[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 06:18:17 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 [3] 4 5   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' ๘o ภาพ โดย ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก  (อ่าน 77157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 13:10:47 »




-:- คำนำ -:-


         หนังสือ 'สมุดภาพพระพุทธประวัติ' นี้ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณฯ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) สมเด็จพระสังฆราช วัดพระเชตพนฯ ครั้งทรงแสดงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม ทรงโปรดให้ครูเหม เวชกร จิตรกรฝีมือเอก เขียนภาพตามหนังสือปฐมสมโพธิ ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ จำนวน ๘๐ ภาพ และทรงโปรดให้จัดพิมพ์เป็นภาพสีงดงาม เพื่อให้วัดและโรงเรียนนำไปประดับไว้ให้ประชาชน ได้ศึกษาพระพุทธประวัติจากภาพเป็นที่นิยมกันมาก และได้มีผู้ขออนุญาตทางศึกษานิธิ วัดพระเชตุพนฯ เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพชุดนี้ นำไปพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อ สะดวกในการศึกษาและมีไว้ประจำห้องสมุด

          หนังสือสมุดภาพฯ นี้ แม้จะเป็นที่นิยมมาก แต่เมื่อกาลผ่านไปนานนับสิบปี หนังสือนี้ก็ได้กลายเป็นหนังสือหายากในที่สุด มีแต่เฉพาะในห้อง สมุดใหญ่ๆ จนกระทั่งต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้มีคณะผู้มีจิตศรัทธาพิมพ์แจกเป็นธรรมทานเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช แม้จะพิมพ์เป็นจำนวนมากแต่ไม่เพียงพอแก่ห้องสมุดและสาธุชนจำนวนมากที่ประสงค์จะได้เป็นเจ้าของหนังสือนี้

           ธรรมสภาจึงได้กราบนมัสการขออนุญาติพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมราชานุวัตร ผู้แทนศึกษานิธิ วัดพระเชตุพนฯ จัดพิมพ์หนังสือ สมุดภาพพระพุทธประวัติขึ้นใหม่ เป็นขนาดรูปเล่ม ๘ หน้ายกพิเศษ (ขนาดกระดาษ เอ ๔) ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้มีเมตตาอนุญาตให้พิมพ์ได้ ตามความประสงค์ ในการพิมพ์ครั้งนี้ พิมพ์สี่สีด้วยเทคนิคพิเศษ จัดทำอย่างประณีต สวยงาม สมคุณค่าหนังสือ ที่พิเศษยิ่งก็คือได้แทรก ศัพทานุกรม ท้าย เล่มเพื่อเสริมความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ ในพระพุทธประวัติเพิ่มเติมให้ด้วย เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป

          ธรรมสภาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดพิมพ์หนังสือสมุดภาพพระพุทธประวัติในครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยให้พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธาปสาทะในการ ศึกษาพุทธธรรม ซึ่งก็คือสัจจธรรมที่จะนำปวงมนุษยชาติไปสู่ความดับทุกข์



ด้วยความสุจริตและหวังดี

ธรรมสภาปรารถนาให้โลกได้พบกับความสุขสงบ



   


http://www.trytodream.com/board/39
บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 18:25:02 »


ภาพที่ ๓๗

ยสกุลบุตรหน่ายสมบัติ เดินไปสู่ป่าอิสิปตนะ พบพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรด


พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอริยสาวกทั้ง ๕ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือสถานที่ทรงแสดงธรรม ซึ่งนับเป็นพรรษาที่หนึ่ง ตอนนี้ยังมิได้เสด็จไปโปรดใครที่ไหนอีก เพราะย่างเข้าหน้าฝน แต่มีกุลบุตรผู้หนึ่งนามว่า 'ยสะ' มาเฝ้า
 
ยสกุลบุตรเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี บิดามารดาสร้างปราสาทเปลี่ยนฤดูให้อยู่ ๓ หลัง แต่ละหลังมีนางบำเรอเฝ้าปรนนิบัติจำนวนมาก เที่ยงคืนหนึ่ง ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมาเห็นนางบำเรอนอนสลบไสลด้วยอาการที่น่าเกลียด (ท้องเรื่องเหมือนตอนก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา) ก็เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย
 
ยสกุลบุตรจึงแอบหนีจากบ้านคนเดียวยามดึกสงัด เดินมุ่งหน้าไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พลางบ่นไปตลอดทางว่า "อุปัททูตัง วต อุปสัคคัง วต" แปลให้ภาษาไทยว่า "เฮอ! วุ่นวายจริง! เฮอ! อึดอัดขัดข้องจริง!" หมายถึง ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ
 
ขณะนั้นมีเสียงดังตอบออกมาจากชายป่าว่า "โน อุปัททูตัง โน อุปสัคคัง" (ที่นี่ไม่มีความวุ่นวาย ที่นี่ไม่มีความอึดอัดขัดข้อง) เป็นพระดำรัสตอบของพระพุทธเจ้านั่นเอง
 
ตอนที่กล่าวนี้เป็นเวลาจวนย่ำรุ่งแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ จงกรมคือการเดินกลับไปกลับมา เป็นการบริหารร่างกายให้หายเมื่อยขบและบรรเทาความง่วง เป็นต้น
 
พระพุทธเจ้าตรัสบอกยสกุลบุตรว่า "เชิญเข้ามาที่นี่แล้วนั่งลงเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"
 
ยสกุลบุตรจึงเข้าไปกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้าแล้วนั่งลง พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาให้ฟัง ฟังจบแล้วยสกุลบุตรได้บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วจึงทูลขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้า
 
ยสกุลบุตรบวชแล้วไม่นาน ได้มีสหายรุ่นราวคราวเดียวกับท่านอีก ๕๔ คนรู้ข่าวก็ออกบวชตามได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม แล้วได้สำเร็จอรหันต์เช่นเดียวพระยสกุลบุตร ตกลงภายในพรรษาที่หนึ่งของพระพุทธเจ้าได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกทั้งหมด ๖๑ องค์ด้วยกัน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 18:47:54 »


ภาพที่ ๓๘

เสด็จไปหาชฎิลอุรุเวลากัสสป ขอพักในโรงไฟ ชฎิลบอกว่ามีนาคร้ายก็ไม่ทรงฟัง



ออกพรรษาแล้ว ล่วงมาจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ พระพุทธเจ้าได้ทรงประชุมพระสาวก ๖๐ รูปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น วัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงจัดประชุมพระสาวกดังกล่าวนี้ ก็เพื่อจัดส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนาตามเมืองต่างๆ

ในการประชุมนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธเจ้าดำรัสปราศรัยว่า

"ภิกษุทั้งหลาย! เราหลุดพ้นแล้วจากบ่วงเครื่องผูกมัดทั้งปวงแล้ว แม้พวกท่านทุกรูปก็เหมือนกัน ขอพวกท่านจงจาริกไปประกาศพระศาสนาในชนบทต่างๆ เพื่อยังประโยชน์และความสุขให้เกิดแก่คนเป็นอันมาก จงแยกกันไปแห่งละรูป จงแสดงธรรมชั้นเบื้องต้น ชั้นกลาง และชั้นสูงอันบริสุทธิ์ที่เราได้ประกาศไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย! คนในโลกนี้ที่มีกิเลสบางเบา แต่มีสติปัญญาที่พอจะฟังธรรมรู้ เรื่องนั้นมีอยู่ แต่เพราะเหตุที่คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม จึงเสื่อมจากคุณความดีที่จะพึงได้รับ พวกท่านไปกันเถิด แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเสานานิคม เพื่อประกาศพระศาสนา"
 
รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ พระสาวก ๖๐ รูปจึงต่างแยกย้ายกันออกไปประกาศพระศาสนาตามพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ส่วนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมายังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งเคยเป็นสถานประทับตรัสรู้ แล้วพระพุทธเจ้าเสด็จโดยลำพังพระองค์ไปยังสำนักของนักบวชใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า 'ชฎิลสามพี่น้อง'

ชฎิลผู้พี่ชายใหญ่ชื่อ 'อุรุเวลกัสสป' มีสาวกบริวาร ๕๐๐ คน ตั้งอาศรมบำเพ็ญพรต บูชาไฟอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตอนเหนือ น้องชายคนกลางชื่อ 'นทีกัสสป' มีบริวาร ๓๐๐ และน้องชายคนเล็กชื่อ 'คยากัสสป' มีบริวาร ๒๐๐ ตั้งอาศรมอยู่คนละแห่ง ที่คุ้งน้ำทางใต้ถัดลงมา
 
พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสำนักของผู้พี่ชายใหญ่ก่อน ทรงพบหัวหน้าชฎิล แล้วตรัสขอที่พัก หัวหน้าชฎิลบอกพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่แห่งเดียวคือโรงบูชาไฟ แต่ในที่นั้นมีพญานาคใหญ่อาศัย พิษร้ายกาจนัก
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 19:06:07 »


ภาพที่ ๓๙

ทรงทรมานนาคราชร้าย ขดกายพญานาคใส่บาตรให้ชฎิลดู ชฎิลก็ยังไม่เลื่อมใส


 
ชฎิลสามพี่น้อง โดยเฉพาะอุรุเวลกัสสปผู้พี่ชายใหญ่เป็นหัวหน้านักบวช ที่ชาวเมืองราชคฤห์นับถือมาก ท่านผู้นี้ประกาศตนเป็นผู้วิเศษ เป็นพระอรหันต์ บำเพ็ญพรตบูชาไฟ
 
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึง และตรัสขอพักอาศัยในโรงไฟ ซึ่งพวกชฎิลถือว่าเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ และเป็นอันตรายแก่ผู้จะไปอยู่อาศัยภายในโรงไฟ เพราะมีพญานาค หรือพญางูใหญ่มีพิษร้ายกาจอาศัยอยู่ในนั้น ชฎิลจึงนึกในใจว่า พระพุทธเจ้าทรงอวดดีที่ไม่กลัวอันตราย
 
ตามท้องเรื่องในปฐมสมโพธิกล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปประทับภายในโรงไฟ พญานาคก็มีจิตขึ้งเคียดทุกขโทมนัส คือ โกรธมาก จึงพ่นพิษใส่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเตโชกสินสมาบัติ (หมายถึง การเข้าฌานชนิดหนึ่ง ซึ่งบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นจากกายได้) พิษของพญานาคและเปลวเพลิงจากเตโชกสินของพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นเป็นแสงแดงสว่าง ดุจเผาผลาญโรงเพลิงนั้นให้เป็นภัสมธุลี (แหลกละเอียด)
 
พวกชฎิลได้เห็นแสงเพลิงนั้นก็ปริวิตกว่า พระสมณะรูปนี้ (หมายถึงพระพุทธเจ้า) เห็นทีจะวอดวายด้วยพิษพญานาคคราวนี้เป็นแน่
 
ปฐมสมโพธิว่า "ครั้นล่วงราตรีรุ่งเช้า พระสัพพัญญูเจ้าก็ยังเดชแห่งพญานาค ให้อันตรธานหาย บันดาลให้นาคนั้นขนดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป ตรัสบอกว่า นาคนี้สิ้นฤทธิ์ด้วยพระองค์
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 19:23:06 »


ภาพที่ ๔๐

วันหนึ่ง ฝนตักหนัก น้ำท่วม แต่ไม่ท่วมที่ประทับ ชฎิลเห็นอัศจรรย์จึงทูลขอบรรพชา


การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องดังได้บรรยายไว้แล้ว ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือมาก ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้นและจะได้ผลรวดเร็ว
 
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาสำนักของชฎิลสามพี่น้องซึ่งตั้งตนว่าเป็นอรหันต์ และพระองค์ได้ทรงทรมาน คือ การแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกชฎิลไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่อ้าง คุณธรรมใดๆ ที่พวกชฎิลถือว่าพวกตนมีและว่าวิเศษ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่
 
ที่ถือว่าพญางูใหญ่มีพิษร้ายกาจ พระองค์ก็จับขดลงในบาตรเสีย เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ พวกชฎิลเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าจมน้ำตายเสียแล้ว ต่างลงเรือพายมาดู ก็เห็นพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ภายใต้ท้องน้ำ
 
ปฐมสมโพธิว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากลับใจพวกชฎิลอยู่ถึงสองเดือนจึงสำเร็จ โดยชฎิลผู้หัวหน้าคณาจารย์ใหญ่ คือ อุรุเวลกัสสป เกิดความสังเวชสลดใจว่าตนมิใช่พระอรหันต์อย่างที่เคยหลงเข้าใจผิด ทั้งนี้ด้วยพุทธานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้ประจักษ์เห็นได้
 
หัวหน้าชฎิลจึงลอยเครื่องบริขารและเครื่องบูชาไฟทิ้งลงในแม่น้ำเนรัญชรา แล้วกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้า ขอบวชยอมเป็นพระสาวก ฝ่ายน้องชายอีกสองคน ที่ตั้งอาศรมอยู่คุ้งน้ำทางใต้ลงไป เห็นบริขารพี่ชายลอยมาก็จำได้ นึกว่าอันตรายเกิดแก่พี่ชายตนก็พากันมาดู
 
ทั้งสองได้ทราบเรื่องโดยตลอด ก็ยอมตนเป็นพระสาวกทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโปรดชฎิลทั้งหมดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเลยมีนักบวชเป็นพระสาวกเพิ่มขึ้นใหม่อีก ๑,๐๐๐ รูป
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2553 19:49:09 »


ภาพที่ ๔๑

พระอุรุเวลกัสสปประกาศตนเป็นพุทธสาวกต่อหน้าพระเจ้าพิมพิสาร ณ สวนตาลหนุ่ม


เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปราบนักบวชสามสำนักสามพี่น้องให้สิ้นพยศ คือหมดทิฐิมานะที่ว่าตนเป็นพระอรหันต์ลงราบคาบ จนยอมเป็นพระสาวกแล้ว ก็ทรงดำเนินนโยบายในการประกาศพระศาสนาขั้นต่อไป คือเสด็จเข้าเมืองราชคฤห์
 
ราชคฤห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธและแคว้นอังคะในสมัยนั้น มีผู้คนมาก มีพระราชาผู้เป็นใหญ่ คือพระเจ้าพิมพิสารปกครอง พระราชาพระองค์นี้เคยทรงพบพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเมื่อตอนก่อนตรัสรู้ ดังได้เคยบรรยายไว้แล้ว
 
พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกที่แต่ก่อนเป็นพวกชฎิลครองหนังเสือ แต่มาบัดนี้ เป็นพระภิกษุครองจีวร จำนวนหนึ่งพันรูป เสด็จไปถึงอุทยานนอกเมืองที่เรียกว่า ลัฏฐิวัน หรือสวนตาลหนุ่ม แล้วเสด็จพักที่นี่
 
