[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 19:14:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 [3] 4 5   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ۞ ๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞  (อ่าน 40067 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #40 เมื่อ: 30 กันยายน 2555 11:54:06 »



             

  วัฑฒเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญมารดา
                [๓๓๙] โยมมารดาของเราดีแท้ เพราะได้แนะนำเราให้รู้สึกตัว เหมือนบุคคล
                             แทงพาหนะด้วยประตัก ฉะนั้น เราได้ฟังคำของโยมมารดาที่พร่ำสอน
                             แล้วได้ปรารภความเพียร มีจิตตั้งมั่น ได้บรรลุโพธิญาณอย่างสูงสุด เรา
                             เป็นพระอรหันต์ควรแก่ทักษิณา มีวิชชา ๓ ได้เห็นอมตธรรม ชนะเสนา
                             แห่งมาร ไม่มีอาสวะอยู่ อาสวะของเราเหล่าใด ได้มีแล้วทั้งภายในทั้ง
                             ภายนอก อาสวะเหล่านั้นทั้งหมด เราตัดขาดแล้ว และไม่เกิดขึ้นอีก
                             ต่อไป โยมมารดาของเราเป็นผู้แกล้วกล้า ได้กล่าวเนื้อความนี้กะเรา
                             แม้เมื่อเราผู้เป็นบุตรของท่านไม่มีกิเลส กิเลสอันเป็นดังหมู่ไม้ในป่าของ
                             ท่านคงจะไม่มีเป็นแน่ ทุกข์เราทำให้สิ้นสุดแล้ว อัตภาพนี้มีในที่สุด
                             สงสาร คือความเกิดตายสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.


  นทีกัสสปเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
                [๓๔๐] พระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่แม่น้ำเนรัญชรา เพื่อประโยชน์แก่เราหนอ
                             เพราะเราได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ละมิจฉาทิฏฐิได้ เมื่อเราเป็น
                             ปุถุชนยังมืดมนอยู่ สำคัญว่า การบูชายัญนี้เป็นความบริสุทธิ์ จึงได้
                             บูชายัญสูงๆ ต่ำๆ และได้บูชาไฟ แล่นไปสู่การถือทิฏฐิ ลุ่มหลง
                             ไปด้วยการเชื่อถือ เป็นคนตาบอดไม่รู้แจ้ง สำคัญความไม่บริสุทธิ์ว่าเป็น
                             ความบริสุทธิ์ บัดนี้ เราละมิจฉาทิฏฐิได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงหมดแล้ว
                             เราบูชาไฟ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล เราขอ
                             นมัสการพระตถาคต ความลุ่มหลงทั้งปวงเราละหมดแล้ว ตัณหาอันจะ
                             นำไปสู่ภพเราทำลายแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.


   คยากัสสปเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงความเป็นพุทธทายาท
                [๓๔๑] เราลงไปลอยบาปในแม่น้ำคยา ที่ท่าคยาผัคคุ วันละ ๓ ครั้ง คือ เวลาเช้า
                             เวลาเที่ยง เวลาเย็น เพราะคิดเห็นว่า บาปใดที่เราทำไว้ในชาติก่อน
                             บัดนี้ เราจะลอยบาปนั้นในที่นี้ ความเห็นอย่างนี้ ได้มีแก่เราในกาลก่อน
                             บัดนี้ เราได้ฟังวาจาอันเป็นสุภาษิต เป็นบทอันประกอบด้วยเหตุผล
                             แล้วพิจารณาเห็นเนื้อความได้ถ่องแท้ตามความเป็นจริง โดยอุบายอัน
                             ชอบ จึงได้ล้างบาปทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีมลทิน หมดจด สะอาด เป็น
                             ทายาทผู้บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุทรของพระ
                             พุทธเจ้า เราได้หยั่งลงสู่กระแสน้ำ คือ มรรคอันมีองค์ ๘ ลอยบาป
                             ทั้งปวง แล้วเราได้บรรลุวิชชา ๓ และได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว.

  วักกลิเถรคาถา
   สุภาษิตปฏิญาณเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
                พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
                [๓๔๒]  ดูกรภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ซึ่งเป็นที่ปราศจากโคจร เป็นที่เศร้าหมอง
                             ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร?
                ท่านพระวักกลิเถระกราบทูลว่า
                             ข้าพระองค์จะยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไปสู่ร่างกาย ครอบงำ
                             ปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ จักเจริญสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕
                             พละ ๕ และโพชฌงค์ ๗ อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลาย
                             ผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความ
                             พร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้าพระองค์จึงจักอยู่ในป่าใหญ่
                             เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระองค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัย
                             ตั้งมั่น จึงเป็นผู้ไม่เกียจคร้านตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันอยู่ในป่าใหญ่.

