[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 03:34:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระมหาเถระโพธิสัตว์ เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ  (อ่าน 3792 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 มิถุนายน 2553 19:48:03 »







พุทธปรินิพพานมา พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ เริ่มต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา
 
ประชาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตใจในทาง พระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา ดังนี้ บัดนี้ก็จวน(๑)จะถึงสมัยกึ่งพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เงาเจริญแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มปรากฎแล้ว ชาวอัศดงคตประเทศกำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น แต่ใครเป็นตัวการตามทำนายนั้น ยิงมิได้เป็นที่ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้น ก็แปลว่า ชาวพุทธผู้ให้
------------------------------------
๑. ถึงแล้ว คือ พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๑๖
 
 
 
หน้า 375

 
คำทำนายไว้นั้น มีทิพพจักขุวิเศษที่สุดได้แน่ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย.
 
ทีนี้ ลองหันไปพิจารณาเหตุการณ์ตามพุทธทำนายดูบ้างว่าเป็นจริงเพียงไร จะได้นำมาให้พิจารณาเฉพาะข้อที่พอจะมองเห็นความจริงได้ คำทำนายนั้นปราชญ์ทางภาคอิสานประพันธ์เป็นคำโคลง และใช้โวหากเป็นปฤษณาโดยมาก ต้องแปลความหมายถูกต้อง จึงจะทราบว่าคำทำนายนั้นถูกต้องกับความจริง คำทำนายเริ่มต้นว่า เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๒๐๐๐ ปีเมื่อไร เหตุการณ์ต่างๆ แปลกประหลาดจะเกิดขึ้นในโลก คือภิกษุในพระพุทธศาสนา จะเกิดนิยมสะสมเงินทองซื้อจ่ายขายกิน ลูกศิษย์จะไม่ยำเยงเกรงกลัวครูบาอาจารย์ คนแก่คนเฒ่าจะถูกเด็กๆ เย้าหยอกเล่นดั่งเพื่อนๆ หญิงชายอายุ ๑๓ ปี สามารถมีลูกได้ ฟองน้ำจะกลายเป็นรูปช้างแผดเสียงไปตามลำแม่น้ำ หมายถึงเรือยนต์กลไฟ หินก้อนเบ้อเร่อ
 
 
 
หน้า 376

 
จะฟูน้ำและไหลไปตามน้ำได้ หมายความว่าจะมีวัตถุทำด้วยหินลอยน้ำได้ หรืออีกนัยหนึ่งคนซึ่งเคยเป็นผู้หนักแน่นในศีลธรรม จะกลายเป็นคนใจเบา ผันแปรไปตามกระแสกิเลสซึ่งเปรียบด้วยน้ำ
 
นักปราชญ์จะทำการทดน้ำตามห้วยหนองคลองบึงบางต่างๆ จนทำให้น้ำไม่ไหลเหมือนแต่ก่อน ในที่สุดที่ขังน้ำนั้นๆ ก็จะขาดเขินน้ำแห้งผากไป, คางคกจะร้อง(๑)ขัดฝน หมายความว่า มนุษย์จะประดิษฐเครื่องทำฝนเสียเอง ไม่ต้องง้อธรรมชาติ, ไส้เดือนและปลากั้งจะบิน หมายความว่า จะเกิดมีสายโทรเลข โทรศัพท์ ซึ่งมีลักษณะเหมือนไส้เดือน และจะเกิดมีอากาศยานซึ่งมีรูปลักษณะคล้ายปลากั้งบินบนได้, หนูจะทำฤทธิ์ให้แมวกลัว หมายความว่า คนจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยอ่อนน้อมยอมกลัวผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ จะเกิดความฮึกหาญทำการให้คนผู้ยิ่งใหญ่ยอมกลัวได้, หมาจิ้งจอกจะเห่าช้าง หมายความว่าบุคคลจำพวกหนึ่งซึ่งมีลักษณะ
---------------------------------------------
๑. ฝนเทียม.
 