พวกชาวเมืองแตกตื่นกันมากเมื่อรู้ข่าวว่า มีคณะนักบวชศาสนาใหม่ โดยมีพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าเข้ามาถึงชานเมือง จึงออกไปเฝ้ากันล้นหลาม แม้พระเจ้าพิมพิสารก็แสดงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย
 
ชาวเมืองที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้ามีอาการกิริยาแตกต่างกัน บ้างไหว้ บ้างนั่งเฉย บ้างแนะนำตนเองว่าอยู่ในวรรณะและตระกูลอะไร แต่มีเป็นจำนวนมากที่สงสัยไม่อาจทราบได้ว่า ระหว่างพระพุทธเจ้ากับอุรุเวลกัสสป ผู้เป็นหัวหน้าชฎิลที่เคยมีชื่อเสียงใครเป็นศาสดา และใครเป็นสาวก ต่างสงสัยกันนักหนา
 
เพื่อตัดข้อสงสัยนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามอุรุเวลกัสสปถึงเหตุผลที่ละทิ้งลัทธิเดิมที่เคยปฏิบัติอยู่ ท่านได้กราบทูลดังๆ ต่อหน้าฝูงชนว่า "ไร้สาระ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้า แสดงให้ชาวเมืองเห็นว่า ใครเป็นพระศาสดา ชาวเมืองเห็นแล้วต่างทึ่งและอัศจรรย์ใจมาก
 
เมื่อชาวเมืองสงบแล้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรม เมื่อจบลง ชาวเมืองจำนวนมากประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน อีกจำนวนหนึ่งรวมทั้งพระเจ้าพิมพิสารด้วยได้สำเร็จโสดาบัน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 03:33:49 »


ภาพที่ ๔๒

พระเจ้าพิมพิสารเลื่อมใส ทรงหลั่งน้ำถวายวัดเวฬุวันเป็นปฐมสังฆาราม


เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ ได้ทรงฟังธรรมพระพุทธเจ้าจบลง และได้ทรงบรรลุโสดาแล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นอภิวาทแทบพระบาทพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกหนึ่งพันรูปเสด็จไปเสวยที่พระราชนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนาด้วยพระอาการดุษณี
 
นั่นเป็นธรรมเนียมการรับนิมนต์ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สมัยนั้น ถ้าดุษณีหรือนิ่ง แปลว่า รับได้ ถ้ารับไม่ได้ เช่น มีคนทูลอาราธนาว่า ขอให้เสด็จไปรับบาตรที่บ้านของตนแห่งเดียวตลอดพรรษานี้ พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า "คนในโลกนี้ใครๆ ก็อยากทำบุญกับเราทั้งนั้น จะผูกขาดไม่ได้หรอก" อย่างนี้แปลว่ารับนิมนต์ไม่ได้ หรือไม่รับ
 
รุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวนตาลหนุ่ม เข้าไปในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร เจ้าพนักงานที่ได้ตระเตรียมอาหารบิณฑบาตรไว้พร้อมแล้ว พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงถวายอาหารแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก
 
เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยแล้ว และพระสงฆ์ทั้งนั้นก็ฉันอิ่มกันทั่วแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วทรงมีพระราชดำรัสทูลพระพุทธเจ้าว่า ที่สวนตาลหนุ่มเป็นสถานที่อยู่ห่างไกลเมืองและทุรกันดารมาก ไม่สะดวกแก่การไปมา
 
แล้วมีพระราชดำรัสว่า พระราชอุทยานสวนไม้ไผ่หรือเวฬุวันของพระองค์ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ไปมาสะดวก กลางวันไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน กลางคืนสงบสงัด สมควรเป็นที่ประทับอยู่ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
 
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับด้วยพระอาการดุษณี พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงหลั่งน้ำจากพระเต้าลงบนพระหัตถ์พระพุทธเจ้า ถวายเวฬุวนารามให้เป็นวัดพระพุทธศาสนาแห่งแรกในโลก
 
ปฐมสมโพธิว่า "กาลเมื่อพระสัพพัญญูทรงรับพระเวฬุวันเป็นอาราม ครั้งนั้นอันว่า มหาปฐพีดลก็วิกลกัมปนาท ดุจรู้ประสาทสาธุการว่า มูลที่ตั้งพระพุทธศาสนา หยั่งลงในพื้นพสุธา กาลบัดนี้"
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 03:56:00 »


ภาพที่ ๔๓

ท้าวเธอทรงบำเพ็ญกุศลให้พระญาติที่เกิดเป็นเปรต เปรตทั้งหลายต่างโมทนารับส่วนบุญ


ในภาพที่ ๔๒ จะเห็นพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำจากพระเต้าลงบนพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า การหลั่งน้ำในที่นี้เรียกว่าตามภาษาสามัญว่า 'กรวดน้ำ' หรือเรียกเป็นคำศัพท์ว่า 'อุททิโสทก' แปลว่า กรวดน้ำมอบถวาย ใช้ในกรณีเมื่อถวายของใหญ่โตที่ไม่อาจยกประเคนใส่มือพระได้ เช่น ที่ดินและวัด เป็นต้น
 
ส่วนการกรวดน้ำของพระเจ้าพิมพิสารในภาพนี้เรียกว่า 'ทักษิโณทก' แปลว่า กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลแก่คนตาย ใช้ในกรณีที่จะมอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งเป็นผู้รับอีกเหมือนกัน ผิดแต่ว่า สิ่งที่ให้มองไม่เห็นตัวตน เพราะเป็นบุญกุศล ผู้รับก็มองไม่เห็น เพราะเป็นคนที่ตายไปแล้ว พิธีนี้เป็นที่นิยมกันอยู่ในเมืองไทยเวลาทำบุญทุกวันนี้
 
ภาพที่เห็นนี้เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งที่สองของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อครั้งแรกพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้ทรงอุทิศส่วนกุศลให้แก่พระญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ปฐมสมโพธิจึงว่า ในคืนวันนั้นพวกเปรตซึ่งเคยเป็นพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารได้ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นในพระราชนิเวศน์ ที่แสดงให้เห็นก็มี
 
ตามนิยายธรรมบทเล่าว่า เปรตเหล่านี้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เคยลักลอบ (หรือจะเรียกอย่างทุกวันนี้ว่าคอรัปชั่นก็ได้) กินของที่คนเขานำมาถวายสงฆ์ ตายแล้วตกนรก แล้วมาเป็นเปรต และมาคอยรับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศให้ แต่เมื่อผิดหวังจึงประท้วงดังกล่าว
 
พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันรุ่งขึ้น ทูลถามทราบความแล้ว จึงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายอาหารและจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้นอีกต่อมา แล้วทรงหลั่งน้ำอุททิโสทกว่า "อิทัง โน ญาตีนัง โหตุ แปลว่า "ขอกุศลผลบุญครั้งนี้จงไปถึงญาติพี่น้องของข้าพเจ้าด้วยเทอญ" เปรตเหล่านี้จึงต่างได้รับกุศลผลบุญกันทั่วหน้า และพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับอยู่
 
คำว่า "อิทัง โน ญาตีนัง โหตุ" ได้กลายเป็นบทกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้คนตายที่คนไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 04:07:10 »


