[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 ธันวาคม 2568 19:02:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เสื้อผ้าอาภรณ์ของใจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี  (อ่าน 105 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 11
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1308


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2568 12:51:15 »




เสื้อผ้าอาภรณ์ของใจ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

ที่พึงของใจก็เหมือนกับที่พึ่งของร่างกาย ชีวิตของเรามี ๒ ส่วน มีร่างกายแล้วมีใจ เราก็หาที่พึ่งให้ทั้ง ๒ ส่วน ที่พึ่งของร่างกายคืออะไร ก็คือปัจจัย ๔ ทุกคนยอมรับใช่ไหมว่าเราต้องมีปัจจัย ๔ ของร่างกาย ถ้าอยากให้ร่างกายอยู่เป็นปกติสุข ก็ต้องมีอาหารรับประทาน แล้วก็มีเครื่องนุ่งห่มไว้สวมใส่ มีที่อยู่อาศัยไว้หลบแดดหลบฝนหลบภัยต่างๆ แล้วก็มียารักษาโรคไว้สำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ใจก็เหมือนกัน ใจก็ต้องการปัจจัย ๔ เหมือนร่างกาย เพียงแต่ว่าปัจจัย ๔ ของร่างกายไม่สามารถเอามาใช้เป็นปัจจัย ๔ ของใจได้ เรามีปัจจัย ๔ ให้ร่างกายครบบริบูรณ์ ร่างกายเราสุขสบาย แต่ใจเราอาจจะทุกข์ก็ได้ ที่ทุกข์นี้ก็เพราะว่าใจขาดปัจจัย ๔ ของใจ ไม่ใช่ขาดปัจจัย ๔ ของร่างกาย ปัจจัย ๔ ของร่างกายไม่สามรถมาเยียวยาความทุกข์ของใจได้ ต้องอาศัยปัจจัย ๔ ของใจ ถึงจะสามารถเยียวยาได้

ปัจจัย ๔ ของใจก็เป็นเหมือนกัน ต้องมีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค มีที่อยู่อาศัย เพียงแต่ว่าอาหารของใจไม่เหมือนกับอาหารของร่างกาย อาหารของร่างกายก็คือกับข้าวกับปลาที่เรารับประทานกัน แต่อาหารของใจนี้คือทาน คือการทำบุญทำทาน การให้การเสียสละแบ่งปัน เวลาเราได้ทำบุญทำทานแล้วจะรู้สึกอิ่มเอิบใจ เราได้ช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ เห็นคนนั้นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ขาดแคลนยารักษาโรค พอเราไปช่วยเขาเราเห็นเขาได้บรรเทาความทุกข์ยากลำบากของเขา เราก็จะเกิดความสุขใจขึ้นมาในใจเรา อิ่มใจขึ้นมา บางคนรู้สึกใจฟู รู้สึกสบาย อันนี้แหละคืออาหารของใจ แทนที่เราจะเอาเงินไปเที่ยวไปกินไปดื่ม ที่เราไปหาความสุขกันก็เพราะว่าใจเราไม่มีความสุข ใจเราไม่มีอาหาร ขาดอาหาร เพราะเราคิดว่าอาหารที่จะมาเยียวยาให้กับใจก็คืออาหารทางตาหูจมูกลิ้นกาย คือไปเที่ยวไปกินไปดื่มไปดูไปฟังอะไรกัน ความรู้สึกที่รู้สึกว่าไม่มีความสุขก็หายไปชั่วคราว แต่พอสักพักเดี๋ยวพอกลับมามันก็เหมือนเดิม จึงไม่ใช่เป็นเหมือนกับอาหารของใจที่อยู่คู่กับใจไปนานเหมือนกับการทำบุญทำทาน

