ้ว ด้วยอำนาจโทสะเพื่อจะลงโทษให้สมกับความที่บิดพลิ้ว จึงเก็บบอระเพ็ดมาตำเอาน้ำ แล้วขู่ข่มให้กินให้เดือดร้อน ในการที่เจ็บต้องป่วยการ บ่าวกลัวอาญากินโดยไม่เต็มใจ แต่ตัวบอกป่วยท่านไม่เชื่อแล้ว ก็ต้องจำใจกินบอระเพ็ดขมเย็นดับพิษก็ทำให้ไข้หาย ส่วนนายก็เข้าใจว่าบ่าวทนขมไม่ได้ต้องยอมแพ้ แต่ทำดังนี้มามากกว่ามาก ครั้นอยู่มาบุตรของตัว ที่ให้ไปเล่าเรียนหนังสือกับอาจารย์บอกป่วย ก็เข้าใจว่าบิดพลิ้ว ก็ตำบอระเพ็ดและขู่จะให้กินเช่นนั้นอิก ส่วนมารดาเด็กนั้นเชื่อว่าเจ็บก็เข้าลูบคลำตัวโดยฉันผู้หญิงที่มักตามใจ จนเกิดเถียงกับสามี ๆ ไม่ฟังขืนให้กินให้ได้ บุตรก็หายไข้ บิดาก็ทับถมเอามารดา ๆ มีความสงสัยว่าบอระเพ็ดจะเป็นยาแก้ไข้ อธิบายจนปรองดองกันว่าจะลองดูต่อไป พอทาสคนหนึ่งซึ่งเป็นที่เชือถือของนายทั้งสองเจ็บลงก็คิดจะลองดู จึงทำดังนั้น ให้กินก็หายโดยเร็ว จึงได้รู้ว่าที่ตัวทำนั้น ไม่ใชลงโทษเปล่าเป็นยาจริง ด้วยสรรพยาทั้งปวง ก็คงเป็นเช่นนี้ก่อนโดยมาก แล้วจำไว้ต่อมาทุกที ชะรอยผู้ที่เป็นแพทย์ต้นเดิมนั้น จะเป็นคนไม่มีวิชาอะไร จะรู้แต่เครื่องยาเช่นนี้และเป็นคนพอใจลองนั่งแก้นี่ซุกซนอยู่เสมอ ครั้นเมื่อมีใครเจ็บไข้ก็จะไปแก้นั่นลองนี่ เมื่อเห็นดีเห็นหายได้ก็ยิ่งทำหนักขึ้น เพราะเห็นเป็นคุณเป็นผลดีแล้วจะมีคนที่อารมณ์อย่างเดียวกันรับมรดก การที่ทำเช่นนั้นต่อมาทุกทีจนถึงเป็นวิชาสำคัญ ซึ่งจำเป็นที่จะมีสิ่งที่แก้ความเดือดร้อนเพราะไข้เจ็บนั้นโดยปัญญามนุษย์

​ส่วนวิชาแพทย์ในเมืองเรา ที่ทำตามตำราของฮินดูหรือพราหมณ์ ตามเหตุที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นนั้น มักทำตามตำราเดิมโดยมาก กว่าจะคิดเดาลองต่างๆ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงบ้างก็แต่หมดที่ฉลาดเฉลียวไหวพริบดี การที่เป็นแพทย์นั้นมักเป็นตามตระกูลต่อ ๆ กันมาหรือเป็นคนใช้ของแพทย์ได้คุ้นเคยการยาการไข้ ก็เลยเข้าใจเป็นหมอไปโดยมาก แพทย์ที่เป็นสืบต่อกันเช่นนี้ ได้ความรู้ดีและวางใจในการรักษาได้

ยังหมอที่ห้ามตามลักษณะพยาน มิให้เป็นพยาน คือ หมอไม่ได้เรียนคันภีร์แพทย์ เล็งเอาหมอไม่มีครู เช่นพระบางพวกก็บวชเมื่อแก่ ไม่มีวิชาเลี้ยงตน มีตำรายาก็ทำเป็นหมอ คฤหัตถ์ที่ทำเช่นนั้นก็เหมือนกัน ถูกเวลาเหมาะเจ้าพลัดเจ้าผล กลายมีชื่อลือเลื่องไปก็มี หมอเหล่านี้ไม่ใคร่รู้วิธียาและไว้ เป็นแต่ยาเคยใช้ไข้เคยรักษา ที่สุดจนภาษาที่แพทย์พูดติดปาก เช่นกำเดา ตริกฏก ก็แปลไม่ได้ว่าอะไร ถามก็บอกอ้อม ๆ แอ้ม ๆ กำเดาซัดว่าโลหิตบ้าง แต่หมอทั้งสองพวกนี้คงจะได้รักษาไข้เจ็บหายด้วยกันตายด้วยกันทั้งสองข้าง เพราะลักษณะโรคมีอยู่ ๓ อย่าง คือรักษาก็หายไม่รักษาก็หาย ๑ รักษาถึงหายไม่รักษาถึงตาย ๑ รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย ๑ ถึงจะมีแพทย์ที่รู้คัมภีร์ดี มียาดีเท่าใจ ถ้าเป็นโรคที่จะตายแล้ว รักษาไม่หายเป็นอันขาด.

​มีคำเล่ากันว่า พระบำเรอราช (หนูแดง) เป็นผู้รู้คัมภีร์แพทย์ได้เรียบเรียงตกแต่งไว้มาก แต่เมื่อไปรักษาไข้ใครก็ไม่ใคร่หาย ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า คัมภีร์แพทย์ทั้งปวงที่มีอยู่บัดนี้เป็นของแต่โบราณ บางทีก็ไม่เป็นประโยชน์พอกับประเทศกาลเวลาแล้วก็มี บางเล่มก็กล่าวฟูมฟายไม่เป็นที่เชื่อถือได้ จนกลายเป็นช่างเถอะก็มี ที่ยังเป็นประโยชน์มากเช่นสรรพคุณบอกรสยาลักษณะโรคต่าง ๆ ก็ยังมีอีกหลายคัมภีร์ เมื่อจะว่าแล้วคัมภีร์ตำรายาเหมือนเป็นผู้บอกหนทาง และเป็นศัสตราวุธสำหรับมือ แต่ที่จะเห็นไปถึงที่ใดเร็วและช้า ปราศจากภัยมีชัยชนะได้ลาภผลแล้วแต่ปัญญาผู้นั้น แพทย์ทั้งปวงก็ดุจกัน ถ้าจะไม่ดูคัมภีร์ที่บอกลักษณะให้รู้หนทางก็คงเป็นที่ลำบาก ในการที่จะต้องเป็นหมอยาเคยใช้ไข้เคยรักษา ถ้าปะไข้ที่พลิกแพลงก็ต้องหนีไป ส่วนผู้ที่ถือมั่นตามคัมภีร์ เมื่อไม่มีความไหวพริบทดลองเคยเห็นไข้หายไข้ตายกับมือมาก ก็คงดีไม่ได้เหมือนกัน แพทย์ที่จะดีได้ต้องอาศัยทั้งดูคัมภีร์เป็นหนทาง แล้วได้เคยพยาบาลไข้ที่หายกับมือตายกับตามามาก และไม่มีความดื้อดึงถือตนถือครู ต้องสืบสวนจดจำและไหวพริบจึงจะสมควร ความไข้เจ็บทั้งปวงที่เกิดในร่างกายภายในออกมานอก เช่นวรรณโรคเป็นต้น คงเกิดแต่ความเย็น ๑ ร้อน ๑ เท่านั้น เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป หรือน้อยถอยไปด้วยกัน เมื่อควรจะผ่อนปรนอย่างไรก็ต้องแก้ไป ใช่ว่าความเจ็บไข้ทั้งปวงจะ​เหมือนกับในคัมภีร์ไปหมดก็หาไม่ เพราะฉะนั้นถึงจะรู้คัมภีร์ดีอย่างไร ถ้าไม่ชำนาญแล้ว ไม่ได้ดีเป็นแน่ หมอที่เคยเห็นไข้มากและรู้จักส่วนร่างกายดีแล้ว ถึงจะรักษาไม่หายก็คงรู้ได้ว่าโรคผู้นี้จะไม่หาย แต่เนิ่นนานได้แต่ในเวลากาลสมควร คงจะไม่ละเมอไปจนจะตายจึงหนี หรือไม่เป็นไรจนตายคามือเป็นแน่ แพทย์ที่รู้ได้รู้เสียดังนี้ ย่อมนับว่าเป็นดีได้ แต่หมอที่มือยู่ทุกวันนี้ ย่อมเจือคละกันตามธรรมดาที่มีดีต้องมีชั่วด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง วิธีที่เล่าเรียนเป็นแพทย์ในชาวสยามนี้ เดิมก็ให้รู้จักรากไม้ใบยาสรรพยาทั้งปวงก่อน แล้วจึงได้ดูคัมภีร์ลักษณะไข้อาการที่จะเป็นไป และตำรายาคัมภีร์สรรพคุณที่บอกรสยาทั้งปวง คัมภีร์ที่จะต้องดูในเบื้องต้น ก็คือสมุฏฐานวินิจฉัย ๑ ธาตุวินิจฉัย ๑ โรคนิทาน ๑ ปฐมจินดา ๑ มหาโชตรัต ๑ ตักกะสิลา ๑ สาโรธ ๑ รัตนมาลา ๑ ชาดาร ๑ ติจรณสังคหะ ๑ ปุจฉาปักขันธิกาพาธ ๑ เป็นลำดับก่อน แต่ถ้าได้ดูตำราของพระยาจันทบุรี (กล่อม) แล้วก็จะเว้นได้หลายคัมภีร์ ถ้าได้รู้คัมภีร์เหล่านี้แล้ว ถึงจะยังไม่ดูคัมภีร์อื่นซึ่งยังมีอีกเป็นอันมากก็จะไม่เป็นไร

