สายธารความคิดจากท่านติชนัทฮันห์
(เก็บความและเรียบเรียงจากเอกสารประกอบการเสวนาเรื่อง “๓ ทศวรรษสายธารความคิด ติชนัทฮันห์ กับสังคมไทย”
วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์) แนวคิดสันติวิธีโดยการใช้พลังแห่งความเมตตากรุณาของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ เป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่เริ่มผลิดอกออกผลอย่างงดงาม เนื่องจากบุคคลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการพบปะพูดคุยกับท่าน ในงานอาศรมแปซิฟิก ที่จัดขึ้น ณ วัดผาลาด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อราว ๓๐ ปีก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ความดีงามแก่สังคมไทยและธำรงตนอยู่ในแนวทางแห่งสันติมาโดยตลอด อาทิ พระไพศาล วิสาโล รสนา โตสิตระกูล พจนา จันทรสันติ วิศิษฐ์ วังวิญญู ประชา หุตานุวัตร สันติสุข โสภณสิริ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เป็นต้น
มาฟังความคิดของบุคคล ๒ ท่านว่า แนวคิดของท่านติชนัทฮันห์ มีอิทธิพลอย่างไรต่อความคิด ชีวิตและการทำงานในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา
พระไพศาล วิสาโล
เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ. ชัยภูมิ
(ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์) “ประทับใจบทบาทของท่านติชนัทฮันห์เมื่อได้รับรู้เรื่องขบวนการชาวพุทธในเวียดนาม ทำให้รู้สึกว่าท่านเป็นฮีโร่ ในช่วงปี ๒๕๑๗-๒๕๑๘ พวกเรารู้สึกเป็นทุกข์กับบ้านเมืองเพราะตอนนั้นเพิ่งผ่านเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ มาใหม่ ๆ และกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่เหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ มีความวุ่นวาย การลอบสังหาร การฆ่ากัน การปะทะกันระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวากำลังเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น เราไม่รู้ว่าจะมีการนองเลือดกันเมื่อไร ขณะที่รอบบ้านเราคือเวียดนาม ลาว เขมร สงครามกำลังรุนแรงถึงขั้นจะยึดบ้านยึดเมืองกันแล้ว และปี ๒๕๑๘ เวียดนามก็ตกเป็นของคอมมิวนิสต์
“ที่ประทับใจเพราะเวลานั้นอาตมาไม่เชื่อเรื่องวิธีการใช้ความรุนแรง งานของไถ่กับขบวนการของท่านทำให้ทางเลือกที่ไม่ใช่ซ้ายและไม่ใช่ชวาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่ขบวนการชาวพุทธของท่านทำคือ อุทิศตัวเพื่อสันติภาพโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อุทิศตัวโดยขับเคลื่อนความเมตตา กรุณา เสียสละ เอาชีวิตเข้าแลกท่ามกลางความขัดแย้งของคนสองฝ่าย ถือเป็นความกล้าหาญอย่างมาก
“ท่านทำให้ชีวิตและการทำงานเพื่อสังคมนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว คือไม่มีเส้นแบ่งระหว่างธรรมะกับชีวิตประจำวันหรือการทำงานเพื่อสังคม ถ้าทำด้วยใจสงบ มีสติ ท่านมีอิทธิพลต่อมุมมองเรื่องชีวิตและโลก เรื่องความเมตตา การให้อภัย การไม่มองมนุษย์เป็นศัตรู เรื่องสติ เรื่องความสุขในชีวิตประจำวัน และการเป็นดั่งกันและกัน ซึ่งแรกๆ เราไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนหลังเราเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเป็น ๒ ด้าน สิ่งที่เรามองว่าเป็นตรงกันข้าม จริงๆ แล้วคืออันเดียวกัน ทำให้เรามองโลกในลักษณะที่เข้าใจ มองผู้คนในลักษณะที่เข้าใจมากขึ้น และมองความจริงอย่างรอบด้านมากขึ้น”
รสนา โตสิตระกูล
เลขาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย
(ภาพ : ประเวช ตันตราภิรมย์) “จุดที่เราสนใจไถ่มากคือ ท่านได้เสนอรูปแบบและมีรูปธรรมให้เราเห็นในการต่อสู้ทางสังคม ขณะที่มีความรุนแรงของการแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย คนที่อยู่ตรงกลางจะดำรงตนได้อย่างไรในการที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมโดยไม่ตกไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