เวลาเราทำบุญทำทานนี้ความรู้สึกที่มีความสุขมีความอิ่มใจนี้มันจะอยู่กับใจต่อไป มันจะทำให้ใจนี้ไม่หิวโหยกับการที่ต้องไปแสวงหาความสุขทางด้านอื่น ทางรูปเสียงกลิ่นรส ทางลาภยศสรรเสริญ สังเกตดูซิคนที่ทำบุญเยอะๆ นี่มักจะเป็นคนสันโดษ เป็นคนเรียบง่าย ไม่ค่อยชอบของหรูหรา ไม่ชอบของฟุ่มเฟือย เป็นคนเรียบง่าย ไม่หิวโหยกับแสงสีเสียงต่างๆ เพราะใจอิ่ม ใจอิ่มจากบุญที่ได้ทำไว้ อันนี้ก็คืออาหารของใจ ถ้าเรารู้สึกว่าเราหิวอย่าไปซื้อยาเสพติดใจยาเสพติดก็รูปเสียงกลิ่นรสนี่เป็นยาเสพติด เวลาเสพมันก็มีความสุขเหมือนกับยาเสพติด เวลาเราซื้อยาเสพติดมาเสพ ช่วงที่เสพมันก็มีความสุข แต่พอฤทธิ์ของยาหมดไปความสุขนั้นก็หายไป ความอยากความต้องการเสพยาเสพติดก็เพิ่มขึ้นมาอีก กลับมาอีก แล้วถ้าไม่ได้เสพทีนี้ก็จะทรมานละซิ อยากจะเสพยาเสพติดที่เคยเสพ พอไม่ได้เสพมันก็จะทรมาน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราใช้วิธีหาความสุขให้กับใจด้วยการไปเที่ยวไปกินไปดื่ม ไปเสพรูปสียงกลิ่นรสต่างๆ เวลาที่เรากลับมาบ้าน ความรู้สึกที่สนุกสนานจากการได้เสพก็หายไป ความสุขที่ได้จากการเสพก็หายไป แล้วก็เกิดความอยากที่จะไปเสพอีก แล้วถ้าเกิดอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถออกไปได้ เช่น ช่วงโควิดนี้ทุกคนไปไหนไม่ได้นี่ ตอนนั้นจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกัน เพราะขาดยาเสพติดที่เคยเสพอยู่เป็นประจำ

อันนี้อย่าไปแก้ปัญหาความหิวโหยของใจ ด้วยการไปเสพไปซื้อสิ่งที่เกี่ยวกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่ว่าจะเป็นการไปดูมหรสพบันเทิงต่างๆ ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ ไปซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นทั้งหลายที่เราคิดว่าซื้อมาแล้วมีความสุข มีความสุขเดี๋ยวเดียวในขณะที่เราได้ซื้อมันมา พอกลับมาบ้านความสุขนั้นก็หายไป ความหิวก็เกิดขึ้นมาใหม่ต้องออกไปซื้อมาใหม่อยู่เรื่อยๆ แล้วถ้าเกิดเงินทองไม่พอใช้ทีนี้ก็เดือดร้อน ไม่มีวิธีแก้ความหงุดหงิดรำคาญใจเพราะไม่มีเงินไปซื้อของเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนมีความหงุดหงิดรำคาญใจก็เอาเงินไปซื้อของต่างๆ ไปเที่ยวไปกินไปดื่ม แต่ถ้าเราเอาเงินนี้ไปทำบุญทำทาน มันจะไม่มีอาการหิวเหมือนกับยาเสพติดเพราะเป็นเหมือนอาหาร การทำบุญนี้เหมือนได้กินอาหาร กินอาหารแล้วมันก็อิ่มท้อง สบาย มันก็ไม่หิวกับสิ่งต่างๆ

นี่คืออาหารของใจถ้าอยากจะมีความอิ่มเอิบใจสุขใจสบายใจก็พยายามทำบุญทำทานไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่จะเอาเงินไปเที่ยวไปหาความสุขจากการเสพรูปเสียงกลิ่นรส เอาไปทำบุญทำทานดีกว่า แล้วความรู้สึกสุขใจอิ่มใจก็จะเกิดขึ้นมา แล้วมันมีประโยชน์ ความสุขใจอิ่มใจนี้มันมีประโยชน์ทั้งขณะปัจจุบันที่เราทำ อนาคตก็คือเวลาที่ร่างกายเราตายไป ใจเราก็ต้องอาศัยบุญนี้ที่เราได้ทำสะสมไว้ในใจพาเราไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์