เมื่อจำเค้าเงื่อนได้แล็วเข้าไปดูอาการไข้ ให้อาจารย์แนะนำเทียบอาการ จนเคยเห็นตายหรือหายด้วยลักษณะอย่างใดแล้ว จึงได้ออกรักษาโดยลำพัง เมื่อมีไหวพริบว่องไวก็ดีได้เร็ว แต่เมื่อรวบรวมลักษณะที่หมอรู้ ก็คือรู้จักส่วนร่างกายมนุษย์และสิงที่มีอยู่ในกายอะไรเป็นพนักงานใด ๑ โรคที่เกิดขึ้นเพราะอะไรชำรุดหรือเกิดขึ้นมากไป ๑ การที่จะแก้ไขจะควร​แก้อย่างใด ๑ ยาที่ใช้กับไข้รสใดควรแก่โรคอย่างไร ๑ เมื่อรู้จริง ๆ เท่านี้เป็นพอใช้ได้

การที่ใช้ยาของแพทย์ในประเทศนี้ มักใช้เครื่องยาที่เป็นเปลือก ราก ผล ดอก ใบไม้ ที่เกิดในป่าของเรา เช่น จันทน์แดง สมอ มะขามป้อม หรือที่เกิดในเรือกในสวนเป็นของปลูกบ้าง ขึ้นเองบ้าง เช่นไพล ดอกบุนนาค ใบมะกา ของทั้งปวงนี้เรียกว่าเครื่องสมุนไพรอย่าง ๑ ดอกไม้ผลไม้ที่มาแต่ต่างประเทศ เช่น โกษฐ เทียน ผลจันทน์ ดอกจันทน์ เรียกเครื่องเทศอย่าง ๑ ของที่เกิดแต่ยางไม้หรือธาตุอะไร ๆ เช่นสุพรรณถัน มหาหิงค์ุ สารส้มอย่าง ๑ เครื่องหอมที่เกิดแต่ไม้หรือสัตว์ เช่นพิมเสน ชมดเชียง อำพันอย่าง ๑ ของที่เกิดแต่สัตว์หรือร่างกายสัตว์ เช่นโคโรค คุลิก่า กระดูกต่าง ๆ อย่าง ๑ รวมเป็น ๕ พวกที่ว่าโดยย่อ แล้วเอายาเหล่านั้นมาผสมตามส่วนของตำราจะว่าไว้ตำเป็นผงบ้างทำเป็นเม็ดบ้างอย่าง ๑ สับเป็นท่อนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มหรือดองเอาแต่น้ำให้กินอย่าง ๑ ตำหยาบ ๆ แล้วกวนบ้าง หมักใช้บ้างเรียกว่ายากวนอย่าง ๑ วิธีที่จะให้กินยาเม็ดยาผงบดละลายให้กินบ้าง ปั้นก้อนกลม ๆ ให้กลืนเรียกว่าลูกกอนบ้าง แต่ถ้าเป็นเด็กไม่ให้กินลูกกอนเลยเพราะกลัวติดคอ ยาของหมอไทยนี้พอใจให้กินครั้งละมาก ๆ ยาเหล่านี้ขนานหนึ่ง ก็มีสรรพยาตั้งแต่ ๑๐ สิ่งขึ้นไป จน ๕๐ สิ่ง ๖๐ สิ่งก็มี และมักจะมีชื่อประจำขนานเป็นชื่อเพราะ ๆ เช่นยากำลังราชสีห์ ทำลายพระสุเมรุ จันทรลิลา เทพจิตรารมณ์ สุขไสยาสน์เป็นต้น แต่ชื่อเหล่านี้เห็นจะไม่ใช่ของครูเดิม เพราะยาในคัมภีร์แท้ ๆ ไม่ใคร​มีชื่อ คงจะเป็นของแพทย์ที่เจือเป็นจินตกระวีเช่นพระยาจันทบุรี (กล่อม) พระบำเรอราช (หนูแดง) แต่งตั้งไว้ การที่ยาไทยมักใช้สรรพยาหลายสิ่งต่อขนาน ก็เพราะเหตุที่คัมภีร์แพทย์กำหนดไว้ด้วยรสยามีอยู่ ๙ รส การทดลองยาแต่บุราณมาก็คงลองหยาบ ๆ คือเป็นเพียงแต่ชิมดูว่ารสอะไรอย่างไร ตามที่เป็นเหตุสมควรกับเวลากาละก่อน ครั้นชิมดูก็รู้ได้แต่ว่าใบไม้นันรสร้อน รากไม้นั้นเบื่อเมา ผลอันนั้นรสขม เมื่อจะประกอบยา ถ้าแก้ไข้จับเพื่อโลหิต ก็เก็บเอารากไม้ใบยาที่มีรสขมให้แก้ทางโลหิต เอารสเบื่อเมาให้แก้ทางพิษ จึงต้องใช้ยาหลายสิ่งหลายรสให้ประชุมกันเข้ามาก ๆ แพทย์ใช้ยาประกอบตามอาการไข้ที่เห็นว่าเป็นเพราะโทษอะไร ก็ประกอบรสนั้น ๆ ตามโรค เมื่อผู้ฉลาดประกอบเป็นขนาน ๆ ให้ชื่อไว้ว่าชื่อนั้นแก้โรคนั้น หมอภายหลังก็ใช้ตามมา

ครั้นต่อมาแพทย์ภายหลังไม่ต้องประกอบยาใหม่ ใช้ตามแบบเก่าหมด และการทดลองยาก็ไม่ได้ลองเอง มีแจ้งอยู่ในสรรพคุณ แล้วก็ทำตามวิธีบุราณ ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีเครื่องมือ หรือเวลาจะทดลองให้ยืดยาวไปได้ การวิชาแพทย์ตามอย่างชาวมคธจึงไม่ดีกว่าเจริญกว่าแต่ก่อนได้ ส่วนหมอชาวยุโรปนั้นพอใจซุกซนซอกแซกเหมือนครูแพทย์เดิมของคนที่เป็นหมอทั้งโลก คือพอใจทดลองไม่หยุดหย่อน สืบนั่นแก้นี่ลองโน่นอยู่เสมอ ก็ย่อมจะได้เห็นแปลก ๆ ขึ้นทุกทีอยู่เอง หมั่นทดลองก็คงหมั่นรู้ การทั้งปวงในวิชานั้นก็เดินเปลี่ยนแปลงไปทุกทีตามที่สืบรู้มา ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเด็กสองคนที่ไม่มีการเล่าเรียนอะไรเลย คนหนึ่งพอใจไปดูโน่นดูนี่คงจะรู้อะไร ๆมาก แต่บางทีก็จะต้องตกใจ ​หรือเป็นภัยเป็นโทษแก่ตัว หรือพ่อแม่บ้าง แต่คงฉลาดขึ้น เด็กคนหนึ่งไม่พอใจไปไหนอยู่แต่เย่าเรือนของตน ก็คงจะซึมเซาไม่ใคร่รู้เห็นอะไร แต่ไม่นำความวุ่นวายมาถึง และจะโง่กว่าเด็กที่ไปเที่ยวมากเป็นแน่ ฉันใดก็เหมือนหมอชาวยุโรปกับแพทย์ที่มีอยู่ในเมืองเราเหมือนกัน ถ้าจะต้องการความรู้แน่ ต้องหมั่นสืบสวนทดลองจึงจะได้ เพราะหมอทั้งโลกอาศัยประกอบรสยาตามอาการไข้ที่ตนแลเห็นไข้ทั้งปวง จึงหายบ้างไม่หายบ้าง ด้วยการดูไข้พลาดพลั้งของหมอ เมื่อดูผิดไปก็ประกอบยาผิดไปด้วย เหตุดังนั้นต้องอาศัยความชำนาญเป็นสำคัญที่หนึ่ง ความไหวพริบละเอียดละออเป็นที่สอง ส่วนยาไทยกับยาฝรั่งที่ผิดกันบ้างนั้น ถ้าจะตัดสินว่ายาใครดีกว่ากัน ใครจะหายเร็วกว่ากัน ดังนี้ไม่ได้เป็นแน่ ตามคำที่พูดกันชุม ๆ ว่าลางเนื้อชอบลางยา เป็นถ้อยคำอันจริงแท้ แล้วแต่แพทย์ผู้ฉลาดจะเทียบประโยชน์ได้เสียด้วยความเคยเห็นและฉลาด ถึงการตรวจไข้ทายอาการก็เหมือนกัน หมอยุโรปที่มีเครื่องมือตรวจต่าง ๆ มาก บางทีเคลื่อนผิดไปกว่าแพทย์ไทยก็มีเหมือนกัน อนึ่งนักปราชญ์บางจำพวกในประเทศอื่นที่ไม่พอใจกินยา ถือเสียว่าเป็นเองหายเอง ถึงจะกินก็กินน้อย ๆ เช่นยาหยดหนึ่งน้ำถึงร้อยถ้วยพันถ้วยก็มี เมื่อคิดไปก็เห็นว่าคนพวกนี้ จะตายด้วยโรคก็เห็นจะไม่มากกว่าคนที่ชอบกินยาแก้ร่ำไปสักครึ่งสักค่อนนักดอก เพราะโรคมีสามอย่างดังว่ามาแล้วข้างต้น ถ้าเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษาก็หาย ถ้าเป็นโรคที่ต้องรักษาเข้าก็คงจะตาย ส่วนคนที่กินยาเล่า เมื่อเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษาแต่แก้เกินไป หมอดูผิดไป ก็กลายเป็นกินยาผิดตายได้​เหมือนกัน ถ้าจะว่ายาดับทุกขเวทนาได้ดังนี้ พวกที่เขาไม่ชอบยาเขาจะทนความเวทนาหรือไม่ถือเอาได้ดอกกระมัง กลัวจะลงเค้าแล้วแต่ความที่ตนจะนิยมไปนั้นเอง

