[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 เมษายน 2567 18:32:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สฟิงซ์ โกบักคลิ แอตแลนติสกับ แอนตาร์กติกา  (อ่าน 2786 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 มิถุนายน 2553 02:09:58 »

[คัดลอกมาจากเวบเก่า อ.มดเอ็กซ์โพสท์ไว้ครับ]




 
 
 
อย่าเพิ่งตกใจกับหัวข้อของบทความวันนี้ที่ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจว่าผู้เขียนเอาอะไรมาเล่า เพราะประการแรก หากอ่านเฉยๆ แบบไม่ต้องคิด ที่จ่าเป็นหัวเรื่องนั้น หลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือบางคนอาจคิดหัวเราะเยาะ แต่ความจริงเกี่ยวข้องกัน หากใครอ่านให้จบ อย่างน้อยก็เป็นการเพิ่มพูนความรู้ของตัวเองว่าที่คิดว่าที่รู้ๆ มานั้นอาจผิดจากบทความนี้ก็ได้ ประการที่สอง เรื่องที่เล่านี้นอกจากจะเกี่ยวข้องกันแล้วยังเป็นเรื่องที่เขียนมาตลอดเวลา ความลี้ลับทั้งหลายเมื่อรู้แล้วหรือมีเหตุผลที่เราจะคิดต่อไปได้แล้ว ก็เป็นความรู้ เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นวิทยาการธรรมดาๆ นี่เองด้วย
 
สฟิงซ์ (sphinx) คือรูปปั้นลึกลับขนาดมหึมาหนักหลายร้อยตันที่มีรูปร่างเป็นสิงโตและมีใบหน้าเป็นคน รูปแกะสลักสฟิงซ์มีความยาวถึง 250 ฟุต และสูงร่วม 70 ฟุต หรือประมาณตึก 12 ชั้น ว่ากันว่าทหารของนโปเลียนเมื่อเห็นตัวสฟิงซ์เป็นครั้งแรกถึงกับปลดอาวุธเพื่อทำการเคารพโดยไม่มีใครสั่งทั้งกองร้อย เผอิญว่าตัวสฟิงซ์มันตั้งอยู่ใกล้ๆ กับพีระมิดใหญ่ที่กิซ่า (ที่เราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าใครสร้าง) แต่กษัตริย์-พระกูฟูถูกเอาพระศพไว้ที่นั่นหลังตายไปแล้ว เลยคล้ายๆ กับว่า-ทั้งพีระมิดกับตัวสฟิงซ์-เป็นที่ยอมรับกันในเชิงวิชาการ รวมทั้งที่เราเรียนรู้มาว่า มนุษย์ในสมัยโบราณสร้างพีระมิดขึ้นมาเพื่อเก็บพระศพของฟาโรห์ จึงเหมาๆ
 
กันว่า ตัวสฟิงซ์เองคนอียิปต์โบราณก็เป็นผู้สร้างเหมือนกัน พีระมิดนั้นเป็นไปได้ว่าคนโบราณเป็นคนสร้างจริงๆ ก็ได้ แม้ว่าวิธีการสร้างที่อ้างๆ และเชื่อกันนั้นที่อธิบายๆ ไว้ก็ยังมีข้อสงสัย แต่สำหรับตัวสฟิงซ์นั้น จริงๆ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าใครสร้าง คนไทยทั่วไปนั้นเมื่อก่อนนี้ซึ่งก็ไม่นานนัก-ในความเห็นส่วนตัวแล้ว-น้อยคนนักที่จะสนใจในเรื่องอะไรที่อยู่ไกลตัวมาก คือค่อนไปทาง "รู้รอด" เป็นหลัก แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เข้าใจว่าเพราะการศึกษาอย่างเป็นระบบและบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้คนไทยสมัยนี้หันมาสนใจเรื่องที่ไกลตัว หรือ "รู้เพื่อรู้" คือเรียนรู้เพื่อหาความรู้หรือความเป็นสากลมากขึ้น เรื่องของสฟิงซ์จึงมีคนสนใจใคร่รู้มากขึ้น ผู้เขียนก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง จากเพื่อนของเพื่อน (เดวิด สปินเลน) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาและนักการศึกษาชื่อดัง (Joseph C.Pearce : Biology of Transcendence, 2001) ว่าสฟิงซ์มีอยู่อย่างน้อย 7,000 ปี และเดี๋ยวนี้จากการขุดพบ โกบัคลี เทเป้ วัดโบราณที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีที่มีอายุ 12,000 ปี และยังพบตัวสฟิงซ์เล็กๆ สลักจากหินด้วย จึงเป็นไปได้ที่รูปแกะสลักมหึมาที่ว่าอาจจะมีอายุไล่ๆ กัน หรือกลับกันคือตัวมหึมามาก่อน อย่างน้อยอายุมันก็ต้อง 12,000 ปี
 