แล้วพอกลับมาเกิดใหม่เราก็อาศัยบุญที่เราได้ทำนี้ สามารถที่จะกลับมาเบิกบุญที่เราได้เสียสละไป เป็นเหมือนกับธนาคารบุญ พอเรากลับมาเกิดเราก็จะมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองรอเราอยู่ เกิดมามีฐานะร่ำรวยสุขสบาย ไม่ยากจน เพราะนี่คืออานิสงส์ผลประโยชน์ของการทำบุญทำทาน มี ๓ ระยะด้วยกัน ระยะปัจจุบันทำแล้วเกิดความสุขใจอิ่มใจ ระยะที่ ๒ เวลาที่ร่างกายตายไป เราไม่สามารถใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขได้ เราก็ต้องอาศัยบุญที่เราสะสมไว้ในใจของเรา แล้วระยะที่ ๓ พอเรากลับมาเกิดใหม่เราก็จะมีบุญรอเราอยู่ มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองรอเราอยู่ อย่างพระเวสสันดร ตอนเป็นพระเวสสันดรท่านก็ทำบุญทำทานอย่างเต็มที่ พอตายไปท่านก็ไปอยู่บนสวรรค์ แล้วพอกลับมาเกิดก็ได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองรองรับอยู่เต็มที่ มีปราสาท ๓ ฤดู เป็นต้น

นี่คืออาหารของใจ ถ้าอยากจะให้ใจเรามีความสุขมีความอิ่ม ลองทำบุญดูซิ แต่อย่าเพิ่งทำครั้งเดียวแล้วหวังว่าจะได้ผลนะ เราต้องทำบ่อยๆ เราต้องทำลึกๆ ทำแบบว่าให้มันสะเทือนใจ สะเทือนกิเลสของเรา กิเลสของเรามันมักจะตระหนี่มักจะหวง พอเราจะทำบุญมันจะมีเหตุมาอ้างหลายอย่าง ต้องเก็บไว้เดี๋ยววันพรุ่งนี้เกิดเป็นอะไรไป มีเหตุหลายอย่าง แต่ถ้าเราเอาไปเที่ยวนี่ไม่มีเหตุมาขวางเลย

สังเกตดูซิ ถ้าเราทำบุญแต่ละครั้งนี่คิดหลายรอบ เอ๊ะ จะทำเท่าไหร่ดีหนอ แต่ถ้าเราไปเที่ยวเห็นกระเป๋าสวยๆ เห็นรองเท้าสวยๆ เท่าไหร่ก็จ่ายเลย นี่แหละอิทธิพลของกิเลสต่อจิตใจของเรา มันพยายามจะขวางเราไม่ให้ทำบุญกัน จะมีเหตุอยู่เรื่อยๆ เวลาจะทำบุญแต่ละครั้งนี่มักจะมีเหตุ แต่เวลาไปเที่ยวไปกินไปดื่มนี้ ซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ นี่ เท่าไหร่เท่ากัน นี่คืออาหารของใจ คือการทำบุญทำทาน ส่วนเครื่องนุ่งห่มของใจก็คือศีลนี่เอง ศีลนี่เป็นเครื่องนุ่งห่มที่จะทำให้ใจเราสวยงาม สังเกตดูระหว่างคนที่มีศีลกับคนที่ไม่มีศีลใครจะน่ารักกว่ากัน ต่อให้มีร่างกายสวยงามขนาดไหนแต่ใจไม่สวยนี่ คบกันไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้ารู้ว่าคนนี้ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ถ้ารู้ว่าคนนี้เป็นคนที่ชอบฉ้อโกงไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วย

แต่ถ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริตไม่ฉ้อโกงไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่สวยงามแต่ก็น่ารัก น่าคบค้าสมาคมด้วย ถ้าไปสมัครงานก็จะถูกเลือกก่อนถ้าคนเลือกเขาเลือกเป็น ถ้าคนเลือกเขาก็จะเลือกคุณสมบัติ คุณสมบัติก็คือจิตใจว่าเป็นอย่างไร จิตใจซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ระหว่างคนซื่อสัตย์สุจริตกับคนที่ไม่สุจริตนี่จะเอาใครดีกว่า