 
 
หน้า 377

 
เหมือนหมาจิ้งจอกจะเกิดหาญ กล่าวติเตียนบุคคลผู้มีลักษณะเหมือนช้าง, กุ้งจะกุมกินปลาบึก หมายความว่า คนโกงจะโกงกินคนดีมีศีลมีธรรม, ปลาซิวจะไล่กัดจระเข้ จระเข้จะหนีไปซ่อนอยู่ตามเงื้อมผา หมายความว่า คนใจเบาเหมือนปลาซิว จะทำการขับไล่คนโตซึ่งเปรียบเหมือนจระเข้ ให้ต้องหลบหลีกปลีกตัวไปหลบซ่อนอยู่ตามหุบผา ฯลฯ ลองพิจารณาดูซิว่า เป็นจริงหรือไม่ในปัจจุบันนี้
 
ทีนี้ลองหันมาพิจารณาดูคำทำนายของบุคคลยุคใหม่ ซึ่งพอจะรู้เรื่องกันได้อยู่บ้าง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงเทพฯ นี้ทรงพยากรณ์ว่า ความสุขสมบูรณ์ของพระราชวงศ์ของพระองค์ จะดำรงอยู่แค่ ๑๕๐ ปี พอครบกำหนดก็เกิดการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตย กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศทันที เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) เมื่อไปสร้างวัดเขาพระงามที่จังหวัดลพบุรี
 
 
 
หน้า 378-379

 
สร้างพระพุทธรูปใหญ่ไว้บนไหล่เขา ให้นามพระว่ากึ่งยุค คือ ท่านคิดว่าในสมัยกึ่งพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง คล้ายสมัยพุทธกาล ท่านพิจารณาดูชีวิตของท่าน จะไม่ได้อยู่เห็นสมัยนั้นแต่คิดอยากทำอะไรไว้เป็นที่ระลึก สำหรับกึ่งยุคบ้างจึงคิดคำนวณนับแต่วันตรัสรู้มา จนถึงเวลาที่ท่านสร้างพระพุทธรูปใหญ่นั้นครบ ๒๕๐๐ ปีพอดี จึงได้จัดการฉลองและขนานนามพระพุทธรูปนั้นว่า พระกึ่งยุค
 
ในคราวมีงานฉลองวัดและพระพุทธรูปใหญ่นั้น มีผู้แต่ว่าท่านว่า มาสร้างวัดไว้ในป่าในดงใหญ่โต ต่อไปจะมีใครมาดูแลรักษาทำเสียเงินเสียทองไปเปล่าๆ ท่านจึงกล่าวตอบเป็นคำทำนายว่า ต่อไปไม่นานสถานที่นี้จะมีบ้านเมืองคนอยู่เต็ม มีไฟฟ้าใช้สว่างไสวทั่วไป แม้กระทั่งในวัดนี้ดังนี้ บัดนี้เหตุการณ์ก็เป็นจริงดั่งที่ท่านทำนายไว้ทุกประการ ท่านเหล่านี้ต้องมีอนาคตังสญาณอันเป็นส่วนหนึ่งของทิพพจักขุญาณแน่ๆ จึงสามารถทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เช่นนั้น.
 
ชาวประมงที่ลงหาปลาในทะเล ขณะที่เขาลงดำน้ำหาปลานั้น ถ้าจะมีภัยจากปลาใหญ่ เช่นปลาฉลามหรือปลาหมอ เขาสังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำเป็นทางมาก่อน ถ้ารีบขึ้นจากน้ำเสียทันทีก็พ้นภัย โดยนัยเดียวกัน เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่จะมีมาในอนาคต ย่อมมีเงามาก่อน ผู้มีตาดี ย่อมสังเกตเห็น และคาดการณ์ถูกต้องดั่งตัวอย่างที่ให้ไว้แล้ว ส่วนเหตุการณ์ในอดีตไกลนั้นย่อมทิ้งเงาหรือร่องรอยไว้ในวัตถุสถาน หรือพื้นที่นั้นให้คนตาดีหยั่งทราบได้เช่นเดียวกัน
 
นักปราชญ์ทางโบราณคดี ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ หยิบวัตถุโบราณขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พิจารณาดูอยู่ครู่เดียว ก็บอกได้ว่าเป็นของทำในสมัยไหน ชนชาติใดเป็นคนทำ การที่นักโบราณคดีทราบได้เช่นนั้น นอกจากรูปลักษณะและความนานของวัตถุนั้นเป็นเครื่องบอกแล้ว กระแสจิตของผู้สร้างวัตถุนั้น ซึ่งยังตราติดอยู่กับวัตถุนั้นเป็นเครื่องบอกอีกด้วย คือพอสัมผัสวัตถุนั้นเข้า กระแสจิตอันตราติดอยู่กับวัตถุ ก็เล่นเข้าสัมผัสกับจิตใจของ
 