                            
  วิชิตเสนเถรคาถา
   สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกจิต
                [๓๔๓] เราจักระวังจิตนั้นไว้ เหมือนนายหัตถาจารย์ กักช้างไว้ที่ประตูนคร
                             ฉะนั้น เราจักไม่ประกอบจิตไว้ในธรรมอันลามก จักไม่ยอมให้จิตตกลง
                             ไปสู่ข่ายแห่งกามอันเกิดในร่างกาย เจ้าถูกเรากักขังไว้แล้ว จักไปตาม
                             ชอบใจไม่ได้ เหมือนช้างได้ช่องประตู ฉะนั้น ดูกรจิตผู้ชั่วช้า บัดนี้
                             เจ้าจักขืนยินดีในธรรมอันลามกเที่ยวไปเนืองๆ ดังก่อนมิได้ นายควาญ-
                             ช้างมีกำลังแข็งแรง ย่อมบังคับช้างที่จับได้ใหม่ ยังไม่ได้ฝึก ให้อยู่ใน
                             อำนาจด้วยขอ ฉันใด เราจักบังคับเจ้าให้อยู่ในอำนาจ ฉันนั้น นาย
                             สารถีผู้ฉลาดในการฝึกม้าให้ดี เป็นผู้ประเสริฐ ย่อมฝึกม้าให้รอบรู้ได้
                             ฉันใด เราจักฝึกเจ้าให้ตั้งอยู่ในพละ ๕ ฉันนั้น จักผูกเจ้าไว้ด้วยสติ
                             จักฝึกจักบังคับเจ้าให้ทำธุระด้วยความเพียร เจ้าจักไม่ได้ไปไกลจาก
                             อารมณ์ภายในนี้ละนะจิต.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 กันยายน 2555 12:18:46 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2555 16:15:29 »



         

   ยสทัตตเถรคาถา
   สุภาษิตตำหนิคนปัญญาทราม
                [๓๔๔] คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อม
                             เป็นผู้ไกลจากสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิด
                             จะยกโทษ ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
                             เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟัง
                             คำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเหี่ยวแห้งในสัทธรรม เหมือนปลาใน
                             น้ำน้อย ฉะนั้น คนมีปัญญาทราม คิดจะยกโทษ ฟังคำสอนของท่าน
                             ผู้ชนะมาร ย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าในไร่นา ฉะนั้น

                             ส่วนผู้ใดมีจิตอันคุ้มครองแล้ว ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ผู้นั้นทำ
                             อาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ พึงได้บรรลุ
                             ความสงบอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.


   โสณกุฏิกัณณเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงความภูมิใจในการเป็นพุทธสาวก
                [๓๔๕] เราได้อุปสมบทแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลส ไม่มีอาสวะ ได้เห็น
                             พระผู้มีพระภาค และได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในวิหารเดียวกัน พระผู้มี-
                             พระภาคประทับอยู่ในที่แจ้งตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว พระศาสดา
                             ผู้ฉลาดในธรรมเป็นเครื่องอยู่ ได้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร เมื่อนั้น
                             พระโคดมทรงลาดผ้าสังฆาฏิแล้ว สำเร็จสีหไสยา ทรงละความขลาด
                             กลัวเสียแล้ว เหมือนราชสีห์อยู่ในถ้ำภูเขา ลำดับนั้น ท่านโสณะผู้เป็น
                             สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กล่าววาจาไพเราะ ได้ภาษิตสัทธรรม
                             ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ท่านโสณะกำหนดรู้
                             เบญจขันธ์แล้ว อบรมอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ พึงได้บรรลุความสงบ
                             อย่างยิ่ง จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน.


   โกสิยเถรคาถา
   สุภาษิตยกย่องผู้เคารพครู
                [๓๔๖] ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ในโอวาทของครูนั้น
                             และยังความเคารพให้เกิดในโอวาทของครูนั้น ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้มีภักดี
                             และชื่อว่าเป็นบัณฑิตและพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตราย
                             อันร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว ไม่ครอบงำบุคคลใดผู้พิจารณาอยู่ บุคคลนั้น
                             ย่อมชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรม
                             ทั้งหลาย ผู้ใดแลตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมือนมหาสมุทร มีปัญญาลึกซึ้ง
                             เห็นเหตุผลอันละเอียด ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ชื่อว่า
                             เป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดเป็นพหูสูต
                             ทรงธรรมและประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่าผู้คงที่ เป็น
                             บัณฑิตและพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย ผู้ใดรู้เนื้อความแห่ง
                             สุภาษิต ครั้นรู้แล้วทำตามที่รู้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต อยู่ในอำนาจเหตุผล
                             และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย

   อุรุเวลกัสสปเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงความภูมิใจที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา
                [๓๔๗] เรายังไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระโคดมผู้เรืองยศ เพียงใด เราก็ยังเป็นคน
                             ลวงโลกด้วยความริษยาและมานะไม่นอบน้อม เพียงนั้น พระผู้มีพระภาค
                             ผู้เป็นสารถีของนรชน ทรงทราบความดำริของเรา ทรงตักเตือนเรา ลำดับ
                             นั้น ความสลดใจได้เกิดแก่เรา เกิดความอัศจรรย์ใจ ขนลุกชูชัน
                             ความสำเร็จอันเล็กน้อยของเราผู้เป็นชฏิลเคยมีอยู่เมื่อก่อน
                             เราได้สละความสำเร็จอันนั้นแล้ว บวชในศาสนาของพระชินเจ้า
                             เมื่อก่อนเรายินดีการบูชายัญ ห้อมล้อมด้วยกามารมณ์
ภายหลังเราถอน
                             ราคะโทสะและโมหะได้แล้ว เรารู้บุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุหมดจด
                             เป็นผู้มีฤทธิ์รู้จิตของผู้อื่น และบรรลุทิพโสต อนึ่งเราออกบวชเป็นบรรพชิต
                             เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น เราได้บรรลุแล้ว

                             ความสิ้นไปแห่ง สังโยชน์ทั้งปวง เราได้บรรลุแล้ว


   เตกิจฉกานิเถรคาถา
   สุภาษิตโต้มาร
                มารกล่าวว่า
                [๓๔๘] ข้าวเปลือกข้าวสาลีทั้งหลาย อันชนทั้งหลายขนมาจากลานไปไว้ในยุ้ง
                             แล้ว ท่านไม่พึงได้ แม้ก้อนข้าว จักคิดว่า บัดนี้จักทำอย่างไร?
                พระเถระกล่าวว่า
                             เราจักระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระคุณประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส
                             เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ เราจักระลึก
                             ถึงพระธรรม อันมีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระ
                             อันปีติถูกต้องแล้ว มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ เราจักระลึกถึงพระสงฆ์
                             ผู้มีคุณหาประมาณมิได้ จักมีใจเลื่อมใส เป็นผู้มีสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว
                             มีจิตเบิกบานแล้วเนืองๆ.

