[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
10 ธันวาคม 2567 16:29:03 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กิมเล้งลุยต่างแดน เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์  (อ่าน 10375 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5780


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 24 มีนาคม 2555 19:36:27 »

เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์


ทุ่งลาเวนเดอร์

   
“ลาเวนเดอร์” -  Lavender  ชื่อหอมหวาน โรแมนติก

                      ด้วยกลิ่นหอมชื่นใจหอมนานเป็นเอกลักษณ์ทำให้ "ลาเวนเดอร์" ดอกไม้ตัวเอกสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำหอมฝรั่งเศส  อันทำรายได้ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสปีหนึ่งๆ มากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีประเทศใดในโลกมีความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหกรรมน้ำหอมเทียบเท่าฝรั่งเศส  

                      น้ำมันหอมจากดอกลาเวนเดอร์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ ช่วยฆ่าเชื้อโรค ต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการปวด รักษาสมดุลยของระบบประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจนำไปกระจายกลิ่นให้น้ำมันหอมระเหยไปในอากาศด้วยเตาน้ำมันหอมระเหยก็ได้  ซึ่งจะช่วยให้อากาศสดชื่นบริสุทธิ์   อีกทั้งยังสามารถนำไปเจือจางเพื่อนวดเบาๆ บริเวณขมับช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติทางการบำบัดรักษาที่หลายหลาย น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องหอมต่างๆ  ตลอดจนใช้ในอุตสาหกรรมยา  
 
                      เมื่อราวเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓  มีโอกาสไปที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส  เรามีโปรแกรมเดินทางจากนครปารีสมุ่งสู่ทางตอนใต้ของประเทศโดยรถไฟด่วน TGV ซึ่งมีความเร็วมากกว่า ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง  มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille) เมืองใหญ่อันดับ ๒ และเป็นเมืองท่าอันดับ ๑ ของฝรั่งเศส  พวกเราได้แวะเมืองวาลองโซล (Valansole) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฝรั่งเศส  

                      ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงกว้างใหญ่สวยงามสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อได้ลงไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดถึงแปลงปลูกในไร่แล้ว ต้นลาเวนเดอร์ไม่ได้สวยงามอย่างที่มองเห็นเป็นทิวแถวไกลตามากนัก นอกเสียจากกลิ่นที่หอมเย็นชื่นใจจริงๆ  
 
                      ลาเวนเดอร์เป็นพืชพื้นเมืองแถบบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน  ปัจจุบันนิยมปลูกแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส  สหรัฐอเมริกา  บัลแกเรีย  และอังกฤษ  ลักษณะเป็นไม้พุ่ม  ลำต้นและกิ่งใบสีฟ้าอมเทาอ่อนจางๆ ใบสากมือ ดอกเล็กๆ เป็นช่อสีม่วงอ่อน  หากเข้าใกล้มาก อาจระคายเคืองหรือคันผิวหนัง ปลูกอยู่บนแปลงซึ่งทำเป็นเนินดิน  ลาเวนเดอร์จะให้ผลผลิตได้ดีในพื้นที่แถบบริเวณฝรั่งเศสตอนใต้ และจะให้ผลผลิต(ดอก) ได้ดีในช่วงราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม    สำหรับประเทศไทย เท่าที่ทราบขณะนี้เริ่มมีการปลูกทดลองกันบ้างแล้วแถวจังหวัดราชบุรี แต่ไม่ทราบว่าได้ผลเป็นอย่างไร และถ้าจะว่าไปอากาศแถวฝรั่งเศสตอนใต้เห็นว่าค่อนข้างร้อนพอสมควรเทียบกับหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรป  จึงเห็นว่าประเทศไทยน่าจะประสบผลสำเร็จจากการปลูกทดลอง  
    
                      ลาเวนเดอร์ นอกจากหากเข้าใกล้อาจทำให้ระคายเคืองคันผิวหนังแล้ว สิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งคือฝูงผึ้งที่บินหาเกสรดอกไม้ซึ่งมีมหาศาลพอๆ กับความกว้างใหญ่ของท้องทุ่งลาเวนเดอร์  
 