 
 
หน้า 380-381

 
ผู้จับต้องทันที นักโบราณคดีซึ่งเป็นผู้ละเอียดละออมีสมาธิแน่วแน่ จึงสามารถรับทราบสัมผัสกระแสจิตนั้น มองเห็นภาพความเป็นไปในอดีต อาจวาดภาพพิสดารกว้างขวางได้ด้วย เราจึงรู้สึกแปลกใจ ในการที่นักโบราณคดี วาดภาพเหตุการณ์ของบ้านเมืองในอดีตได้เป็นคุ้งเป็นแคว คล้ายได้เห็นมาด้วยตาตนเองฉะนั้
 
ศาสตราจารย์ ยอร์ชเซเดส์ ได้ไปสำรวจเมืองอู่ทองแรมคืนในที่นั้นเพียงคืนเดียว เขาสามารถบรรยายภาพเหตุการณ์ของเมืองอู่ทองสมัยยังดีกับสมัยเมืองแตก ให้เราฟังอย่างกะเขาได้เห็นกะตาของเขาเอง การที่เป็นได้เช่นนั้น ก็เนื่องด้วยความมีสมาธิแน่วแน่ของเขาสามารรับสัมผัสกับกระแสจิตของคนในอดีตได้ ทั้งมองเห็นภาพทางใจคล้ายเห็นด้วยตาธรรมดาอีกด้วย เขาจึงสามารถบรรยายภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ดี และมีส่วนถูกต้องตรงกับความจริงเป็นส่วนมาก ดั่งเป็นที่ยอมรับรองความจริงทางประวัติศาสตร์นั้นแล้ว
 
นอกจากความรู้เห็นเหตุการณ์ในส่วนอดีตและอนาคตแล้วยังมีความรู้เห็นเป็นส่วนปัจจุบันเฉพาะหน้าอีกด้วย ผู้มีจิตใจเป็นสมาธิแน่วแน่ จะสามารถรู้เห็นเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ ได้ล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะมาถึง คล้ายชาวประมงรู้จักคลื่นภัยจากปลากใหญ่ในทะเลฉะนั้น เหตุการณ์ประจำวันโดยมากเป็นเหตุการณ์เล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ถ้าเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตสลักสำคัญ จะมีเงามาปรากฏล่วงหน้านานๆ ผู้มีญาณจะเห็นสภาพเหตุการณ์นั้นล่วงหน้าแต่เวลาเนิ่นๆ ญาณทั้ง ๓ ส่วนนี้แหละเป็นส่วนประกอบของทิพพจักขุญาณ ฉะนั้น จะได้กำหนดลักษณะญาณทั้ง ๓ ประการนี้ไว้พอเป็นที่สังเกตของผู้สนใจศึกษา ดังต่อไปนี้ :-
 
๑.อตีตังสญาณ ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในส่วนอดีตกาลนานไกล มีลักษณะให้มองเห็นภาพเหตุการ์ล่วงมาแล้วขึ้นในมโนทวาร แล้วรู้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร แต่ครั้งไหน บุคคลผู้มีญาณชนิดนี้ เมื่อไปที่ไหน จะทราบเรื่องราวของที่นั้นในสมัยอดีต
 
 
 
หน้า 382-383

 
ตามความเป็นจริง เหมือนตนเองได้เห็นมา ถ้าเป็นนักประวัติศาสตร์ จะสามารถเขียนบรรยายเหตุการณ์บ้านเมืองนั้นๆ ในสมัยอดีตได้ดี เป็นที่น่าอัศจรรย์เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วนับตั้งหลายพันปี หรือยิ่งกว่าก็ตาม ภาพของเหตุการณ์นั้นๆ ยังเหลือติดอยู่กับที่นั้น ไม่ลบเลือนไปตามกาลเวลา จิตใจของคนผู้อยู่อาศัยสถานที่นั้นในสมัยนั้นเป็นอย่างไร ก็ย่อมทิ้งกระแสให้ตราติดอยู่กับวัตถุสถานหรือพื้นภูมินั้น ไม่ลบเลือนไปง่าย ๆ เช่นเดียวกัน อนึ่งบุคคลผู้เคยอยู่อาศัยสถานที่นั้น แม้ตายไปแล้วตั้งนาน ๆ วิญญาณของเขา ก็ยังเฝ้าแฝงอยู่ ณ ที่นั้นก็มี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้มีญาณสามารถเห็น และรู้สึกทางมโนสัมผัสได้จึงสามารถรู้เรื่องราวขึ้นได้ ข้าพเจ้าขอให้ข้อสังเกตสำหรับผู้ได้รับอบรมจิตในทางสมาธิ เพื่อกำหนดรู้เหตุการณ์ในอดีต ดังต่อไปนี้ :-
 