                มารกล่าวว่า
                             ท่านอยู่ในที่แจ้ง ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ท่านอย่าเป็นผู้ถูกความหนาวครอบงำ
                             ลำบากเลย นิมนต์ท่านเข้าไปสู่ที่อยู่ อันมีบานประตูและหน้าต่างมิดชิด
                             เถิด.

                พระเถระกล่าวว่า
                             เราจักเจริญ
อัปปมัญญา ๔ และจักมีความสุขอยู่ด้วยอัปปมัญญาเหล่านั้น
                             เราจักเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่ลำบากด้วยความหนาว.

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 22:43:29 »



               

   มหานาคเถรคาถา
   สุภาษิตชี้โทษผู้ไม่มีความเคารพ
                [๓๔๙] ผู้ใดไม่มีความเคารพ ในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมเสื่อมจาก
                             สัทธรรม เหมือนปลาในน้ำน้อยฉะนั้น ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อน
                             สพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่งอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชเน่าใน
                             ไร่นาฉะนั้น ผู้ใดไม่มีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นเป็น
                             ผู้ไกลจากนิพพานในศาสนา ของพระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระธรรมราชา
                             ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจาก
                             สัทธรรม เหมือนปลาในน้ำมากฉะนั้น ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อนสพรหม
                             จารีทั้งหลาย ผู้นั้นย่อมงอกงามในสัทธรรม เหมือนพืชที่ดีในไร่นาฉะนั้น
                             ผู้ใดมีความเคารพในเพื่อสพรหมจารีทั้งหลาย
ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้นิพพาน
                             ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระธรรมราชา.


   กุลลเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงการพิจารณาสังขาร
                [๓๕๐]       เราผู้ชื่อว่ากุลละ ไปที่ป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพหญิงคนหนึ่ง เขาทิ้งไว้
                             ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่ ดูกรกุลลภิกษุ ท่านจงดูร่างกายอัน
                             กระสับกระส่าย ไม่สะอาด เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้า
                             ไหลออกอยู่ อันหมู่คนพาลพากันชื่นชมนัก เราได้ถือเอาแว่นธรรมแล้ว
                             ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ ทั้งภายในและภายนอกนี้ สรีระเรานี้
                             ฉันใด ซากศพนั้นก็ฉันนั้น ซากศพนั้นฉันใด สรีระเรานี้ก็ฉันนั้น

                             ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบนก็ฉันนั้น ร่างกายเบื้องบนฉันใด
                             ร่างกายเบื้องต่ำก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืน
                             ฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เมื่อก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลัง
                             ฉันใด เมื่อก่อนก็ฉันนั้น
ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง ๕ เช่นนั้น ย่อม
                             ไม่มีแก่เราผู้มีจิตแน่วแน่ พิจารณาเห็นธรรมแจ่มแจ้งโดยชอบ.


   มาลุงกยปุตตเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้ละตัณหา
                [๓๕๑] ตัณหาย่อมเจริญแก่สัตว์ผู้ประพฤติประมาท เหมือนเถาย่านทราย
                             เจริญอยู่ในป่าฉะนั้น บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา ย่อมเร่ร่อนไป
                             ในภพน้อยภพใหญ่
เหมือนวานรอยากได้ผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น
                             ตัณหาอันชั่วช้า ซ่านไปในโลก ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลาย
                             ย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น
เหมือนหญ้าคมบางที่ถูกฝนตกเชยแล้วฉะนั้น
                             ส่วนผู้ใดครอบงำตัณหาอันชั่วช้านี้ ซึ่งยากที่จะล่วงได้ในโลก ความโศก
                             ทั้งหลายย่อมตกไปจากบุคคลนั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากในบัวฉะนั้น

                             เพราะฉะนั้นเราขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
                             ที่มาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ทั้งหมด ท่านทั้งหลายจงขุดรากแห่งตัณหา
                             ดุจบุคคลผู้มีความต้องการด้วยแฝก ขุดแฝกอยู่ฉะนั้น มารอย่าได้ระราน
                             ท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดังกระแสน้ำพัดพานไม้อ้อฉะนั้น ท่านทั้งหลายจง
                             ทำตามพระพุทธพจน์ ขณะอย่าได้ล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะ
                             อันล่วงแล้ว ย่อมยัดเยียดกันในนรกเศร้าโศกอยู่ ความประมาทดุจธุลี
                             ธุลีเกิดขึ้นเพราะความประมาท
ท่านทั้งหลายพึงถอนลูกศรอันเสียบอยู่ใน
                             หทัยของตน ด้วยความไม่ประมาทและด้วยวิชชาเถิด

   สัปปทาสเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงผลการเห็นโทษสังขาร
                [๓๕๒]      นับตั้งแต่เราบวชมาแล้วได้ ๒๕ ปี ยังไม่เคยได้รับความสงบใจ แม้ชั่ว
                             เวลาลัดนิ้วมือเลย เราไม่ได้เอกัคคตาจิต ถูกกามราคะครอบงำแล้ว
                             ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญเข้าไปสู่ที่อยู่ด้วยคิดว่า จักนำศาตรา
                             มา ชีวิตของเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า ก็คนอย่างเราจะลาสิกขาเสีย
                             อย่างไรได้ ควรตายเสียเถิดคราวนี้ เราได้ฉวยเอามีดโกนขึ้นไปนอน
                             บนเตียง มีดโกนเล่มนั้นเราสะบัดดีแล้ว สามารถจะตัดเส้นเอ็นให้ขาดได้
                             ขณะนั้น โยนิโสมนสิการก็บังเกิดขึ้นแก่เรา โทษปรากฏแก่เรา ความ
                             เบื่อหน่ายในสังขารก็เกิดขึ้นแก่เรา เพราะความเบื่อหน่ายในสังขารนั้น
                             จิตของเราหลุดพ้นแล้ว ขอท่านจงดูความที่ธรรมเป็นธรรมดีเถิด
วิชชา ๓
                             เราได้บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว.