ภาพที่ ๔๔

พระโมคคัลลาน์ สารีบุตร อัครสาวกซ้าย-ขวามาทูลขอบรรพชาเป็นเอหิภิกขุ


 
ภาพที่เห็น คือ พระโมคคัลลาน์ สารีบุตร กำลังบวชกับพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ก่อนบวชทั้งสองบวชเป็นปริพาชกในฐานะเป็นศิษย์สาวกของสญชัย
 
สญชัยเป็นศาสดาปริพาชกที่มีชื่อเสียงมากผู้หนึ่งในแคว้นมคธ มีลูกศิษย์ และคนนับถือมาก โมคคัลลาน์ สารีบุตร เคยอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้ทางพ้นทุกข์ แต่ครั้นศึกษาจบแล้วเห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงลาอาจารย์สญชัยออกแสวงหาความรู้ใหม่ต่อไป แล้วจึงมาพบพระอัสสชิในเมืองราชคฤห์
 
พระอัสสชิเป็นรูปหนึ่งในคณะพระปัญจวัคคีย์ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งออกไปประกาศพระศาสนา ท่านทราบว่าเวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ท่านจึงเดินทางเพื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นั่น ระหว่างทางมาได้พบพระสารีบุตร ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า 'อุปติสสปริพาชก' พระสารีบุตรเห็นกิริยาท่าทางพระอัสสชิน่าเลื่อมใสจึงเข้าใจสนทนาถามถึงทางปฏิบัติ และผู้เป็นพระศาสดา เมื่อได้ฟังก็ชอบใจ ภายหลังจากนั้นจึงกลับมาชวนสหายคือ โมคคัลลาน์ หรือ 'โกลิตปริพาชก' ก็เรียกไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยปริพาชกบริวารที่ติดตามมาอีก ๒๕๐ คน
 
ครั้งนั้น สารีบุตร โมคคัลลานะ ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ซบเศียรลงที่พระบาทของผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอพวกข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าข้า
 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด พระวาจานั้นแลได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น
 
คนทั้งหมดได้เป็นผู้ทรงบาตรจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ราวกะว่าพระเถระ ๑๐๐ พรรษา
 
ภายหลังบวชแล้วไม่นาน ท่านทั้งสองได้ปฏิบัติธรรมจนสำเร็จอรหันต์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาช่วยพระพุทธเจ้ามากที่สุด พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านทั้งสองให้ดำรงตำแหน่งพระอัครสาวก พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลาน์ฝ่ายซ้าย ว่าอย่างสามัญ ก็เท่ากับเป็นมือขวามือซ้ายของพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านทั้งสองนี้นิพพานก่อนพระพุทธเจ้าไม่กี่เดือน พระสารีบุตรนิพพานด้วยโรคประจำตัว ส่วนพระโมคคัลลาน์ถูกอันธพาลจากคนในศาสนาอื่น (เดียรถีย์) จ้างมาฆ่า
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #49 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 04:19:32 »


ภาพที่ ๔๕

พระพุทธองค์ทรงประทาน โอวาทปาติโมกข์แก่พระอรหันต์สงฆ์ ในวันเพ็ญมาฆบูชา


 
ภายหลังพระโมคคัลลาน์ สารีบุตร บวชแล้วไม่นาน พระพุทธเจ้าได้ทรงประชุมพระสาวกขึ้นในวันเพ็ญกลางเดือนสาม ที่พระเวฬุวนาราม เมืองราชคฤห์ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน การประชุมพระสาวกครั้งนี้ ผู้นับถือศาสนาพุทธในสมัยก่อนต่อมาเห็นเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมาก จึงกำหนดถือวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้ว่า 'วันมาฆบูชา'
 
การประชุมพระสาวกของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ แปลกกว่าทุกคราวที่มีอยู่ในสมัยพุทธกาล คือ พระสาวกมีจำนวน ๑,๒๕๐ รูป แต่ละรูป แต่ละองค์ล้วนบวชกับพระพุทธเจ้า มีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือ พระพุทธเจ้า ล้วนเป็นพระอรหันต์ ต่างมาประชุมโดยไม่ได้นัดหมาย และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม การประชุมพระสาวกครั้งนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามลักษณะแปลก ๔ ประการนี้ว่า 'จาตุรงคสันนิบาต'
 
ในเวลานั้น กรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่บรรดาพระสาวกแยกย้ายกันออกไปประกาศพระศาสนาต่างได้ทราบว่า เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เมื่อเสร็จกิจประกาศพระศาสนาจึงต่างจาริกมาเฝ้า เมื่อมาพร้อมหน้ามากตั้งพันกว่า พระพุทธเจ้าจึงประชุมพระสาวกแสดงโอวาทปาติโมกข์
 
'โอวาทปาติโมกข์' คือ หลักการโดยสรุปของศาสนาพุทธ มีทั้งหลักคำสอนและหลักการปกครองคณะสงฆ์ มีทั้งหมด ๑๓ ข้อด้วยกัน เช่นเป็นต้นว่า ศาสนาพุทธสอนว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตบริสุทธิ์ สุดยอดของคำสอนอยู่ที่นิพพาน ดับกิเลสพ้นทุกข์ และเป็นพระเป็นต้องสำรวม กินอยู่พอประมาณ อดทน ไม่กล่าวร้ายป้ายสีคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น
 
สมัยที่กล่าวนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่ทรงบัญญัติวินัยปกครอง เพราะความเสียหายยังไม่เกิดจึงทรงวางหลักปกครองสงฆ์ไว้แต่โดยย่อ เทียบให้เห็นคือ เมืองไทยสมัยไม่กี่ปีมานี้ ไม่มีรัฐธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร แต่มีธรรมนูญเป็นหลักปกครองแทน ธรรมนูญนี้เทียบได้กับโอวาทปาติโมกข์ ส่วนรัฐธรรมนูญปกครองราชอาณาจักรก็เทียบได้กับวินัยพุทธบัญญัติทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นในเวลาต่อมา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 04:53:03 »


ภาพที่ ๔๖

เสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระญาติผู้ใหญ่ถือว่าสูงอายุไม่ถวายบังคม


 
ตลอดเวลา ๖ ปีกว่า คือ นับตั้งแต่เสด็จออกบวช ตรัสรู้ และประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธ จนมีพระสาวกและคนนับถือมาก พระพุทธเจ้ายังมิได้เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก เพื่อโปรดพระประยูรญาติตามคำอาราธนาของพระสุทโธทนะพุทธบิดา
 
ด้วยพระทัยปรารถนาที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะหนึ่ง คือ พระราชโอรส เมื่อทรงทราบว่าขณะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ เพื่อประกาศพระศาสนาอยู่ในแคว้นมคธ พระเจ้าสุทโธทนะจึงส่งคณะฑูตไปทูลอาราธนา
 
คณะฑูตแต่ละคณะที่พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปเพื่อทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า มีหัวหน้าและบริวาร ซึ่งปฐมสมโพธิบอกว่าจำนวนหนึ่งพันคน รวมทั้งหมด ๑๐ คณะด้วยกัน คณะที่ ๑ ถึง ๙ ตามลำดับ ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์ ยังมิได้กลับมาทูลรายงานให้พระเจ้าสุทโธทนะได้ทราบ พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงส่งคณะอำมาตย์ เป็นคณะฑูตที่ ๑๐ ไปอีก คณะฑูตที่ ๑๐ นี้มีกาฬุทายีเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยและเป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า ก่อนออกเดินทางไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า กาฬุทายีทูลลาบวช เมื่อบวชแล้วจะทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ให้จงได้ พระเจ้าสุทโธทนะทรงอนุมัติ
 