                      รู้จักลาเวนเดอร์กันแล้วพอหอมปากหอมคอ  ต่อไปจะพาไปรู้จัก เมืองกราซ (Grasse) ที่รู้จักกันดีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งโลกน้ำหอม”  คณะเราได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตน้ำหอม Fragonard Perfumery  ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ ๑๖ (ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๐๑ – ๑๖๐๐) ได้ชมกระบวนการผลิตน้ำหอมด้วยการสกัดและกลั่นน้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืชนานาชนิด  แต่ส่วนใหญ่จะมาจากดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งกว่าจะผลิตจนได้น้ำมันหอมสัก ๑ ลิตร   ต้องใช้ดอกลาเวนเดอร์ไม่น้อยกว่า ๑๓๐ กิโลกรัม โดยนำดอกไปต้มในถังอัดความดันด้วยความร้อนสูงจนกลั่นตัวกลายเป็นไอน้ำลอยไปตามท่อส่งลงสู่ถังเก็บ เจ้าหน้าที่โรงงานเล่าว่าดอกไม้ที่นำเข้าจากเมืองไทยก็มีด้วย เช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบฯลฯ และดอกไม้ที่ส่งไปต้องปราศจากสารฆ่าศัตรูพืช  จึงเป็นอันว่าพรรณไม้หอมจากเมืองไทยก็มีโอกาสไปชูคอถึงฝรั่งเศสกะเขาด้วยเหมือนกัน และไอ้เจ้าหัวน้ำหอมที่สกัดออกมาได้นั้นจะนำไปใช้สำหรับผลิตเครื่องสำอาง สบู่ สเปรย์ปรับอากาศ อุตสาหกรรมยา และอื่นๆ อีกมากมาย      

                      และถ้าเอ่ยถึงน้ำหอมแล้วผู้คนมักนึกไพล่ไปถึงประเทศฝรั่งเศสด้วยบ่อยๆ  ก็น่าจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าคนฝรั่งเศสไม่ชอบอาบน้ำ เป็นคนที่สกปรกที่สุดเมื่อเทียบกับคนอิตาลี  คนอังกฤษ  และคนเยอรมัน    ดังนั้น สิ่งที่พอบรรเทากลิ่นกายได้คงหนีไม่พ้นเอาน้ำหอมเข้าช่วยนั่นเอง
 

พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette)

                      ในราชสำนักฝรั่งเศส ช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๕ หรือราวหนึ่งพันปีเศษล่วงมาแล้ว พระราชินีแคธรีน  เดอ เนดิซิ  พระอัครมเหสีในพระเจ้าอองรีที่ ๒ แห่งฝรั่งเศส ได้เสด็จประพาสตำบลกราซ  ขณะขบวนเสด็จหยุดพักชาวบ้านได้นำน้ำเย็นที่อบด้วยดอกไม้มาถวาย พระนางติดใจในความหอมกรุ่นของน้ำ จึงทรงไล่เลียงถึงกรรมวิธีในการทำน้ำให้มีกลิ่นหอม เมื่อเสด็จกลับถึงนครปารีส พระนางได้ให้นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งทำการทดลองนำดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มาสกัดทำน้ำหอมใช้สำหรับประพรมพระวรกายของพระนางและหมู่นางพระสนมกำนัลไม่เว้นแต่ละวัน    
                      พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette) เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีพระราชนิยมในเรื่องเครื่องหอมด้วยเช่นกัน  ในยุคนั้น นายฌอง หลุยส์ ฟาร์จียอง นักสุคนธศาสตร์หรือนักปรุงน้ำหอมประจำพระองค์ ได้คิดค้นและปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นพิเศษสำหรับพระนางโดยเฉพาะ นั่นคือการปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นที่สดชื่นคล้ายเด็กสาว อ่อนโยน และเย้ายวนเกินห้ามใจ

                      สำหรับหนุ่มฝรั่งเศส ว่ากันว่ารู้จักใช้น้ำหอมในสมัยจักรพรรดินโปเลียนบุกเข้ายึดเมืองโคโลญน์  (Cologne) ในเยอรมัน ในปี ๑๗๙๒ ทหารฝรั่งเศสที่ไปในการศึกครั้งนั้นเกิดไปติดอกติดใจน้ำหอมดอกส้มของเมืองนี้เข้า จึงพากันไปซื้อบ้านเลขที่ 4711  ซึ่งเป็นบ้านของผู้ผลิตน้ำหอมแล้วนำกลับไปเผยแพร่ที่ฝรั่งเศสนับแต่นั้นมา น้ำหอมยี่ห้อ 4711 โอเดอ โคโลญจน์ (eau de cologne 4711) จึงรู้จักกันแพร่หลายสืบต่อมาจนทุกวันนี้