ถ้าท่านไปพัก ณ ที่ใด ถ้าที่นั้นเป็นที่ซึ่งท่านเคยอยู่ อาศัย หรือเคยเกิดตายมาแล้ว เมื่อท่านทำความสงบใจแม้เพียงขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น ภาพเหตุการณ์ในอดีตจะมาปรากฎเกิดขึ้นในมโนทวาร เหมือนภาพบนจอภาพยนตร์ ฉะนั้น แล้วจะเกิดญาณหยั่งรู้ตามภาพนั้นขึ้นในลำดับ ถ้าไม่รู้ถึงกำหนดถามในใจว่าเป็นภาพอะไรเมื่อไร แล้วทำความสงบต่อไปให้เข้าถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔ แล้วเคลื่อนจิตออกมาเพียงขั้นอุปจารสมาธิ ก็จะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นตามเป็นจริง ถ้าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิต จะกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ทราบเรื่องตลอด
 
ถ้าที่นั้นมิได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านในกาลอดีตมาเลย จะไม่มีภาพเช่นนั้นปรากฎขึ้นเอง ถ้าท่านอยากทราบว่าในอดีตที่นั้นเคยเป็นอะไร พึงทำความสงบใจถึงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดถามในใจว่า ที่นี้เคยเป็นอะไร แล้วทำความสงบใจต่อไป จนถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔ ยั้งอยู่ในฌานพอสมควรแล้วจึงเคลื่อนจิตถอยออกมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ภาพเหตุการณ์ในอดีต ก็จะปรากฎขึ้นตามเป็นจริง ถ้าที่นั้นเคยเป็นอะไรมาก่อนก็จะปรากฏภาพ และจะเกิด
 
 
 
หน้า 384-385

 
ญาณหยั่งรู้ขึ้น ถ้ายังไม่รู้ก็พึงปฏิบัติโดยนัยก่อนก็จะรู้เรื่องได้.
 
เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ จะได้สังเกตและค้นคว้ามาเขียนเรื่องราวในสมัยดึกดำบรรพ์ของแหลมทองสู่กันฟัง ประดับสติปัญญา จะวาดภาพแหลมทองในสมัย ๔,๐๐๐ ปี ก่อนโน้นไว้ ดังต่อไปนี้ :-
 
นับถอยหลังคืนไปจากปัจจุบันนี้ ประมาณ ๔,๐๐๐ ปี แผ่นดินที่รู้กันว่าสุวรรณภูมินี้ มีอาณาเขตตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของอ่างเบ็งกอล ไปจดฝั่งอ่าวตังเกี๋ย ด้านเหนือสุดจดถึงเทือกเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกด้านใต้จดถึงชวามลายู ดินแดนภายในเขตที่กำหนดนี้เป็นที่อยู่ของชนชาติเผ่าผิวเหลืองหรือขาวใส รูปร่างสันทัดหน้ารูปไข่ ผิวพรรณละเอียดเกลี้ยงเกลามีชื่อเรียกว่า มงเก่า คือชาติมงคลเก่านั่นเอง บาลีเรียกว่า อริยกชาติ เรียกเสียใหม่ว่าอารยันเก่าก็ได้ เพราะมีอารยันใหม่เกิดขึ้นทางอินเดียแล้ว แต่เดิมนั้นชนชาตินี้มีภูมิลำเนาอยู่แถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกตรงเหนืออ่าวเบ็งกอล
 
เมื่ออารยันใหม่ คือ ชนชาติผิวขาวหลั่งไหลลงมาจากด้านเหนือเขาหิมาลัย ข้ามตรงที่ลาดต่ำของเขาหิมาลัยด้านตะวันตก ยกเข้าครอบครองผืนแผ่งดินเหนืออ่าวเปอร์เซีย แล้วร่นมาทางตะวันออกจนถึงใจกลางชมพูทวีป รุกไล่เข้าของถิ่นเดิม คือชนชาติผิวดำให้ร่นลงไปทางใต้สุดของชมพูทวีป และรุกเบียดชาติมงเก่าให้รุดหน้ามาสู่สุวรรณภูมิ ก็ได้ครองความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ทั่วไปเพราะมีวัฒนธรรมดีกว่า เจ้าของพื้นที่ซึ่งเป็นชนชาติป่าเถื่อนทั่วไป
 
