[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 16:53:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "สมัยใหม่" อัตวินิบาตกรรมของเผ่าพันธุ์  (อ่าน 1963 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 09 มิถุนายน 2553 13:31:55 »

[ คัดลอกมาจากบอร์ดเก่า โดย อ.มดเอ็กซ์ ]




 
ก่อนอื่นต้องขอโทษ เดวิด คอร์เต็น นักเศรษฐศาสตร์ที่กล้าปฏิวัติคัดค้านและต่อต้านนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปที่ใช้คำพูด "อัตวินิบาตกรรม" (suicide) โดยไม่ได้ขออนุญาตล่วงหน้าให้กับบทความวันนี้ คำพูดที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเปลี่ยนใจ และรู้ว่าเป้าหมายขององค์ความรู้ของพวกตนเป็นองค์ความรู้ที่ทำร้ายและทำลายระบบธรรมชาติอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นก็ได้กระตุ้นเร้าให้สาธารณชนทั่วไปถูกมอมเมาต่อกิเลสตัณหา ที่หากไม่คิดให้ถ้วนถี่ย่อมอาจกระทำผิดต่อความดีงามของสังคมอย่างไม่รู้ตัว ทั้งต้องขอโทษ ชาร์ลีน สเปรนัก ที่อาจจะพูดได้ว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านความเป็น "สมัยใหม่" อย่างที่สุดของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองคนรวมทั้งอีกมากนักและกำลังเพิ่มทวีจำนวนอย่างรวดเร็วยิ่งในปัจจุบัน-แม้ว่าจะสายเกิน-แต่กระนั้นคนเหล่านี้ก็จะเป็นเชื้อที่บ่มเพาะจิตวิญญาณ ให้เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติสามารถที่ยังดำรงอยู่ได้อีกนานเท่านาน จริงๆ แล้วไม่ใช่แต่เพียงองค์ความรู้เศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นอารยธรรมความเป็น "สมัยใหม่" ทั้งกระบิ หรือเป็นความเจริญก้าวหน้าที่ไม่ว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศไหน รวมทั้งประเทศไทยต่างก็พากันวิ่งแข่งแย่งกันพาประชาชนส่วนใหญ่กว่าตกเหวตายโหงกันถ้วนหน้า...อนิจจา
 
