10 ธันวาคม 2567 15:01:40
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
.:::
จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ (อ่าน 9775 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
«
เมื่อ:
10 มิถุนายน 2553 18:52:38 »
Tweet
[ บทความโดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]
จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์"
ที่มา: หนังสือ "แรงดึง2" โดย คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
พุทธศาสนา - วิทยาศาสตร์ทางจิต
การศึกษาเกี่ยวกับ อายตนะ ขันธ์ 5 นิพพาน ฯลฯ พลังงานและพลังจิต ล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาโดยตลอดไม่สามารถที่จะแยกเรียนรู้ เฉพาะเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวได้เลย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” หรือ “แรงยึดเหนี่ยวของตัณหา” ซึ่งเป็นแรงหรือพลังงานที่เกิดมาจากจุดศูนย์กลางของแต่ละสิ่ง และส่งแรงนั้นมาดึงดูดยึดเหนี่ยวผูกแต่ละสิ่งเข้าไว้ด้วยกันดุจลูกโซ่ โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางของแต่ละนิวเคลียสที่เล็กที่สุด ไปสู่แรงดึงของธาตุรู้ในใจ ขยายต่อไปยังแรงดึงที่ใหญ่กว่าของแรงโน้มถ่วงของโลก และแรงดึงจากสุริยจักรวาล และเข้าสู่แรงดึงของกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือตามลำดับ จนกระทั่งเข้าสู่อิทธิพลศูนย์กลางของแรงดึงสุดท้ายที่เป็นความว่างมหาศาล มีจุดศูนย์กลางเป็นรูปสามเหลี่ยมที่แหลมคมที่สุดซึ่ง เรียกว่า ศูนย์กลางของจักรวาล
มวลมนุษย์ควรที่จะหาโอกาสศึกษา เรียนรู้ถึงเหตุและผลตลอดจนความเกี่ยวเนื่องจาก “แรงดึง” ของพลังงานที่ปรากฏในโลก สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาลกันบ้าง เพราะมนุษยชาติต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “แรงดึง” ตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เหตุของพลังงานที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต (กฎแห่งกรรม) ส่งผลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ พืชที่แตกต่างกัน ในปัจจุบันชาติ (ทั้งนี้หมายรวมไปถึง พรหม เทวดา เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพของพลังงานด้วย) การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จึงมิใช่เรื่องบังเอิญ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นองค์ประกอบหลัก 5 อย่าง ที่นำมาคนรวมกัน แล้วเรียกว่า “มนุษย์” มนุษย์จึงสลัดให้พ้นไปจากอำนาจการครอบงำของขันธ์ 5 ได้ยากยิ่งนัก
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีคำสอนเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม และประพฤติปฏิบัติได้จริง เป็นศาสนาที่แสดงถึงเหตุและผล สอนให้ทุกคนเคารพกฎแห่งกรรม แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บุคคลได้สร้างเหตุไว้เช่นไรย่อมได้รับผลจากเหตุที่ได้สร้างขึ้นเช่นกัน ไม่มีใครสามารถละเมิดไปได้แม้แต่สักคนเดียว เพราะ “กรรม” หรือ “การกระทำ” หรือ “พลังงาน” เป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย การส่งผลของกรรมเป็นการสะท้อนกลับของพลังงานนั่นเอง
"พลังจิต" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลายของพลังงาน และสสารมาทุกยุคทุกสมัยด้วยความจริงที่ปรากฏอยู่ว่า ถ้าที่ใดมีสสารที่นั่นย่อมมีพลังงานอยู่คู่กันเสมอไป และเนื่องจากมนุษย์เราส่วนใหญ่จะยอมรับและเชื่อเฉพาะการเปลี่ยนแปลง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายของสสารเท่านั้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ย่อมเกิดขึ้นกับพลังงานก่อนเสมอ แล้วจึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสสารในภายหลัง ดังเช่นการเกิด “ฝน” ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
กระบวนการของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงาน ได้เริ่มต้นตั้งแต่ เมื่อน้ำได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนสภาพเป็นไอจับตัวรวมกันมากขึ้นๆ ในชั้นบรรยากาศ เรียกว่า “เมฆ” และเมื่อกระทบกับความเย็น เมฆเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ เรียกว่า ฝน ฉะนั้นกระบวนการของการเกิด “ฝน” ในแต่ละครั้ง ได้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของพลังงานไปหลายรอบ
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ “พลังงาน” มีอยู่หลายวิธี และทุกวิธีจะอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 หลักการ คือ ศึกษาโดยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และศึกษาโดยการใช้วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต
วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ศึกษาพลังงาน โดยการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นตามความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละยุคและสิ่งที่จะหลีกหนีให้พ้นไปไม่ได้เลย คือการทำลายสภาพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ถ้าสิ่งที่ผลิตขึ้นได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้นเท่าไร ก็จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้มากขึ้นเท่านั้น ยุคนี้เป็นยุคพลังงานน้ำมัน ความเจริญก้าวหน้าที่ผูกโยงต่อกันเป็นลูกโซ่ได้รัดแน่นจนแทบจะคลายออกไม่ได้อีกต่อไป เพราะเกือบทุกคนสะสมความเคยชินอยู่กับความสะดวกสบายที่ได้รับกันอยู่เป็นประจำทุกวัน
วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือพลังจิต เป็นการศึกษาค้นคว้าพลังงาน โดยใช้พลังจิตที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละบุคคลได้มีโอกาสฝึกฝนเพื่อพัฒนาให้พลังจิตกล้าแข็งและชำนาญขึ้นหรือไม่ ผู้รู้ใช้พลังจิตศึกษาพลังงานจากธรรมชาติ เนื่องจาก “ธรรมชาติ” ได้แทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสัตว์สิ่ง และเป็นสิ่งกำหนดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลายในจักรวาล ไม่มีอำนาจใดทรงอานุภาพยิ่งไปกว่า “ธรรมชาติ”
สิ่งที่แยกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันออกจากวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างสิ้นเชิง คือ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันศึกษาได้เฉพาะเหตุและผลที่ปรากฏเป็นรูปธรรม และพลังงานในรูปหยาบเท่านั้น แต่พลังจิตสามารถศึกษาถึงเหตุและผลทั้งที่เป็นพลังงานหยาบและพลังงานละเอียด
การวนรอบของความรู้ทั้ง 2 อย่างนี้ได้เกิดขึ้นเป็นปกติมาโดยตลอด คือ ถ้าเมื่อใดวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเฟื่องฟู วิทยาศาสตร์ ทางจิตหรือพลังจิตแทบจะหมดความหมาย และในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อใดที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเจริญก้าวหน้าไปจนถึงจุดสูงสุด และย้อนกลับมาทำลายตนเองแล้ว เมื่อนั้นพลังจิตจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
การศึกษาหรือการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนามีความคลึง เหมือนกับการเรียนวิชาทางโลก ซึ่งผู้เรียนต้องเริ่มต้นจากวิชาพื้นฐานก่อนแล้ว จึงค่อยเรียนหลักสูตรเฉพาะทางตามความถนัดของผู้เรียน เพื่อออกมาประกอบอาชีพเลี้ยงตน ตามความรู้ความชำนาญที่แต่ละคนได้เรียนมา ยิ่งไปกว่านั้นผู้เรียนบางคนยังมีความสามารถพิเศษที่จะเลือกเรียนอีกหลายๆ อย่างตามที่ตนชอบและใช้เป็นอาชีพสำรอง หารายได้พิเศษ
วิชาหลักของพระพุทธศาสนา มีทั้งหมด 8 อย่าง เรียกว่า อวิชชา 8 (ความไม่รู้ 8 ประการ) ซึ่งผู้เรียนต้องสอบให้ผ่านไปทีละขั้นๆ และถึงแม้สอบผ่านได้แล้วก็ไม่มีแม้แต่เกียรติบัตร หรือประกาศนียบัตร หรือปริญญาใดๆ มอบให้ นอกจาก “คุณธรรม” ซึ่งใช้กิเลสในตนเป็นเครื่องวัด อวิชชา 8 ได้แก่
1. ไม่รู้จักทุกข์ สภาพที่ทนได้ยาก เกิดจากการครอบงำของขันธ์ 5
2. ไม่รู้จักสมุทัย สาเหตุของการเกิดทุกข์เพราะจิตหลงยึดมั่นในขันธ์ 5
3. ไม่รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ ซึ่งเป็นวิธีหรืออุบายที่ทำให้จิตไม่หลงยึดมั่น และรู้เท่าทันการเกิดดับของขันธ์ 5
4. ไม่รู้จักมรรค ทางพ้นทุกข์ที่เป็นผลเนื่องมาจากข้อ 3 ทำให้จิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรม (เห็นทางเดิน)
5. ไม่รู้จักอดีต
6. ไม่รู้จักอนาคต
7. ไม่รู้จักการเชื่อมโยงอดีตและอนาคต เข้าด้วยกัน
8. ไม่รู้จักการวนรอบของปฏิจจสมปุบาท ซึ่งเริ่มต้น จาก
อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> อายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรา มรณะ ฯลฯ (--> อวิชชา --> สังขาร --> ... ไปตามลำดับ)
ผู้เรียนต้องสอบ 4 วิชาแรกให้ผ่าน เนื่องจากเป็นวิชาบังคับพื้นฐาน เป็นความรู้เกี่ยวกับความจริง 4 ประการ (อริยสัจ 4) ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ คือ “ทาง” เฉพาะส่วนตน และจัดได้ว่าบุคคลผู้นั้น พ้นไปจากความไม่รู้ กลายเป็นผู้รู้ หรือผู้เห็นแล้ว
ถ้าผู้เรียนใช้ “มรรค” หรือ “ทาง” ที่ได้ประหารกิเลสไปเรื่อยๆ และสามารถสอบผ่านวิชาที่ 5-6-7 ได้ตามลำดับทำให้เป็นผู้สามารถรู้อดีต อนาคต และการเชื่อมโยงอดีตกับอนาคตในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่ตนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ด้วย จนกระทั่งไปถึงที่สุดของทางเดิน เห็นธรรมชาติการเกิดดับของการวนรอบอย่างชัดเจน จิตไม่หลงยึดในการวนรอบนั้นอีกต่อไปเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยที่ยังมีอยู่ และจะได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า
“เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป”
ผู้ที่มีพลังจิตสูงส่วนใหญ่จะได้รับความรู้ทั้งที่เป็นความรู้พื้นฐานและความรู้ละเอียดมาจากพระพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุให้บุคคลเหล่านั้นดำรงตนอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ใช้พลังจิตไปในทางที่เกิดประโยชน์เท่านั้น
มนุษย์เราเกิดมาพร้อมหน้าที่ เช่น หน้าที่ที่มีต่อครอบครัว คือ ความเป็นพ่อ แม่ บุตร ธิดา พี่ชาย น้องสาว ฯลฯ หน้าที่ต่อชุมชนหน้าที่ต่ออาชีพการงาน ตลอดจนหน้าที่ต่อประเทศชาติ และหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือหน้าที่ที่มีต่อมวลมนุษยชาติด้วยกัน ดังนั้นแต่ละบุคคลจึงควรทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดทั้งส่วนตนและผู้อื่น
เหตุ คือ พลังงาน (แรง) ที่ได้สร้างไว้แล้วในอดีต
ผล คือ การสะท้อนกลับของพลังงาน (แรง) ซึ่งพร้อมที่จะเกิดขั้นเมื่อการวนรอบได้เวียนมาบรรจบ
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
«
ตอบ #1 เมื่อ:
10 มิถุนายน 2553 18:53:29 »
แอตแลนติส