ได้มีการปกครองกันโดยระเบียบเรียบร้อย เป็นอาณาจักรหลายอาณาจักร คือ ผืนแผ่นดินที่เป็นประเทศพม่ามอญเดี๋ยวนี้ ด้านตะวันตกจดอ่าวเบ็งกอล ด้านตะวันออกจดถึงเขาธงไชย ด้านใต้จดถึงฝั่งทะเล ด้านเหนือจดถึงแดนภูตันตะเชิงเขาหิมาลัย มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่าสุรรมวดี มีนคร
 
 
 
หน้า 386-387

 
หลวงชื่อ สุธรรมนคร ตั้งอยู่ฝั่งทะเลใต้ ปากอ่าวเบ็งกอล ลงไปที่เรียกในบัดนี้ว่า เมือง สเทิม ผืนแผ่นดินที่เป็นแหลม ยื่นลงไปในทะเลตั้งแต่ เหนือจังหวัดนครปฐม ลงไปจนถึงชาวมลายู อาณาจักรหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า ศรีวิชัย มีนครหลวงชื่อ นครชัยศรี ตั้งอยู่ที่ฝั่งทะเลตรงจังหวัดนครปฐม เดี๋ยวนี้เป็นเมืองท่าค้าขาย ผืนแผ่นดินแถบเชิงเขาบรรทัดด้านใต้ ตั้งแต่สุดแหลมทองตะวันออกไปจนจดเขาธงไชยตะวันตก ด้านเหนือถึงที่ตั้งจังหวัดอุตรดิตถ์เดี๋ยวนี้ ด้านใต้จดเขตศรีวิชัยราวเมืองสุพรรณบุรี เป็นอาณาจักรหนึ่ง มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า ทวาราวดี มีนครหลวงชื่อ สุรบุรี ตั้งอยู่ฝั่งอ่าวทางตะวันออกใต้ พระพุทธบาท สระบุรีลงไปหน่อยหนึ่ง
 
เมืองลพบุรีเวลานั้นเป็นเมืองปากอ่าวภาคเหนือ ของประเทศไทยปัจจุบันนี้ และเลยขึ้นไปจนถึงดินแดนที่เป็นมหรัฐตุงคราศรีเดี๋ยวนี้ เป็นอาณาจักรหนึ่งมีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า โยนก มีนครหลวงชื่อ ชยเสนะ ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำโขง ตอนเหนือของประเทศลาวเดี๋ยวนี้ เป็นอาณาจักรหนึ่ง มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า พนม มีนครหลวงชื่อ โพธิสาร ตั้งอยู่บนเกาะในทะเลสาบตรงที่เป็นเมืองสกลนครเดี๋ยวนี้ ผืนแผ่นดินในที่ราบของแม่น้ำโขง ตอนบนด้านตะวันออก เขาหิมาลัย มีทะเลสาบใหญ่สองแห่งคือ หนองแสและกาหลง ด้านเหนือจดเขาล้านช้าง ด้านใต้จดเขาล้านช่อง ด้านตะวันออกจดเขาอว่ายลาว ด้านตะวันตกจดแดนภูตันตะ เป็นอาณาจักรหนึ่งมีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า แถน มีนครหลวงชื่อเมืองหนองแส หรือเมืองแถน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบหนองแส
 
ภายหลังมาแยกเป็นสองอาณาจักร ตอนใต้เรียกชื่อว่าอาณาจักว่า แมน ตั้งอยู่ฝั่งทะเลสาบกาหลง แม่น้ำสำคัญของสองอาณาจักรนี้ นอกจากแม่น้ำโขงซึ่งไหลผ่านจากเหนือลงใต้ ทางด้านตะวันตกของอาณาจักรแล้ว อาณาจักรแถนมีแม่น้ำลูกยางไหลผ่านไปทางตะวันออก ตกทะเลจีนส่วนอาณาจักรแมนมีแม่น้ำบั้งลมกับบั้งไฟ ออกจาก
 
 
 
หน้า 388-389

 
ทะเลสาบกาหลง ไหลไปตกทะเลกวางตุ้ง.
 
อีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งเป็นของชนชาติผิวเหลืองเหมือนกัน ตั้งอยู่ตรงผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิด้านตะวันออก มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ออกจากเขาล้านช่องไหลไปตกทะเลตังเกี๋ย ผืนแผ่นดินยาวไปตามชายทะเลจากเหนือลงใต้ ถึงที่เป็นประเทศเขมรบัดนี้ เรียกชื่ออาณาจักรในครั้งนั้นว่า จุลลณี หรือณีเฉยๆ มีนครหลวงชื่ออารวี หรือวีเฉยๆ สมัยหลังต่อมาเรียกเมืองหล้าน้ำ ประชาชนชาติเผ่าผิวเหลืองในอาณาจักรดังกล่าวทั้งหมดนี้ พูดภาษาเป็นคำพยางค์เดียวโดดๆ แต่ละคำมีความหมายตายตัว เป็นถ้อยคำฟังเข้าใจง่ายและไพเราะสละสลวย มีหลักภาษาเป็นระเบียบแบบแผน เป็นภาษาเดียวกันกับชนชาติเผ่าผิวเหลือง ซึ่งยังอยู่ ณ ดินแดนแถบเชิงเขาหิมาลัยเหนือ่าวเบ็งกอลขึ้นไป
 
ในสมัยพุทธกาล หมอชีวกโกมารภัจจ์ไปทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปอยู่ในราชสำนักพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ในสุวรรณภูมินานถึง ๑๒ ปี ครั้นกลับไปกรุงราชคฤห์ประเทศมคธแล้วได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลสนทนาด้วยภาษาชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสด้วยได้อย่างสนุกสนาน หมอชีวกหลากใจจึงกราบทูลภาม ตรัสตอบว่าเป็นภาษากำเนิดของพระองค์เอง ชาวศากยะพูดกันด้วยภาษานี้ หมอชีวกจึงกราบทูลชมว่าเป็นภาษาไพเราะสละสลวยฟังเข้าใจง่าย แต่ละคำมีความหมายตายตัว
 
หลังพุทธปรินิพพานต่อมาประมาณ ๓๐๐ ปีเศษ พระโสณเถระกับพระอุตรเถระ เป็นหัวหน้าคณะ ถูกจัดส่งมาทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ท่านข้ามอ่าวเบ็งกอลขึ้นบกที่เมืองสุธรรมนคร ประเทศสุธรรมวดี เดินมาสู่นครชัยศรี ประเทศศรีวิชัย แล้วเลียบอ่าวขึ้นมาลพบุรี สุรบุรี ประเทศทวารวดี ขึ้นเหนือไปโดยลำดับถึงประเทศโยนก ซึ่งมีเมืองชยเสนะเป็นราชธานี ที่ทราบกันภายหลังนี้ว่าเมืองเชียงแสน แล้วล่องลงไปตามลำแม่น้ำโขงถึงประเทศพนมซึ่งมีเมืองโพธิสารเป็นราชธานี ได้ยับย้ำทำการอยู่ประเทศนี้นาน พระพุทธศาสนา
 
 
 
หน้า 390-391

 
เจริญรุ่งเรืองในประเทศนี้มาก ได้จัดส่งปราชญ์แห่งประเทศนี้ไปทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังอาณาจักร แถน แมน และจุลลณี จนถึงอาณาจักรจีนเป็นที่สุด พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากฐานลงในดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๔ เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันบัดนี้ ประชาชนเผ่าผิวเหลือง ดูเหมือนจะถือว่าเป็นพระศาสนาของพระมหามุนีแห่งเชื้อชาติของตนเองซึ่งจะละทิ้งเสียมิได้ทีเดียว.
 
๒. อนาคตังสญาณ ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในอนาคตไกล มีลักษณะให้มองเห็นภาพเหตุการณ์อันจะมีในอนาคตซึ่งปรากฎชัดในมโนทวาร แล้วหยั่งรู้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไร ณ ที่ไหน บุคคลผู้มีญาณชนิดนี้ สามารถพยากรณ์เหตุการณ์อนาคตได้แม่นยำดุจตาเห็น ดั่งสมเด็จพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า บ้านปาฏลีจะเป็นที่แก้ห่อสินค้าในอนาคตและจะเป็นมหานครเจริญรุ่งเรือง ซึ่งต่อมาไม่นานก็เป็นจริงดังพยากรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของอินเดีย คือ ปัฏนา ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่าเมืองปาฏลีบุตร เป็นนครหลวงของอินเดีย รุ่งเรืองที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชครองชมพูทวีป.
 