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนที่เป็นครูใหญ่ที่ภาคใต้คนหนึ่ง ถึงเรื่องที่ได้ยินได้ดูข่าวทางโทรทัศน์-เรื่องโรคระบาดของกาฬโรคที่มณฑลชิงไห่ในจีน-ที่ผู้เขียนไม่ได้ดู ซึ่งปกติผู้เขียนจะดูโทรทัศน์เฉพาะข่าววันละชั่วโมงตอนหัวค่ำเพียงครั้งเดียว ยกเว้นได้ดูภาพยนตร์บ้างในตอนกลางวันเวลาว่างนานๆ ครั้ง วันนั้นเพื่อนที่ว่าได้ดูข่าวในตอนเช้าเลยต้องการความรู้ เพราะแกยังมีลูกอยู่คนหนึ่งที่ยังเล็กอยู่ กาฬโรคที่ระบาดในประเทศจีน-ที่ยังเป็นการระบาดในวงแคบๆ (endemic) แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ขณะที่โลกกำลังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่อยู่-เป็นชนิดปอดอักเสบหรือปอดบวมที่ผู้ป่วยมักตาย (50-70%) ภายในหนึ่งหรือสองวัน กาฬโรคเป็นโรคระบาดในยุโรปที่ยิ่งใหญ่มากในช่วงศตวรรษที่ 15 ทำให้มีคนตายไปร่วมหนึ่งในสามของโลกภายในเวลาไม่กี่ปีเพราะยังไม่มีวัคซีน แต่ตอนนั้นเป็นชนิดที่เป็นที่ผิวหนังที่ถูกหมัดของหนูกัด (เป็นสีดำ) เชื้อแบคทีเรียจึงได้ลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองอย่างรวดเร็ว (bubonic plaque or black death) แต่ถ้าเริ่มด้วยอาการทางปอด เชื้อแบคทีเรียจะทำให้ผู้ป่วยตายเร็วเพราะรักษาไม่ทันแม้จะรักษาได้ง่าย ประเทศไทยปลอดจากโรคนี้มาร่วม 70 ปีแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคอะไร? หากเกิดขึ้นแล้วจะทำให้มันหายไปจากโลกโดยสิ้นเชิงยากนัก ผู้เขียนเชื่อว่าเทคโนโลยีทำอะไรไม่ได้ในระยะยาว อย่างดีก็เพียงช่วยให้การวินิจฉัยโรคเพิ่มจากร่วม 90% จากสมัยก่อนมาเป็นราวๆ 98% ในปัจจุบัน หรือสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยได้นานกว่าก่อนนี้ได้ ส่วนมากเพียงไม่กี่วันด้วยไอซียู แต่ค่าใช้จ่ายก็สุดแพงที่ทำให้คนจนหรือแม้แต่คนธรรมดาไม่อาจช่วยตัวเองได้ ส่วนการรักษาโรค (จริงๆ) นั้นไม่ต้องพูดถึง เคยรักษาไม่หายเมื่อก่อนนี้อย่างไร? ก็ยังรักษาไม่หายในตอนนี้เหมือนเดิม ได้แต่ประคับประคองกินยาควบคุมอาการมากเป็นกำๆ ไปจนตาย มนุษย์นั้นไม่มีทางเอาชนะธรรมชาติได้หรอก เชื้อโรคต่างๆ คล้ายกับมันมีจังหวะของมัน พอประชากรมากขึ้นพอเมืองใหญ่ขึ้น พอเจริญก้าวหน้าขึ้น มนุษย์อยู่อย่างเบียดเสียดขึ้น โรคก็เลยระบาดใหม่กันเสียที ที่เพื่อนผู้เขียนโทรศัพท์มาถามจึงเป็นธรรมดาของคนที่ยังมีลูกเล็กๆ ในขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังระบาดทั่วทั้งโลกอยู่ในขณะนี้ ทำไม? จึงเป็นดั่งชื่อของบทความวันนี้เป็นเรื่องน่าคิด อย่างกับว่าธรรมชาติหรือโลกสามารถแก้แค้นมนุษย์ได้ เพราะเท่าที่รู้ประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ที่บอกเรา ทำให้ผู้เขียนคิดว่าเชื้อโรคมันคล้ายกับว่า มันคือสิ่งที่ติดตามมากับความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมของมนุษย์-ที่แน่นอนเป็นเรื่องภายนอกออกไปจากตัวเรา ในขณะที่จิตใจภายในของเราแย่ลงและแย่ลงเป็นสัดส่วน หรือเป็นปฏิภาคตรงกับความเจริญก้าวหน้าทันสมัย-นั้น
 
