[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 11:46:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บังอบายเบิกฟ้า กินเจ ไม่กินใจ  (อ่าน 1899 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.70 Chrome 5.0.375.70


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 25 มิถุนายน 2553 00:20:03 »

[ โดย อ.มด บอร์ดเก่า ]


http://i242.photobucket.com/albums/ff298/akapong999/glitter/greeting1/01-10-51-02.gif
บังอบายเบิกฟ้า กินเจ ไม่กินใจ

 
ถึงเทศกาลเจแล้วครับ
 
เทศกาลเจยุคปัจจุบันเห็นจะเอิกเกริกครึกครื้นกว่าสมัยโบราณ เพราะเดี๋ยวนี้เขาโหมประโคมเพื่อชวนคนไปท่องเที่ยวจังหวัดที่มีประเพณีกินเจ หรืออีกอย่างหนึ่งเพื่อโฆษณาอาหารเจ ซึ่งมีขายในโรงแรมหรูๆ มีเชฟสำแดงฝีมือทั้งการทำอาหารและการตกแต่ง นอกไปจากเป็นช่วงรณรงค์การขายเครื่องปรุงอาหารเจ เช่น ซีอิ๊วขาว
 
ผู้เขียนเคยกินอาหารเจสมัยเด็กจากโรงเจ เลยอาจตามไม่ทันวิวัฒนาการปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น คติการกินเจของคนบางส่วนเดี๋ยวนี้กระเดียดไปทางแฟชั่นก็มี นอกจากเป็นเรื่องกระแสแล้ว แถมยังข่มคนไม่กินเจอีกต่างหาก
 
กินเจกับมังสวิรัติเหมือนกันไหม
 
ต่างกันครับ
 
เจเป็นเรื่องของจีน มังสวิรัติเป็นเรื่องแขก เพราะคำว่ามังสวิรัติแปลว่า งดเว้นเนื้อสัตว์ เจก็หมายถึงเว้นเนื้อสัตว์เช่นกัน แต่วัฒนธรรมความเชื่อยังต่างกัน เพราะการกินเจถือเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง แสดงถึงความเมตตาธรรม ส่วนคนที่กินมังสวิรัติอาจจะมุ่งสุขภาพของตนเป็นหลัก ยกเว้นท่านที่กินตามคติศาสนา เช่น สิกข์นิกายหนึ่งที่ถือมังสวิรัติ กระนั้น การกินเจแม้ละเว้นเนื้อสัตว์แล้วก็จะกินพืชผักได้สารพัดก็หาไม่ ท่านว่ายังต้องเว้นผักอีก 5 ชนิด ซึ่งจะไปมีส่วนกระตุ้นกาม ผัก 5 ชนิดนี้ผู้เขียนรู้จักเพียง 3 ชนิดแรก อีก 2 ชนิดหลังไม่รู้จักจริงๆ ผักทั้ง 5 คือ กระเทียม ต้นหอม กู๋ไฉ่ หลักเกี๋ย และเฮงกื๋อ
 
คนกินเจที่รู้สึกว่าตนมีศีลสูงกว่าคนไม่กินเจนั้น เห็นจะยังเป็นคนไม่ถึงธรรม จึงมี "ตัวกู-ของกู" มีความยึดมั่นถือมั่น มีความสำคัญมั่นหมาย อันที่จริงการกินเจนั้นดีแล้วหากต้องไม่ยกตนข่มท่าน การกินเจจะก่อเกิดการกินใจกันไปเปล่าๆ
 
สำหรับชาวพุทธด้วยกันอาจเห็นต่างกันตามลัทธนิกาย ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน พระภิกษุท่านฉันอาหารเจ แต่ท่านฉัน 3 มื้อ ซึ่งคงถือว่าเมื่อไม่บิณฑบาตเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน มีโรงอาหารทำอาหารเจถวายจึงฉัน 3 มื้อ ขณะพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทดังในไทย ลาว เขมร พม่า ลังกา นั้น บิณฑบาตขอชาวบ้านตามพุทธานุญาตและโดยพระวินัยให้ฉัน 2 มื้อ ฉันเนื้อสัตว์ได้ เพราะถือว่าชาวบ้านเขากินอะไรก็แล้วแต่เขาจะตักบาตร เป็นพระก็ต้องทำตัวเป็นคนเลี้ยงง่าย ทั้งนี้เป็นเรื่องการถือพระวินัยต่างกัน ถึงนิกายเดียวกันบางทียังตีความพระวินัยต่างกัน เช่น หลวงญวนบรรพชิตมหายานในไทย ท่านออกบิณฑบาตเยี่ยงเดียวกับพระไทยแล้วก็ฉันเพียง 2 มื้อ อาจเป็นการปรับตนเข้ากับสังคม สำหรับนิกายเถรวาทอย่างไทยเราถือพระวินัยว่าเมื่อเลขเวลาเที่ยงวัน ภิกษุสามเณรจะฉันจังหัน (อาหาร) ที่ขบเคี้ยวไม่ได้ พระลังกาก็ถือตามนี้ เว้นไว้ที่เวลาวิกาลของท่านสิ้นสุดเมื่อเที่ยงคืน เลยเที่ยงคืนแล้วถ้าเจ้ากูที่ศรีลังกายังไม่จำวัด เกิดหิวขึ้นมาย่อมฉันอาหารได้ตามอัธยาศัย
 