การที่ไม่พอใจกินยาหมอหรือกินยามากนั้น ถึงในประเทศเรานี้ก็มีชุกชุมในคนบางจำพวก เพราะเหตุนับถือผีสางเจ้านายใช้ยาบางอย่างที่คนทรงเจ้าบอกใช้บ้าง ที่นอนฝันเพราะอารมณ์ผูกแล้วเรียกว่ายาผีบอกปิดกันหนักหนา ใครได้ม็กิต้องเป็นผู้ประสมยาเอง แล้วเที่ยวให้ใครๆ กินก็มีบ้าง ที่ยากไร้ไม่มีหมอไม่มีทรัพย์ก็กินยาตามที่รู้กันต่อมา ซึ่งบางทีจะเป็นยาหมอนั้นเอง แต่เขาเรียกว่ายากลางบ้านคือสรรพยาก็ง่าย ๆ และน้อยสิ่งด้วย อย่างนี้ก็มี ที่นับถือรากไม้แก่นไม้อะไร ๆ ตามความรู้ เจ็บอะไรก็ฝนรากไม้อย่างเดียวนั้นแก้ได้ร้อยอย่างพันอย่างก็มีบ้าง คนจำพวกนี้บางทีก็หายเหมือนกัน ยาทั้งหลายเป็นของแก้โรค หมอเป็นผู้ชำนาญโรค ถ้าเมื่อเรามีเหตุเกี่ยวข้องก็ควรให้ผู้ชำนาญมาตรวจตราแนะนำดีกว่าทำโดยเดาของผู้ไม่ชำนาญ แต่คนบางจำพวกที่กินยามากเกินไปเจ็บไม่เจ็บก็กินไว้เสมอดังนี้ไม่สมควรเลย

การพยาบาลของแพทย์ที่ทำตามตำราชาวมคธ ได้เป็นธุระรักษาชำนิชำนาญอยู่ในเมืองเรานั้น ก็คือ การครรภ์รักษาที่ใช้นอนเพลิงและโรคที่ชำรุดภายใน เช่นวรรณโรคภายใน ริสสีดวง โรคบิด หรือตาลทรางของเด็ก ไข้จับไข้พิษ ฝีเม็ดเดียวต่าง ๆ โรคจรมาเป็นครั้งเป็นคราว เช่นอหิวาตกโรค ฝีดาด ตาเจ็บ ซึ่งรวมเข้า ว่าธาตุทั้งสี่หย่อนลง พิการไป กำเริบขึ้นจึงเป็นโรคทั้งปวงนี้เป็นพนักงานของ​หมอยา แต่การที่เกิดอันตรายพลาดพลั้งภายนอก เช่นตกที่สูงแขนหัก ขาหัก หรือถูกคมอาวุธบาดแผลสด ๆ ซึ่งเปนการเซยเยอรีผ่าตัดเย็บผูก มักเป็นธุระของหมอเสกเป่าเขาใช้เข้าเฝือกเสกน้ำมันงาดิบ เรียกน้ำมันประสานและอื่น ๆ ให้ทา เป็นพื้นของราษฎร ไม่เป็นหน้าที่ของหมอยา ครั้นบัดนี้ก์ใช้ให้หมอชาวยุโรปรักษาบ้าง หมอฝรั่งโปรตุเกตที่อยู่ในกรุงสยามมาช้านานแล้วนั้นรักษาบ้าง เพราะเหตุว่าวิชาผ่าตัดเย็บผูกของแพทย์อย่างสยามนี้ไม่ใคร่มีตำหรับตำรา การพยาบาลไข้เจ็บของแพทย์สยาม ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็มิได้รักษารวมกันหมด แบ่งตามถนัดเป็นหมอผู้ใหญ่พวกหนึ่งรักษาแต่ผู้ใหญ่ แต่ก็แบ่งออกอีก คือชำนาญการครรภ์รักษาและทางโลหิตบ้าง รักษาได้แต่โรคต่าง ๆ ที่เรื้อรังบ้าง นี่เป็นพวกหมอผู้ใหญ่ หมอนวดอีกพวกหนึ่งตำหรับบีบนวด แก้ยอกขัดเมื่อยโรคลมจับต่าง ๆ มีแพร่หลายในประเทศนี้ช้านาน ถ้าเป็นไข้เจ็บเล็กน้อย ก็แก้แต่ลำพังเขาหายได้บ้าง เมื่อจะว่าจริง ๆ ถ้าเราไม่หัดตัวเราให้รู้จักต้องนวดให้เคยเสียแล้วไม่ต้องใช้หมอนวดเลยก็ได้ แต่คนเป็นอันมากยังต้องการเป็นประโยชน์อยู่ ถึงข้าพเจ้าเองก็ใช้เสมอเป็นนิจ การที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเคยมาแล้วเท่านั้น ผู้ไม่ชอบนวดหรือไม่ยอมให้นวดเลยอยู่ดีกินดีมีถมไป หมอกุมารอีกพวกหนึ่ง รักษาแต่เด็กทั้งสิ้น หมอนี้เห็นแปลกกับหมอผู้ใหญ่แต่ที่ชอบกวาดยาบ่อย ๆ นอกนั้นก็เป็นแต่ลดหย่อนยาให้อ่อนลงเท่านั้น เพราะเหตุว่าโรคของเด็กที่เป็นอยู่ ถ้าจะเรียกชื่อโรคให้ผิดกับโรคผู้ใหญ่แล้ว ก็คล้ายโรคผู้ใหญ่มาก มีแปลกบ้างเล็กน้อยเท่านั้น หมอยาตาก็แยกไปอีก หมอพวกนี้ถ้าจะเป็นธุระของ​หมอผู้ใหญ่ก็ได้ หมอบาดแผลหรือหมอฝีอีกพวกหนึ่ง ชำนาญรักษาแต่ฝีเม็ดเดียวใหญ่น้อย และการเปื่อยพังทั้งปวงเป็นธุระของพวกนี้ หมอทรพิษเป็นธุระโรคฝีดาด หรือโรคอะไรที่เป็นเม็ดไปทั้งตัว หมอพวกนี้ใช้ทั้งยาและเวทมนต์ด้วย แต่ตั้งแต่มีการปลูกฝีดาดแล้วก็ลดน้อยลงเสื่อมไปก็ว่าได้ เพราะไม่ใคร่มีทางหากิน ยังมิหนำซ้ำเจ้าพวกหมอน้ำมนต์แย่งรักษาเสียบ้าง เพราะโรคนี้ถ้าไม่สลักสำคัญจะใช้แต่อาบน้ำบ่อย ๆ ก็หายได้เอง ยังมีหมออีกพวกหนึ่งเรียกหมอพยุงครรภ์ พวกนี้ไม่น่ารู้สึกว่าหมอเลย ถ้ามีหมอยาดี ๆ คนหนึ่งแล้วพวกนี้เกือบจะเป็นแต่คนสำหรับใช้ทำการสกปรกแทน เช่นตัดสายอุทรและล้างเด็กเท่านั้น เว้นไว้แต่ไม่มีหมอยา หมอพวกนี้จึงต้องทำธุระบ้าง โดยจะเรียกแต่ว่าผู้พยุงครรภ์หรือพยาบาลครรภ์ก็ได้ การที่หมอแยกกันรักษาเป็นอย่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นธรรมเนียมมาช้านานแล้ว แพทย์ภายหลังจึงได้ชำนาญมาเป็นอย่าง ๆ แต่ความรู้นั้น ก็รู้คนละหลายอย่างด้วยกันทุกคน เมื่ออย่างใดชำนาญก็ทำแต่อย่างนั้น เหตุที่จะแยกกันรักษานี้คงเกี่ยวด้วยราชการก่อน เพราะตำแหน่งราชการมีกรมหมอโรงพระโอสถ คือหมอผู้ใหญ่หมอกุมารหมออื่น ๆ เป็นกรม ๆ ไป หมอที่ดีเข้ารับราชการต้องทำตามตำแหน่งกรม ขวนขวายไปในทางเดียวจึงชำนาญอย่างเดียว เมื่อมีบุตรหลานก็ฝึกหัดตามทางปู่ บิดา สืบตระกูลใหญ่ไปในทางนั้นเป็นต้นเหตุ ส่วนหมอเชลยศักดิที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมอในราชการมักจะรักษาแทบทุกอย่าง แต่ไม่ใคร่เห็นมีฝีมือดีเลย และเป็นด้วยห่างเหินต่อไข้เจ็บและไม่มีครูดีอย่างไร ถ้าเป็น​ผู้มีฝีมือดีก็มักจะเข้ารับราชการเสียแทบทั้งนั้น หมอเชลยศักดิที่รักษาชำนาญอย่างเดียวก็มีบ้าง แต่มักเป็นเชื้อสายศิษย์หาหมอหลวงโดยมาก