ภายหลังเมื่อกาฬุทายีไปถึงสำนักพระพุทธเจ้าได้ธรรมจนสำเร็จอรหันต์ และได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมทั้งบริวารที่ติดตามไปแล้ว ไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ขณะนั้นเป็นหน้าแล้ง ย่างเข้าหน้าฝน
 
พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนาแล้ว พร้อมด้วยพระสาวก ที่ตำนานปฐมสมโพธิบอกว่าจำนวน ๒ หมื่นรูป เสด็จออกเดินทางเป็นเวลาสองเดือน จึงถึงกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เสด็จเข้าประทับในอารามของเจ้าศากยะผู้หนึ่ง ซึ่งชื่อว่า 'นิโครธ' ซึ่งพวกเจ้าศากยะพระญาติจัดถวายให้เป็นที่ประทับ อารามในที่นี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวน เป็นอุทยานอยู่นอกเมือง พวกพระประยูรญาติรวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะ ได้พากันมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อารามแห่งนี้
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 05:03:50 »


ภาพที่ ๔๗

ทรงแสดงปาฏิหารย์เหาะให้เห็น หมู่พระญาติก็สิ้นทิฐิมานะถวายบังคมพร้อมกัน


 
ภาพที่เห็นก็แสดงถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่ง ซึ่งต่อเนื่องมาจากตอนที่แล้ว เป็นตอนที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหารย์ทำลายทิฐิมานะความถือตัวของพระประยูรญาติของพระพุทธเจ้า
 
เจ้าศากยะ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ ต่างถือองค์ว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่ มีพระชนม์สูงกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นเพียง ๓๖ ปีกว่าๆ เมื่อมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม จึงไม่ถวายอภิวาทบังคม คือไม่ไหว้พระพุทธเจ้า แต่ส่งเจ้าชายเจ้าหญิงศากยะเยาว์วัยกว่าพระพุทธเจ้าออกไปอยู่แถวหน้า ให้ไหว้พระพุทธเจ้าแทน ส่วนพวกตนอยู่แถวหลังไม่ยอมไหว้
 
ตำนานปฐมสมโพธิว่า ด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศแล้วโปรยละอองธุลีพระบาทลงเหนือศีรษะของบรรดาเจ้าศากยะ
 
พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเสด็จมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงประนมพระหัตถ์อภิวาทพระพุทธเจ้า ฝ่ายพระประยูรญาติทั้งปวงในที่นั้น ก็ต่างทิฐิมานะ แล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั่วทุกองค์
 
ปฐมสมโพธิว่า "ในทันใดนั่นเอง มหาเมฆใหญ่ได้ตั้งเค้าขึ้นมา แล้วหลั่งสายฝนลงมาห่าใหญ่ ฝนนั้นเรียกว่า 'โบกขรพรรษ' มีสีแดง ผู้ใดปรารถนาหรือประสงค์ให้เปียก ย่อมเปียก ไม่ปรารถนาให้เปียก ก็ไม่เปียก โดยเม็ดฝนจะกลิ้งหล่นจากกายเหมือนหยาดน้ำกลิ้งจากใบบัว"
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 05:15:28 »


ภาพที่ ๔๘

เสด็จทรงบาตรในเมือง พระนางพิมพายโสธราเห็น จึงชี้ให้พระราหุลดู ตรัสว่า
"นั่นคือพระบิดาของเจ้า"


 
เมื่อฝนโบกขรพรรษตกลงมาเป็นห่าใหญ่ พระสงฆ์สาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้าครั้งนี้ เห็นเป็นที่อัศจรรย์ จึงสนทนากันด้วยพิศวงว่า ฝนเช่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกพระสงฆ์ว่า ฝนโบกขรพรรษตกในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่น่าอัศจรรย์เลย แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ ฝนโบกขรพรรษตกในสมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร
 
พระสงฆ์ทั้งปวงใคร่สดับเรื่องราวของเวสสันดร จึงทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรื่องเวสสันดรชาดก ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนพระเวสสันดรเสด็จนิวัติกลับเข้าเมือง และเกิดฝนโบกขรพรรษตกลงมาเป็นห่าใหญ่เหมือนคราวนี้ เรื่องเวสสันดรชาดกที่คนไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนาอาราธนาสงฆ์เทศน์ให้ฟังที่เรียกว่า 'เทศน์มหาชาติ' ทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากพระพุทธเจ้า ตรัสเทศนาครั้งนี้ คือ ในคราวเสด็จโปรดพระประยูรญาติเป็นครั้งแรกนี้เอง
 
ฝ่ายประยูรญาติทั้งปวง รวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาด้วย ต่างถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วทูลลาเสด็จกลับเข้าเมือง แต่จะได้มีผู้หนึ่งผู้ใดทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปทรงรับอาหารบิณฑบาตที่นิเวศน์ของตนก็หาไม่
 
รุ่งเช้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารทั้งหมด จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ชาวเมืองแตกตื่นกันโกลาหล ด้วยไม่เคยคิดว่าพระพุทธเจ้าซึ่งกษัตริย์โดยพระชาติกำเนิด จะเสด็จภิกขา แปลความหมายให้เป็นภาษาสามัญที่ไม่สุภาพหน่อยก็ว่า เที่ยวขอเขากิน
 
ปฐมสมโพธิรายงานเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า "ในขณะนั้นบรรดามหาชนชาวเมืองแจ้งว่า พระผู้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารเที่ยวภิกขาจารบิณฑิบาต ดังนั้น ก็ชวนกันเปิดแกลแห่งเรือนทั้งหลายต่างๆ อันมีพื้น ๒ ชั้น แล ๓ ชั้น เป็นต้น แต่ล้วนขวนขวายในกิจที่จะเล็งแลดูพระสัพพัญญู อันเสด็จเที่ยวบิณฑบาตทั้งสิ้น" แม้พระนางพิมพายโสธราผู้เคยเป็นพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระทัยไม่เคยสร่างพระโศกีตลอดมา ได้ยินเสียงชาวเมืองอื้ออึงถึงเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเมืองมาตามถนน ก็จูงพระหัตถ์ราหุลผู้โอรส ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๗ ปี เสด็จไปยังช่องพระแกล ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จนำหน้าพระสงฆ์มา พระนางก็ทรงชี้ให้ราหุลดู และตรัสบอกโอรสว่า "นั่นคือพระบิดาของเจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 มิถุนายน 2553 05:17:13 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 05:24:37 »


ภาพที่ ๔๙

พระพุทธบิดาทราบข่าวก็เสด็จมาตัดพ้อ ทูลขอให้เสด็จไปประทับเสวยในวัง


ที่พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาเสด็จไปรับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม พร้อมด้วยพระประยูรญาติ แล้วไม่ได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปรับภัตตาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ของพระองค์นั้น ก็ด้วยเข้าพระทัยว่าพระพุทธเจ้าคงไม่เสด็จไปที่อื่นนอกจากพระราชนิเวศน์ของพระองค์
 
แต่ครั้นทรงทราบจากที่พระนางพิมพาไปทูลว่า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมากมิได้เสด็จตรงไปยังพระราชนิเวศน์ แต่กลับเสด็จบิณฑบาตไปตามถนนหนทางในเมือง ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอันมาก
 
ปฐมสมโพธิว่า "พระหัตถ์ทรงผ้าสาฎกสะพักพระองค์ เสด็จลงจากพระราชนิเวศน์ บทจรโดยด่วนไปหยุดยืนอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาแล้วกราบทูลว่า..."
 