โกบักคลิ เทเป้ ถูกขุดพบบางส่วนเมื่อปี 1994 แต่มาขุดพบทั้งหมดเมื่อปี 1998-99 โดยนักโบราณคดีวิทยาศาสตร์เยอรมัน เคลาส์ ชมิดท์ โกบักคลิ เทเป้ ถูกขุดพบทางตะวันออกของตุรกี ใกล้ๆ เขตแดนซีเรีย ไม่ไกลจากเขตแดนของอิรัก (สุเมอเรีย-บาบิโลเนีย) แต่มาดังเป็นระเบิดเมื่อนักอียิปต์วิทยา จอห์น เวสต์ กับนักภูมิวิทยาศาสตร์ โรเบิร์ต ชูช์ แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ทั้งสองได้ทำคาร์บอนเทสติ้งซ้ำๆ เพื่อหาอายุที่แท้จริงของสถานที่ที่ขุดพบ-ซึ่งนักภูมิวิทยาศาสตร์ทั่วไปรับรอง และคาดว่าสถานที่พบนั้นคงจะปฏิเสธต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเก่าแก่ยิ่งกว่าเจอริโคและคาจาล ฮู ยุคที่เราเรียนเรารู้ว่าเป็นอารยธรรมแรกที่สุดของโลกถึงกว่า 2,000 ปี ปรากฏว่าทั้งวัดและรูปปั้นสฟิงซ์ตัวเล็กๆ รวมทั้งเสารูปตัวทีทำด้วยหิน บางเสาตัวทีนี้สูงถึงกว่า 20 ฟุต หนักกว่า 10 ตัน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมหรือรูปไข่ และมีผนังหินล้อมรอบอีกที อายุของทุกสิ่งทุกอย่างที่พบล้วนแล้วแต่มีอายุราวๆ 12,000 ปีทั้งนั้น เนื้อที่ของวัดหรืออะไรเกี่ยวกับศาสนาแห่งนี้ประกอบเป็นสถานที่ที่ซับซ้อน รวมเนื้อที่ทั้งสิ้นถึงเกือบๆ 300 ไร่ หรือกว่า 90 เอเคอร์ ที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง-นอกจากวัดหรือสถานที่ทางศาสนานี้จะมีการใช้งานมาก่อน ดังเห็นได้จากกระดูกของมนุษย์ที่พบที่นั่น ซึ่งอาจเป็นผู้ที่ถูกบูชายัญก็ได้-คือสถานที่แห่งนี้กลับถูกฝังกลบด้วยก้อนหินและดินทรายทั้งหมดร่วม 300 ไร่ คล้ายกับชาวบ้านรู้ล่วงหน้าว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถที่จะนำมาใช้งานได้อีกต่อไป
 