ทำไมภิกษุฝ่ายมหายานฉันเจตลอดชีวิต ซึ่งมีผลให้อุบาสก อุบาสิกา พลอยถือเจตามไปด้วยในเดือนเก้า ความพยายามของฝ่ายกินเจจะสมานฉันท์กับฝ่ายไม่กินเจ ได้อ้างว่าแม้พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามเด็ดขาดว่าห้ามพระสาวกฉันเนื้อสัตว์ แต่พระพุทธองค์ไม่เสวยแน่
 
ข้อดังกล่าวเป็นการคาดคะเนไม่ตรงกับความจริงนัก เนื่องจากมีพระคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทชื่อว่า ปรมัตถโชติกา อรรถกถาสุตตนิบาต จูฬวรรคที่ 2 อามคันธสูตรที่ 2 ยืนยันว่าเมื่อมีผู้นำปลาและเนื้อปรุงอาหารมาถวาย ได้ทรงรับประเคนและเสวย
 
ที่มาของพระสูตรนี้เกิดขึ้นเมื่อมีฤๅษีหรือดาบสผู้ไม่กินเนื้อสัตว์ กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้าว่าเบียดเบียนสัตว์ ไม่เป็นผู้ทรงศีลที่แท้จริง หัวหน้าฤๅษีคณะนี้คือพราหมณ์อามคันธะ ท่านเป็นผู้ซักไซร้ว่า "ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ พระองค์เสวยกลิ่นดิบหรือไม่เสวย"
 
กลิ่นดิบคงมีความหมายเดียวกับชอในภาษาจีน
 
วิธีการของพระพุทธเจ้านั้น ทรงตั้งต้นด้วยภาษาอันเป็นสมมุติ โดยตรวจสอบว่าภาษานั้นมีความหมายตรงกันหรือไม่ โดยเฉพาะภาษาคนกับภาษาธรรม
 
จึงตรัสถามพราหมณ์ว่ากลิ่นดิบคืออะไร พราหมณ์ทูลว่า ปลาและเนื้อชื่อว่ากลิ่นดิบ นั่นคือภาษาคน จากนั้นตรัสด้วยภาษาธรรมว่า "ดูก่อนพราหมณ์ ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ ก็แลกิเลสทั้งปวงที่เป็นบาป เป็นอกุศลธรรม ชื่อว่ากลิ่นดิบ"
 
อีกทั้งเทศน์โปรดว่า ความสงสัยเรื่องบริโภคปลาและเนื้อ มิได้มีเพียงในสมัยของพระองค์เท่านั้น อดีตกาลสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่ากัสสป ได้เคยมีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมาแล้ว
 
ล่วงมาถึงสมัยพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า เคยมีพระเทวทัตทูลต่อพระองค์เรื่องวัตถุ 5 อีกด้วย กล่าวคือ
 
1.ให้พระภิกษุอยู่ป่าตลอดชีวิต
 
2.รับบิณฑบาตตลอดชีวิต ห้ามรับนิมนต์
 
3.ถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ไม่รับประเคนไตรจีวรจากที่มีผู้ถวาย
 
4.อยู่โคนไม้ (รุกขมูล) ตลอดชีวิต ไม่เข้าอาศัยที่มุงหรือบัง
 
5.ห้ามฉันปลาและเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
 
ฟังดูออกจะขลังดี เคร่งครัด เข้มงวด แต่ไม่เป็นการเดินทางสายกลาง เผื่อคนที่ต้องการเลือกปฏิบัติแตกต่างหากไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย กรณีนี้ตรัสไว้ปรากฏในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ 10
 
"อย่าเลยเทวทัต ภิกษุใดปรารถนาอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ภิกษุใดปรารถนาอยู่บ้านก็จงอยู่ (หมายถึงหมู่บ้าน) ภิกษุใดปรารถนาบิณฑบาตจงเที่ยวไปบิณฑบาต ภิกษุใดปรารถนาการรับนิมนต์ (เช่น รับนิมนต์ฉันเช้าฉันเพล) จงรับนิมนต์ ภิกษุใดปรารถนาถือผ้าบังสุกุล (ยินดีนุ่งห่มผ้าจากที่เขาห่อศพมาย้อมจีวร) ก็จงถือผ้าบังสุกุล ภิกษุใดยินดีรับผ้าอันคหบดีถวายก็จงรับ"
 
เรื่องเนื้อและปลา ภิกษุควรฉันอย่างไร
 
ได้ตรัสไว้ในพระวินัยที่อ้างแล้วว่า
 
"เราอนุญาตปลาและเนื้อบริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่าง คือ 1.ไม่ได้เห็น 2.ไม่ได้ยิน 3.ไม่ได้รังเกียจ"
 