การบำเหน็จรางวัลที่แพทย์ในเมืองนี้ได้อยู่ตามธรรมเนียมของราษฎร หรือแพทย์ตามบ้านนอกเดี๋ยวนี้นั้น พอหาหมอไปดูไข้ตกลงรับรักษา ก็ให้ตั้งขวัญข้าว มีข้าวสารกล้วยหมากพลู เงินติดเทียนหกสลึง หมอให้ยาผงแล้วบอกเกณฑ์ให้เจ้าไข้เก็บเครื่องยาสมุนไพรให้ต้มยา ส่วนเครื่องเทศหมอเรียกเงินไปซื้อบ้าง เมื่อไข้ไม่สำคัญหายเร็วก็ส่งขวัญข้าว คือเอาของขวัญข้าวทั้งปวงให้หมอ กับให้ค่ายาอีกสามบาทเท่านี้ เมื่อเป็นไข้สำคัญตามที่แลเห็น ผู้เป็นเจ้าของไข้เกรงหมอจะไม่ทำเต็มมือ ก็ว่ากำหนดบำเหน็จรางวัลพอสมควร แต่เขาพอใจใช้คำที่ไม่เพราะเรียกว่าให้สินบนเท่านั้น ๆ หมอก็ได้มากขึ้นไปอีก การเช่นนี้นาน ๆ หมอจึงจะได้ครั้งหนึ่ง อยู่ข้างจะฝืดเคียงในการลาภผลเพราะวิชาหมอแพทย์ตามสวนหรือบ้านนอก จึงต้องประกอบการหากินอย่างอื่นเลี้ยงตน การวิชาแพทย์ก็อยู่ข้างทรามสักแต่ชื่อว่าหมอเพราะมียา ส่วนหมอที่มีบรรดาศักดิที่รักษาผู้มียศวาสนาตลอดจนพ่อค้าพลเรือนในกรุงเทพ ฯ นั้นไม่มีใครเรียกค่ายา ให้ตั้งขวัญข้าวอย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อตกลงรับรักษาก็ลงทุนยาไปก่อน ไม่พูดจาถึงเงินทองเลย ถ้ารักษาไม่หายเขาเปลี่ยนหมอหรือไข้ตายไป ก็เป็นขาดทุนและเสียเวลาเปล่า แต่โดยมากที่เจ้าไข้ใจดีใจใหญ่ก็ให้บ้าง ถ้ารักษาหายก็ให้รางวัลมาก ๆ พอเลี้ยงตนในผลแห่งวิชาได้ จึงทำให้​ขวนขวายในวิชาแพทย์มากขึ้น เพราะฉะนั้นหมออย่างนี้จึงรุ่งเรืองด้วยวิชาดีกว่าหมอบ้านนอกมาก ส่วนหมอเชลยศักดิในกรุง ก็มักเอาอย่างหมอหลวงเสียมากแล้ว การเรียกขวัญข้าวที่ใช้อยู่นั้น ใช่ว่าจะเป็นธรรมเนียมชาวเราก็หาไม่ เป็นธรรมเนียมของครูเดิมมาแต่ชาวมคธหรือสันสกฤตแล้ว

เรื่องแพทย์ที่กล่าวมาทั้งนี้ ถ้าผู้ใดไม่เอาใจใส่อยากทราบเรื่องแพทย์ศาสตรก็น่าจะอ่านด้วยความรำคาญเห็นป่วยการ แต่เพื่อจะให้เล่าสู่กันฟัง ให้มีเรื่องต่าง ๆ ในหนังสือวชิรญาณ ถ้าจะเป็นเครื่องรำคาญโสตป่วยการอ่าน ก็จงโปรดถือว่าผู้แต่งมีความปรารถนาจะเล่าให้ถูกใจผู้อ่านฟังเท่านั้น แต่ความพลาดพลั้งผิดไปเปรียบเหมือนกับเข้าที่หาลงในสำรับวันหนึ่ง ก็คงจะมีที่ถูกใจเราบ้างไม่ถูกบ้าง หนังสือฉบับนี้ก็มีหลายเรื่อง คงเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านบางพวกบ้างเป็นแน่ ขอผู้อ่านทั้งปวงจงมีความสุขสวัสดิ์เทอญ ๚


-------------------------------------
เป็นบุตรขุนหลวงตาก


ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 มิถุนายน 2568 14:39:07 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 6096


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows NT 10.0 Windows NT 10.0
เวบเบราเซอร์:
Chrome 109.0.0.0 Chrome 109.0.0.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 14:48:40 »



เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๔

เรื่องวิชาแพทย์ไทย

เวชชปุจฉา
​พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ
ทรงนิพนธ์

---------------------------- 

๏ นามจรูญโรจสร้อย         เรืองศรี
เรียงเรียบแบบวิธี             แพทย์ไว้
หวังจิตรเพื่อปราณี       นำแนะ กันเนอ
ดุจประทีปส่องให้           สว่างด้าวเดินสบาย
๏ ภิปรายยุบลฉบับนี้         แนะนาม
เวชชปุจฉากล่าวตาม             ตำรับแท้
ใช่จักแต่งเดาความ       คิดแต่ ใจนา
ใดขาดปราชญ์ช่วยแก้         ตกแต้มแซมเสริม ๚ะ
   
----------------------------


ถาม. ทำไมเมื่อป่วยเจ็บจึงต้องไปรับหมอ รับหมอมาทำไม

ตอบ. เขารับมาเพื่อจะให้ช่วยแก้ไข โรคที่เขาป่วยนั้นให้หาย

ถาม. โรคที่ป่วยนั้นกลัวกันด้วยเหตุใด จึงต้องหาหมอมาให้ช่วย

ตอบ. โรคที่ป่วยนั้นเป็นตะพานแห่งความตาย ความตายย่อมไต่มาตามโรคที่ป่วยเจ็บก่อนจึงได้ตาย เพราะเช่นนั้นเขาจึงได้กลัวความไข้เจ็บกันนัก เมื่อไข้เจ็บบังเกิดขึ้นในตัวของเขาเอง หรือบิดามารดาบุตรภรรยาคณาญาติ ทาสกรรมกรข้าช่วงใช้ของเขาแล้ว เขาก็รีบปรับหมอมาเร็วพลัน เพื่อจะให้ช่วยแก้ไขโรคที่บังเกิดนั้นให้หาย

​ถาม. ก็ถ้าอย่างนั้นหมอมาช่วยแก้ไขแล้ว โรคที่เป็นคงจะหายทั้งสิ้นหรือ เห็นจะไม่มีใครตายกันหละหนอ จะตายแต่ที่มิได้รับหาหมอมาช่วยแก้

ตอบ. อ๊ะไม่เช่นนั้น หมอจะเป็นผู้สำหรับประกันชีวิตคนไม่ให้ตายไม่ได้ ความตายนั้นเมื่อถึงกาละของใคร ๆ ก็ต้องตาย หมอเป็นผู้แก้ได้แต่คนเป็น คือ เมื่อมรณะยังไม่มา

ถาม. ความซึ่งว่ามรณะยังไม่มานั้นอย่างไร ท่านอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจสักหน่อย

ตอบ. ท่านคอยฟังนะจะอธิบายให้ฟัง คือ คนเรานี้มีโรคสำหรับตัวอยู่สามอย่าง โรคที่รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หายอย่างหนึ่ง โรคที่รักษาจึงจะหายไม่รักษาไม่หายอย่างหนึ่ง โรคที่รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตายอย่างหนึ่ง เป็นสามอย่างดังนี้ ก็โรคที่ไม่รักษาก็หาย หรือโรคที่รักษาจึงจะหาย สองอย่างนี้เรียกว่ามรณะยังไม่มา โรคที่รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตายนั้นเรียกว่ามรณะมาถึง โรคที่มรณะมาถึงนั้น หมอจะช่วยแก้ไขให้หายไม่ได้เลยเป็นอันขาด ในเวชชภาษาเรียกว่า “ตัด” คือ ตัดเสียไม่ให้มีประตูที่จะแก้ไขต่อไป ก็ความเข้าใจของท่านว่าถ้าหมอไปช่วยแก้ไขแล้ว จะหายไปหมดนั้นเป็นการผิดไป ถ้าไข้ใดที่มรณะมาถึงเข้าแล้วดังว่ามาจะหายไม่ได้เลย