นี่ก็คือเสื้อผ้าอาภรณ์ของใจคือศีล เสื้อผ้าอาภรณ์นี่มันก็มีหน้าที่ ๒ อย่าง สำหรับร่างกายเขาก็เอาไว้เสริมสวยร่างกายสง่าราศี เวลาคุณหมอไปเข้าสภาฯ นี่ต้องใส่เสื้อผ้าที่สมกับฐานะของวุฒิสมาชิกใช่ไม๊ ถ้าแต่งตัวแบบนี้ไปนี่ก็ไม่ได้เข้าสภาฯ ส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าก็เสริมสวยความงาม เสริมความมีศักดิ์ศรีของคน ถ้าเรามีเสื้อผ้าที่สวยงามใส่มันก็ทำให้เรามีศักดิ์ศรี แล้วก็ศีลก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศีลเราก็จะเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี เป็นคนที่น่าเชื่อถือน่าไว้ใจ แล้วอีกอย่างหน้าที่ของเสื้อผ้าคือปกป้องร่างกายจากภัย เช่น แมลงสัตว์กัดต่อย ของแหลมคมต่างๆ ซึ่งอาจจะไปโฉบไปเฉี่ยวถูกมันเข้า กิ่งไม้ต้นไม้อะไรต่างๆ ที่มีหนามนี้ ถ้าเรามีเสื้อผ้าใส่มันก็จะไม่ขีด ก็ไม่เข้าไปถึงเนื้อเรา แล้วก็ป้องกันแมลงสัตว์กัดต่อย แล้วก็ใช้ป้องกันอากาศหนาวเย็นได้ อันนี้ก็เป็นการป้องกันภัยให้กับร่างกาย เสื้อผ้าของร่างกาย ใจก็เหมือนกัน ใจก็มีภัยที่คุกคาม ภัยที่คุกคามใจก็คืออบาย ๔ การไปเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตเป็นอสูรกายไปนรกนี้ เกิดจากการไม่มีศีลนั่นเอง ไม่มีเสื้อผ้าของใจไว้คุ้มครองปกป้อง คนที่ทำบาปนี้เป็นคนที่ไม่มีศีล เมื่อทำบาปแล้วเวลาตายไปถ้าบาปนี้มีมากกว่าบุญ บาปก็จะส่งไปสู่อบายทั้ง ๔ ที่ ขึ้นอยู่กับว่าทำบาปด้วยเหตุผลใด ทำบาปด้วยความหลงก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ทำบาปด้วยความโลภก็ไปเป็นเปรต ทำบาปด้วยความกลัวก็ไปเป็นอสูรกาย ทำบาปด้วยความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทก็ไปนรก แต่ถ้ารักษาศีลได้ไม่ทำบาปได้ก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย

นี่คือปัจจัยที่ ๒ ของใจ คือเสื้อผ้าอาภรณ์ของใจ ก็คือการมีศีล ศีล ๕ นี่แหละ พอเพียงแล้วที่จะรักษาใจให้มีสง่าราศีให้สวยงามให้น่าชื่นชมน่านับถือ แล้วก็ป้องกันไม่ให้ใจต้องไปรับกับภัยของใจ คือการไปเกิดในอบาย ปัจจัยที่ ๓ ที่ใจต้องการก็คือที่อยู่อาศัย ร่างกายเราก็ต้องการที่อยู่อาศัยไว้หลบแดดหลบฝนหลบภัยต่างๆ ฉันใดใจเราก็ต้องมีที่หลบภัยเหมือนกัน ภัยของใจคืออะไร ก็คือความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ ความเครียดความวิตกกังวลความห่วงใยความกลัว แต่ถ้าเรามีบ้านของใจเราก็สามารถหลบเข้าไปในบ้านได้ แล้วภัยของใจนี่ก็จะหายไป ไม่สามารถตามเข้ามาในบ้านได้ เหมือนกับเวลาเราหลบฝนหลบแดดหลบภัยหลบอะไรต่างๆ ที่มีภัย พอเราหลบเข้าบ้านได้ก็ปลอดภัย บ้านของใจคืออะไร ก็คือสมาธินี่เอง เวลาเรานั่งสมาธิทำใจให้นิ่งให้สงบได้ ความคิดปรุงแต่งหยุดคิดปั๊บ ความเครียดความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากความคิดปรุงแต่งก็หายไปหมด เหลือแต่ความเย็นความสงบความสบายความสุขความเบาอกเบาใจ