อยากเตือนคนไทยทั่วๆ ไปว่าจงอย่าคิดว่าโรคระบาดเป็นเรื่องเล็กกว่าปัญหาความแตกแยกทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือปัญหาสามจังหวัดภาคใต้ หรือแม้แต่สงครามนิวเคลียร์ ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาทั้งหมดเกิดจากมนุษย์และความก้าวหน้าทั้งสิ้น รวมทั้งเศรษฐกิจทุนนิยมและเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆ ซึ่งมนุษย์คิดขึ้นเพื่อทำร้ายและทำลายธรรมชาติอย่างชนิดที่ไม่มีการบันยะบันยัง ตามที่นักวิชาการ เช่น โธมัส ฮอบส์, จอห์น ล็อก, ฟรานซิส เบคอน ฯลฯ กับความคิดที่ให้มนุษย์เป็นผู้ยิ่งใหญ่แต่ผู้เดียว โดยพยายามบอกให้เรารู้เช่นนั้นทำมาตั้งแต่ 400 ปีก่อน ทำให้พวกฝรั่งตะวันตกพากันเชื่อ จนต่อมาได้ขยายแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกด้วยลัทธิล่าเมืองขึ้น ซึ่งไม่มีฝรั่งประเทศใดในยุโรปและอเมริกาที่ไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นเลยแม้แต่ประเทศเดียว ธรรมชาติโลกจึงได้ถูกทำร้ายและทำลายอย่างหนักหน่วงตั้งแต่โลกยังมีประชากรน้อยไม่ถึงหนึ่งพันล้านคน เป็นช่วงเวลานั้นที่รากฐานของความก้าวหน้าศิวิไลซ์ของอารยธรรม "สมัยใหม่" ทุกชนิดประเภทได้หยั่งรากฝังลึกมาสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยม ประชาธิปไตยตัวแทน และสิทธิมนุษยชนที่เฉพาะคนที่ฉลาดแกมโกงมากกว่า และมีเงินกับอำนาจมากกว่า มีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งชีวิตทั้งหลาย แม้แต่ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปอยู่วันยังค่ำ
 
และตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ประชากรโลกที่มีน้อยกว่าทรัพยากรธรรมชาติอย่างที่เราไม่เคยเอามาคิด แต่ปัจจุบันวันนี้เราต้องคิด และต้องคิดหนักเสียด้วยว่าประชากรโลกได้เพิ่มทวีอย่างไม่น่าเชื่อ จนเดี๋ยวนี้ที่เรามีประชากรโลกร่วม 7,000 ล้านคน ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมล้วนบอกว่า โลกเราสามารถรองรับโดยสามารถฟื้นฟูได้ทันเมื่อประชากรอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านคน (Lester Brown: Earth Policy Institute>www.earth-policy.org) และขณะนี้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกเราได้ติดลบไปแล้ว หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างร่อยหรอจนเกือบหมดสิ้นไปแล้ว เช่น ป่าไม้ น้ำมัน ดีบุก ทองแดง ฯลฯ เมื่อเร็วๆ มานี้ นั่นคือดุลแห่งธรรมชาติกำลังเดือดร้อน และเนื่องจากจักรวาลและโลกเรามีชีวิตและมีจิตดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั้งโลกและจักรวาลจะต้องตอบสนองคืนกลับมา จากความบ้าบิ่นจากอวิชชาและตัณหาของมนุษย์เราเอง ที่คิดว่าโลกและจักรวาลไม่มีชีวิตและจิต ด้วยการคิดแบบง่ายๆ ที่มนุษย์จะทำอะไรกับธรรมชาติก็ได้
 
นับแต่วันนี้ต่อๆ ไปจึงเป็นช่วงเวลาที่เรารอคอย เวลาของการแก้แค้นหรือล้างแค้นของโลกและจักรวาลตามกฎแห่งกรรมร่วมโดยรวม (collective karma) ที่ไม่มีทางหลบหนีได้พ้น ที่พูดมานี้เป็นการพูดตามกฎแห่งกรรมตรงไปตรงมา ไม่ได้พูดเพื่อเข้าข้างเผ่าพันธุ์ของตนเอง และเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนตายตัว ที่ในพุทธศาสนาผู้เขียนเชื่อว่าไม่มีใครหนีได้ ใครทำกรรมอย่างใดไว้จะต้องได้รับผลกรรมตอบสนอง ไม่ว่าใครจะทำบุญบริจาคเงินทองสักแค่ไหน ต่อให้ทำบุญทุกๆ วันจนตาย-หากทำอกุศลกรรมหนักๆ ไว้-ก็ลบล้างกันไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องของสาธารณชนคนธรรมดาที่ใครทำอะไรไว้ หากว่าเจตนาผลย่อมคืนสนองแทบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์-ยกเว้นผู้ที่สามารถทำวิปัสสนากรรมฐานถึงขั้นสูงสุดเป็นเวลายาวนานที่อุเบกขาธรรมเพียงไม่กี่คน-ที่อาจจะเป็นแต่เพียงแบ่งเบาหรือรอเวลาได้ และรอรับผลกรรมที่ดีที่ทำบุญทุกวัน หรือรอรับผลที่เป็นกุศลเจตนานั้นๆ
 