ถาม. ก็หมอที่หาไปช่วยแก้นั้น เขารู้ไหมว่าไข้นี้มรณะมาถึงแล้วหรือยังไม่มาถึง

​ตอบ. อ่อหมอนั้นหรือเขารู้นักเทียว แต่ต้องเป็นหมออย่างหนึ่งนะจึงจะรู้ได้ดี เขารู้ล่วงหน้าก่อนตั้งแต่สามวัน,เจ็ดวัน,สิบห้าวัน,หรือเดือนหนึ่งจนถึงเจ็ดปีเสียอีก

ถาม. ชอบกล ๆ หมอชนิดไรที่เขาเป็นผู้รู้ เขาได้รู้ด้วยเหตุใด

ตอบ. หมอที่เขาเป็นผู้รู้นั้น มักเป็นหมอที่เรียกว่า “วิญญูแพทย์ สิกขแพทย์ สัมพันธแพทย์” ยังไรเล่า ที่รู้นั้นเขารู้ด้วยชำนาญในคัมภีร์ซึ่งชื่อว่า “มรณสูตร มรณญาณ”

ถาม. บ๋า ท่านอ่างเอาคัมภีร์ขึ้นพูดแล้ว คัมภีร์ของหมอไทย ๆ ดูเลือน ๆ อยู่นี่ ข้าพเจ้าสงสัยอยู่น่า หมายว่ามีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรตรวจสอบเป็นหลักฐานเล่า หารู้ว่าเดาสวดไปตามคัมภีร์ดอกหรือ

ตอบ. อ้าว พุโท่ ๆ ท่านประมาทคัมภีร์ของหมอไทย ๆ เสียแล้ว คัมภีร์นั้นมาจากไหนท่านรู้ไหม คัมภีร์ก็มาจากความตรวจสอบจดจำนั้นเอง คือคนแต่ก่อน ๆ ที่เขาเป็นผู้ชอบใจพยาบาลไข้ หรือจะว่าชอบเล่นรักษาไข้ก็ตามเขาได้สังเกตอาการไข้ว่าเป็นอย่างนั้นแล้วต้องตาย เป็นอย่างนี้กี่วัน ๆ ถึงตาย แล้วก็จดลงไว้ในสมุดเพื่อจะมิให้ลืม จึงสังเกตตรวจสอบคนหลัง ๆ ต่อไปอีกเล่า ก็เห็นอาการและความเป็นไปเช่นกันแทบทุก ๆ คน จึงได้จารลงในใบลานยกเป็นคัมภีร์ขึ้น ให้ชื่อว่า “คัมภีร์มรณญาณ” ประสงค์จะให้ถาวรไปสิ้นกาลนาน แล้วจะได้เป็นนิทัศนะตัวอย่างแห่งคนอันจะเกิดภายหลัง ซึ่งรักเล่นรักษาโรคหรือเป็นหมอ คนเกิดภายหลังได้เห็นตำรานั้นเข้าจึงสังเกตตรวจสอบดู ​ก็เห็นเที่ยงแท้แน่ประจักษ์ตามคัมภีร์ที่กล่าวได้ จะจับปดของคนบุราณว่าจดหลอกได้ก็ไม่ได้ คัมภีร์นี้จึงได้สืบเนื่องมาหลายชั่วบรรพบุรุษจนชั้นคนในทุกวันนี้เขาก็ได้ตรวจสอบอยู่เสมอ ก็ยังจับปดของคนบุราณไม่ได้ เพราะเช่นนั้น คัมภีร์จึงได้ตั้งอยู่เป็นแพทย์ศาสตรสำหรับให้แพทย์ได้ศึกษา ถ้าเป็นถ้อยคำที่ไม่จริงแล้วจะดำรงอยู่ได้แหละหรือ เขาก็คงจะเผาไปเสียเป็นแท้ นี่การตรวจสอบกับท้องคัมภีร์ก็ตรงกันจึงได้เป็นหลักฐานอยู่ ท่านอย่าเพ่อประมาทตำรับตำราของไทย ๆ ก่อน ที่ยังเป็นแบบอย่างแม่นยำได้จริงมีถมไป

ถาม. ข้าพเจ้าอยากถามท่านอีกข้อหนึ่ง คำที่เรียกว่า “หมอ” นั้นแปลว่ากระไร

ตอบ. ก็หมอนี้เป็นคำไทยแล้ว จะให้ข้าพเจ้าแปลว่ากะไรอีกละ ถ้าถามว่าแพทย์แปลว่ากระไร จะได้บอกว่าแพทย์มาจากเวช เวชแปลว่าหมอ

ถาม. ซึ่งข้าพเจ้าถามนั้น อยากจะทราบว่า “หมอ” เป็นคนชนิดใด ด้วยเห็นว่าคนที่ขี่ช้างเขาก็เรียกว่าหมอ คนที่จับงูได้เล่นงูได้เขาก็เรียกว่าหมอ

ตอบ. ถ้าอย่างนั้น ก็พอจะแปลให้เข้าใจได้นั่นซิหมอนั้นหรือ คือคนที่ชำนาญแก้ หรือจะว่าผู้ชำนาญในการนั้นๆ ก็ควร เช่นกับหมอยาผู้ชำนาญยาที่สำหรับแก้โรค หมอยาตาผู้ชำนาญแก้ตา หมอฝีผู้ชำนาญแก้ฝี หมอนวดผู้ชำนาญนวด หรือหมอความผู้ชำนาญในการความ หมอช้างผู้ชำนาญในการช้าง หมองูก็ผู้ชำนาญในการงู หมอจระเข้ก็ผู้​ชำนาญในการจระเข้ คำที่เรียกว่าหมอ ๆ นั้นก็ชำนาญในการนั้น ๆ นั่นเอง ข้าพเจ้าอธิบายเพียงเท่านี้ท่านพอเข้าใจไหมละ

ถาม. เข้าใจแล้ว ๆ แต่ข้าพเจ้าออกจะทราบขบวนหมอยาที่เป็นผู้ชำนาญแก้โรคอย่างเดียว หมออื่นไมประสงค์จะทราบในที่นี้ ด้วยความเดิมสิเราพูดกันมาถึงเรื่องหมอยา

ตอบ ท่านอยากทราบเรื่องหมอยาอย่างไรถามมาซิ

ถาม ข้าพเจ้าอยากทราบว่าหมอที่เขาเป็นผู้ชำนาญแก้โรคนั้นเขามีแต่ยาอย่างเดียวก็นับค่าเป็นหมอ หรือต้องประกอบการความรู้อย่างใดบ้าง

ตอบ มีแต่ยาอย่างเดียวจะนับว่าหมอไม่ได้ หมอนั้นต้องมีปัญญาอันสุขุมละเอียด คือ ต้องตรอจตราตรึกตรองในการที่จะแก้ไขโดยเอารัดเอาเปรียบแก้ไข้อย่างเดียว คำที่เรียกว่าเอารัดเอาเปรียบแก้ไข้นั้น คือ ไข้จะเป็นมากแก้เสียให้เป็นน้อย ไข้จะหายช้าแก้เสียให้หายเร็ว ที่สุดจนไข้นี้เป็นต้องตายเป็นแท้ ยังแก้ให้ตายช้าถ่วงวันและเวลาออกไป อย่างนี้และเรียกว่าเอารัดเอาเปรียบแก่ไข้ แล้วยังต้องประกอบความรู้ให้ขึ้นจิตเจนใจอีกสี่ประการจึงจะนับว่าเป็นหมอ ซึ่งจะมีแต่ยาอย่างเดียวแล้วจะเป็นหมอนั้นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วตำรายามีถมไป คือ ในวัดพระเชตุพนท่านจารึกไว้ในแผ่นศิลาเป็นอันมาก หรือที่วัดบวรนิเวศในศาลาฤๅษีดัดตนก็มีอยู่อีกถึงสี่ศาลา จะไปจดไปลอกเอามาแล้วทำขึ้นไว้เที่ยวรักษาโรค เช่นนั้นจะเรียกว่าหมอได้หรือ หมอนี้ต้องศึกษาให้ชำนิชำนาญในศาสตร และความรู้ทั้งสี่ประการก่อนจึงจะเรียกว่า​สิกขแพทย์ได้ สิกขแพทย์นี้เป็นสำคัญกว่าแพทย์อื่น ๆ คือวิญญูแพทย์ก็อาศัยความศึกษาก่อน จึงจะเป็นแพทย์ผู้รู้ได้ สัมพันธแพทย์ก็ต้องอาศัยความศึกษาก่อนจึงจะเป็นแพทย์ต่อไปได้ ถ้าไม่ศึกษาแล้วจะนับว่าเป็นหมออย่างไรได้ เพราะเช่นนั้น ความรู้ทั้งสี่ประการนี้จึงเป็นของสำหรับกับหมอ

ถาม ความรู้ทั้งสี่ประการนั้นขอท่านได้อธิบายให้พิสดารสักหน่อย อย่างไรจึงชีอว่าเป็นความรู้สำหรับกับหมอ