อันนี้คือบ้านของใจ เป็นที่อยู่ที่หลบภัยเวลาเรามีความเครียด เวลาเรามีความวิตกกังวลฟุ้งซ่าน ถ้าเรามีบ้านเราก็เข้าไปในบ้าน เข้าไปในสมาธิได้ แต่ส่วนใหญ่เราเข้ากันไม่ได้เพราะเราไม่รู้จักบ้านของเรา เราไม่ค่อยสร้างบ้านของเรากันเท่าไหร่ เราเสียเวลาทุ่มเงินเป็นร้อยล้านพันล้านไปสร้างบ้านของร่างกาย แล้วก็ไม่ได้อยู่หรอก ส่วนใหญ่ให้คนรับใช้อยู่กัน วันหนึ่งๆ เราก็ออกไปทำมาหากินข้างนอก อย่างมากกลับมาก็มานอนในบ้าน ตื่นเช้าก็ไปอีกแล้ว ตอนกลางวันนี้ลูกน้องอยู่บ้านเป็นเจ้านายของบ้านได้อย่างสบาย ใช้บ้าน เราสร้างไว้ด้วยความหลงคิดว่าต้องสร้างบ้านหรูหราใหญ่โตให้มีเกียรติ อย่างที่พูดแหละ เกียรติของคนมันไม่ได้อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ศีลอยู่ที่ความดี ความซื่อสัตย์สุจริต เราไม่ค่อยมีเวลามาสร้างบ้านให้กับใจกัน ใจเราเลยไม่ค่อยมีที่พึ่งทางใจ ที่เราขาดกันมากก็คือที่อยู่อาศัยของใจ คือสมาธิ นั่งสมาธิกันไม่ได้ นั่งได้ ๕ นาที จะสร้างบ้านสักทีสร้างสัก ๕ นาที ๑๐ นาทีก็หยุดสร้างแล้ว เหนื่อยสู้ไม่ไหว กว่าจะสร้างบ้านเสร็จนี้บางทีต้องใช้เวลาตั้งหลายนาที ๒๐, ๓๐,๔๐ สำหรับผู้เริ่มใหม่ๆ ผู้ที่ยังมีสติน้อย แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ มีสติมากขึ้น ต่อไปเวลานั่งสมาธิ ๕ นาที ๑๐ นาทีจิตก็สงบได้ ถ้าอยากจะมีที่หลบภัยหลบความเครียดหลบความทุกข์ หลบความวิตกกังวลต่างๆ ก็เข้าสมาธิไปได้

นี่คือที่อยู่อาศัยของใจคือสมาธิ แล้วยารักษาโรคของใจคืออะไร ก็คือปัญญา ปัญญานี่แหละคือธรรมโอสถ เวลาที่เรามีความทุกข์กับเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องร่างกาย เราทุกข์เพราะว่าร่างกายเรามีโรคภัยไข้เจ็บที่เราไม่สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าใจเราวิตกกังวลห่วงใยกลัว กลัวที่มันจะทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้