ต่อไปคือสถานที่หรืออาจจะพูดว่าเป็นอนุทวีปก็ได้คือ ดินแดนที่เรียกว่าแอตแลนติส ซึ่งไกลตัวคนไทยเอามากๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากความรู้ "สมัยใหม่" ที่เราเรียนรู้เราสอนกันมาทั้งนั้น คนไทยทุกวันนี้ไม่ได้เรียนที่วัดมีพระสงฆ์เป็นผู้สอนทั้งหมดอีกต่อไป เด็กๆ จึงต้องเข้าโรงเรียนที่ความรู้ทั้งหมดก็ว่าได้ เราเอามาจากฝรั่งที่เจริญแล้ว เช่น ยุโรปหรืออเมริกา ความรู้เหล่านั้นต้องเป็นเรื่องจริงทางโลก หรือเชื่อกันว่าเป็นความจริงทางโลกโดยกระแสหลักเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่เราเรียนเรารู้มาจากโรงเรียนทั้งหมดเลย ซึ่งอย่างดีก็เป็นความจริงทางโลกตามที่ตาของมนุษย์หูของมนุษย์ไม่ว่าที่ไหนทุกคนเลยเห็นและได้ยินเหมือนๆ กัน หรือไม่ก็เป็นความเชื่อ (ทฤษฎีที่มีตรรกะและเหตุผล) ซึ่งมีปัญญาชนคนฝรั่งกระแสหลัก หรือนักวิชาการฝรั่งส่วนใหญ่เชื่อโดยเหตุผลว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงทางโลกเฉพาะที่ยอมรับและเชื่อกันโดยประชาโลกส่วนใหญ่ ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์จากห้องทดลองหรือยังไม่มีคณิตศาสตร์รองรับทั้ง 2 อย่าง-หากว่ามีคนยอมรับมากคนด้วยกัน แม้ว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สมบูรณ์ทั้ง 2 อย่าง แต่ว่าเป็นที่เชื่อกันโดยคนส่วนใหญ่มากหรือเป็นเวลาช้านานจริงๆ-มันก็กลายเป็นความรู้หรือทฤษฎีที่เรายอมรับ เช่น ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นต้น อย่างไรก็ดี เรื่องของแอตแลนติสไม่เป็นเช่นนั้น คนที่เป็นนักวิชาการฝรั่งส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งอาจจะไม่เชื่อว่าโลกเรามีอารยธรรมที่ก้าวหน้าอย่างแอตแลนติสจริงๆ แต่นักวิชาการส่วนน้อยและคนทั่วไปส่วนที่ไม่น้อยนักส่วนหนึ่ง เช่น กลุ่มนิวเอจเยอร์-เชื่อ จนกระทั่งมีวารสารพิมพ์จำหน่ายหลายเล่ม (เช่น Atlantis Rising, New Dawn เป็นต้น) ซึ่งเชื่อว่าแอตแลนติสเคยมีอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติสเป็นเกาะแก่งยาวไปถึงขั้วโลกใต้ (ที่พลาโตพูดถึงและเขียนไว้ แต่ถูกน้ำท่วมโลกจมน้ำหายไปเมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน ในช่วงปลายของยุคน้ำแข็งเมื่อแผ่นดินยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยกว่า 400 ฟุต ผู้เขียนเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้างพอควรในฐานะที่เรียนแพทย์มา แต่ความรู้ที่เรียนรู้มาแทบทั้งหมดเป็นความรู้สมัยใหม่ "มือสอง" ที่ปรากฏอยู่ในตำราเรียนหรือวารสารทางวิชาการที่ส่วนใหญ่มากๆ เป็นฝรั่งทำการค้นพบวิจัยทำมาก่อน เราจึงเรียนรู้จากตำรา วารสาร หรือครูอาจารย์ที่สอนแล้วก็สอบเพื่อไปประกอบอาชีพนั้นๆ แม้ว่าเราจะค้นคว้าวิจัยบ้าง ส่วนใหญ่มากๆ ก็เป็นเรื่อง "มือสอง" อยู่วันยังค่ำ ดังนั้นความรู้หรือความคิดทั้งหลายส่วนใหญ่ของเราของคนในประเทศที่กำลังพัฒนาจึงเป็นเรื่องที่เรียนรู้หรืออ่านมา คือแทบไม่มีอะไรที่ทำด้วยตนเองได้ แต่เชื่อ หรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หรือไม่เชื่อ บนเหตุผลและสามัญสำนึก ซึ่งว่าไปแล้ว ทั้ง 2 อย่างนั้นก็ขึ้นกับที่เรียน ที่รู้ ที่จำหรือที่คิดมา ในที่นี้สมมุติว่า เราจะไม่นับรวมความรู้สึก หรือสำหรับบางคนอาจรวมปรีชาญาณการหยั่งรู้ไว้กับความคิดของเขาก็ได้ สรุปคือเรื่องแอตแลนติสสำหรับผู้เขียน คือความไม่รู้ ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าถามว่าเชื่อไหม? ก็ต้องตอบว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เชื่อเพราะเชื่อพลาโตอยู่แล้ว พลาโตเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการเล่า แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่บอกว่ามีแอตแลนติสจริงๆ ส่วนที่ไม่เชื่อ เพราะเรียนรู้มาและเท่าที่อ่านมาส่วนใหญ่พูดตรงกันข้าม แสดงว่าอิทธิพลของความเป็นคนสมัยใหม่นั้นแข็งแรงเหลือหลาย แต่การพบโกบักคลิ เทเป กับ สฟิงซ์ตัวเล็กๆ ที่มีอายุกว่า 12,000 ปี ซึ่งไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ รวมทั้งเรื่องแอนตาร์กติกาที่จะนำมาเล่าต่อไป ทำให้คนบางคนที่อยากหัวเราะเยาะ คงหัวเราะไม่ออก
 