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “ดาวเคราะห์โลก” ของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมานับครั้งไม่ถ้วน การขุดพบโครงกระดูกของสัตว์โบราณอย่างเช่น ไดโนเสาร์ ช้างแมมมอธ ฯลฯ ได้มีประเด็นสำคัญที่นักโบราณคดีให้ความสนใจ คือการขุดพบโครงกระดูกของสัตว์บางชนิดในสถานที่ที่ไม่น่าจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ชนิดนั้นๆ ได้เลย เช่นมีการขุดค้นในเขตหนาว แต่ทว่าสิ่งที่ขุดพบกลับเป็นโครงกระดูกของสัตว์ที่น่าจะเคยอยู่ในเขตร้อนเสียมากกว่า
จากการศึกษาโดยพลังจิต ทำให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก (สสาร) ในทุกรอบ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) การเปลี่ยนสภาพของสสารระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และอยู่ในอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วนและพื้นน้ำ 3 ส่วนเสมอ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตาม
เมื่อบุคคลได้ศึกษาสมาธิ-วิปัสสนา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมและเจริญทางต่อไปจนกิเลสลดน้อยลงตามลำดับ บุคคลเหล่านี้จะเห็นสภาพการเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่เนืองนิจ เห็นธรรมชาติของแรงสืบต่อของพลังงาน หรือแรงสันตติที่มีการสั่นสะเทือน ตึ๊บๆตึ๊บๆ อยู่ทุกๆ รอบของ 1 วินาที และใช้แรงสันตติหรือแรงสืบต่อนี้ ย้อนกลับไปดูพลังงานที่เคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และจะส่งผลเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ตลอดจนหาทางแก้ไขเพื่อเหล่ามวลมนุษย์ในปัจจุบัน และถ้า “ผู้รู้” เหล่านี้ สามารถดำรงตนอยู่เหนือวิมุตติได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาตามวิถีของจิต คือการมี"ญาณทัศนะ" ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางสมองหรือใจ บุคคลใดที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้ว สามารถที่จะเลือกทางของตนเอง ระหว่างการไม่ลงมาระคนกับกิเลส ดำรงสภาพการเป็นพระอรหันต์ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือ จะลงมาระคนกัน “โลก” เป็นโพธิสัตว์เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามวิบากที่เคยสร้างไว้ในอดีต จนกระทั่งเชื้อ หรือเหตุ หรือพลังงานเหล่านั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป
ระยะเวลา 10,000 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ถ้าทุกคนสามารถจำอดีตที่ผ่านมาได้ คงจะรู้ว่าแต่ละคนได้เวียนว่ายตายเกิดกันมาคนละหลายครั้งแล้ว และเนื่องจากทุกครั้งของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องอยู่ในท้องแม่นาน 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำในอดีต ทักษะ ความชำนาญ ความรู้พิเศษ ที่เคยมีในแต่ละชาติ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาของการพัฒนาไปตามลำดับ และในบางครั้งการพัฒนาความรู้เหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักลงไปอีก เพราะอายุขัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสั้นเกินไป คือไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องถึง “การตาย” อีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกครั้งล่าสุดได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา การศึกษาจากประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ในปัจจุบันนี้ น่าจะเคยมีสภาพเป็นแผ่นดิน มีบ้านเมือง และผู้คนอาศัยมาก่อน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ยังคงให้ความสนใจและศึกษามาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบันนี้
ความรู้ที่ได้จากการใช้ “พลังจิต” และ “แรงสันตติ” เข้าไปดูอดีตจึงทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา ทวีปแอตแลนติก (มหาสมุทรแอตแลนติกในปัจจุบันนี้) เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองเป็นผืนแผ่นดินที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลากภาษา ต่างวัฒนธรรม รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย กระจายอยู่ทั่วทวีป โดยมีอาณาจักรแอตแลนตีสเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม
อาณาจักรแอตแลนตีสมีอดีตที่รุ่งเรืองมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “พลังจิต” ถึงขั้นสามารถติดต่อกับชาวอังคารและได้ติดต่อมาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับ “ชาวดาวอังคาร” กันบ้างเล็กน้อยก่อนกลับมาสู่เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนตีสอีกครั้ง
มนุษย์ดาวอังคาร
ดาวเคราะห์โลกหรือโลกของเราไม่ได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในสุริยจักรวาล ดาวอังคารก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจำนวนดาวหมื่นแสนล้านๆๆ ดวงในสุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาล เฉกเช่นเดียวกับโลกของเรา ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจึงไม่ควรรีบด่วนที่จะปฏิเสธว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่บนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เราตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่เรียกว่า “แรงโน้มถ่วงของโลก” จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปถึงดาวดวงอื่นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะลึกไปจนถึงขั้นทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ต่อกันกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ โดยเฉพาะบนดาวอังคารได้เลย พวกเราเคยจินตนาการหรือไม่ว่า ภาพของมนุษย์ชายหญิงอย่างพวกเราที่มี 2 ขา 2 เท้า 2 แขน 2 มือ ฯลฯ ได้กลายเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ฯลฯ ไปเสียแล้ว