สังคมไทยกับน้ำหอมหรือน้ำปรุง
 
                      สังคมไทยสมัยโบราณ  นอกจากนิยมใช้เครื่องหอมประเภทน้ำอบหรือเรียกว่าน้ำปรุงมาชโลมผิวกายให้สดชื่น  หอมกรุ่น  และบำรุงผิวพรรณแล้ว  ยังนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมในทางศาสนาอีกด้วย     ได้เคยอ่านพบว่าในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีการใช้น้ำอบหรือน้ำปรุงสำหรับตั้งเครื่องพระสุคนธ์ในการพระราชพิธีด้วย   แต่ยังหาหลักฐานมาแสดงไม่พบจึงขอกล่าวสั้น ๆ เพียงเท่านี้   จึงเห็นว่าพระราชนิยมดังกล่าวคงมีสืบเนื่องต่อมาจนถึงรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ อย่างไม่ต้องสงสัย ดังปรากฎในวรรณกรรมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) เรื่อง ศกุนตลา นางโคตรมีพราหมณี สั่งให้นางอนุสูยาแต่งกายให้กับนางศกุนตลา เพื่อนำนางเข้าเผ้าถวายตัวเป็นข้าบาทบริจาแก่ท้าวทุษยันต์ ดังนี้
                 
ชำระสระสนานสำราญองค์    โฉมยงผ่องฉวี
                 สุคนธ์ทาลูบไล้อินทรีย์   หอมกลิ่นมาลีที่ปรุงปน

                      น้ำอบหรือน้ำปรุงของไทย ได้จากกระบวนการนำน้ำไปผ่านกรรมวิธีการปรุงด้วยของหอม ไม่ว่าจะเป็น ใบเตยหอม  แก่นจันทน์เทศ  พิมเสน ผิวมะกรูด  ดอกมะลิ ดอกพิกุล  กุหลาบมอญ  ดอกโมก ดอกนมแมว  ดอกชมนาด  ฯลฯ  จนน้ำนั้นกลายเป็นน้ำหอมที่หอมเย็นเป็นธรรมชาติ  เท่าที่เคยเห็นมาด้วยตนเองเขามักนำเครื่องหอมดังกล่าวมาแช่น้ำทิ้งไว้ในตอนเย็นหรือหัวค่ำลอยทิ้งค้างไว้ 1 คืน รุ่งเช้าตักเอาเครื่องหอมนั้นทิ้งไป ในบางกรณีถ้าอยากจะให้น้ำนั้นหอมยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ก็เคยเห็นว่ามีการใช้เทียนอบปักลงไปในภาชนะใส่น้ำ (ต้องหาวิธีให้เปลวไฟอยู่เหนือระดับผิวน้ำและเครื่องหอมที่ลอยไว้) จึงจุดไฟนำฝาครอบมาปิดทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืนได้อีกเช่นกัน ซึ่งการทำน้ำหอมแบบนี้จะทำใช้กันวันต่อวันเท่านั้น
                       ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการนำเข้าหัวน้ำหอมจากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้กับเครื่องหอมโบราณของไทย ทำให้เกิดมีน้ำหอม ๒ ประเภท คือ น้ำอบไทย กับน้ำอบฝรั่ง ทำให้ค่านิยมของการใช้น้ำอบไทยลดลงไป ในปัจจุบันเท่าที่พอเห็นจะใช้กันอยู่ ก็คงจะประเพณีสงกรานต์ โดยนำน้ำอบน้ำปรุงมาผสมน้ำสะอาดสำหรับสรงพระเพื่อขอขมาโทษและเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือรดขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ค่อยได้พบเห็น สาเหตุคงมาจากยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้




 
             กิมเล้ง :  http://www.sookjai.com


ท่าเรือแม่น้ำแซน  (Seine) ในนครปารีส  มีเรือสำราญ และเรือให้บริการ
พานักท่องเที่ยวล่องเรือชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสวยงามริมสองฝั่งแม่น้ำ




หอไอเฟล อยู่ด้านหลัง


มอเตอร์โซค์ พาหนะยอดนิยมของชาวฝรั่งเศส  คันนี้จอดอยู่ริมฝั่งท่าเรือ เห็นแล้วเตะตาเลยถ่ายมาเป็นที่ระลึก



อาคารสวยงามริมสองฝั่ง แม่น้ำแซน (Seine)














แปลกแต่จริง  ชาวยุโรปร่างกายสูงใหญ่แต่ชอบขับขี่รถยนต์คันเล็ก ๆ (ยกเว้นมอเตอร์ไซค์ต้องคันใหญ่ไว้ก่อน)
พอจอดรถทีเห็นคลานออกจากรถทุลักทุเล  ขาก็ยาวเกะกะเก้งก้าง  รถก็คันกะจิ๊ด... เฮ้อ