จากเว็บไซต์ blogs.discoverimagazine.com Feb. 2009 นักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจทวีปแอนตาร์กติกาพบกับความประหลาดใจมากมายของภูเขาแกมเบิร์ตเซฟ เทือกเขาใหญ่ของทวีปที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งหนาถึง 4 กิโลเมตร ความลี้ลับจากที่ปรากฏจากเซ็นเซอร์ความโน้มถ่วง คือเทือกเขานั้นมีลักษณะใหญ่โตเหมือนเทือกเขาแอลป์ของยุโรป-ที่คนอยู่ในยุโรปทุกคนคุ้นเคยกับมัน-ประกอบด้วยยอดแหลมคมเรียงรายราวกับฟันของจระเข้ ทั้งยังมีหุบเหวเหมือนกับหุบเหวที่เทือกเขาแอลป์จริงๆ ส่วนที่ราบสูงจากรอยกดของน้ำแข็งที่หนาและหนักที่นักวิทยาศาสตร์คาดไว้นั้นปรากฏว่าไม่มีเลย มีแต่ยอดแหลมคมทั้งนั้น แสดงว่าน้ำแข็งเย็นจัดเร็วมากๆ และที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีร่องรอยของการย้ายเปลือกโลกเลยมาถึง 540 ล้านปี ลักษณะของที่ราบนอกเทือก เขาแกมเบิร์ตเซฟเหมือนกับแอตแลนติสที่พลาโตบรรยายไว้อย่างถูกต้อง และทวีปแอนตาร์กติกที่สำรวจครั้งนี้ก็สนับสนุนทฤษฎีของชาร์ลส์ แฮปกูด เรื่องการย้ายที่ของขั้วโลกเหนือ เนื่องจากขั้วโลกใต้มีความมั่นคงอยู่กับที่มาตลอด ซึ่งไอน์สไตน์ที่เขียนคำนำให้กับหนังสือของแฮปกูดสนับสนุนอย่างยิ่ง (Charles Hapgood : Path of The Pole, 1970) คำนำของไอน์สไตน์เขียนในปี 1954 ในการตีพิมพ์ครั้งแรกก่อนเสียชีวิตปีเศษๆ ไอน์สไตน์เขียนว่า "งานวิจัยชิ้นนี้มีความสำคัญยิ่งต่อภูมิศาสตร์ของเปลือกโลก...น้ำแข็งที่ทวีปแอนตาร์กติกไม่ได้มีอย่างสม่ำเสมอทั้งทวีป ความไม่สม่ำเสมอทำให้การหมุน (ดุจลูกข่างที่หมุนด้วยแรงหมุน) (centrifugal force) ของโลกไม่สม่ำเสมอด้วย ทีนี้เมื่อทวีปแอนตาร์กติกมั่นคงอยู่กับที่ ในขณะที่เปลือกโลกรวมทั้งขั้วโลก (เหนือ) แกว่งอย่างไม่สม่ำเสมอ เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เปลือกโลกก็อาจจะย้ายที่ได้ ทฤษฎีของชาร์ลส์ แฮปกูด นั้นได้ย้ำเช่นนั้นมาตลอด แฮปกูดเชื่อว่า โดยทฤษฎีที่ละเอียดลออของเขาที่คิดมาถึง 20 ปี โดยแทบไม่คิดอย่างอื่นเลย กลับแทบไม่ได้รับจากนักวิทยาศาสตร์ของอเมริกาเลย เพราะไปขัดกับกระแสความคิดหลักที่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ หรือแม้เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจึงถูกตำหนิถูกด่าว่าอย่าเสียๆ หายๆ ส่วนมากเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเป็นเรื่องส่วนตัวเสียด้วย เว้นแต่นักวิทยาศาสตร์นอกอเมริกาถึงจะพูดในเชิงวิชาการบ้าง เขาไปหาอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องนี้ ไอน์สไตน์บอกว่า "ทันทีที่เห็นทฤษฎีของคุณแฮปกูด ผมรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าชอร์ต (electrified) เพราะเป็นทฤษฎีแรกที่สุด (original) และง่ายที่สุด ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์ว่าด้วยผิวโลก...มันทั้งน่าประหลาดใจ แท้จริงแล้วน่าประทับใจมากกว่า แก่ผู้ใดที่สนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลก"
 