   กาติยานเถรคาถา
   สุภาษิตเตือนไม่ให้ประมาท
                [๓๕๓] จงลุกขึ้นนั่งเถิดกาติยานะ อย่ามัวนอนหลับอยู่เลย จงตื่นขึ้นเถิด อย่า
                             ให้มัจจุราชผู้เป็นพวกพ้องของคนประมาทชนะ ท่านผู้เกียจคร้านด้วย
                             อุบายอันโกงเลย กำลังคลื่นแห่งมหาสมุทร ย่อมครอบงำบุรุษผู้ไม่อาจ
                             ข้ามมหาสมุทรนั้นได้ แม้ฉันใด ชาติและชราย่อมครอบงำท่านผู้ถูก
                             ความเกียจคร้านครอบงำแล้ว ฉันนั้น ขอท่านจงทำเกาะ คือ อรหัตผล
                             แก่ตนเถิด เพราะที่พึ่งอย่างอื่นในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่มีแก่ท่าน
                             ก็พระศาสดาได้ทรงบอกทางนี้ อันล่วงพ้นจากเครื่องข้องและจากภัย
                             คือ ชาติและชราแก่ท่านแล้ว ท่านอย่าเป็นผู้ประมาทตลอดยามต้น
                             และยามหลัง จงพยายามทำความเพียรให้มั่นเถิด ท่านจงปลดเปลื้อง
                             เครื่องผูกทั้งหลายอันเป็นของเดิมเสีย
จงใช้สอยผ้าสังฆาฏิและโกนศีรษะ
                             ด้วยมีดโกน ฉันอาหารที่ขอเขามาได้ จงอย่าเห็นแก่การเล่นสนุกสนาน
                             อย่าเห็นแก่นอน จงหมั่นเพ่งดูธรรมเถิด กาติยานะ จงเจริญฌาน จงชนะ
                             กิเลสเถิด
กาติยานะ ท่านจงเฉลียวฉลาดในทางอันปลอดโปร่งจากโยคะ
                             จงบรรลุถึงความบริสุทธิ์อันยอดเยี่ยม จงดับเพลิงกิเลส ดังบุคคลดับไฟ
                             ด้วยน้ำ ฉะนั้น
ประทีปที่ส่องแสง ถ้ามีแสงน้อย ย่อมดับไปด้วยลม
                             ดังเถาวัลย์เหี่ยวแห้ง ฉันใด ท่านก็จงเป็นผู้ไม่ถือมั่น กำจัดมารผู้มี
                             โคตรเสมอด้วยพระอินทร์ฉันนั้นเถิด ก็เมื่อท่านกำจัดมารได้อย่างนี้แล้ว
                             เป็นผู้ปราศจากความกำหนัดพอใจในเวทนาทั้งหลาย เป็นผู้มีความเย็น
                             รอคอยเวลานิพพานของตน ในอัตภาพนี้ทีเดียว.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 23:04:27 »



               

   มิคชาลเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญพระธรรม
                [๓๕๔]      ธรรมอันก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง เป็นธรรมยังวัฏฏะให้พินาศหมดสิ้น
                             เป็นเครื่องนำออกไปจากสงสาร เป็นเครื่องข้ามพ้นสงสาร ทำรากตัณหา
                             ให้เหี่ยวแห้ง
อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าแห่งพระอาทิตย์ ผู้มีพระจักษุ
                             ทรงแสดงดีแล้ว ทำลายกรรมกิเลสเครื่องก่อภพก่อชาติ อันมีรากเป็น
                             พิษแล้ว
ทำให้เราถึงความดับสนิท ธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกรรมให้สิ้น
                             สุด อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่อทำลายรากเหง้าแห่งอวิชชา
                             มารเพียงดังแก้ววิเชียรเป็นเครื่องยังวิญญาณให้ตกไป ปรากฏแก่เราใน
                             การกำหนดถือวิญญาณทั้งหลาย ธรรมเครื่องปราศจากเวทนา ปลดเปลื้อง
                             อุปาทาน อันเป็นเครื่องพิจารณาเห็นภพดุจหลุมถ่านเพลิงด้วยญาณ มีรส
                             มาก ลึกซึ้ง เป็นธรรมห้ามความแก่ความตายให้เกิดแก่เรา
อริยมรรคอัน
                             ประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางสงบทุกข์ ปลอดโปร่ง พระผู้มีพระภาคทรง
                             แสดงแล้ว ธรรมอันเป็นเครื่องเห็นโลกตามความเป็นจริง ให้ถึงความ
                             ปลอดโปร่งเป็นอันมาก เจริญในที่สุด
พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงรู้
                             กรรมว่าเป็นกรรม ทรงรู้จักวิบากโดยความเป็นวิบาก แห่งธรรมอันอาศัย
                             กันและกันเกิดขึ้น
ทรงแสดงดีแล้ว.


   เชนตปุโรหิตปุตตเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงการละมานะเพราะพบเห็นพระพุทธองค์
                [๓๕๕] เราเป็นผู้เมาด้วยความเมาเพราะชาติสกุล ด้วยโภคะ และอิสริยยศ ด้วย
                             ทรวดทรง ผิวพรรณและรูปร่าง และเป็นผู้เมาแล้วด้วยความเมาอย่างอื่น
                             เราจึงไม่สำคัญใครๆ ว่าเสมอตน และยิ่งกว่าตน เราเป็นผู้มีกุศลอัน
                             อติมานะ กำจัดแล้ว
เป็นคนโง่เขลา เป็นผู้มีใจกระด้าง เป็นผู้ถือตัว
                             มีมานะกระด้าง ไม่เอื้อเฟื้อ จึงไม่กราบไหว้ใคร แม้เป็นมารดาหรือบิดา
                             แม้พี่ชายหรือพี่สาว และแม้สมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่โลกสมมติว่าเป็น
                             ครูบาอาจารย์ เราเห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้เลิศประเสริฐ
                             สูงสุดกว่าสารถีทั้งหลาย ผู้รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ อันหมู่ภิกษุสงฆ์ห้อม
                             ล้อมแล้ว จึงละทิ้งมานะและความมัวเมา
มีใจผ่องใส ถวายบังคมพระองค์
                             ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเศียรเกล้า การถือตัวว่าดีกว่าเขา ว่าเลว
                             กว่าเขา และว่าเสมอเขา เราละแล้ว ถอนขึ้นแล้วด้วยดี การถือตัวว่า
                             เป็นเราเป็นเขา เราตัดขาดแล้ว
การถือตัวต่างๆ ทั้งหมด เรากำจัดแล้ว.


   สุมนเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงผลการบรรลุธรรม
                [๓๕๖] เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ ๗ ปีแต่กำเนิด ได้ชนะพญานาคผู้มีฤทธิ์มาก
                             ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจากสระใหญ่ ชื่อว่าอโนดาตมาถวายพระอุปัชฌายะ
                             ลำดับนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราแล้ว ตรัสว่า ดูกรสารีบุตร
                             เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในภายใน สามเณรนี้
                             เป็นผู้มีอิริยาบถงดงาม มีวัตรอันน่าเลื่อมใส เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ
                             แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ เป็นผู้อันพระอนุรุทธะ ผู้เป็นบุรุษอาชาไนยฝึกให้รู้
                             ได้รวดเร็ว ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดีฝึกให้ดีแล้ว เป็นผู้อันพระ-
                             อนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษาแล้ว สุมนสามเณรนั้น
                             ได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ไม่
                             ปรารถนาจะอวดคุณวิเศษของตนแก่ใครๆ.

   นหาตกมุนีเถรคาถา
   สุภาษิตแสดงความพอใจในการอยู่ป่า
                พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
                [๓๕๗]      ดูกรภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่อันปราศจากโคจร เป็นป่าเศร้าหมอง
                             ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร?
                พระนหาตกมุนีกราบทูลว่า
                             ข้าพระองค์จักยังปีติ และความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไปสู่ร่างกายครอบงำ
                             ปัจจัยอันเศร้าหมอง
อยู่ในป่าใหญ่ และจักเจริญโพชฌงค์ ๗ อินทรีย์ ๕
                             พละ ๕ ถึงพร้อมด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน จักเป็นผู้หมดอาสวะอยู่

                             ข้าพระองค์จักพิจารณาเนืองๆ ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้วจากกิเลส
                             ไม่ขุ่นมัว เป็นผู้หมดอาสวะอยู่ อาสวะทั้งปวงของข้าพระองค์ ซึ่งมีอยู่
                             ทั้งภายในและภายนอก ข้าพระองค์ถอนขึ้นแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
                             เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว มีรากอันขาดแล้ว ตั้งอยู่ ธรรม
                             อันเป็นที่สิ้นทุกข์
ข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี พระเจ้าข้า.


   พรหมทัตตเถรคาถา
   สุภาษิตสรรเสริญการชนะความโกรธ
                [๓๕๘]       ที่ไหนความโกรธจะพึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว เลี้ยงชีพ
                             โดยชอบ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้สงบ ผู้คงที่ บุคคลโกรธตอบ
                             บุคคลผู้โกรธ จัดว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะความโกรธตอบ
                             นั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
                             บุคคลใดรู้ว่าบุคคลอื่นโกรธแล้ว มีสติสงบใจได้ บุคคลนั้นชื่อว่า
                             ประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและบุคคลอื่น
ชนเหล่าใด
                             เป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรม ชนเหล่านั้นย่อมสำคัญบุคคลผู้รักษาทั้งสองฝ่าย
                             คือ ตนและบุคคลอื่นว่า เป็นคนโง่เขลา ถ้าความโกรธเกิดขึ้น จงระลึก
                             ถึงพระโอวาทอันอุปมาด้วยเลื่อย ถ้าตัณหาในรสเกิดขึ้น จงระลึกถึง
                             พระโอวาทอันอุปมาด้วยเนื้อบุตร ถ้าจิตของท่านแล่นไปในกามและภพ
                             ทั้งหลาย
จงรีบข่มเสียด้วยสติ
เหมือนบุคคลห้ามโคที่ชอบกินข้าวกล้าฉะนั้น.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 23:09:51 »



               