บริเวณจัตุรัส ทรอคาเดโร่ เป็นจุดชมวิวของหอไอเฟลในมุมกว้างซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ  โรงละครแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ    



บริเวณจตุรัสคองคอร์ท (Place de la Concorde) ลานประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนต
รุ่นพี่ในหน่วยงาน ไปอบรมสัมมนาที่ไหนมักจะพักร่วมห้องกัน เพราะชอบง่าย ๆ สบาย ๆ สไตล์เดียวกัน




บริเวณภายในอาคารสำนักงานใหญ่หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton ) ถนนฌองเซลิเซ่ ในปารีส .....ใหญ่โตมโหฬารมาก
ดูดเงินจากเศรษฐีมีรสนิยมสูงไปปีละกี่พันกี่หมื่นล้านก็ไม่รู้  มีบางคนในคณะที่ไปด้วยกันซื้อติดมือมาใบละหลายหมื่น
เราขอสะพายย่ามไปก่อน..ตามประสาคนทรัพย์น้อย.
.




ประตูชัยฝรั่งเศส  งานสร้างที่มหัศจรรย์และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส
สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2349 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่พระองค์ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์  
ประตูชัยแห่งนี้มีความสูง 49.5 เมตร  กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร  
.




จากความใหญ่โตอลังการงานสร้างของประตูดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว
เครื่องบินนีอูปอร์ต ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีแก่เหล่าทหารอากาศที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1
.






บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส  ไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวา เหลี่ยวหน้าแลหลัง  
จะพบเห็นแต่อาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เป็นระเบียบสวยงาม




บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส




สถานีรถไฟ Gare de Lyon (รถไฟด่วน TGV) ที่ปารีส
เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางจากรถยนต์เป็นรถไฟความเร็วสูง (ฝีจักรอันทรงพลังมากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
จากปารีส มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille) เมืองใต้สุดของฝรั่งเศส
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงสถานีรถไฟ Marseille St. Charles





ที่เห็นคล้ายตู้ ATM ของบ้านเรา นั่นคือที่จำหน่ายตั๋วเดินทางอัตโนมัติ
กดทำรายการและใส่เงินไปที่เครื่องจะได้รับตั๋วเดินทาง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ธันวาคม 2560 12:32:28 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5780


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 เมษายน 2555 21:14:04 »


มุมหนึ่งของเมืองมาร์แซยย์ (Marseille)  เมืองใหญ่อันดับสอง ของฝรั่งเศส



...ตามริมฟุตบาตจะมีที่จอดรถจักรยานพร้อมที่ล็อกรถให้ด้วย โดยหยอดเงินใส่ตู้เล็กข้าง ๆ เป็นค่าบริการ



จำได้ราง ๆ ว่าเป็นที่ทำการของรัฐ....  



บริเวณท่าเรือเมืองมาร์แซยย์ (Marseille) ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ซึ่งเป็นเมืองท่าอันดับ 1  ของฝรั่งเศส



สถานที่รอรถโดยสารประจำทาง  ริมท่าเรือเมืองมาร์แซยย์ จะมีคนผิวสีค้าขายสินค้าแบกะดินทั่วไป
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกแว่นตากันแดด  สร้อยคอ  สร้อยข้อมือ  ซึ่งทำด้วยลูกปัดและหินสีต่าง ๆ




อาคารบ้านเรือนจะออกโทนสีเดียวกันทั้งเมือง ดูเป็นระเบียบสวยงาม



สวนหย่อมน่ารักพบเห็นได้ทั่วเมือง  






ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก....เจ้าหน้าที่จราจรที่พบเห็นโดยมากมักเป็นผุู้หญิง





เดินทางสู่ วาลองโซล(Valansole) มาดูแหล่งปลูกลาเวนเดอร์ (Lavender) ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส
 


ทุ่งลาเวนเดอร์ถ้ามองดูไกล ๆ สวยงามมาก แต่พอเข้าใกล้จริง ๆ ก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ



ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับผู้ใหญ่ในคณะ  ที่เห็นตั้งท่าถ่ายรูปทางซ้ายด้านหลัง นั่นก็มาด้วยกันจ้ะ