"เหตุไฉนพระลูกเจ้าจึงมาเสด็จเที่ยวบิณฑบาตให้เป็นที่อัปยศ ผิดธรรมเนียมของกษัตริย์ขัตติยวงศ์ของเรา ทำไมจึงไม่เสด็จไปเสวยที่พระราชนิเวศน์"
 
พระพุทธเจ้าตรัสบอกพุทธบิดรว่า "ธรรมเนียมการเสด็จภิกขาจารเพื่อบิณฑบาตนี้ มิใช่ธรรมเนียมของขัตติยวงศ์ก็จริง แต่เป็นธรรมเนียมของพุทธวงศ์ (วงศ์ของพระพุทธเจ้า) พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมเนียมของผู้สละบ้านเรือนออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าและของพระสงฆ์สาวกนั้น ต้องเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีพ การบิณฑบาตนั้น เป็นอาชีพอันสุจริตของนักบวชในพุทธวงศ์"
 
พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระเจ้าสุทโธทนะว่า "พระองค์ทรงขาดจากขัตติยวงศ์แล้ว ขาดเมื่อตอนเสด็จออกบวชก็หาไม่ ขาดเมื่อคราวบำเพ็ญเพียรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็หาไม่ แต่ขาดเมื่อคราวได้สำเร็จ คือ ภายหลังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ได้ชื่อว่าทรงตั้งอยู่ในพุทธวงศ์"
 
พระพุทธเจ้าประทับยืนตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระเจ้าสุทโธทนะ พอจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงบรรลุโสดาปัตติผลในขณะที่ยืนอยู่นั่งเอง ครั้นแล้วพระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงรับบาตร แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งหมู่อริยสงฆ์บรรษัทไปยังพระราชนิเวศน์เพื่อทรงรับภัตตาหาร
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #54 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 05:56:54 »


ภาพที่ ๕๐

พระพิมพาพิลาปรำพันถึงพระพุทธองค์ เสด็จพุทธดำเนินไปโปรดถึงในปราสาท


 
ภาพที่เห็นอยู่นั้น เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพายโสธรา ผู้เคยเป็นพระชายา เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คือเมื่อยังไม่ได้เสด็จออกบวช

วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพานี้ เป็นวันเดียวกับที่เสด็จไปทรงภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ดังได้บรรยายไว้แล้ว สถานที่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพา คือ ปราสาทที่ประทับของพระนางนั่งเอง ผู้ที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาในการนี้ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ผู้สองอัครสาวก และพระเจ้าสุทโธทนะ
 
พระนางพิมพาทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชเป็นต้นมา ด้วยเข้าพระทัยว่า พระนางถูกพระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง ยิ่งเมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองกบิลพัสดุ์ครั้งนี้ ความเสียพระทัยยิ่งมีมากขึ้น ขนาดพระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระนางยังเสด็จมาไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาถึงปราสาทที่ประทับของพระนางแล้ว พระนางยังเสด็จดำเนินมาเองไม่ได้ พระนางก็ล้มฟุบลง กลิ้งเกลือกพระเศียรลงเหนือพระบาทพระพุทธเจ้า แล้วพิลาปรำพันกันแสงแทบสิ้นสมปฤดี
 
พระเจ้าสุทโธทนะทูลพระพุทธเจ้าถึงความดีของพระนางพิมพาว่า เป็นสตรีที่จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า ไม่เคยแปรพระทัยเป็นอื่นเลยตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากไป พระพุทธเจ้าตรัสสนองพระดำรัสของพุทธบิดาว่า พระนางพิมพาจะได้ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์แต่เฉพาะในชาตินี้ก็หาไม่ แม้ในอดีตชาติหนหลังอีกหลายชาติ พระนางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดมา แล้วพระพุทธเจ้าตรัสชาดกอีกเป็นอันมากให้พระพุทธบิดาและพระนางพิมพาฟัง
 
พระนางฟังแล้ว ทรงสร่างโศกและคลายความเสียพระทัย ทรงเกิดปีติโสมนัสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง พระนางพิมพายโสธรา ก็ได้ทรงบรรลุพระโสดาบัน หรือโสดาปัตติผล
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #55 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 06:28:40 »




http://www.zone-it.com/153345#msg963298
ภาพพุทธประวัติที่สวยงาม ช่วงวิสาขบูชาโลก‏

เหลืออีก 30 ภาพ จ้า ต่อคราวหน้า อิ อิ อิ

สุขาวดีนั้นอยู่สุดแสนไกล
นับด้วยล้านโกฏภพ
ฉันจะไปที่นั่นได้อย่างไร
หากอาศัยเพียงรองเท้าฟางคู่หนึ่ง

- ไฮกุ ท่านอิกคิวซัง -

http://www.buddhayan.com/
http://www.agalico.com/


มดเอ๊กซ
ยอดฝีมือนักโพสท์

 ยิ้ม  ufoatkaokala11.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 กรกฎาคม 2553 08:38:55 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #56 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 14:02:44 »


ภาพที่ ๕๑

พระนันทะรับบาตรส่งเสด็จ นางคู่วิวาห์ร้องสั่งให้รีบกลับ พอถึงวัด
กลับชวนให้ผนวช
 


      ในวันที่  ๕  นับแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก  มีพิธีวิวาหมงคลระหว่างเจ้าชายศากยะที่ชื่อว่า 'นันทะ'   กับเจ้าหญิงที่มีชื่อว่า 'ชนบทกัลยาณี'

         นันทะเป็นพระอนุชาหรือน้องชายของพระพุทธเจ้า    แต่เป็นพระอนุชาต่างมารดา   กล่าวคือภายหลังพระมารดาของพระพุทธเจ้า  คือ  พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์   แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติได้ไม่กี่วันแล้ว   พระเจ้าสุทโธทนะทรงได้พระนางปชาบดีโคตมี   ผู้เป็นน้องสาวของพระนางสิริมหามายาเป็นชายา

   เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชแล้ว  รัชทายาทของพระเจ้าสุทโธทนะจึงตกอยู่แก่นันทะ  พระเจ้าสุทโธทนะทรงหมายพระทัยว่า  เมื่อนันทะอภิเษกสมรสแล้ว  จะได้ครองราชย์สืบต่อจากพระองค์

   ในงานวิวาหมงคลนั้น  พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาตามคำทูลอาราธนาของพระพุทธบิดา  เมื่อทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว  พระพุทธเจ้าได้เสด็จกลับ  ได้ทรงมอบบาตรของพระองค์ให้เจ้าชายนันทะทรงถือตามส่งเสด็จ   นันทะทรงดำริว่า    เมื่อถึงประตูพระราชนิเวศน์   พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระเชษฐาคงจะทรงหันมารับบาตรคืนไปจากตน   แต่ครั้นไปถึงที่นั่น   พระพุทธเจ้ามิได้ทรงทำอย่างนั้นเลย   ครั้นนันทะจะมอบบาตรถวายพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้า   ด้วยเกรงพระทัยผู้ทรงเป็นพระเชษฐา  จนไปถึงพระอารามที่ประทับ  พระพุทธเจ้าจึงหันมาตรัสกับพระอนุชาว่า "บวชไหม"