โครงสร้างทางกายภาพหรือองค์ประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บนดาวอังคารมีความแตกต่างจากดาวเคราะห์โลก โดยสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุให้ชาวดาวอังคารมีรูปร่าง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน อาทิ การเกิดและการมีอายุขัย มนุษย์โลกอาศัยการเกิดจากเชื้อของพ่อและฝังตัวอ่อนอยู่ในท้องของแม่ประมาณ 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำที่มีในอดีต จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก เจริญวัยเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา และเสียชีวิต มีอายุได้ไม่เกิน 100 ปี หรือ 100 ปีเศษเท่านั้น แต่สำหรับชาวอังคาร พวกเขามีสภาพเป็น “พลังงาน” ไม่ได้ประกอบโครงสร้างเป็น “รูป” หรือ “ร่างกาย” อย่างชัดเจน
การเกิดของพวกเขาน่าจะเรียกว่าเป็นการ “อุบัติ” ขึ้นมากกว่าเพราะเป็นการรวมตัวของพลังงานขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากธาตุสีเหลือง หรือธาตุเมตตาเป็นตัวกำหนด (ไม่ต้องอาศัยการตั้งครรภ์) เมื่อกระบวนการเกิดใหม่เสร็จสิ้น พวกเขาจะดำรงความเป็น “พลังงาน” ไปเรื่อยๆ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ คือมีอายุขัยมากเป็นหมื่นๆ ปี จึงทำให้พวกเขาได้รู้เห็นปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกมาโดยตลอด และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง จึงสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มนุษย์โลกประกอบด้วยกายหยาบและกายละเอียด ในขณะที่ชาวดาวอังคารมีสภาพเป็นกายละเอียดหรือพลังงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้น “อาหาร” และ “การดำรงชีวิต” ของมนุษย์โลกและชาวดาวอังคารจึงแทบจะไม่เหมือนกันเลย
กายหยาบ เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างกาย และมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตา อาหารที่ใช้บำรุงหล่อเลี้ยง คือ อาหารหลัก 5 หมู่ นำเข้าสู่ร่างกายโดยทางปาก ระบบทางเดินอาหาร และอาศัยก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการสันดาปและการทำงานของหัวใจและปอด
กายละเอียด เป็นกายในรูปของพลังงานที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณ (ธาตุรู้) ฉะนั้นอาหารของชาวดาวอังคารจึงอยู่ในรูปของพลังงานด้วยเช่นกัน ได้แก่กระแสลมปราณ และธาตุเมตตา (กุศล) ซึ่งเป็นธาตุสีเหลืองๆ และมีอิทธิพลต่อความนึกความคิด ดังนั้นการกระทำหรือการทำลายชีวิตอื่นๆ ฯลฯ จะเป็นสาเหตุทำให้พลังงานหรือกายละเอียดและพลังจิตของพวกเขาอ่อนกำลังลง และจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างลำบาก
อาหารที่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง คือ “น้ำ”
พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ
ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก “นิพพาน” เพราะพวกเขาส่วนใหญ่พอใจในการมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เหตุการณ์วิกฤตใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกในอดีต ชาวดาวอังคารเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการวนรอบของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครบรอบ 10,000 ปี ด้วยความปราถนาดีและอยากช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในครอบครัว “สุริยจักรวาล” เดียวกัน ชาวดาวอังคารจึงได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกตั้งแต่ยุค “อาณาจักรแอตแลนตีส” ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับ “พลังจิต” อย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้ประโยชน์จากรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด
ชาวดาวอังคารสร้างบ้านเรือนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากสภาพของการมีกายละเอียด (พลังงาน) ทำให้พวกเขาทนต่อแสงแดดได้ไม่มากนัก ประตูทางเข้าจะปิดสนิทเมื่อเวลา 03.00 น. เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด
ชาวดาวอังคารสามารถใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบให้ปรากฏต่อสายตามนุษย์โลกได้ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังจิตสูงคลื่นความถี่จากพลังงานของพวกเขาอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์โลกได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องสะกดจิตมนุษย์โลกให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น
องค์ธรรมมิกราช
พวกเราคงรู้จักและเคย “ฝัน” กันทุกคน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย มิหนำซ้ำในบางครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงจำความฝันได้อย่างแม่นยำเหมือนกับได้ไปเผชิญกับสิ่งที่ฝันมาจริง การฝันเป็นการท่องเที่ยวด้วยกายทิพย์หรือกายละเอียด โดยมีกระแสลมปราณทำหน้าที่ดุจสายใยแห่งชีวิต ตามไปทั่วทุกหนแห่ง และหากสายใยของกระแสลมปราณขาดไป บุคคลผู้นั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากกายทิพย์ไม่สามารถกลับเข้าซ้อนอยู่กับกายหยาบได้ ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถใช้กายทิพย์เดินทางไปที่ใดก็ได้ตามความต้องการ โดยที่กายหยาบหรือตัวรูปร่างกายอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง
พระพุทธองค์เป็นผู้ที่มีพลังจิตและญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า พระสยมภูญาณ ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงใช้ญาณหยั่งรู้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อทรงตรวจดูว่าในแต่ละวันพระองค์จะไปโปรดใครได้บ้าง อย่างเช่นในกรณีของท่านองคุลีมาล ที่ถูกอาจารย์สอนให้ทำในสิ่งที่ผิดและเป็นบาปอย่างมหันต์ ด้วยการสั่งฆ่าคนให้ได้ครบ 1,000 คน ก่อนจึงจะได้เรียนขั้นสุดยอดของวิชา และคนลำดับที่ 1,000 ก็คือแม่ของตน เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้โดยพระสยมภูญาณ จึงทรงเมตตาช่วยท่านองคุลี มาล ให้พ้นจากวิบากกรรมที่จะต้องฆ่าแม่ของตนเองด้วยความไม่รู้ และกลายเป็นบาปหนัก
ในเช้าวันเกิดเหตุนั้น พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กันคนละเมืองกับท่านองคุลีมาล ไม่สามารถเสด็จด้วยพระองค์เองได้ทัน จึงทรงโปรดด้วย “กายทิพย์” ใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบปรากฏต่อสายตาของท่านองคุลีมาล ทรงช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากกรรมหนักที่กำลังจะทำมาตุฆาต (ฆ่าแม่) และทรงเทศนาโปรดจนสำเร็จ บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ซึ่งกำลังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสถานที่อยู่ของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ (สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ต่ำกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่เสวยผลบุญอยู่ในชั้นที่สูงกว่าสามารถเดินทางลงมายังสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าได้)
ส่วนกายหยาบหรือตัวรูปร่างกายของพระพุทธองค์ มีเทวดาอาสาคอยเฝ้าปกป้องรักษาไม่ให้เกิดภัยอันตราย เพราะถ้าหากกายหยาบสูญสลายหรือบาดเจ็บ กายทิพย์หรือกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณ จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้เลย บุคคลนั้นก็ต้องเสียชีวิต
พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาในการเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้าเทียบเป็นเวลาของมนุษย์โลก จะนานประมาณ 3 เดือน ในครั้งนั้นพระพุทธมารดา ท้าวสักกะ (พระอินทร์) และกลุ่มเทวดาอีกเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ท้าวสักกะได้ปาวารณาตนอาสาขอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมให้มีอายุไปจนครบ 5,000 ปี และในระหว่าง 5,000 ปี นั้น พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่กลียุคถึง 5 ครั้งด้วยกัน จำต้องมีเทวดาอาสาจุติลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยแก้ไขให้คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมือนดังเดิม เทวดาที่อาสาลงมาทำงานรับใช้ศาสนาทั้ง 5 องค์ 5 วาระนี้เรียกว่า “องค์ธรรมิกราช” ดังนั้นพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม จึงเป็นศาสนาที่มีเทวดาคอยรักษาดูแล
เมื่อกล่าวถึงเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาพของกายละเอียด อาหารของเทวดาก็คล้ายคลึงกับชาวดาวอังคาร เนื่องจากเทวดา พรหม มีแต่เฉพาะกายละเอียดและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ยังดับไม่ได้ อาหารคือตัวบุญ ตัวกุศล ที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้เป็นพลังงานบุญช่วยหล่อเลี้ยงสร้างแสงสว่างให้กายทิพย์ของตนเอง ดังนั้นบุญญาธิการของเหล่าเทวดา พรหม จึงวัดกันด้วย “แสงสว่าง” และในทำนองเดียวกันธาตุเมตตา (บุญ,กุศล) จะเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและหล่อเลี้ยงกายละเอียดของชาวดาวอังคารให้เข้มแข็ง
พลังงานเส้นแสง
บนดาวอังคารจะมีวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดอยู่มากมาย เพื่อใช้ประโยชน์ในการสะเทินพลังงานความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ และยิ่งไปกว่านั้น พีระมิดยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการเดินทางท่องจักรวาล หรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆ โดยเฉพาะดาวเคราะห์โลกของเรา
การเดินทางในแต่ละครั้ง สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะคือสิ่งหรือวัตถุที่พวกเราเคยเห็นและเรียกกันว่า “ยาน” หรือ “จานบิน” อาจจะมีหลายๆรูปแบบ ก่อนการเดินทางพวกเขาต้องตรวจสอบหรือเช็คก่อนว่าจะใช้ “เส้นแสง” เส้นใด เดินทางไปยังจุดหมาย หลังจากนั้นผู้ที่จะเดินทางก็จะเข้าสู่กระบวนการ โดยเริ่มจากการนำยานพร้อมลูกเรือที่จะเดินทางเข้าไปยังพีระมิดใหญ่ เพื่อใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากวัตถุให้เป็นพลังงานแสงและพุ่งทะลุออกไปทางยอดแหลมของพีระมิด เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้แล้ว และเมื่อเข้าสู่เขตบรรยากาศของโลกแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากปรากฏตัวต่อสายตาของชาวโลก พวกเขาจะใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากพลังงานแสงให้เป็นวัตถุ ดังที่พวกเราบางคนเคยมีโอกาสได้พบเห็นมาบ้างแล้วในระยะที่ไกลพอสมควร เนื่องจากถ้ายานหรือจานบินปรากฏให้เห็นในระยะสายตาปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อนัยน์ตาหรือเซลล์ในร่างกายของมนุษย์โลกได้ เนื่องจากความถี่ของเสียงที่เกิดจาการทำงานของเครื่องยนต์ในยานอยู่ในระดับที่มีความถี่สูงมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เราจึงได้เห็นจานบิน หรือฝูงจานบินในระยะที่ไกลๆ เท่านั้น
