[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
01 พฤษภาคม 2567 05:43:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความอัศจรรย์ในพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า  (อ่าน 2159 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:13:06 »

ความอัศจรรย์ในพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า
นพ. คงศักดิ์ ตันไพจิตร


 
คนเราทุกข์เพราะความคิดและอัตตาตัวตน เพราะคิดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่หุ่นยนต์ซึ่งเคลื่อนไหวได้เช่นกัน ทำงานตามสั่งในรูปแบบที่กำหนดไว้โดยปราศจากทุกข์ ไม่แสดงอารมณ์ เพราะปราศจากอัตตาตัวตน ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายกับอัตตาตัวตนและความคิด

แนวความคิดเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เดิมนั้นเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะทำให้หุ่นยนต์คิดหรือแสดงอารมณ์ แต่ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่ MIT (Massachusetts Institute of Technology) สามารถสร้างหุ่นยนต์ให้มีการแสดงอารมณ์ตอบโต้กับสังคมได้สำเร็จแล้ว โดยใช้หลักการที่ว่าอารมณ์อาศัยการเปรียบเทียบกำลังแรงของคลื่นประสาทขณะที่กำลังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับบุคคลต่างๆ มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ในขณะที่มีความสัมพันธ์ต่ออารมณ์ประเภทต่างๆ แล้วนำข้อมูลจากระบบความเหลื่อมล้ำต่อสังคมเหล่านี้รวบรวมบรรจุลงในคำสั่งใช้งาน (software) กับหุ่นยนต์ ผลก็คือหุ่นยนต์นั้นสามารถแสดงอารมณ์ได้เหมือนเด็กๆ

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์กำลังตื่นตัวกันมาก และกำลังค้นคว้าและใกล้กับการค้นพบที่สำคัญ ซึ่งจะไม่ต่างจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบมากว่า ๒๕๙๐ปีแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันได้พยายามค้นคว้าวิจัยมากว่า๑๐๐ปีแล้ว ยังไม่ค้นพบว่า อัตตาตัวตน ซ่อนอยู่ที่ไหนในสมอง และยังไม่มีเครื่องมือสำหรับตรวจวัดจิต ได้แต่รู้ว่าสมองทำงานอย่างไรในส่วนไหนโดยการใช้วัดคลื่นสมอง EEG (Electro Encephalogram), MRI (Magnetic Resonance Imaging) Scan, PET (Positron Emission Tomography) Scan เป็นต้น

พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบว่า นอกจากจิตจะทำหน้าที่ของความเป็นธาตุรู้ต่อสิ่งภายนอกทั้งปวงโดยผ่านทางอายตนะทั้ง๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แล้ว หากเฝ้าดูรู้ทันตนเองด้วยสติ ความรู้สึกตัว ที่ตัวกายและที่ตัวจิตของตนเอง (ประดุจนายด่านเฝ้าประตูเมืองแห่งจิต) จิตนั้นจะสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำรวจกลไกการทำงานของกายและจิตของตนเองพร้อมกันไปด้วย สามารถเห็นจิตใจของตนเอง เห็นสภาพที่แท้จริงของจิตเองว่ามันไร้ปราศจากตัวตน ไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด ดังที่พระองค์ทรงสรุปว่า

“จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร” (ธรรมบทข้อที่ ๓๗)

พระองค์ทรงค้นพบและเห็นสภาพที่แท้จริงของจิตว่าเป็น อนัตตา และเห็นกลไกการทำงานของจิตซึ่งส่ายแส่ออกไปสู่โลกภายนอกทางอายตนะทั้ง๖ ก่อให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก แต่ขาดการรู้การเห็นตัวของมันเอง จึงเป็นทุกข์เพราะไม่รู้เท่าทันความคิด และอารมณ์ที่เกิดจากการยึดมั่นในวัตถุ และสมมติบัญญัติต่างๆที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นๆ

ปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า Neuron หรือเซลล์ประสาทในสมองคนไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ เพียงแต่เป็นเสมือน Meat machine คือ Biological CPU เป็นคอมพิวเตอร์เนื้อหรือชีวภาพ และแต่ละNeuron มีการติดต่อเชื่อมโยงกับneuronsตัวอื่นๆอีกมากมาย อาจมีเครือข่ายติดต่อมากถึง 1,000 ตัวก็มี ดังนั้นneuronแต่ละตัวจึงทำงานอย่างสลับซับซ้อนเป็น sophisticated CPU และไม่ใช่ทำงานโดดๆแบบ CPU (Central Processing Unit) อย่างในคอมพิวเตอร์ (แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์CPUทำงานเร็วกว่าneuronมากจึงคำนวณข้อมูลต่างๆได้รวดเร็วกว่าสมองคนมากโดยเฉพาะในเชิงกำลังคำนวณอย่างต่อเนื่อง Sequential processing คือชนะด้วยกำลังแรงหรือ sheer force และความเร็ว โดยอาศัย Software ให้คำสั่งที่เจาะจงเฉพาะเรื่องๆไป)

ส่วนในสมองคนนั้น มีเซลล์ประสาทถึง ๑๐ พันล้าน Neurons (10 billion neurons) จากเซลล์ในสมองทั้งหมด ๑ล้านๆตัว (one trillion cells) การทำงานของสมองเป็นไปในลักษณะของ massive Parallel computing/processing คือทำงานโดยการคำนวณแบบคู่ขนานเป็น teamwork ของเซลล์ประสาทนับล้านตัว (millions of neurons) พร้อมกันไป นักวิทยาศาสตร์หลายๆท่านเช่น Stephen Hawking เชื่อว่า Parallel computing/processing เป็นตัวก่อเกิดของ Artificial Intelligence

ปัจจุบันมีการทุ่มทุนทั้งในสหรัฐเช่น NASA ยุโรป และ ญี่ปุ่นอาทิ รัฐบาลญี่ปุ่นให้งบประมาณปีละ $3,000 ล้านตลอดช่วง 10 ปี ร่วมกับชาติอื่นๆในการสร้างสมองเทียมด้วยกลุ่มคอมพิวเตอร์ในลักษณะของเครือข่าย Neural network ซึ่งกลุ่ม Brussels group นำโดย Dr. de Garis สามารถสร้างเลียนแบบการเรียนของสมองเด็ก ได้สร้างสมองเทียมเทียบได้กับเซลล์ประสาทขนาด 40 ล้านตัว neurons เชื่อมโยงสัมพันธ์กันเป็นกลุ่มๆขนาด 32,700 เครือข่าย (linked clusters) จำลองเลียนแบบการทำงานของ Neurons ในสมองคนโดยให้ทำงานด้วย Parallel computing/processing

นอกจากนี้ยังต้องอาศัย complex softwares ให้รู้จักตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการทำงานของกลุ่มคอมพิวเตอร์ เชื่อกันว่าภายใน ๑๐ปี มนุษย์จะสามารถเข้าใจการทำงานของสมองและการก่อกำเนิดของสมองเทียม Artificial Intelligence ตลอดถึงความเกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณได้ดีมากขึ้น

Stephen Hawking ถึงกับทำนายไว้ว่าภายใน ๒๐ ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์ในราคาพันเหรียญสหรัฐอาจทำงานได้อย่างซับซ้อนเสมอกับสมองคน ด้วยการทำงานในลักษณะคำนวณคู่ขนาน (Parallel Processors) เลียนแบบการทำงานของสมองและสามารถทำให้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ด้วยอัจฉริยภาพ (Intelligent way) และด้วยจิตวิญญาณ (Conscious way)

จิตโดยสภาพที่แท้จริงอาจเป็นเพียงกระแสของแรงกระตุ้น (สังขาร Mental Impulse) ที่ต่อเนื่องเป็นวงจรวัฏฏจักรดังปรากฏในปฏิจจสมุปบาท หมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วและไหลต่อเนื่องตลอดไม่ขาดสาย ประดุจลำน้ำที่ฉีดออกจากท่อสายยาง ดูเสมือนเป็นลำน้ำทั้งลำ แต่ที่แท้คือหยดน้ำของความคิดที่ไม่ขาดสาย หลอกให้เห็นเป็นลำ หลงใหลว่าเป็น อัตตาตัวตน เพราะเสริมไว้ด้วยอวิชชาความที่ไม่รู้ความจริง ซึ่ง David Hume, Western psychologist ก็มีความคิดเห็นในแนวนี้