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เขียน ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับสาธารณชนคนส่วนใหญ่และนักวิชาการส่วนมาก คือ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น นับว่ามีความหมายที่สูงภพภูมิหนึ่ง ซึ่งในบาร์โดโธดอล หรือคัมภีร์มรณศาสตร์ของทิเบต บอกว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ยากยิ่งที่จะเกิดเป็นอย่างอื่นในภพภูมิของสัตว์ โดยอธิบายว่าในพุทธศาสนานั้นการเกิดใหม่มีสองคำแปลที่ต่างกัน คือคำแปลที่หนึ่ง ซึ่งมีผู้เชื่อและใช้กันทั้งผู้นับถือพุทธศาสนาฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือ โดยการแปลพระสูตรแบบตรงไปตรงมา (exoteric interpretation) พระสงฆ์จำนวนมากที่ไม่ได้ปฏิบัติโยคะสมาธิถึงขั้นสูงพอจะเชื่อและใช้คำแปลนี้ ส่วนอีกคำแปลหนึ่งเป็นคำแปลที่สอนกันเฉพาะอาจารย์และศิษย์ (esoteric interpretation) ที่ทำโยคะสมาธิจะแปลไม่เหมือนกัน คือแปลว่า วิวัฒนาการและสถานที่ (สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม) กับเวลามีความสำคัญยิ่ง เพราะชีววิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจนกว่าจะเป็นมนุษย์ ใช้เวลาเพื่อที่จะเอื้ออำนวยให้จิตสามารถจะไหลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสัตว์และพืชทุกๆ เผ่าพันธุ์มีสมองและประสาทต่างกับมนุษย์ นอกจากนั้น กระบวนการวิวัฒนาการหมุนกลับหรือเสื่อมถอย (degeneration) นั้นใช้เวลามาก จนการเกิดใหม่ไม่มีเวลาให้พอที่วิวัฒนาการหมุนกลับได้ แปลก-ที่การแปลแบบอาจารย์กับศิษย์ปากต่อปากนี้ กลับไปตรงกันเป๊ะกับฤคเวทย์ กรีกและอียิปต์สมัยราชวงศ์โบราณ ตามที่ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์คนแรกของโลกกล่าวไว้กว่า 2,400 ปีมาแล้ว (W.Y.Evan-Wentz: Tibetan Book of the Dead, 1960 (1927))
 
กรรมร่วมโดยรวมที่ว่านั้น ทีแรก คาร์ล จี. จุง ซึ่งเชื่อในเรื่องกรรมว่าเป็นไปได้แต่ก็เชื่อว่า มีแต่กรรมชนิดนี้แต่ชนิดเดียวที่เป็นประหนึ่งว่าจิตจักรวาล (universal unconscious continuum) สามารถจะแก้แค้นมนุษย์ได้ (ก่อนตายคาร์ล จุง ถึงจะมาเชื่อว่ามันมีกรรมของปัจเจกบุคคลด้วย) และผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างแน่นอนว่า มนุษยชาติกำลังรอคอยผลกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราบางคนคิดว่า มนุษย์กำลังรับมันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเรื่องของฤดูกาลที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย น้ำท่วม ดินถล่มเพราะโลกร้อน หรือโรคระบาดที่ไม่อันตรายที่แท้จริง เพราะมีอัตราตายต่ำมากๆ แค่ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีอัตราตายสูงๆ เช่น กาฬโรค อหิวาต์ อีโบลา หรือมาร์เลอร์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นไปได้คงเป็นคนละเรื่อง หรือว่าเป็นสงครามนิวเคลียร์ที่เป็นสงครามโลกอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่าน้ำท่วมโลกอย่างถาวรที่เกิดแทบว่าจะฉับพลันทันที หรือที่ยิ่งเร็วกว่านั้นเข้าไปอีกมาก เช่น อาจจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวันหรือเกิดในทันทีทันใด เป็นต้นว่าการย้ายแผนที่โลกที่เกิดจากการย้ายสนามแม่เหล็กโลกและของดวงอาทิตย์ หรือการย้ายขั้วโลก หรือที่ร้ายยิ่งกว่าคือ การวิ่งมาตกลงชนโลกของดาวหางอุกกาบาต-ไม่ว่าโลกจะมีดวงอาทิตย์สองดวงดังที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อ และผู้เขียนเคยนำมาเล่าเมื่อเร็วๆ นี้-หรือไม่ ซึ่งปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เล่ามานี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น และน่าจะยิ่งเป็นไปได้กว่านั้น หากเราเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม
 