ตอบ ท่านจะให้ข้าพเจ้าอธิบายความรู้ของหมอโดยพิสดารนั้นเห็นจะยืดยาวนัก จะต้องขออธิบายแต่พอเป็นสังเขปด้วยจะเปลืองหน้ากระดาษไป ความรู้ทั้งสี่ประการซึ่งเป็นต้นเค้าของความศึกษานั้น คือ “รู้ที่แรกเกิดของโรค ๑ รู้จักชื่อโรค ๑ รู้ยาสำหรับแก้โรค ๑ รู้ว่ายาอย่างใดจะควรแก้ด้วยโรคใด ๑” เป็น ๔ ประการด้วยกัน ความรู้ทั้ง ๔ ประการนี่แหละ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ชำนาญ ผู้ชำนาญนี่แหละจึงจะเรียกว่าเป็นหมอ ถ้าไม่รู้ทั้ง ๔ ประการแลกจะเรียกว่าผู้ชำนาญไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ชำนาญแลกจะเรียกว่าหมอก็ได้

ถาม รู้จักที่แรกเกิดของโรคนั้นอย่างไร รู้จักชื่อโรคอย่างไร รู้จักยาสำหรับแก้โรคอย่างไร รู้จักยาที่จะควรแก้ด้วยโรคใดนั้นอย่างไร ว่าไปให้ชัดอีกสักหน่อยเถิดนะ ข้าพเจ้าออกอยากฟัง

ตอบ จะให้อธิบายให้ชัดเจนนั้น ก็จะอธิบายได้แต่อย่างไทยๆ เป็นโวหารแพทย์สยาม จะอธิบายเป็นโวหารแพทย์ภาษาอื่น ๆ นั้นไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังเห็นว่าถึงแพทย์ภาษาอื่น ๆ ก็คงต้อง​ชำนิชำนาญในความรู้ทั้งสี่ประการ เช่นว่ามานั้นเหมือนกัน จึงจะนับว่าเป็นหมอได้

ถาม เอาเถิดนะเราเป็นไทยนี่น่ะ อยากจะฟังโวหารหมอไทยๆเล่นบ้าง ด้วยไม่มีใครเขาพูดกันอยู่ โวหารหมอภาษาอื่นๆนั้นได้ยินเข้าหูอยู่บ่อยๆมาแล้ว

ตอบ เอ้าท่านคอยฟังเถิดนะ ในคำอธิบายโวหารของหมอไทยๆน้ะ ความที่ว่ารู้ที่แรกเกิดของโรคนั้นคือเขารู้ว่าฤดูแปรไป ๑ อาหารให้โทษ ๑ ไม่เปลี่ยนอริยาบถ ๑ ต้องร้อนยิ่งนัก ๑ ต้องเย็นยิ่งนัก ๑ อดนอน ๑ อดข้าว ๑ อดน้ำ ๑ กลั้นอุจจาระ ๑ กลั้นปัสสาวะ ๑ โทษทั้งปวงดังกล่าวมานี้แหละเป็นต้นเหตุที่แรกเกิดของโรค โรคจะบังเกิดขึ้นก็อาศัยเหตุที่ว่ามา จึงได้จัดว่าเป็นที่แรกเกิดของโรค

ถาม ก็รู้จักชื่อโรคนั้นอย่างไรเล่า

ตอบ รู้จักชื่อโรคนั้น คือผู้ป่วยเจ็บลงเขาได้ไปตรวจดูว่า ความเจ็บป่วยของมนุษย์นี้ใช่อื่นไกล คือธาตุทั้ง ๔ ซึ่งแจกออกเป็นธาตุไฟ ๔ ธาตุลม ๖ ธาตุน้ำ ๑๒ ธาตุดิน ๒๐ นี้เองกำเริบหรือวิการไปจึงทำให้ป่วยเจ็บมีอาการต่าง ๆ แต่หากสามัญชนย่อมสมมติชื่อของโรคนั้นต่างๆ จะกำหนดลงเป็นแน่ไม่ได้ มีหวัดไอไข้ลมเป็นต้น หมอนั้นก็กำหนดรู้ตามชื่อของโรคซึ่งได้สมมติไว้ ว่าอาการเช่นนั้นๆ ชื่อโรคนี้ อาการเช่นนี้ชื่อโรคนั้น ความรู้เช่นว่านี้แหละเรียกว่ารู้จักชื่อโรค

ถาม ก็รู้จักยาแก้โรคนั้นอย่างไร

​ตอบ รู้จักยาสำหรับแก้โรคนั้น คือรู้ว่าของสิ่งนี้รูปอย่างนั้น สีอย่างนั้น กลิ่นอย่างนั้น รสอย่างนั้น ชื่ออย่างนั้น เป็นของสำหรับจะแก้โรคของมนุษย์ให้หายได้ รูปเช่นใบไม้เเก่นไม้รากไม้ หรือของบังเกิดในตัวสัตว์มีหนัง, เขา, กระดูก, กีบ, ดี, เป็นต้น หรือของเกิดแต่ธรรมธาตุเอง เช่นเกลือ, มวกผา, ศิลายอนเหล่านี้ จัดว่ารู้จักรูปของยา สีนั้นคือรู้ว่ายาอย่างนี้สีขาว, เขียว. ดำ, แดง, เช่นการบูร สีขาว จุณสีๆเขียว ยาดำสีดำ ฝางเสนสีแดง เป็นต้น เหล่านี้ จัดว่ารู้จักสีของยา

กลิ่นนั้นคือรู้ว่ายาอย่างนี้กลิ่นหอม ยาอย่างนี้กลิ่นเหม็น เช่นกับพิมเสน, เป็นของหอม ยาดำมหาหิงค์ุ เป็นของเหม็นเหล่านี้ จัดว่ารู้จักกลิ่นของยา

รสนั้นคือรู้ว่ายาอย่างนี้รสจืด, ฝาด, หวาน, ขม. เช่นสุพรรณถัน รสจืด ผลเบญกานีรสฝาด ชะเอมรสหวาน ผลสบาฝักรสเมา บอระเพ็ดรสขม เมล็ดพลิกไทยรสเผ็ดร้อน เมล็ดงารสมัน ดอกมะลิรสเย็น เกลือรสเค็ม มะขามเปียกรสเปรี้ยวเหล่านี้ จัดว่ารู้จักรสของยา

ชื่อนั้น คือรู้ว่ายาอย่างนี้ชื่อนั้นดัง ขิง, ข่า, กระทือ, ไพล เป็นต้นเหล่านี้ จัดว่ารู้จักชื่อของยา แล้วยังรู้จักชื่อของยาที่เขาประสมกันแล้วตั้งแต่ ๒ สิ่งขึ้นไปจน ๙ สิ่ง เช่นตรีผลา, ตรีกระฏก, ตรีสาร, ตรีสุคนธ์ หรือเบญจกูล เบญจโลหะ สัตตโลหะ นวะโลหะ เป็นต้น

​แล้วยังรู้จักวิธีผสมอีกอย่างหนึ่ง คือผสมกันตั้งแต่ ๕ สิ่งจนถึง ๑๐๐ สิ่ง หรือกว่า ๑๐๐ ขึ้นไปก็มี วิธีผสมนั้น คือไม่ผสมก็ไม่เป็นยาดัง พริกไทย, หอม, กระเทียม, เหล่านี้ถ้าแต่สิ่งเดียว ๆ แล้ว ก็เป็นอาหารสำหรับรับประทานไป ต่อผสมกันเข้าหลาย ๆ สิ่ง จึงจะมีฤทธิ์ และกำลังที่เรียกว่ายา อาจจะแก้โรคที่ไมถึงความตายให้หายได้ ความที่รู้จักรูป สี, กลิ่น, รส, ชื่อ, ของยา และวิธีผสมดังว่ามานี้แหละ เรียกว่า รู้จักยาที่สำหรับแก้โรค

ถาม รู้จักยาอย่างใดจะควรแก้ด้วยโรคใดนั้นอย่างไรเล่า

ตอบ รู้จักยาที่ควรจะแก้ด้วยโรคนั้น คือรู้ว่าโรคอย่างนี้จะชอบแก้ด้วยยาอย่างนั้น ขนานนั้นรสนั้น ดังโรคซึ่งควรถ่ายต้องถ่าย โรคซึ่งควรปิดต้องปิด โรคที่ควรหักหาญต้องใช้ยาหักหาญ โรคที่ควรอนุโลมต้องใช้ยาอนุโลม โรคที่หยาบต้องใช้ยาอย่างหยาบ โรคที่ละเอียดต้องใช้ยาอย่างละเอียด โรคที่ชอบยาเก้ารสอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องใช้ยาเก้ารสให้ชอบแก่โรคนั้น ๆ ดังคำของพระยาจันทบุรี (กล่อม) ได้แต่งเป็นคำร่ายไว้ว่า “รสเฝื่อนฝาดชอบสมาน ยารสหวานชอบเนื้อ รสเมาเบื่อแก้พิษ ดีโลหิตชอบรสขม เผ็ดร้อนลมถอยถด เส้นชอบรสแห่งมัน หอมเย็นนั้นเพื่อชูใจ เค็มซาบในผิวหนัง เสมหะยังชอบส้ม” ยาทั้งเก้ารสนี้เป็นอาวุธสำคัญของหมอที่สำหรับจะได้ต่อสู้แก่โรค เมื่อเห็นว่าโรคใดควรจะแก้ด้วยยารสใดแล้ว ก็รับปรุงยารสนั้นเข้าแก้โรค ความดังว่ามานี้แหละเรียกว่า​รู้จักยาอย่างใดที่ควรจะแก้ด้วยโรคใด รวมความรู้ทั้ง ๔ ประการดังพรรณนามาแต่ต้นแล้วนั้น จึงจะเรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้ชำนาญคือเป็นหมอได้