ชาวดาวอังคารชอบที่จะเดินทางมายังดาวเคราะห์โลกของเราเสมอ ความรู้เกี่ยวกับพลังพีระมิดได้ถ่ายทอดให้กับชาวแอตแลนตีส และในยุคนั้น ชาวแอตแลนตีสได้ใช้คริสตัลซึ่งเป็นแก้วหินใส สร้างเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ไว้ทั่วราชอาณาจักร และแต่ละคนจะมีพีระมิดคริสตัลขนาดเล็กเก็บไว้ใช้ประจำตัว ชาวแอตแลนติสที่มีพลังจิตสูงโดยเฉพาะกลุ่มนักบวช จะเป็นผู้ที่เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยพลังจิต ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าไปในพีระมิดคริสตัล และใชัพลังจิตเปลี่ยนสภาพของกายหยาบให้เป็นพลังงานแสง พุ่งออกไปในทางยอดแหลมของพีระมิดคริสตัล เข้าสู่เส้นทางของ “เส้นแสง” ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มนุษย์โลกก้าวไปถึงครั้งล่าสุด คือการสร้าง “ปรมาณู” เป็นอาวุธร้ายแรง และนำมาทำลายล้างมนุษย์ชาติ ดังเช่นการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฺฮิโรชิมา และนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-2542 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานตัวใหม่คือ “เส้นแสง” และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดว่า “เส้นแสง” จะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก “อาวุธเส้นแสง” เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายนิวเคลียสและเซลล์ในร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับระเบิดปรมาณูซึ่งจะทำลายวัตถุ เช่นอาคารบ้านเรือน อาวุธเส้นแสงชนิดใหม่นี้สามารถปรับความถี่และอำนาจของการกระจายของเส้นแสงได้ตามความต้องการ เหมือนกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ
ชาวดาวอังคารมีความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางจิตไปจนถึงระดับการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุให้เป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนจากพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุอีกครั้ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของพลังงาน ซึ่งสูงกว่าพลังงาน “เส้นแสง”
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์
เพศ:
United Kingdom
กระทู้: 7866
• Big Bear •
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
Re: จาก"แอตแลนติส" สู่ "อียิปต์" : พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
«
ตอบ #2 เมื่อ:
10 มิถุนายน 2553 18:53:51 »
จากแอตแลนติสสู่อียิปต์
มนุษย์โลกเมื่อครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของอารยธรรมแอตแลนตีส ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้เคยพัฒนามาจนถึงการสร้าง “อาวุธเส้นแสง” แล้ว ความมีอำนาจ ความแตกต่างกันในแนวความคิด และความศรัทธาความเชื่อ ได้ทำร้ายเหล่ามวลมนุษยชาติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งกระหายอำนาจมากเท่าใด ย่อมส่งผลร้ายได้มากเท่านั้น
บนทวีปแอตแลนติกในครั้งนั้นประชาชนได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม จนในที่สุดเหลือประชาชนเพียง 2 กลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่างผ่ายต่างมียุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้า ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติวิธี สงครามและอาวุธที่ทันสมัยมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด คือศักดิ์ศรีของจอมทัพผู้อหังการ
ในครั้งนั้นนักบวชนามว่า รตะ (อ่านว่าระตะ) เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความเมตตา ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 1 เดือน ว่าจะเกิดสงครามใหญ่และอาณาจักรแอตแลนตีสจะถึงวาระของการล่มสลาย กลุ่มที่เชื่อคำพยากรณ์ของท่านรตะได้ต่อเรือขนาดใหญ่ บรรทุกผู้คนอพยพออกจากอาณาจักรแอตแลนตีส มาขึ้นฝั่งที่ดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ
เมื่อครบ 1 เดือน ตามคำพยากรณ์ของท่านรตะ สงครามใหญ่ได้เปิดฉากขึ้น และเนื่องจากผู้นำของทั้งสองกลุ่มต่างแข็งกร้าวเข้ากัน อาวุธ “เส้นแสง” ที่ทันสมัยที่สุดจึงถูกนำมาใช้ แรงกดอย่างมหาศาลที่เกิดจากการยิงอาวุธเส้นแสงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกตามลำดับ คือ
1. อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนติก ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคาวามเจริญในแทบทุกด้าน ได้ถึงกาลอวสานล่มสลาย พื้นทวีปทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็วกลายสภาพเป็นพื้นน้ำในชั่วพริบตา ประชาชนที่กำลังสนุกสนานร่าเริง หรือขลุกอยู่กับภารกิจประจำวันต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาจโดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว หมดโอกาสที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากอันตรายได้ มนุษย์ สัตว์ อาคารบ้านเรือน พีระมิดคริสตัล และเค้าโครงของอารยธรรมทั้งหลาย ยังคงฝังซากของอดีตอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เพื่อรอจังหวะเวลาของการวนรอบของเหตุการณ์ที่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง และถ้าหากคู่อริทั้ง 2 กลุ่มในอดีต ไม่สามารถก้าวพ้นไปจากวิบากหรือเหตุที่ได้สร้างไว้ได้ การย้อนรอยของกรรมหรือพลังงานคงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลา
2. เพื่อเป็นการรักษาสภาพสมดุลของลักษณะทางกายภาพตามอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน จึงทำให้พื้นน้ำแถบทะเลอาหรับ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ที่เรียกว่าสะฮาราในปัจจุบันนี้ เนื่องจากปริมาณของน้ำได้ถ่ายเทไปรวมตัวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกและฝังอาณาจักรแอตแลนตีสอยู่ใต้มหาสมุทร บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลทรายสะฮาราและคาบสมุทรอาหรับจึงกลายเป็นดินแดนมหาเศรษฐีของโลก เนื่องจากมีทรัพยากรที่ล้ำค่าคือ น้ำมัน การใช้อาวุธเส้นแสงคือ เหตุ หรือพลังงานที่คู่อริได้ร่วมกันสร้างไว้แล้ว ตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา
3. การเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นน้ำและพื้นดินอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้แผ่นดินของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเคลื่อนเข้ามาชนกันในทันที แรงปะทะทำให้แผ่นดินทั้งสองทวีปถูกบีบ กลายเป็นภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า และช่องว่างที่เกิดจากการคลายตัวของพื้นดินจะปรากฏให้เห็นเป็นแนวยาวจากภูเขาหิมาลัยในประเทศอินเดียผ่านหลายจังหวัดในประเทศไทย และไปสิ้นสุดที่ จ.กาญจนบุรี นักธรณีวิทยาเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า “รอยเลื่อน” และ ถ้าเมื่อใด “อาวุธเส้นแสง” ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เมื่อนั้นยอดเขาหิมาลัยจะเปลี่ยนสภาพจากยอดเขาสูง กลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเอเชียและของโลก และอาณาจักรแอตแลนตีสคงจะถูกดันให้โผล่พ้นจากก้นมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นทวีปที่กว้างใหญ่อีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพื้นน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะไหลไปรวมอยู่ที่ใดของโลก เพื่อทำให้เกิดความสมดุลตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วนและพื้นดิน 1 ส่วน เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น อาณาจักรแอตแลนตีสเป็นผู้ยิงอาวุธเส้นแสงจึงทำให้เกิดแรงกดอย่างมหาศาลลงไปบนพื้นทวีปจนจมลงไป ชาวแอตแลนตีส จึงต้องรับผลของเหตุที่ได้สร้างขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตหากมีประเทศใดยิงอาวุธเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง ประเทศนั้นก็จะถูกกดให้จมลงไปกลายเป็นพื้นน้ำในพริบตาเช่นกัน และแรงกดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วนี้ จะไปดันอาณาจักรแอตแลนตีส ให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านรตะสามารถล่วงรู้ว่า “อาวุธเส้นแสง” จะเป็นทั้งเหตุและผลของการล่มสลาย และฟื้นคืนกลับมาใหม่ ของอาณาจักรแอตแลนตีส ตามกฎของการวนรอบในทุกๆ 10,000 ปี ความรู้สึกเสียดายอาณาจักรแห่งความศิวิไลซ์และความโศกสลดเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันได้ ในครั้งนั้นท่านรตะจึงได้ให้สัจจะหรือให้คำมั่นสัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างเหตุของท่านไว้ ซึ่งสัจจะนั้นมีความหมายว่า “เมื่อใดที่ถึงวาระการวนรอบของเหตุการณ์เดิมท่านจะเป็นผู้มาช่วยฉุดแอตแลนตีสคืนกลับขึ้นมา”
สัจจะที่ได้ให้ไว้ถือว่าเป็นภารกิจผูกมัด จดบันทึกเก็บเป็นพลังงานไว้ในใจ ซึ่งเจ้าของสัจจะ จะเพิกเฉยหรือลืมไม่ได้ เพราะเป็นเหตุที่ตนได้สร้างไว้ในอดีต
คณะของท่านรตะที่รอดชีวิตมา ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวพื้นเมือง อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้แพร่กระจายในดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ จนพัฒนากลายเป็นอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ในยุคต่อมา
มหาพีระมิด
ท่านรตะเป็นเพียงมนุษย์โลกคนหนึ่ง ที่เมื่อถึงอายุขัยก็ต้องตายและไปเกิดเป็นธรรมดา ความทรงจำและความมีพลังจิตสูงย่อมถูกลบไปเมื่ออยู่ในท้องแม่ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระของการกลับมาทำหน้าที่ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อชาวแอตแลนตีส ท่านรตะจำเป็นต้องสร้างวัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้เป็นเวลานับหมื่นปีเพื่อเป็นสัญญลักษณ์เตือนความทรงจำ และใช้เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่เมื่อถึงวาระตามสัจจะที่ได้กระทำไว้
ในครั้งนั้น ท่านรตะได้รับความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารมาช่วยสร้างสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ปรากฎไว้ในประเทศอียิปต์โบราณ รอเวลาที่ท่านรตะเวียนกลับมาเกิดใหม่และไขปริศนาในอนาคต
สัญลักษณ์เหล่านั้นได้แก่ องค์สฟิงซ์ และมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างที่สร้างขึ้นจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป
พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน
ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนมีขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาวอังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ
[LIST=1]
กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ในระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก
จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกลประตูแรก ที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอตแลนติก
พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิด พลังงานในโลก และพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง
แนวความคิดและความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากการทำลายของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้
องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ และมีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง ซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตได้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็นการปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์ พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลกซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยอออก และ “ลม” หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด “ลม” หรือ “พลังงาน” นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก
การคืนสัจจะได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 แต่เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะช่วยดึงให้อาณาจักรแอตแลนตีส โผล่ขึ้นมาก็คือ ได้มีการใช้อาวุธเส้นแสงอีกครั้ง ซึ่งชนวนของการเกิดสงครามใหญ่ก็ได้ส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว
พุทธศาสนาของพระสมณโคดม (บทส่งท้าย)
ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมได้สืบทอดอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาประมาณ 2,500 ปีแล้ว และจะดำรงอยู่ต่อไปจนครบ 5,000 ปี ยุคปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เป็น “ยุคกึ่งพุทธกาล” ที่หลักธรรมคำสอนของพระสมณโคดมถูกบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิมที่ได้รับการชำระและสังคายนาในครั้งแรก หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 2 (พ.ศ. 200-300) ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้โปรดให้ส่งพระสมณฑูต 2 รูป นามว่า พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ออกเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ
พระโสณะเถระเป็นพระอรหันต์ ส่วนพระอุตตระเถระเป็นพระสงฆ์ที่ทรงพลังจิต (มีฤทธิ์) ได้แสดงฤทธิ์โดยการสร้างเท้าขวาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากและกดประทับฝ่าเท้าลงบนแผ่นหิน ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายบริเวณของดินแดนสุวรรณภูมิ สร้างความเข้าใจผิดให้แก่เหล่าพุทธศาสนิกชนและผู้พบเห็นในยุคต่อมาตราบจนปัจจุบัน โดยเข้าใจว่าเป็นรอยเท้าของพระพุทธองค์ ซึ่งถ้าศึกษาจากประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่าในช่วงที่ทรงมีพระชนม์ชีพและทรงเผยแพร่พระพุทธศาสนานั้น พระสมณโคดมไม่เคยเดินทางมายังดินแดนแถบสุวรรณภูมิเลย
พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุด จนเรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว หลังจากเวลาที่ผ่านไปกว่า 1,000 ปี พระพุทธศาสนาได้แยกย่อยออกเป็นหลายนิกายหลายลัทธิ และลัทธิสำคัญได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอยู่หลายประการ เช่น พระสงฆ์เริ่มฉันเนื้อสัตว์, มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้มีสมณศักดิ์ ฯลฯ
จากยุคสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ระยะเวลาผ่านไปอีกร่วม 1,000 ปี การถ่ายทอดและสืบทอดหลักธรรมคำสอนย่อมมีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หลักธรรมและวิธีฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องยังคงมีเหลืออยู่ไม่ได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เพียงแต่บุคคลที่สนใจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความถูกต้องเหล่านั้นหรือไม่ (หรือจะรอเวลาให้เกิดเหตุการณ์ “การวนรอบ” เสียก่อนจึงค่อยคิด)
พลังงานเสียง พลังงานแสง ตลอดจนธาตุบริสุทธิ์ของพระสมณโคดมยังคงเป็นพลังงานที่มีอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้นผู้รู้ ผู้มีพลังจิต ยังคงสามารถเข้าไปค้นพบพลังงานเสียง พลังงานแสง (ภาพพระพุทธองค์) และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ได้อยู่เสมอ ตราบจนกระทั่งครบ 5,000 ปี ซึ่งในวันนั้น พลังงานเก็บพลังงานตกค้างทุกชนิดของพระสมณโคดมจะมารวมตัวกันและถูกทำลายโดยเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) จนหมดสิ้น เป็นการปิดฉากพระพุทธศาสนาที่มีศาสดาทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” และเมื่อถึงยุคของศาสดาองค์ใหม่ที่ทรงพระนามว่า “ศรีอารยเมตไตรย” จะเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้คนในยุคนั้นจะมีอายุยืน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติธรรมได้นาน เนื่องมาจาก “แกนพลังงานโลก” ได้คืนกลับมาสู่ความเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว (ได้กลับคืนสู่สภาพปกติก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานแล้ว)
http://santati2007.googlepages.com/energy
บันทึกการเข้า
B l a c k B e a r
: T h e D i a r y
คำค้น:
แอตแลนติส
อียิปต์
พระอาจารย์
รัตน์ รตนญาโณ
atlantis
egypt
อารยธรรม
โบราณ
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...