“ก่อนไถ่จะกลับ ท่านให้เอกสารมาชิ้นหนึ่ง เป็นบทที่เราเรียกว่าบทกัลยาณธรรม ๑๔ ข้อ คือการประยุกต์เอาศีล ๕ มาเป็นรูปแบบการปฏิบัติที่ค่อนข้างร่วมสมัย ซึ่งพวกเราหลายคนใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ในแง่พุทธศาสนา ไถ่มีความพิเศษมากคือการพูดถึงพุทธศาสนาที่อยู่ในชีวิตของเรา ไม่ใช่โลกุตรธรรมกับโลกียธรรมที่แยกขาดออกจากกัน สิ่งสำคัญคือ ถ้าเราสามารถเข้าถึงธรรมะที่ลึกซึ้ง เราจะไม่สามารถหลีกหนีจากความทุกข์ในโลก ไม่หลีกหนีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา
“ตอนที่ทำเคลื่อนไหวคัดค้านการแปรรูป กฟผ. หลายคนบอกว่าผีไปถึงป่าช้าแล้ว ยังจะทำอีกเหรอ พรรคพวกเพื่อนฝูงบอกว่า แล้วมันจะชนะเหรอ ตอนนั้นถามเพื่อนว่า มีแต่เรื่องที่จะชนะหรือที่เธอจะทำ เราต้องทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้องไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ
“หรือกรณีการเรียกร้องให้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เรากลับไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรให้เป็นศาสนาประจำใจก่อน หากคนไทยมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำใจจริง ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ศาสนาก็จะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้ เป็นอุดมการณ์อีกแบบหนึ่งที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาได้
“ชาวพุทธต้องไม่ต้องการแต่ความสงบอย่างเดียว บางครั้งเราต้องออกไปทำอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบ และจริง ๆ การรับผิดชอบกับตัวเองก็คือการรับผิดชอบกับสังคม การรับผิดชอบกับสังคมก็คือการรับผิดชอบกับตัวเราเอง เพราะชีวิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งในจักรวาล”
<

แนะนำนักเขียน
วิรตี ศรีอ่อน
เป็นคนเชียงใหม่ เรียนจบปริญญาตรีจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน เอกวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องจากเรียนจบในช่วงวิกฤตฟองสบู่แตกพอดี จึงผันตัวเองมาทำงานหนังสือตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งโชคดีว่าเป็นอาชีพที่รักเสียด้วย
เริ่มงานครั้งแรกกับมูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา โดยรับผิดชอบทำวารสาร เกษตรกรรมธรรมชาติ จากนั้นย้ายมาทำงานที่กองบรรณาธิการนิตยสาร ชีวจิต และนิตยสาร Health & Cuisine ตำแหน่งสุดท้ายคือเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Health & Cuisine มีผลงานพ็อกเกตบุ๊กคือ Living by Doing Nothing คู่มือความสุขง่าย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากนี้ยังเป็นบรรณาธิการต้นฉบับพ็อกเกตบุ๊กหลายเล่ม
ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Future Thainews หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายปักษ์ เพื่อสะท้อนปัญหาสังคมและทำเชียงใหม่ให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน
ด้วยความสนใจเรื่องปรัชญาและจิตวิญญาณเพื่อการเติบโตภายใน ประกอบกับได้เรียนรู้แนวทางการเจริญสติในชีวิตประจำวันเมื่อครั้งที่ภิกษุ-ภิกษุณีจากหมู่บ้านพลัมมาจัดอบรมการภาวนาที่ประเทศไทยในปี ๒๕๔๘ และ ๒๕๔๙ จึงศึกษาแนวคิดของท่านติชนัทฮันห์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมภาวนานำโดยท่านติชนัทฮันห์และคณะภิกษุ-ภิกษุณีจากหมู่บ้านพลัม ณ ศูนย์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ล้านนา จ. เชียงใหม่ เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๐
บทความว่าด้วยเรื่องราวของท่านติชนัทฮันห์ในสารคดีเล่มนี้จึงเป็นผลจากความศรัทธาและความประทับใจในการใช้ชีวิตตามแนวทางหมู่บ้านพลัมอย่างแท้จริง
(เชิงอรรถ)
* มุมมองที่มีต่อนโยบายของโฮจิมินห์นี้จึงเป็นผลจากประสบการณ์ของภิกษุณีเจิงคอมแห่งหมู่บ้านพลัมและประชาชนชาวเวียดนามใต้ที่ได้รับผลกระทบจริงในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นการสะท้อนความทุกข์ยากและความพยายามอย่างหนักที่จะสร้างขบวนการพุทธศาสนาเพื่อสังคมให้เกิดขึ้นจริงให้ได้-ผู้เขียน