หลักใหญ่คือ ภิกษุเป็นผู้ขอยังชีวิตด้วยผู้อื่น จึงควรตามแต่จะหาได้ไม่เรื่องมาก เป็นผู้เลี้ยงง่าย ทว่าอาหารบิณฑบาตนั้นยังมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ข้อ
 
ที่ว่าไม่ได้เห็นนั้น หมายถึง ไม่เห็นว่าเขาฆ่าสัตว์เพื่อนำมาถวายภิกษุนั้นเป็นการเฉพาะ ซึ่งกลายเป็นทำให้สัตว์ต้องตาย ส่วนเขาฆ่ากินของเขาแล้วแบ่งมาถวายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
ที่ว่าไม่ได้ยิน หมายถึง ไม่รับทราบว่าใครเขามาบอกว่าจะฆ่าสัตว์มาถวาย
 
ที่ว่าไม่ได้รังเกียจ หมายความว่า พิจารณาดีแล้วว่าเนื้อสัตว์นั้นไม่ขัดพระวินัย หรือได้ยินโยมบอกว่าจะฆ่าสัตว์ทำอาหารมาถวาย จะต้องห้ามเขา หรือเมื่อเขาไปทำมาแล้วนำมาถวาย ต้องไม่รับประเคน
 
เนื้อที่มีพระวินัยบัญญัติห้ามภิกษุฉันมี 10 อย่าง คือ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาวและเนื้อหมี
 
สำหรับการกินเจละเว้นเนื้อสัตว์ของพระภิกษุฝ่ายมหายาน น่าจะเป็นเพราะคัมภีร์มหายานรับอิทธิพลจากคำกราบทูลพระพุทธเจ้าของพระเทวทัต ขณะเดียวกันถ้ามองปูมหลังของจีนและการรับพระพุทธศาสนา ก่อนพระโพธิธรรมตั๊กม้อไปเมืองจีน ได้มีลัทธิเต๋าในจีนอยู่ก่อนแล้ว เต้าสือหรือนักพรตเต๋าล้วนกินเจพร้อมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ให้กินเจ
 
อย่างไรก็ดี การกินเจนั้นเป็นเรื่องดี แสดงความเมตตา และต้องรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ด้วย ในฝ่ายมหายานนั้นมีสิกขาบทพระโพธิสัตว์ ที่ถือเป็นความผิดอันหนักหรือครุกาบัติ 10 ข้อ และลหุกาบัติ 48 ข้อ เช่น เผลอไปกินผักอย่างหนึ่งอย่างใดใน 5 ชนิดที่กล่าวแล้ว ต้องอาบัติอย่างเบา แต่ถ้ากินเจแล้วกล่าวร้ายพุทธบริษัทหรือยกตนข่มท่าน ก็จะต้องอาบัติหนัก
 
การกินเจมิใช่เรื่องเพียงวัตถุหรือรูปแบบ ยังต้องสนใจทางจิตใจและเนื้อหาด้วย ปลายทางคือการเข้าถึงพุทธธรรม กินเจเป็น กินเจถูกต้อง ย่อมไม่ขัดแย้งกับใคร ไม่ก่อเกิดความกินใจ ไม่เป็นการทำบุญเอาหน้าหรือสร้างภาพ หรือสักแต่ภาวนากันตาย
 
โครงสร้างอาหารเจน่าจะจำแนกออกเป็นผัก แป้งและน้ำมัน สมัยก่อนความรู้โภชนาการยังไม่มีมากนัก คิดด้วยความคิดปัจจุบันย้อนนึกถึงอดีตแล้วใจหาย เพราะบรรดากับข้าวที่ผัดล้วนน้ำมันเยิ้ม ใครไม่ชอบผัก พอมากินเจย่อมเลือกกินกับข้าวที่ทำจากแป้ง เวลานี้ความรู้ทางโภชนาการดีกว่าแต่ก่อน การกินเจการทำกับข้าวเจมีข้อพิจารณาในทางปฏิบัติให้ดีขึ้นเพื่อสุขภาพด้วย
 
บางคนไม่กินเจแต่ชอบแซว เลยแอบอ้างว่ากินเหมือนกัน หากกินเฉพาะน้ำเจซึ่งกินได้ทั้งผสมโซดา และน้ำอำพันฟองพรายทำนองนั้น ถ้ากินอย่างนั้นเป็นเจ ป่านนี้นักการเมืองและคุณหมอสาธารณสุขยุคไทยขลุกขลัก โกงกันเข้มแข็ง คงมีข้ออ้างเพียบว่ากำลังกินเจ เพราะกินโรงพยาบาล กินเครื่องมือแพทย์ ฯลฯ
 
เป็นเรื่องกินแหนงแคลงใจกันไม่จบ แล้วความหวัง ความศรัทธาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐบาลทุกรัฐบาลต่างมากอบโกย โกงกินอย่างหิวโหย ไม่มีสักรัฐบาลพอเป็นตัวอย่างบ้างหรือ
 
เพราะอย่างดีที่สุดจะได้เพียงหัวหน้ารัฐบาลพายเรือให้โจรนั่ง!
 

http://www.thaipost.net/sunday/181009/12405




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: กินเจ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.37 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 09 เมษายน 2567 23:02:59