นี่คือความเครียดจะเกิดขึ้นจากการที่ใจเรามีความทุกข์กับเรื่องของร่างกาย วิธีจะแก้ก็คือเราต้องใช้ปัญญาสอนใจให้เข้าใจธรรมชาติของร่างกายว่า ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตายเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นหมอหรือไม่เป็นหมอก็อยู่ในสภาพเดียวกัน หมอก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน คนที่ไม่ใช่เป็นหมอก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน เมื่อถึงเวลามันจะเป็นก็ต้องเป็น ถึงเวลาจะเป็นโรคมันก็ต้องเป็นโรค รักษาได้ก็มี บางทีรักษาไม่ได้ก็มี พอถึงเวลานั้นก็ต้องทำใจอย่างเดียว ต้องยอมรับความเป็นจริง ปัญญาก็จะสอนให้เรามองให้เห็นว่าร่างกายเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง เกิดแก่เจ็บตาย อนัตตาเราไม่สามารถควบคุมบังคับมันได้ ที่เราทุกข์เพราะเราอยากจะให้มันเที่ยง อยากจะให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย พอเราไปอยากเข้ามันก็จะทำให้ใจเราทุกข์ พอเรามีปัญญาเราก็รู้แล้วว่าความทุกข์ของเราเกิดจากความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ยอมแก่ยอมเจ็บยอมตายเสีย พอยอมได้ใจก็หายทุกข์ อยู่กับความแก่ได้ อยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ อยู่กับความตายได้ อย่างไม่มีความทุกข์ใจ

นี่คือปัญญา ธรรมโอสถ ที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจัย ๔ แต่ก็จำเป็นทั้ง ๔ อย่าง เพราะมันเป็นสิ่งที่สนับสนุนกัน ก่อนจะมาถึงปัญญาได้เราก็ต้องมีสมาธิก่อน ก่อนที่จะมีสมาธิได้เราก็ต้องมีศีลก่อน ก่อนที่เราจะมีศีลได้เราก็ต้องทำบุญทำทานให้ได้ก่อน มันก็เลยเป็น step เป็นขั้น เหมือนกับการศึกษา จากอนุบาลไปสู่ชั้นประถม จากชั้นประถมไปสู่ชั้นมัธยม จากมัธยมไปสู่อุดมศึกษา

พยายามมาสร้างปัจจัย ๔ ให้กับใจกันบ้าง อย่ามัวแต่สร้างปัจจัย ๔ ให้กับร่างกายเพียงอย่างเดียว ร่างกายสุขสบายแต่ใจนี้ไม่ค่อยสุขเหมือนร่างกาย ความจริงร่างกายเขาก็ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นคนรับใช้เรา เรากลับไปเลี้ยงดูคนรับใช้เราดีกว่าเลี้ยงดูตัวเราเอง ตัวเราเองก็คือใจ เราไม่เหลียวแลดูแลใจเราเท่ากับเราดูแลร่างกาย

ร่างกายนี่เราหาอาหารดิบดีพามันไปกินร้านอาหารดิบดี มื้อละเป็นหมื่นเป็นแสนก็มี แล้วก็เสื้อผ้าก็ซื้อของราคาแพงๆ ของ brand name ต่างๆ ให้ใส่ บ้านก็สร้างแบบหรูหราเป็นแบบปราสาทราชวังไป ถ้ามีเงินก็สร้างมัน ยารักษาโรคโรงพยาบาลก็หาโรงพยาบาลเอกชนที่มีบริการที่ดีที่สุด นี่เราทำให้กับคนรับใช้เรา เชื่อไม๊ ร่างกายเราเป็นคนรับใช้เรา ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว เรากลับไปดูแลเลี้ยงดูคนใช้เรายิ่งกว่านายคือใจ ใจนี่เราแทบจะไม่ได้ดูแลเลย บุญก็ไม่ค่อยได้ทำ ศีลก็ไม่ค่อยได้รักษาเลย สมาธิแทบจะไม่ได้นั่งเลย ปัญญาก็ไม่เคยปลงลงไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย ใจของเราถึงเครียดถึงทุกข์อยู่ทุกวันทุกเวลา ลองสังเกตดูซิ ร่างกายเราสบาย คนรับใช้เราสบาย แต่ใจเราทุกข์เพราะเราดูแลแต่ร่างกาย หาปัจจัย ๔ ให้กับร่างกาย แต่เราไม่หาปัจจัย ๔ ให้กับใจ เพราะเราไม่รู้ว่าใจต้องการปัจจัย ๔ เหมือนกับร่างกาย ตอนนี้เรารู้แล้ว



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.727 วินาที กับ 27 คำสั่ง