พุทธศาสนายืนหยัดผ่านการพิสูจน์มากว่า ๒๕๐๐ ปี และจะยืนหยัดตลอดไป เพราะธรรมเป็นเรื่องของความจริง การตรัสรู้ของพุทธองค์เป็นเรื่องของการค้นคว้าพิสูจน์หาความจริงของกายและจิตโดยเฉพาะเรื่องจิต ความจริงที่ทรงค้นพบเป็นรากฐานและรูปแบบสำหรับปฏิบัติจิตให้พ้นทุกข์ และได้รับการพิสูจน์ยืนยันจากการรู้ธรรมเห็นธรรมของอริยสาวกทั้งหลาย นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งรู้เห็นในความจริงสิ่งเดียวกันกับพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงอย่างยิ่ง(หรือจะว่าเป็นความลับสุดยอด)ของมนุษย์ ได้แก่ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นขบวนการของเหตุ (สมุทัย) และผล (ทุกข์) แห่งทุกข์ ตลอดถึงเหตุ (มรรค) และผล (นิโรธ) ของการดับทุกข์
ทรงเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาท หรือ วงจรกลไกการเกิดและการดับของความคิดซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งก็คือ อริยสัจใหญ่นั่นเอง

ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นการอธิบายถึงการเกิด-ดับของสิ่งทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดดๆโดยไร้สาเหตุหรือมีผู้สร้างแต่อย่างใด เมื่อเหตุพร้อม ผลย่อมเกิดตามมา และทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามเหตุและปัจจัย ไม่มีความคงทนถาวรหรือความเป็นอัตตาตัวตนที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาล จึงเกี่ยวเนื่องให้เห็นสามัญญลักษณะหรือ ไตรลักษณ์

นอกจากนี้ ปฏิจจสมุปบาทยังเป็นขบวนการที่ทำงานอยู่เบื้องหลังของการทำงานของอายตนะ ๖ และขันธ์ ๕ ตลอดถึงการเกิดขึ้นของอัตตา และความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของความคิดปรุงแต่งที่เข้าข้างตนเอง หลงตนเอง เช่นที่พระองค์ทรงสอนไว้ในมหาสติปัฏบานสูตรดังนี้ว่า

ทุกข์เกิด(หรือดับ)จากสิ่งที่รับรู้ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ ๖) ด้วยประสาทวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (วิญญาณ ๖) ดังนั้น เมื่อเกิดการสัมผัส (ผัสสะ) ให้เกิดความรู้สึก (เวทนา) ด้วยความหมายรู้จำได้ (สัญญา) หากเป็นไปด้วยความหมายรู้ด้วยความลำอียงเข้าข้างตนเอง (สัญญเจตนา) ย่อมก่อให้เกิดความอยาก(ตัณหา) นำไปสู่การตรึกวิตกกังวล (วิตก) มีผลให้เกิดการตรองครุ่นคิด (วิจาร) ทำให้เป็นทุกข์เพราะคิดเพื่อหวังผลประโยชน์ให้กับอัตตาตัวตน

นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ค้นพบแล้วว่า ทุกครั้งที่คนเรารู้-เห็นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตจะรับทราบด้วยประสพการณ์ (Perception) และในขณะเดียวกันนั้น สมองจะกำหนดความเป็นตัวตน”อัตตา”ขึ้นพร้อมกันไปในขณะที่รับทราบในสิ่งที่รู้-เห็นนั้น (In parallel with generating mental patterns for an object, the brain also generates a sense of ‘self’ in the act of knowing. - Prof. Antonio Damasio, Chairman, Neurology Department, University of Iowa, USA) มีการสร้างมโนภาพตีตราว่าเป็นของๆตนเพียบพร้อมไปเลย และ “อัตตา” เป็นผลของจินตนาการ (“นามรูป”ในขบวนการปฏิจจสมุปบาท) เป็นภาพพจน์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตรงตามความต้องการของตนในขณะนั้นๆ หรือ พูดสั้นๆก็คือ คิดเข้าข้างตนเองหรือสัญญเจตนา (“I”-tag or sense of ‘self’ Memory images come complete with their ‘I-tags’. Each ‘I’ is a product of Imagination, an image generated to meet the moment’s need. - Brian Lancaster, Senior Lecturer in Psychology, Liverpool Polytechnic, England) เช่น เห็นปากกาสีฟ้าเล่มนั้น ก็รู้ขึ้นพร้อมกันทันทีว่า เป็นปากกาของตนที่หายไปเป็นต้น

ไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบเห็นแจ้งในลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาล ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตว่า ล้วนแฝงไว้และเป็นไปตามคุณลักษณะเครื่องหมายแห่งสามัญญลักษณะ กล่าวคือ



[

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:13:38 »

๑ ความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาล (อนิจจัง)

๒ ความที่ไม่อาจคงทนถาวรต้านทานความเปลี่ยนแปลงหรือนิ่งอยู่ในสภาพเดิมได้จึงเป็นทุกข์ (ทุกขัง)

๓ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง และไม่อาจคงทนต้านทานความเปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนได้ (อนัตตา)ไม่อาจดำรงสภาพอยู่อย่างโดดเด่นตามลำพังเองได้ คือไม่มีอัตตาตัวตนที่คงทนถาวรแต่อย่างใด แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆจึงเกิดขึ้น และดำรงอยู่ได้ชั่วขณะ แล้วย่อมดับไป
อนัตตาจึงเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อเห็นแจ้งและเข้าใจจะคลายความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนซึ่งทำให้เป็นทุกข์ อนัตตาแฝงซ่อนอยู่ในสิ่งทั้งปวง แต่สามารถเห็นแจ้งได้ถ้าเข้าใจในระบบของอายตนะ ๖ อินทรีย์ ๑๒ (อายตนะภายนอก ๖ ร่วมกับอายตนะภายใน ๖) และธาตุ ๑๘ (อายตนะภายนอก ๖ กระทบสัมผัสกับอายตนะภายใน ๖ และทำงานร่วมกับการรับรู้ของประสาทวิญญาณ ๖) ตลอดถึงเข้าใจในขบวนการทำงานของขันธ์ ๕

พระพุทธองค์ทรงค้นพบกลไกการทำงานรับรู้ของมวลมนุษย์ต่อโลกและสภาวะแวดล้อม โดยผ่านทางระบบอายตนะ ๖ (ทวารทั้ง๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) แต่ต้องอาศัยความถึงพร้อมสมบูรณ์ของอินทรีย์ ๑๒ (อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ร่วมกับอายตนะภายใน ๖) และธาตุ ๑๘ (อายตนะภายนอก ๖ ร่วมกับอายตนะภายใน ๖ และผ่านการรับรู้ด้วยประสาทวิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ) หากมีความบกพร่องในส่วนใดส่วนหนึ่งในธาตุ ๑๘ สัตว์หรือบุคคลนั้นก็ไม่สามารถรับทราบถึงสภาพแวดล้อมได้แต่อย่างใดในอวัยวะที่พิการนั้นๆ

เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทราบถึงกลไกการทำงานของอายตนะได้ทัดเทียมกับนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน อาทิเข่น ระบบตา ซึ่งแม้แต่ ลีโอนาโด ดาวินชี่ (Leonardo da Vinci 1452 - 1519) ศิลปินและนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ขบปัญหาไม่แตกว่า ทำไมภาพที่รวมแสงลอดม่านตาผ่านเล็นซ์มาฉายบนผนังด้านหลังของลูกตา (Retina) จึงหัวกลับ (ซึ่งเป็นปกติเวลาแสงลอดรูเข็ม แต่ ดาวินชี่ไม่ยอมรับเพราะคาดไม่ถึงว่าสมองจะแปลภาพหัวกลับให้เป็นปกติเหมือนเดิมได้)

แต่เซลล์บนเรตีน่า (Retinal Photoreceptors as rod and cone nerve cells) แปลงภาพหัวกลับนั้นให้เป็นกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามเส้นทางของระบบประสาทตาที่ร่างกายกำหนดให้ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ ไปสู่สมองด้านท้ายทอยซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ประสาทตา แปลงกระแสไฟฟ้าจากภาพหัวกลับที่ส่งมานั้นให้กลับเป็นภาพหัวตั้งตามปกติของรูปนั้นๆ

ฉะนั้น การเห็นด้วยตาจะต้องมีความพร้อมของรูป(อายตนะภายนอก) บ่อเกิดของลำแสงที่ส่งมายังอวัยวะตา (อายตนะภายใน) และสมองส่วนที่รับส่งกระแสไฟฟ้าสู่ศูนย์ประสาทตาให้รับรู้และแปลกลับออกมาเป็นภาพ (จักขุวิญญาณ) ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่อาจเห็นภาพนั้นๆ เช่นภาพนกบินมาเกาะต้นไม้ หากกิ่งไม้บังก็ไม่เห็นนก หรือตาเป็นต้อกระจกก็มองไม่เห็น หรือหากเป็นอัมพาตและเส้นทางเดินหรือศูนย์ประสาทตาถูกทำลาย ไปก็อาจมองไม่เห็นหรือเห็นแค่บางส่วนของตัวนกนั้น เป็นต้น