หลุดจากลุยทุ่ง ก็ไปเมืองกราซ Grasse  เพื่อเข้าชมโรงงานผลิตน้ำหอม Fragonard Perfumery
(ไกด์กำลังทำหน้าที่ล่ามถ่ายทอดความรู้ให้กับคณะเรา)









นี่คือสบู่หอม  หนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากหัวน้ำหอมของโรงงาน







เห็นรถ...อดใจไม่ได้...บันทึกภาพตามเคย



เห็นสว่างโล่งโจ้งอย่างนี้เถอะ... 2 ทุ่มครึ่งแล้วจ้ะ   (โปรดสังเกตนาฬิกาที่ผนังอาคาร) ที่ฝรั่งเศส และอิตาลีที่ไปในช่วงนั้นเวลา  3 ทุ่ม
บรรยากาศยังเหมือน 6 โมงเย็นบ้านเรา  คงสืบเนื่องจากแกนโลกเอียง ทำให้ประเทศแถบขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม
ในขณะเดียวกันขั้วโลกใต้ก็จะหันออกจากดวงอาทิตย์ ดังนั้น ในช่วงระยะดังกล่าวประเทศในซีกโลกเหนือ ช่วงกลางวันจึงยาวกว่ากลางคืน
ส่วนประเทศในแถบซีกโลกใต้จะตรงกันข้าม ช่วงเวลากลางวันสั้นกว่ากลางคืน  วิเคราะห์ผิดพลาดประการใด...ขออภัยเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้




ที่เมืองคานส์ :  ภาพถ่ายบริเวณมุมอาคารสถานที่จัดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (le Festival de Cannes)
เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946  หรือ พ.ศ. 2489
อาคารสถานที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล  อากาศดี และภูมิทัศน์สวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง    




ประธานาธิบดี จอร์จ ปอมปิดู Georges Pompidou (รูปปั้นนะ ไม่ใช่คนที่ยืน)
ในยุคสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ปอมปิดู (Georges Pompidou) ฝรั่งเศสมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงมาก
มีการดำเนินการก่อตั้งประชาคมยุโรป  และนับเป็นครั้งแรกที่จะให้จัดตั่้งองค์การตลาดร่วมยุโรป  ให้มีระบบเงินตราที่สอดคล้องกัน
โดยการตั้งระบบ Serpent ขึ้นเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ. 1972 หรือ พ.ศ. 2515







บริเวณสถานที่จัดแสดงภาพยนต์เมืองคานส์




คนขวามือผู้บังคับบัญชา  ปลดเกษียณจากราชการแล้ว  ป่านนี้คงนอนอยู่บ้านอย่างเพลิดเพลินและมีความสุข





บอกแล้วไง...ฝรั่งชอบใช้รถยนต์คันเล็ก...เขาคงมีเหตุผลน่ะ




กำลังจะมุ่งหน้าสู่เมือง Nice  ที่ขึ้นชื่อว่าราชินีแห่งริเวียร่า
สถานที่ตากอากาศระดับโลก ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันมาเยือน
แต่...เชื่อหรือไม่สู้ทะเลบ้านเราไม่ได้  ชายหาดเรียบริมฝั่งทะเล เขานำทรายมาถมเป็นหาดทรายเทียม
เพราะฝั่งทะเลแถวนั้นมีสภาพพื้นที่เป็นหิน เหมือนกับหัวหินบ้านเราเด๊ะ!




ที่เมืองนีซ  Nice  แทนที่พวกเราจะไปเดินเรียบริมฝั่งทะเล  กลับเลือกเข้าเมืองหาซื้อของ



กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองมิลาน เมืองใหญ่อันดับ 2  ของประเทศอิตาลี
ชาวอิตาลีเรียกว่า "Milano"  เป็นมหานครแห่งแฟชั่น



โรงแรมที่คณะเราพักในนครปารีส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ธันวาคม 2560 12:30:25 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7866


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 18.0.1025.168 Chrome 18.0.1025.168


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2555 23:27:54 »

อ้างถึง

ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก....เจ้าหน้าที่จราจรที่พบเห็นโดยมากมักเป็นผุู้หญิง


ตำรวจจราจรฟรั่งเศสทำงานกันไม่เป็น

ถ้ามาอยู่เมืองไทย จับแค่หมวกกันน๊อคอย่างเดียวก็รวยแล้ว !!

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: กิมเล้ง เที่ยว ท่องเที่ยว ต่างแดน ลาเวนเดอร์ lavender lavendula 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.614 วินาที กับ 28 คำสั่ง

Google visited last this page 20 พฤศจิกายน 2567 14:46:31