ได้ทรงพยากรณ์ว่า พระอานนท์จะทรงบรรลุภูมิพระอรหันต์ ในวันเริ่มทำปฐมสังคายนา ก็สมจริงดังทรงพยากรณ์ ได้ทรงพยากรณ์เหตุการณ์เกี่ยวกับพระศาสนาของพระองค์ ไว้หลายเรื่องหลายตอน ระบุชื่อบุคคลผู้ที่จะเป็นหัวหน้าทำสังคายนาไว้ถูกต้องหมดทุกครั้งทั้ง ๓ ครั้งที่ทำในชมพูทวีป ทรงพยากรณ์เหตุการณ์ของพระศาสนาในสมัย ๒,๐๐๐ ปี ไว้ก็ถูกต้อง และทรงพยากรณ์เหตุการณ์ของโลกไว้ ก็ถูกต้องมาแล้วเป็นส่วนมาก ดั่งได้เล่าไว้ในเบื้องต้นของเรื่องนี้ พระมหาโมคคัลลีบัตรติสสเถระเล็งเห็นว่า ต่อไปเบื้องหน้าพระพุทธศาสนาจะอันตรธานจากชมพูทวีป จึงถวายพระพรพระเจ้าอโศกมหาราช ขอพระบรมราชูปถัมภ์จัดส่งพระเถระไปทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ เหตุการณ์ก็เป็นจริงตามนั้น
 
 
 
หน้า 392-393

 
ในเมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้พันปีเศษ ประเทศอินเดียต้องสูญจากพระพุทธศาสนามาประมาณเกือบพันปี เราต้องเป็นหนี้ปรีชาญาณส่วนนี้ของพระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระอย่างมากมาย มีคำทำนายโบราณว่า สมัยกึ่งพระพุทธศาสนา ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาจะมีขึ้นถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์ เชี่ยวชาญทางอภิญญาและพระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภินิหารในสุวรรณภูมิ จะได้รับเกียรติเป็นประธานาธิบดีสงฆ์สากล จะทำการเฟยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก ตั้งต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา มหาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก โลกจะร่มเย็นเป็นสุขด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา ดังนี้ ข้าพเจ้าได้เรียนถามพระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่า คำทำนายโบราณนี้จะเป็นจริงไหม ท่านว่า เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลานี้ก็จวนถึงแล้ว เราคอยดูต่อไป.
 
วิธีการกำหนดรู้เหตุการณ์ในอนาคต สำหรับผู้อบรมจิตใจนั้นเป็นดังนี้ เมื่อต้องการอยากทราบเหตุการณ์ในอนาคตของโลกของพระศาสนาหรือของตนเอง พึงทำความสงบใจถึงขั้นอุปจารสมาธิแล้วนึกถามขึ้นในใจว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่โลก แก่พระศาสนา หรือแก่ตนเอง แล้วพึงทำความสงบต่อไปจนถึงขีดขั้นของฌานที่ ๔ แล้ว พึงเคลื่อนจิตถอยออกมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ถ้าเหตุการณ์อะไรจะมีขึ้นก็จะปรากฏภาพเหตุการณ์ขึ้นในมโนทวาร จะเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นในลำดับนั้นด้วย แต่ถ้าไม่รู้ถึงกำหนดถาม แล้วเข้าสู่ความสงบดังวิธีที่กล่าวแล้วในข้ออตีตังสญาณนั้น ก็จะทราบได้ ท่านผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจอาจรู้เห็นได้โดยมิต้องทำการกำหนดรู้ดังที่ว่านี้ เพราะจิตใจของท่านบริสุทธิ์แจ่มใสประดุจกระจกเงาบานใหญ่ เหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร จะมีเงาปรากฏที่จิตใจของท่านเสมอไป บางท่านอาจใช้วิธีอธิษฐาน
 
 
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=2029&page=2

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2553 08:20:08 »






สาธุ สาธุ สาธุค่ะ    
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.215 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 23 มกราคม 2567 09:13:19