        นันทะจะปฏิเสธก็เกรงใจพี่ชาย   นี่ว่าตามภาษาสามัญ  จึงทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า  "บวชพระเจ้าข้า"

         นันทะไม่ได้ยอมบวชด้วยน้ำใสใจจริง  เพราะกำลังจะแต่งงาน   ทั้งตอนที่จะออกจากพระราชนิเวศน์นำบาตรมาส่งพระพุทธเจ้า  นางชนบทกัลยาณีผู้เป็นเจ้าหญิงคู่อภิเษกสมรส  ยังร้องเรียกสั่งตามมาว่า "เจ้าพี่ไปแล้วให้รีบเสด็จกลับ"  แต่ที่ตอบเช่นนั้น  ก็เพราะความเกรงใจพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว



โดย มารจอมยุทธ 
http://www.trytodream.com/index.php?topic=6285.0
อนุโมทนาสาธุค่ะ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #57 เมื่อ: 23 มิถุนายน 2553 14:27:08 »


ภาพที่ ๕๒

พระราหุลแสดงความรักซาบซึ้งในพระพุทธองค์ผู้เป็นบิดา จนลืมทูลขอราชสมบัติ




           ในวันที่  ๗    นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์    ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เจ้าชายนันทะ   ผู้เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้าได้บวชแล้ว    พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาต  ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะอีก

            เจ้าชายนันทะเป็นรัชทายาทที่สองรองจากพระพุทธเจ้า      ที่จะครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ  แต่เมื่อนันทะออกบวช  หรือที่จริงถูกพระเชษฐา  คือพระพุทธเจ้าทรงจับให้บวชเสียแล้ว  รัชทายาทจึงตกอยู่แก่ราหุลกุมารผู้เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา

            พระนางพิมพายโสธรา  พระมารดาของราหุล  ทรงเห็นเป็นโอกาสดี  เมื่อทรงทราบว่า  พระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามารับบิณฑบาต  จึงแต่งองค์ให้ราหุลผู้โอรสงดงามด้วยเครื่องประดับของขัตติยกุมารแล้วชี้บอกราหุลว่า  "พระสมณะผู้ทรงสง่า  มีผิวพรรณเหลืองดังทอง  มีพระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงพรหม  ที่พระสงฆ์สองหมื่นรูปแวดล้อมตามเสด็จ  นั่นแหละคือพระบิดาของเจ้า"

             พระนางพิมพาตรัสบอกพระโอรสให้ไปทูลขอรัชทายาท  และทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของพระบิดาทั้งหมด    ซึ่งยังมิได้ทรงโอนกรรมสิทธิ์ให้ใครเลย    พระนางบอกผู้โอรสว่า    ธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของผู้เป็นบิดา

             ในเวลาที่กล่าวนี้   ปฐมสมโพธิบอกว่าราหุลกุมารมีพระชนมายุได้  ๗  ปี  นับตั้งแต่ประสูติมาไม่เคยเห็นองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดา     เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกก็เมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์นี่เอง   เมื่อได้เห็นและได้เข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด   ราหุลจึงเกิดความรักในพระพุทธเจ้ายิ่งนัก   เป็นความรักอย่างลูกจะพึงมีต่อพ่อ   ราหุลกราบทูลพระพุทธเจ้าประโยคหนึ่ง   ซึ่งถ้าจะถอดความให้เข้ากับสำนวนไทยก็ว่า  "อยู่ใกล้พ่อนี่มีความสุขเหลือเกิน"    แล้วกราบทูลขอรัชทายาท   และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระราชบิดา  ตามที่พระมารดาทรงแนะนำ

              พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่ากระไร  ทรงฉันอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา  เสด็จกลับไปที่นิโครธารามพร้อมด้วยพระสงฆ์  โดยมีราหุลตามเสด็จเพื่อทูลขอสิ่งที่ทรงประสงค์ดังกล่าวไปด้วย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #58 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553 03:10:05 »


ภาพที่ ๕๓

ทรงมอบสมบัติพระนิพพานแก่พระราหุล โดยให้บรรพชาเป็นสามเณรองค์แรก



          เมื่อราหุลติดตามพระพุทธเจ้าไปถึงนิโครธาราม  เพื่อทูลขอรัชทายาทและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่ราหุลขอนั้นเป็นสมบัติทางโลกไม่ยั่งยืน   เต็มไปด้วยความทุกข์ในการปกปักรักษา  ไม่เหมือนอริยทรัพย์ คือ  ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา  ทรงพระพุทธดำริว่า  "จำเราจะให้ทายาทแห่งโลกุตตระแก่ราหุล"

          พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระสารีบุตรมา  แล้วรับสั่งให้พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ทำหน้าที่บวช ราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกในทางพระพุทธศาสนาสามเณรให้ราหุล   เมื่ออายุครบบวช ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุและได้สำเร็จอรหันต์

         เมื่อคราวนันทะซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาหมงคล   แต่ยังไม่ทันเข้าพิธี   เพราะถูกพระพุทธเจ้าจับบวชเสียก่อนนั้น  พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา  ทรงทราบข่าวแล้วเสียพระทัยมาก  แต่ไม่สู้กระไรนัก   เพราะยังทรงเห็นว่าราหุลกุมารรัชทายาทองค์ต่อไปยังมีอยู่    แต่ครั้นทรงทราบว่าราหุลกุมารได้บวชเป็นสามเณรเสียแล้ว  พระเจ้าสุทโธทนะทรงเสียพระทัยมากยิ่งกว่าเมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวช  และเมื่อนันทะบวช

           พระเจ้าสุทโธทนะไม่อาจทรงระงับความทุกข์โทมนัสครั้งนี้ได้  จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม  แล้วทูลขอร้องพระพุทธเจ้าว่า  ถ้าพระคุณเจ้ารูปใดจะบวชลูกหลานชาวบ้าน   ก็ได้โปรดให้พ่อแม่เขาได้อนุญาตให้ก่อน   เพราะถ้าไม่อย่างนั้นจะทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้เป็นพ่อแม่มาก   ดุจที่พระองค์ได้รับ  เมื่อราหุลบวชในคราวนี้

            พระพุทธเจ้าทรงรับตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอร้อง  จึงทรงบัญญัติพระวินัยไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาจนทุกวันนี้ว่า  ถ้าใครจะบวช  ไม่ว่าบวชเป็นพระ หรือบวชเป็นสามเณร  ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครอง  ตลอจนญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทุกวันนี้จึงเกิดจากกรณีดังกล่าวนี้
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #59 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553 04:48:15 »


ภาพที่ ๕๔

ทรงพานันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง



          หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธบิดา  และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว  ได้เสด็จกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ   พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารที่ตามเสด็จในการนี้  พระภิกษุนันทะ  พระอนุชาผู้ถูกจับให้บวช  และราหุลสามเณรก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

         ต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี  แห่งแคว้นโกศล  ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ   กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ  พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

          แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา  พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ  ใจให้รุ่มร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน

         ความเรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า    ครั้งนั้น   พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์  เหมือนบุรุษมีกำลัง  พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ฯ

        ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  มีเท้าดุจนกพิราบ มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ ครั้งนั้นแล   พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า  ดูกรนันทะ  เธอเห็นนางอัปสร  ๕๐๐  เหล่านี้ผู้มีเท้าดุจนกพิราบหรือไม่  ท่านพระนันทะทูลรับว่า  เห็น  พระเจ้าข้า ฯ

        พ. ดูกรนันทะ  เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี  หรือนางอัปสรประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไหนหนอแลมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า ฯ

         น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   นางลิงผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้  หูและจมูกขาด  ฉันใด   นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี  ก็ฉันนั้นแล  เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  เหล่านี้  ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยว   ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว  ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น    ที่แท้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  เหล่านี้มีรูปงามกว่า  น่าดูกว่า  และน่าเลื่อมใสกว่า  พระเจ้าข้า ฯ

         พ. ยินดีเถิดนันทะ  อภิรมย์เถิดนันทะ  เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้  นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

         น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์เพื่อ  ให้ได้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้  ข้าพระองค์จักยินดี  ประพฤติพรหมจรรย์  พระเจ้าข้า ฯ

         ลำดับนั้นแล   พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน    แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน  เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียด  แขนที่คู้  หรือคู้แขนที่เหยียด   ฉะนั้น  ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า    ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค   โอรสของพระมาตุจฉา  ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุแห่งนางอัปสร  ได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคเป็นผู้รับรองท่าน   เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

         ครั้งนั้นแล    ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ   ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง  และด้วยวาทะว่าผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาว่า   ได้ยินว่า  ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง ได้ยินว่า   ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงไถ่มา   ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร  ได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร  ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ

          ครั้งนั้นแล  ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า  เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย   จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว  ไม่ประมาท  มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม  ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น   ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน   เข้าถึงอยู่   รู้ชัดว่า   ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง  ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

          ครั้งนั้นแล   เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว  เทวดาตนหนึ่งมีวรรณะ  งามยิ่งนัก  ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายบังคมแล้ว   ได้ยืนอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของพระมาตุจฉาทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป  ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่   แม้ญาณก็ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคว่า  พระนันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ

ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป    ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   
ถวายบังคมแล้ว  นั่งอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 

ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์   
เพื่อให้ได้นางอัปสร  ๕๐๐  ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ  ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้องพระผู้มีพระภาคจากการรับรองนั้น   
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรนันทะ 
แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วยใจของเราว่า    นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ   ปัญญาวิมุติ   อันหาอาสวะมิได้ 
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ 
 
แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เรา
ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
ท่าน พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป 
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน  เข้าถึงอยู่
   
ดูกรนันทะ   เมื่อใดแล  จิตของเธอหลุดพ้นแล้ว  จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น 
เมื่อนั้น  เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้ ฯ

ลำดับนั้นแล  พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว  ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว  ย่ำยีหนาม  คือกามได้แล้ว 
ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ 
ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์ ฯ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #60 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2553 05:03:51 »


ภาพที่ ๕๕

พระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส เพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก



การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพรพุทธเจ้าครั้งแรก   ดังได้บรรยายมาแล้วนั้น  เป็นเหตุให้เจ้าชายศากยะเสด็จออกบวชกันมาก  ในจำนวนนั้น  ที่มีชื่อเสียงและมีคนรู้จักกันดีจนถึงทุกวันนี้คือ  เจ้าอานนท์  หรือพระอานนท์ในเวลาต่อมา  นายภูษามาลาชื่ออุบาลีหรือพระอุบาลี  และเจ้าชายเทวทัต

         เทวทัตเป็นพระเชษฐาหรือพี่ชายของพระนางพิมพายโสธรา    ทุกคนที่ออกบวชพร้อมกันกับเทวทัต  ต่างได้บรรลุมรรคผลในเวลาต่อมาทั้งนั้น  แต่เทวทัตได้สำเร็จเพียงฌานชั้นโลกีย์   ฌานชั้นนี้ทำให้ผู้ได้สำเร็จแสดงฤทธิ์ได้เหาะก็ได้

         ครั้งหนึ่ง    พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์จำนวนมากรวมทั้งพระเทวทัต    เสด็จไปถึงกรุงโกสัมพี  ชาวเมืองได้พากันออกมารับเสด็จ  และนำของมาถวายเป็นอันมาก   ถวายของแด่พระพุทธเจ้าแล้วก็ถวายสงฆ์  แต่ละคนเที่ยวถามไถ่กันว่า "พระสารีบุตรของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน  พระโมคคัลลานะของข้าพเจ้าอยู่ไหน" ฯลฯ  เมื่อทราบแล้วก็นำของไปถวาย แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะเอ่ยชื่อของพระเทวทัตว่า "พระเทวทัตของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน"

          นั่นคือความไม่พอใจของพระเทวทัตที่เป็นสาเหตุให้พระเทวทัตก่อกรรม   หรือกระทำการรุนแรง  ในเวลาต่อมา
           
         พระเทวทัตเข้าฌานโลกีย์   เนรมิตเป็นกุมารหนุ่มน้อยใช้งูมีพิษร้าย ๗  ตัว พันเป็นสังวาลตามตัว  ตัวหนึ่งพันหัวต่างผ้าโพก อีกสี่ตัวพันข้อมือข้อเท้า อีกตัวหนึ่งพันคอ และอีกตัวหนึ่งทำเป็นสังวาลเฉวียงบ่า   เหาะเข้าไปในวัง  ลงนั่งบนพระเพลาของอชาตศัตรูผู้เป็นมกุฎราชกุมาร  และพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร  ราชาแห่งแคว้นมคธ  เทวทัตแนะนำให้อชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราชบิดา   แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์เสีย   ส่วนตัวเองจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า    แล้วจะตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ประกาศศาสนาใหม่

        เวลาไปเฝ้าเจ้าชายอชาตศัตรู   พระเทวทัตเหาะไป   แต่ขากลับพระเทวทัตเหาะไม่ไหว  ต้องเดินกลับ  เพราะใจอกุศลเกิดขึ้น  ฌานโลกีย์เลยเสื่อมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
บันทึกการเข้า
คำค้น: สมุดภาพ พุทธประวัติ ๘o ภาพ  ครูเหม เวชกร  จิตรกรฝีมือเอก  
หน้า:  1 2 [3] 4 5   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
วิสุทธิมรรค-วิมุตติมรรค โดย เสถียร โพธินันทะ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 3 4996 กระทู้ล่าสุด 24 มกราคม 2553 16:16:45
โดย เงาฝัน
มรณานุสติ : เรียนรู้ความตายอย่างมีสติ : พระไพศาล
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
เงาฝัน 9 10300 กระทู้ล่าสุด 10 มิถุนายน 2553 05:38:00
โดย เงาฝัน
ปริศนาธรรม "นิรรูป" หลวงปู่พุทธอิสระ
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เงาฝัน 0 2995 กระทู้ล่าสุด 15 มิถุนายน 2553 16:16:02
โดย เงาฝัน
สัทธรรมปุณฑรีกะสูตร บทที่ 3 เอาปัมยปริวรรต ว่าด้วยอุปมาการเปรียบเทียบ
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน 5 7860 กระทู้ล่าสุด 15 ตุลาคม 2553 16:23:02
โดย เงาฝัน
เจริญสติรับปีใหม่ (พระอาจารย์มิตซูโอะ ค
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2784 กระทู้ล่าสุด 31 ธันวาคม 2553 15:52:56
โดย หมีงงในพงหญ้า
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.422 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 17 ชั่วโมงที่แล้ว