ถาม ยาทั้งเก้ารสยังจะได้จริงได้จงเหมือนเช่นกล่าวไว้หรืออย่างไร หรือจะว่าพอเป็นกลอนคล่อง ๆ ปากเล่น

ตอบ อ่อยาทั้งเก้ารสนั้นหรือ เป็นของได้จริงได้จังวิเศษนักเทียว จะว่าให้เห็นแต่ง่าย ๆ ยารสฝาดว่าชอบสมานนั้น ท่านเห็นใหม่เล่า ถ้าคนเขาปากแตกปากเปื่อยเป็นขุมกินเผ็ดไม่ได้ หมอเขาก็เอาผลเบญจกานี, สีเสียดเทศ, พิมเสน. ผสมกันเข้าทาปาก หรือเอาเปลือกหว้า, เปลือกแค, เปลือกมะเดื่อ, ต้มเอาน้ำอมก็หายมิใช่หรือหายด้วยเหตุใด หายด้วยยานั้นมีรสฝาด ก็ไปสมานซึ่งบาดแผลแตกเปื่อยให้ปากนั้นหาย ด้วยอำนาจยาที่มีรสฝาด

ยารสหวานที่ว่าซาบเนื้อนั้น ถ้าไข้ใดทำให้หน้าซีดตัวซีดและกล้ามเนื้อซูบผอมไป ชักให้เรี่ยวแรงซุดน้อยถอยกำลัง เรื้อรังมานมนานไม่ใคร่จะหาย หมอเขาก็ประกอบยาด้วยรสหวาน แทรกเจือเข้าไป คือใช้ชะเอม, ขันทสกร, น้ำตาลกรวด, เป็นต้น โรคที่เนื้อหนังเหี่ยวชีดซูบผอมก็หายได้ ด้วยอำนาจที่มีรสหวาน

ยารสเมาเบื่อที่ว่าแก้พิษนั้น ถ้าไข้ใดจับเป็นพิษให้ตัวร้อนตาแดงร้อนในระหายน้ำ ดิ้นร้องกระสับกระส่าย บางทีให้คลั่งเพ้อไม่เป็นสติ ที่สมมติเรียกกันว่าไข้พิษนั้น หมอเขาก็วางยาที่เข้าพิสนาศ, ระย่อม, ใครเครือ, เนระภูสี, มหาสะดำ, ผลสะบาฝัก, หรือวางยาที่ชื่อว่า ​“นวเห็ด” คือเข้าเห็ดทั้งเก้า สรรพยาเหล่านี้ก็ล้วนแต่มีรสเมาเบื่อทั้งสิ้น โรคที่ว่าเป็นไร้พิษก็หายได้ ด้วยอำนาจยาที่มีรสเมาเบื่อ

ยารสขมที่ว่าแก้ดีกับโลหิตนั้น ถ้าไข้ใดที่เจือดีกับโลหิตเป็นสมุฏฐานเช่นไข้จับเป็นต้นนี้ หมอเขาก็วางยาที่มีรสขมจัด ดังผลกระดอม, บอระเพ็ด, ก้านสะเดา, ใบชิงช้าชาลี, ใบปีบ, หรือดิสัตว์ต่างๆ เป็นต้น หรือเปลือกไม้อย่างหนึ่งที่มาจากต่างประเทศ คือเปลือกซินโคนา หรือยาของหมอชาวยุโรปที่เรียกว่ายา “ควินนิน” เหล่านี้ก็ล้วนเป็นยาอันมีรสขมทั้งสิ้น โรคที่เกิดแต่ดีกับโลหิต คือ ไข้จับนั้นเมื่อถูกยารสขมเข้าก็หายไม่ใช่หรือ หรือโรคอีกอย่างหนึ่งที่เกิดแต่ผู้หญิงที่ขึ้นปากเจนใจกันว่า “โทษโลหิตๆนั้น” หมอเขาก็ใช้ยาที่มีรสขมเข้าแก้ โรคนั้นก็หายได้ด้วยอำนาจยาที่มีรสขม

ยารสเผ็ดร้อนที่ว่าแก้ลมนั้น ถ้าไข้ใดที่เกิดแต่กองลม จะเป็นสุขุมวาตหรือโอฬาริกวาตก็ตาม หมอเขาก็ใช้ยาที่รสเผ็ดร้อนเข้าแก้ เช่นกับพริกไทย, ดีปลี, ขิง, ข่า, การะบูร, เป็นต้นเหล่านี้ เมื่อลมกองละเอียดก็ใช้ยาที่ร้อนอย่างละเอียดลงมา เช่นโกฐทั้ง ๙ เทียนทั้ง ๙ กฤษณา, กระลำพัก, ขอนดอก, เหล่านี้ โรคที่เกิดด้วยกองลมทั้งสองก็หายได้ด้วยอำนาจยาที่มีรสเผ็ดร้อน

ยารสมันที่ว่าแก้เส้นนั้น ถ้าโรคใดที่เกิดแต่เส้นเอ็นวิการ ที่ทำให้ขัดข้อแลแข้งขาหรือยอกเสียดเสียวสะดุ้งไปในตัวแห่งใดแห่งหนึ่งก็ดี หมอเขาก็ใช้ยารสมัน คือน้ำมันงา, น้ำมันละหุ่ง, น้ำมันมะพร่าวไฟ, หรือใช้​อย่างอุกฤษฐ์ขึ้นไปจนน้ำมันงูเหลือมเข้าคลึงไคลรีดประคบที่เส้นเอ็นที่ทำให้ยอกเสียดเสียวสะดุ้ง หรือเมื่อยขบขัดข้อพลิกแพลงอยู่ โรคที่เกิดแต่เส้นเอ็นพิการอันทำโทษต่าง ๆ ก็หายได้ด้วยอำนาจยาที่มีรสมัน

ยารสหอมเย็นที่ว่าชื่นชูใจนั้น ถ้าโรคใดที่ทำให้จิตใจขุ่นมัวสวิงสวาย เช่นเป็นเมื่อเวลาไข้จับหรือเมื่อลมจับหมอเขาก็ใช้ยาที่มีรสหอมเย็น ดังยาหอมที่มีชื่อต่าง ๆ แล้วแทรกเจือหญ้าฝรั่น, อำพัน, ชะมดเชียง, ละลายด้วยน้ำดอกไม้เทศดอกไม้สด ประสงค์จะให้รสและกลิ่นนั้นหอมเย็นยิ่งขึ้นไป คนที่ป่วยด้วยโรคไข้ขุ่นมัวสวิงสวายนั้น เมื่อได้รับประทานยาที่มีรสหอมเย็นแล้ว ก็ทำให้จิตใจเบิกบานชื่นชูขึ้น บางทีเมื่อควรหายก็หายได้โดยเร็ว ด้วยอำนาจยาที่มีรสหอมเย็น

ยารสเค็มที่ว่าซึมในผิวหนังนั้น ถ้าโรคใดที่ทำให้ถึงหนังชาซากเหี่ยวแห้งไป ที่สมมติว่า “โรคริดสีดวงแห้ง” นั้น หมอเขาก็ใช้ยาแทรกเกลือจนเค็มอย่างจัด ๆ ทีเดียว หรือโรคใดที่จะต้องใช้ยาให้แล่นตลอดถึงผิวหนัง ก็แทรกเกลือลงประสงค์จะให้รสเค็มนั้นพาแล่นซึมซาบตลอดออกไป โรคนั้นก็หายได้ด้วยอำนาจยาที่มีรสเค็ม

ยารสเปรี้ยวที่ว่าแก้เสมหะนั้นถ้าโรคใดที่เนื่องด้วยเสมหะ ทั้งสามคือสอเสมหะ, อุระเสมหะ, คูธเสมหะ, หมอเขาก็วางยาซึ่งมีรสเปรี้ยว เช่นใบมะขาม, ใบส้มป่อย, ใบมะดัน, ใบส้มเสี้ยว, เหล่านี้โรคที่เกิดแต่กองเสมหะทั้งสามก็หายได้ ด้วยอำนาจยาที่มีรสเปรี้ยว เพราะฉะนั้นยาทั้งเก้ารสนี้จึงเป็นของจริงไม่สับปลับ ที่ท่านสงสัยว่าจะว่าเล่นพอเป็นกลอน​คล่อง ๆ ปากนั้นอย่าได้สงสัยเลย ข้าพเจ้ายกเอาพยานมาให้เห็นดังนี้ ท่านพอจะเชื่อได้หรือยัง