โดยทฤษฎีของชาร์ลส์ แฮปกูด เปลือกโลกหรือผิวโลกนั้นย้ายที่ตลอดเวลาเหมือนกับผิวส้มเลื่อนไถลบนขั้นเอสเธนโนสเฟียร์ข้างล่าง-ที่ไม่เลื่อน เพราะมันหนาและหนืดอย่างยิ่ง แต่มันมีอีกชั้นที่เหนือจากเอสเธนโนสเฟียร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเลื่อน หรือการย้ายของเปลือกโลก ชื่อ "ชั้นควบคุมคลื่น" (wave gliding layer) ซึ่งความจริงก็เป็นส่วนของเอเธนโนสเฟียร์ แต่หนืดน้อยกว่ามาก และประกอบด้วยก้อนหินเล็กๆ ที่เบากว่า และเป็นชั้นนี้เองที่ทำให้เปลือกโลก (crust ที่รวม lithosphere ไว้ด้วยกัน) เคลื่อนที่ เพราะฉะนั้น โดยทฤษฎีของแฮปกูด เพราะน้ำแข็งที่หนามากของทวีปแอนตาร์กติกที่มั่นคง ทำให้แรงแกว่งหมุนโลกที่อ้วนกลางแถวศูนย์สูตรอยู่แล้วจะแกว่งอย่างไอน์สไตน์ว่า ทำให้ขั้วโลก (เหนือ) ย้ายที่ไปเรื่อย (path of pole เหนือ) ซึ่งจะย้าย-กลับไปมา-เพียง 30 องศา (ประมาณ 2,000 ไมล์ ซึ่งตั้งแต่ปรีแคมเบรียนมาขั้วโลกเหนือได้ย้ายที่ไปแล้วอย่างน้อยก็ 200 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อ 12,000 ปีก่อนที่น้ำท่วมโลกและแอตแลนติสจมน้ำไปทั้งหมด นักสำรวจแอนตาร์กติกเมื่อเร็วๆ นี้ กล่าวว่า พวกเขาจะไม่แปลกใจเลยหากว่าเซ็นเซอร์เกิดพบพีระมิดหรือตัวสฟิงซ์ใหม่ๆ ที่นี่.
 


http://www.thaipost.net/sunday/111009/12051






Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: สฟิงซ์ sphinx pyramid ปิรามิด โกบักคลิ แอตแลนติส แอนตาร์กติกา ทวีป สุขใจ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.407 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 20 กุมภาพันธ์ 2567 19:55:03