สำหรับผู้เขียนเองคิดและเชื่อเช่นนั้นอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรู้ว่าโลกและจักรวาลมีชีวิตเพราะมีจิตไปอาศัยอยู่ ที่สำคัญคือ นักวิทยาศาสตร์ระดับนำของโลกหลายคนก็คิดเช่นนั้น เป็นต้นว่าเชื่อในทฤษฎีกายา หรือทฤษฎีมนุษยจักรวาลวิทยา (Gaea theory and cosmological anthropic principle) เพียงแต่เกิดเมื่อไรเท่านั้น โดยเฉพาะก่อนสิ้นศตวรรษที่ 21 นี้ โดยที่เผ่าพันธุ์มนุษยชาติยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะเหลือน้อยนิดเต็มที ส่วนหนึ่งของที่เหลือนี้ที่ไม่น้อยนัก จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปสู่ระดับที่สูงกว่าปัจจุบัน (consciousness transformation) ไปตามสเปกตรัมของจิต ดังที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอดว่า จักรวาลมีหน้าที่หนึ่งเดียวเท่านั้น คือ วิวัฒนาการของกาย-จิตเพื่อค้นหาและเรียนรู้ความจริงแท้ที่มีเพียงหนึ่งเท่านั้น.


 หัวเราะลั่น

http://www.thaipost.net/sunday/160809/9307









Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: สมัยใหม่ อัตวินิบาตกรรม เผ่าพันธุ์  
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
หมีงงในพงหญ้า 1 4901 กระทู้ล่าสุด 18 ธันวาคม 2552 15:28:26
โดย AMM
แกนโลกพลิก กลับขั้ว " Pole Shift " ในปี 2012 และการช่วยเหลือจาก UFO
หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
หมีงงในพงหญ้า 5 11514 กระทู้ล่าสุด 11 มกราคม 2553 09:54:20
โดย BOOGIMAN
"ในหลวง" ทรงขอบใจยื่นจดสิทธิบัตร"ยีนความหอมข้าวไทย"
สุขใจ ห้องสมุด
ไอย 0 2737 กระทู้ล่าสุด 30 ธันวาคม 2552 12:07:44
โดย ไอย
คำเตือน !! "เซ็กส์เสื่อม" ของแถม จาก "ออฟฟิศซินโดรม" (มนุษย์บ้างานระวังให้ดี)
สุขใจ อนามัย
หมีงงในพงหญ้า 1 3759 กระทู้ล่าสุด 13 เมษายน 2553 07:47:53
โดย PETER
หนังสั้น "ราตรีสวัสดิ์" เรียกน้ำตาอีกแล้ว (Shortfile - "GoodNight")
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
Sweet Jasmine 0 2747 กระทู้ล่าสุด 29 เมษายน 2553 14:49:08
โดย Sweet Jasmine
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.395 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 05 เมษายน 2567 15:14:45