ถาม เชื่อแล้ว ๆ ถูกละ ๆ แต่ข้าพเจ้าจะขอถามท่านอีกสักหน่อยหนึ่ง คือ หมอที่รู้แต่ยาไม่รู้อาการโรค หรือรู้แต่ยาไม่รู้อย่างใดจะควรแก่โรคใดนั้นจะมีโทษอย่างไรบ้าง ทำไมท่านไม่กล่าว

ตอบ อ๋อ หมอที่ไม่รู้อาการโรคและไม่รู้ยาที่ควรแก้โรคใดนั้นหรือมีโทษมากนักเทียว ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ฟัง คือหมอที่มียาไม่รู้อาการโรคนั้น ก็จะไปวางผิด ๆ ถูกๆ ให้คนไข้กินเข้าไป ถ้าวางยาให้ผิดกะโรคที่เป็นอยู่แล้ว ความเดิมตั้งใจว่าจะแก้โรคก็เหมือนอย่างวางยาพิษ ช่วยซ้ำให้โรคกำเริบหนักยิงขึ้นไป หรือเหมือนเอาของแสลงไปให้คนไข้กิน ไข้นั้นก็จะกลับทับทวีมากขึ้นไม่ต้องสงสัย ความว่าวางยาผิด ๆ ถูก ๆ นั้น คือโรคนี้จะชอบคุมก็ไปวางยาถ่าย โรคนี้จะชอบถ่ายก็ไปวางยาคุม หรือโรคไข้ไปวางยาร้อน โรคลมไปวางยาเย็นเป็นต้นดังนี้ เรียกว่าวางยาผิด ๆ ถูก ๆ

อนึ่ง รู้ยาแต่ไม่รู้ว่าจะควรแก้โรคสถานใดนั้น ก็คือไม่รู้ว่าโรคนี้จะชอบด้วยยารสนั้น โรคนั้นจะชอบด้วยยารสนี้ เช่นเป็นโรคในกองเสมหะ เอายารสเผ็ดร้อนไปวางเข้า เป็นโรคในกองลมเอายารสหวานไปวางเข้า เป็นโรคในกองดีเอายารสเปรี้ยวไปวางดังนี้ เรียกว่าไม่รู้จักยาที่ควร ก็หมอใดที่ไม่รู้จักอาการโรคไปวางยาผิด ๆ ถูก ๆ หรือไม่รู้ว่ายาอย่างใดจะควรแก่โรคใด แม้นคนไข้กินล่วงล้ำคอลงไปแล้ว ถ้าไข้น้อยก็กลับเป็นมาก ไข้มากแต่ไม่ถึงความตายก็จะต้องตายเป็นแท้ ดุจหมอผู้​นั้นฆ่ามนุษย์เสียก็ปานกัน นี่แหละการซึ่งจะเป็นหมอนั้นจึงต้องประกอบการตรึกตรองโดยสุขุมอย่างยิ่ง และต้องศึกษาในเวชชศาสตรให้ชำนิชำนาญจริง ๆ จึงจะนับว่าเป็นหมอได้

ถาม. อ๊ะๆ ความที่ท่านว่าหมอวางยาผิดล่วงลำคอลงไปแล้ว ไข้ไม่ถึงความตายก็จะต้องตายนั้น ความต้นกับความปลายมิไม่สมกันอยู่หรือ ส่วนความต้นสิว่ามรณะยังไม่มาไข้นั้นเป็นต้องหาย ก็ใช้ที่หมอวางยาผิดนั้นมรณะก็ยังไม่มา เหตุไฉนจึงต้องตายด้วยเล่า ถึงหมอจะวางยาผิดก็จะเป็นไรเพราะมรณะยังไม่มา

ตอบ. อ้าว ชั้นเดิมมรณะยังไม่มาก็จริงอยู่แล แต่ทว่าหมอไปวางยาผิดเข้านั้น เปรียบเหมือนมีก๊าดไปเชิญมรณะมา มรณะนั้นเห็นก๊าดเข้าแล้วจะขัดได้หรือ หรือเปรียบความอีกอย่างหนึ่งเหมือนแม่น้ำและลำคลองขวางหน้าอยู่ มรณะยังจะมาไม่ได้ หมอนั้นช่วยทำตะพานให้มรณะเข้ามาได้ ฉันใดความนี้ก็เปรียบเหมือนหมอวางยาผิดช่วยเชิญหรือรับให้มรณะมาฉันนั้น

ถาม. เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นการที่จะหาหมอมาพยาบาลไข้ มิเป็นการน่ากลัวนักเจียวหรือ ยากที่จะวางยาให้เป็นที่มั่นคงได้

ตอบ. ยังนั้นซิ การที่จะหาหมอมารักษานั้นเป็นการยากอย่างยิ่ง ด้วยชีวิตของมนุษย์เป็นของหายาก เพราะมีด้วยกันคนละหนเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่า ถ้าจะหาหมอมาแล้ว ก็ต้องดูหมอที่เป็นผู้รู้จริง ๆ คือ ผู้ที่ได้ศึกษาในเวชชศาสตรโดยชำนิชำนาญ เช่นวิญญูแพทย์, สิกขแพทย์ สัมพันธแพทย์, หรือคำสามัญเรียกว่า “คง​กะเรียนฉะนั้น” ถ้าจะหาหมอที่ไม่รู้คัมภีร์แพทย์เป็นแต่งู ๆ ปลา ๆ มาแล้ว จะได้รับเสียใจเมื่อภายหลังเป็นแท้ เพราะเช่นนั้นท่านไม่รู้หรือเมืองยุโรปนั้น หมอเขาจึงได้มีหนังสือคู่มือฉบับหนึ่ง ที่เรียกว่า “เซอร์ติฟิเคต” ๆ นี้ ถ้าผู้ใดได้ร่ำเรียนในแพทย์ศาสตรไล่ได้โดยชำนาญแล้ว เขาก็ได้หนังสือฉบับนี้สำหรับตัวเป็นคู่มือฉบับไป เพื่อจะได้เที่ยวรักษาโรคมิให้คนทั้งหลายมีความรังเกียจ แสดงความว่าผู้นั้นได้สอบไล่แล้วว่าเป็นหมอได้ ก็ในสยามประเทศซึ่งเป็นพระราชอาณาเขตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรานี้ การสอบไล่ในวิชาแพทย์ยังไม่มี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือสัญญาบัตรที่พระราชทานเป็นตราตั้งประกอบฐานันดรศักดิ์ของแพทย์ผู้ขึ้นว่า “พระยา, พระหลวง, ขุน” ก็เพราะเหตุใดเล่า เพราะด้วยวิชาคุณของเขาที่ได้อุตสาหะร่ำเรียนในเวชชศาสตรจึงได้พระราชทานยศ ให้ปรากฏประกอบความรู้ของเขาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็เรานี้ย่อมรู้แล้วว่าหมอหลวงนั้นเป็นหมอได้ศึกษาในเวชชศาสตร จนได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญแล้วดังนี้ ก็ควรจะเชื่อถือไว้วางใจแก่พวกหมอหลวงได้ ด้วยสัญญาบัตรนั้นแล เป็นคู่มืออันประเสริฐของเขา อนึ่งหมอหลวงนี้ก็มักจะเป็นสัมพันธแพทย์มากกว่าคนกรมอื่นซึ่งจะยกมา หรือจะเป็นคนกรมอื่นยกมาก็จัดว่าได้ไล่เลียงสอบสวนแล้ว ด้วยจางวาง, เจ้ากรม, ปลัดกรม, ในกรมหมอนั้น เขาได้สอบสวนว่าเป็นหมอได้จึงได้ยกมา อีกประการหนึ่งหมอหลวงนั้น ได้ดูไข้เห็นไข้เคยพยาบาลมามากกว่าหมอเชลยศักดิ์ เพราะท่านได้เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏคนย่อมเชื้อเชิญรับไป​รักษาโดยมากต่อมาก ถ้าหมอคนใดได้เห็นไข้มากเคยรักษามามากแล้ว หมอผู้นั้นก็ย่อมจะเป็นผู้ชำนาญในการแก้ไข้ จัดว่าเป็นผู้มีฝีมือเป็นธรรมดาอยู่เช่นนั้น ด้วยอาการโรคของมนุษย์นั้นอาจจะเป็นตัวอย่างให้หมอจดจำ ในการที่จะแก้ไขคนอื่นต่อๆ ไปอีกได้ ข้าพเจ้าตักเตือนท่านได้เพียงนี้แหละ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามแต่อัธยาศัย

สาธุ ๆ การที่ท่านตักเตือนข้าพเจ้านี้เหมือนชี้หนทางให้เดิน โอเวลาจวนจะค่ำเสียแล้วแหละน่าเสียดายจริงหนอ จะต้องเลิกพูดกันเสียที คำที่ท่านอธิบายมาแต่ต้นนั้นก็ชอบกลอยู่

เลิกก็เลิกกันเถิด วันอื่นมีเวลาจึงค่อยมาพูดกันใหม่ ในเรื่องหมอ ๆ นี้หนทางยังพิสดารกว้างขวางนัก. ๚




ขอขอบคุณที่มา : ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.25 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 09 มิถุนายน 2568 00:46:27