ปัจจุบันนี้ ทัศนะแนวใหม่ของนักวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท อาทิ ศาสตราจารย์นพ.ดามาซิโอ หัวหน้าภาควิชาประสาทวิทยา ณ มหาวิทยาลัยไอโอวา ประเทศสหรัฐ (Professor Antonio Damasio, Chairman, Neurology Department, University of Iowa) มีความเห็นว่า สมองไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศูนย์ความคิดเท่านั้น เพราะตรวจพบว่าอารมณ์ต่างๆที่รับรู้และสัมผัสอยู่ เช่นความโกรธ ความสุข ความกลัว ความเสียใจ นั้น ก็มีการทำงานของสมองส่วนต่างๆสัมพันธ์กันอยู่เป็นวงจรแยกแตกต่างกันไป และ สรุปผลว่า สมองเป็นอวัยวะรับรู้ความรู้สึกที่ทำหน้าที่คิด (Brain is not just simply a thinking organ, but a feeling organ that thinks.) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงขบวนการกลไกการทำงานของกายและจิตที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบมากว่า 2590 ปีแล้ว ในระบบที่ทรงเรียกว่า ขันธ์ห้า แห่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ทรงมีเครื่องมือทันสมัยอย่างปัจจุบันแต่อย่างไร

แต่ทรงอาศัยกายและจิตนี้เป็นเครื่องมือสำรวจ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเป็นบุคคลแรกในโลกที่ทรงใช้ กายและจิตนี้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ทำหน้าที่กลับเข้ามาตรวจวัดสำรวจตัวกายและจิตเอง ด้วยการเฝ้าดูรู้ทันตามความเป็นจริงที่กำลังเกิดและสัมผัสอยู่ที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน
การที่ทรงเห็นแจ้งในขบวนการของขันธ์ ๕ สำคัญอย่างยิ่ง เพราะขันธ์ ๕แห่งความยึดมั่นถือมั่นคือทุกข์ เป็นการวิเคราะห์ขบวนการกลไกการทำงานของร่างกายและจิตใจของตนเองให้เห็นว่า ไม่มีอัตตาตัวตนแฝงซ่อนอยู่แต่อย่างใด ส่วนประกอบแห่งขบวนการของขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละขันธ์ล้วนปราศจากความเป็น สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา แต่เป็นเพียงการประชุมเข้ากันของขันธ์ต่างๆเพื่อดำรงชีวิต รักษาตนตามสัญชาติญาณในการเลี้ยงชีพหาอาหาร ในการรักษาตนให้พ้นภัยในธรรมชาติ หรือเพื่อสืบพันธุ์สืบเชื้อสายของตนไปสู่ชนรุ่นหลังสืบไป หากไม่เห็นความจริงในสิ่งนี้ย่อมจะติดอยู่ในความยึดมั่นในอัตตาตัวตนอย่างรุนแรง ชีวิตนั้นจะเป็นไปด้วยความอยากตลอดถึงความโลภ

ความโกรธตลอดถึงความอาฆาตแค้นเคือง และความหลงโง่เง่างมงายยึดติดในความเป็นตัวตน เพราะไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงไม่มีอัตตาตัวตน ล้วนแล้วแต่เป็นอนัตตาปราศจากตัวตน รู้จักปล่อยวาง ว่างจากความคิด ว่างจากอารมณ์ ว่างจากทุกข์

สัญชาติญาณสามารถพัฒนาได้ ด้วยการปฏิบัติอบรมจิตให้เข้าใจกลไกการทำงานของกายและจิตในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาศัยอายตนะทั้ง ๖ เป็นอุปกรณ์เครื่องรับทราบสภาวะแวดล้อมในรูปแบบต่างๆผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ


มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สามารถเห็นความคิดของตนเองได้ นอกเหนือไปจากที่มีมันสมองมากและฉลาดกว่าสัตว์อื่นๆ และเมื่อได้รับการฝึกอบรมจิตด้วยวิปัสสนากรรมฐาน มนุษย์ยังสามารถถอดถอนตัวเองออกจากความคิด ด้วยการเฝ้าดูรู้เท่าทันความคิด ไม่ติดอยู่ในความคิด ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ขณะที่ กำลังเห็น กำลังเป็น กำลังมี จิตมีการรู้เห็น เป็นมี ด้วยสติ หรือความรู้สึกตัว เป็นการรู้เห็นเป็นมีด้วย สวสังเวทนา คือรู้สึกในขั้นพื้นฐานปราศจากการปรุงแต่ง (Basic simple feeling ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เน้นถึงความสำคัญของคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของวัตถุสสารที่ร่างกายรับรู้เรียกว่า Qualia เช่น ความปวด สีแดง เป็นต้น เพื่อความเข้าใจกลไกการทำงานของสิ่งต่างๆโดยเฉพาะของจิตว่า จะต้องเข้าใจการรับรู้ในขั้นพื้นฐานของQualiaก่อน จึงจะสามารถเข้าใจการทำงานของจิต) โดยรู้ซื่อๆรู้ล้วนๆ โดยไม่เข้าไปรู้โดยเฉพาะสิ่งเข้า (Choiceless Awareness) หรือรู้โดยไม่รู้อะไรเลย (Unknowing Knowing) รู้โดยไม่ลำเอียง ไม่มีสัญเจตนา (Unbiased Perception) หรือ รู้โดยไม่ตัดสินอะไรลงไป (Nonjudgmental Perception) จิตจะล่วงรู้ความจริงตามที่เป็นจริง

นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน อาทิ Dr. Alan Gevins แห่ง Advanced EEG Laboratory ที่ San Francisco ได้ค้นพบว่า คนเราเห็นอย่างที่ตนต้องการอยากเห็น ได้ยินอย่างที่ตนต้องการจะได้ยิน ดังนั้น แทนที่จะรับรู้ความจริงตามข้อมูลที่ผ่านมาทางตา ทางหู คนเรากลับสร้างภาพพจน์ขึ้นมาใหม่ให้เป็นจินตนาการเสมือนจริงเพื่อตรงกับความต้องการของตน แทน ความจริงที่กำลังประสบอยู่ขณะนั้น มีการต่อรองเข้าข้างตนเอง แปรเปลี่ยนสภาพที่เห็นและได้ยิน ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ จนไม่เห็นความจริงที่แท้ มองสถานการณ์และอะไรต่างๆผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากสภาพความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง การตัดสินใจต่างๆที่ตามมาย่อมคลาดเคลื่อน เป็นผลให้ต้องรับความเดือดร้อนเสียหาย เป็นทุกข์ไม่จบสิ้น

ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเตือนไว้กว่า ๒๕๔๕ปีมาแล้วว่า

“ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง

เมื่อทราบ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) จักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง (รู้เท่าทันความคิด)

ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง

เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี

ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า

ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์


ด้วยธรรมเพียงไม่กี่วรรคนี้ ท่านพาหิยะก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต่อหน้าพระพักตร์ในขณะนั้นนั่นเอง
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบใหม่ๆล้วนเป็นการสนับสนุนและพิสูจน์สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มจะเข้าใจมากขึ้น แต่ยังต้องรอวิวัฒนาการด้านวัตถุให้พร้อมในการสร้างเครื่องมือที่ทันสมัยกว่าปัจจุบันนี้ เพื่อศึกษาพิสูจน์ความเป็นจริง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ค้นพบนานมาแล้ว และทุกท่านก็สามารถค้นพบได้ด้วยตนเอง เช่นกัน โดยอาศัยกายและจิตนี้เป็นเครื่องมือเครื่องสำรวจให้เห็นในอนัตตา ความว่างจากอัตตาตัวตนซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์

นอกจากจะ เห็นสัจจะความจริงแล้ว ยังจะได้กำไรในการดับทุกข์พร้อมกันไปด้วย จากการเห็นและรู้แจ้งในความว่าง สุญญตา และ อนัตตา

๓ กันยายน ๒๕๔๕



--------
รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มาบทความ:นพ. คงศักดิ์ ตันไพจิตร


http://board.palungjit.com/f13/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-195330.html
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.765 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 27 สิงหาคม 2566 21:34:35