   สิริมัณฑเถรคาถา
   สุภาษิตสอนให้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
                [๓๕๙] มุงบังไว้ฝนยิ่งรั่วรด เปิดไว้ฝนกลับไม่รั่วรด เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย
                             จงเปิดที่มุงบังเสียเถิด ฝนจักไม่รั่วรดท่านด้วยอาการอย่างนี้ โลกถูก
                             มัจจุเผาสุม ถูกชรารุมล้อม ถูกศร คือ ตัณหาทิ่มแทง ถูกความ
                             ปรารถนาแผดเผาทุกเมื่อ
โลกถูกมัจจุเผาสุม และถูกชรารุมล้อม ไม่มี
                             สิ่งใดต้านทานได้ ย่อมเดือดร้อนอยู่เป็นนิตย์ เหมือนคนกระทำความผิด
                             ได้รับอาชญาเดือดร้อนอยู่ฉะนั้น ชรา พยาธิและมรณะทั้ง ๓ เป็นดุจ-
                             กองไฟตามไหม้หมู่สัตว์โลกนี้ สัตวโลกเหล่านั้นไม่มีกำลังต่อต้าน ไม่มี
                             กำลังจะหนีไปได้ ควรทำวันและคืนไม่ให้ไร้ประโยชน์ ด้วยมนสิการ
                             น้อยบ้าง มากบ้าง
เพราะวันคืนล่วงไปๆ เท่าใด ชีวิตของสัตว์ก็ล่วง
                             ไปเท่านั้น เวลาตายย่อมรุกร้นเข้าไปใกล้บุคคลทุกอิริยาบถ คืน เดิน
                             ยืน นั่ง หรือนอน เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรประมาทเวลา.


   สัพพกามเถรคาถา
   สุภาษิตสอนการพิจารณาสังขาร
                [๓๖๐]   สัตว์สองเท้านี้เป็นสัตว์ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นเต็มไปด้วยซากศพต่างๆ
                             มีของโสโครกไหลออกทั่วกาย ต้องบริหารอยู่เป็นนิตย์ เบญจกามคุณ
                             อันน่ารื่นรมย์ใจเหล่านี้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่มี
                             ปรากฏอยู่ในรูปร่างหญิง ย่อมล่อลวงปุถุชนให้ลำบาก
เหมือนพรานเนื้อ
                             แอบดักเนื้อด้วยเครื่องดัก พรานเบ็ดจับปลาด้วยเบ็ด บุคคลจับวานร
                             ด้วยเครื่องล่อ ฉะนั้น ปุถุชนเหล่าใด มีจิตกำหนัดเข้าไปส้องเสพหญิง
                             เหล่านั้น ปุถุชนเหล่านั้นย่อมยังสงสารอันน่ากลัวให้เจริญ ย่อมก่อภพ
                             ใหม่ขึ้นอีก
ส่วนผู้ใดงดเว้นหญิงเหล่านั้นเหมือนบุคคลสลัดหัวงูด้วยเท้า
                             ผู้นั้นเป็นผู้มีสติระงับตัณหาอันซ่านไปในโลกเสียได้
เราเห็นโทษในกาม
                             ทั้งหลาย เห็นการออกบรรพชาโดยความเกษม สลัดตนจากกามทั้งปวง
                             แล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ.


   สุนทรสมุททเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระสุนทรสมุทร
                [๓๖๑]   หญิงแพศยาผู้ประดับประดาร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่อันงามทัดทรง
                             ดอกไม้ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอม เท้าย้อมด้วยสีแดง สวมรองเท้า
                             ทอง ยืนประคองอัญชลีอยู่ข้างหน้า กล่าวเล้าโลมเราด้วยถ้อยคำ
                             อันอ่อนหวานว่า ท่านเป็นผู้บรรพชิตหนุ่ม ขอจงเชื่อฟังคำของดิฉัน
                             ขอเชิญท่านสึกออกมาบริโภคกามอันเป็นของมนุษย์เถิด ดิฉันจักมอบ
                             ทรัพย์สมบัติอันให้เกิดความปลื้มใจแก่ท่าน ดิฉันขอให้สัจปฏิญาณแก่
                             ท่านว่า ดิฉันจักเป็นภรรยา ปฏิบัติท่าน เหมือนพราหมณ์บูชาไฟฉะนั้น
                             เมื่อใดเราทั้งสองแก่เฒ่าจนถึงถือไม้เท้า เมื่อนั้น เราทั้งสองจึงค่อยบวช
                             เราทั้งสองถือเอาชัยในโลกทั้งสองก่อนเถิด
เราเห็นหญิงแพศยาคนนั้น
                             ผู้ตบแต่งร่างกาย นุ่งห่มผ้าใหม่อันงามดีมาทำอัญชลี พูดจาเล้า
                             โลมเรา เหมือนกับบ่วงมัจจุราชอันธรรมชาติดักไว้ ลำดับนั้น
                             โยนิโสมนสิการบังเกิดขึ้นแก่เรา เราได้เห็นโทษของสังขารแล้ว เกิด
                             ความเบื่อหน่าย ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจากกิเลส ขอท่านจง
                             เห็นคุณวิเศษของพระธรรมอย่างนี้เถิด
บัดนี้ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว
                             ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว.

   ลกุณฏกเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระลกุณฏกเถระ
                [๓๖๒]  ภัททิยภิกษุอยู่ ณ อัมพาฏการามอันสวยงามในชัฏแห่งป่า ได้ถอนตัณหา
                             พร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว เป็นผู้เจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เพ่งฌานอยู่ใน
                             ไพรสณฑ์นี้ กามโภคีบุคคลบางพวกย่อมยินดีด้วยเสียงตะโพน เสียง
                             พิณและบัณเฑาะว์ แต่ความยินดีของพวกเขานั้นไม่ประเสริฐ ไม่
                             ประกอบด้วยประโยชน์
ส่วนเรายินดีแล้วในคำสอนของพระพุทธเจ้า
                             อยู่ที่โคนไม้ ก็พระพุทธเจ้าได้ประทานพรแก่เรา เรารับพรนั้น
                             แล้ว ถือเอากายคตาสติอันโลกทั้งปวงพึงเจริญเป็นนิตย์ ชนเหล่า
                             ใดถือรูปร่างเราเป็นประมาณ และถือเสียงเราเป็นประมาณ ชน
                             เหล่านั้นตกอยู่ในอำนาจฉันทราคะ
ย่อมไม่รู้จักเรา คนพาลถูก
                             กิเลสกั้นไว้รอบด้าน ย่อมไม่รู้ทั้งภายใน ไม่เห็นทั้งภายนอกย่อม
                             ลอยไปตามเสียง
แม้บุคคลผู้เห็นผลภายนอก ไม่รู้ภายใน แต่
                             เห็นภายนอก ก็ลอยไปตามเสียง ส่วนผู้ใดมีความเห็นไม่ถูกกั้น
                             ย่อมรู้ชัดทั้งภายใน ทั้งเห็นแจ้งภายนอก ผู้นั้นย่อมไม่ลอยไป
                             ตามเสียง.


   ภัททเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระภัททเถระ
                [๓๖๓]  เราเป็นบุตรคนเดียว จึงเป็นที่รักของมารดาบิดา เพราะเหตุว่า
                             มารดาบิดาได้เรามาด้วยการประพฤติวัตร และการเซ่นสรวงเป็นอัน
                             มาก ก็มารดาและบิดาทั้งสองนั้น มุ่งหวังความเจริญ แสวง
                             หาประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์เรา
จึงนำเรามาถวายแด่พระพุทธเจ้า
                             แล้วทูลว่า บุตรของข้าพระองค์นี้เป็นสุขุมาลชาติ เจริญด้วย
                             ความสุข เป็นบุตรที่ข้าพระองค์ได้มาโดยยาก ข้าแต่พระองค์ผู้
                             เป็นนาถะของโลก ข้าพระองค์ทั้งสองขอถวายบุตรสุดที่รักนี้ ให้
                             เป็นคนรับใช้สอยของพระองค์ผู้ทรงชนะกิเลสมาร ก็พระศาสดา
                             ทรงรับเราแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า จงรีบให้เด็กคนนี้บรรพชา
                             เถิด
เพราะเด็กคนนี้จักเป็นผู้รอบรู้รวดเร็ว พระศาสดาผู้ทรงชนะ
                             มาร รับสั่งให้พระอานนท์บรรพชาให้เราแล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี
                             เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัศดงคต จิตของเราก็พ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง
                             ภายหลัง พระศาสดาทรงออกจากสมาบัติแล้ว เสด็จออกจาก
                             ที่เร้น
รับสั่งกะเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิดภัททะ การรับสั่ง
                             เช่นนั้น เป็นการอุปสมบทของเรา เราเกิดมาได้ ๗ ปี ก็ได้
                             อุปสมบท ได้บรรลุวิชชา ๓ น่าอัศจรรย์
ความที่ธรรมเป็น
                             ความดี



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 23:13:03 »



               

โสปากเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระโสปากเถระ
             [๓๖๔]    เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชน เป็นบุรุษอุดมเสด็จจงกรม
                          อยู่ที่ร่มเงาหลังพระคันธกุฎี จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคม ณ ที่นั้น
เราห่ม
                          จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือเดินตามพระองค์ผู้ปราศจากกิเลสธุลี
                          ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ลำดับนั้น พระองค์ได้ตรัสถามปัญหาเรา เรา
                          เป็นผู้ฉลาด รอบรู้ปัญญาทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีความหวาดหวั่นและไม่กลัว
                          ได้พยากรณ์แด่พระศาสดา เมื่อเราวิสัชนาปัญหาแล้ว พระตถาคต
                          ทรงอนุโมทนา ทรงทอดพระเนตรหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสเนื้อความนี้ว่า
                          โสปากภิกษุนี้บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
                          ของชาวอังคะและชาวมคธเหล่าใด ก็เป็นลาภของชาวอังคะและชาวมคธ
                          เหล่านั้น อนึ่ง ได้ตรัสว่า เป็นลาภของชาวอังคะและชาวมคธที่ได้
                          ต้อนรับและทำสามีจิกรรม แก่โสปากภิกษุ
ดูกรโสปากะ ตั้งแต่วันนี้
                          เป็นต้นไป ให้เธอเข้ามาหาเราได้ ดูกรโสปากะ การวิสัชนาปัญหานี้
                          จงเป็นการอุปสมบทของเธอ
เรามีอายุได้ ๗ ปี แต่เกิดมา ก็ได้
                          อุปสมบทเป็นภิกษุ ทรงร่างกายอันมีในที่สุด น่าอัศจรรย์จริง ความที่ธรรม
                          เป็นกรรมดี.


สรภังเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระสรภังคเถระ
             [๓๖๕]    เราหักแขมด้วยมือทั้งสอง ทำกระท่อมอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อ
                          โดยสมมติว่า สรภังคะ วันนี้เราไม่ควรหักแขม ด้วยมือทั้ง
                          สองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
                          เราทั้งหลาย เมื่อก่อน เราผู้ชื่อว่าสรภังคะไม่เคยได้เห็นโรคคือ
                          อุปาทานขันธ์ ๕ ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น โรคนั้น อันเราผู้ทำตามพระ
                          ดำรัสของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้เห็นแล้ว พระ
                          สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
พระวิปัสสี พระสิขี พระ
                          เวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสป ได้
                          เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม
                          ก็ได้เสด็จไปแล้ว โดยทางนั้น
พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้
                          ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส
                          เสด็จอุบัติแท้ โดยธรรมกาย ผู้คงที่
ทรงเอ็นดูอนุเคราะห์
                          สัตว์ทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์
                          เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์
เป็นทาง
                          ไม่เป็นไปแห่งทุกข์ อันไม่มีที่สุดในสงสาร เพราะกายนี้แตก และ
                          เพราะความสิ้นชีวิตนี้ การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี เราเป็น
                          ผู้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.


   มหากัจจายนเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระมหากัจจายนเถระ
                [๓๖๖]        ภิกษุไม่ควรทำการงานให้มาก ควรหลีกเร้นหมู่ชน ไม่ควรขวน
                             ขวายเพื่อยังปัจจัยให้เกิด เพราะภิกษุใดเป็นผู้ติดรสอาหาร ภิกษุนั้นชื่อ
                             ว่า
เป็นผู้ขวนขวายเพื่อยังปัจจัยให้เกิด และชื่อว่าละทิ้งประโยชน์อัน
                             จะนำความสุขมาให้
พระอริยะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
                             กล่าวการไหว้การบูชาในสกุลทั้งหลายว่า เป็นเปือกตม เป็นลูกศร
                             อันละเอียดถอนได้ยาก
เพราะสักการะอันบุรุษชั่วละได้ยาก ภิกษุ
                             ไม่ควรแนะนำสัตว์อื่นให้ทำกรรมอันเป็นบาป และไม่พึงส้องเสพ
                             กรรมนั้นด้วยตนเอง
เพราะสัตว์มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คนเราย่อม
                             ไม่เป็นโจรเพราะคำของบุคคลอื่น ไม่เป็นมุนีเพราะคำของบุคคลอื่น
                             บุคคลรู้จักตนเองว่าเป็นอย่างไร
แม้เทพเจ้าทั้งหลายก็รู้จักบุคคลนั้น
                             ว่าเป็นอย่างนั้น ก็คนพวกอื่นย่อมไม่รู้สึกตัวว่า พวกเราที่สมาคมนี้
                             จักพากันยุบยับในหมู่ชนพวกนั้น พวกใดมารู้สึกตัวว่า พวกเราจักพา
                             กันไปสู่ที่ใกล้มัจจุราช ความทะเลาะวิวาท ย่อมระงับไปเพราะพวกนั้น

                             บุคคลผู้มีปัญญาถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ ส่วนบุคคลถึงจะมีทรัพย์
                             ก็เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปัญญา
บุคคลย่อมได้ยินเสียงทุกอย่างด้วยหู
                             ย่อมเห็นสิ่งทั้งปวงด้วยจักษุ แต่นักปราชญ์ย่อมควรละทิ้งสิ่งทั้งปวง
                             ที่ได้เห็นได้ฟังมาแล้ว ผู้มีปัญญาถึงมีตาดี ก็ทำเหมือนคนตาบอด
                             ถึงมีหูดีก็ทำเป็นดังคนหูหนวก ถึงมีปัญญาก็ทำดังคนใบ้ ถึงมีกำลังก็ทำ
                             เป็นดังคนทุรพล แต่เมื่อประโยชน์เกิดขึ้น ถึงจะนอนอยู่ในเวลาใกล้ตาย
                             ก็ยังทำประโยชน์นั้นได้.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 23:17:03 »



               

   สิริมิตตเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระสิริมิตตเถระ
                [๓๖๗] ภิกษุใดไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธไว้ ไม่มีมายา ไม่ส่อเสียด
                             ภิกษุนั้นแลเป็นผู้คงที่ ด้วยข้อปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ ภิกษุ
                             นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในโลกเบื้องหน้า ภิกษุใดไม่มักโกรธ ไม่ผูก
                             โกรธไว้ ไม่มีมายา ไม่ส่อเสียด ภิกษุนั้นเป็นผู้มีทวารอัน
                             คุ้มครองแล้ว
ทุกเมื่อ ด้วยข้อปฏิบัติตามที่กล่าวแล้วอย่างนี้ ภิกษุ
                             นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในโลกเบื้องหน้า ภิกษุใดไม่มักโกรธ ไม่ผูก
                             โกรธไว้ ไม่มีมายา ไม่ส่อเสียด มีศีลงาม ด้วยข้อปฏิบัติ
                             ตามที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมไม่เศร้าโศกในโลกเบื้องหน้า
                             ภิกษุใดไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธไว้ ไม่มีมายา ไม่ส่อเสียด มี
                             กัลยาณมิตร ด้วยข้อปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้น
                             ย่อมไม่เศร้าโศกในโลกเบื้องหน้า ภิกษุใดไม่มักโกรธ ไม่ผูก
                             โกรธไว้ ไม่มีมายา ไม่ส่อเสียด มีปัญญางาม ด้วยข้อปฏิบัติ
                             ตามที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมไม่เศร้าโศกในโลกเบื้องหน้า

                             ผู้ใดมีศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระตถาคต ตั้งมั่นดีแล้ว มีศีลอันงาม
                             อันพระอริยใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์
                             และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ขัดสน
                             ชีวิตของผู้นั้นไม่ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น นักปราชญ์เมื่อระลึกถึง
                             คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ควรประกอบศรัทธา ศีล ปสาทะ
                             และการเห็นธรรมเนืองๆ
เถิด.


   มหาปันถกเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระมหาปันถกเถระ
                [๓๖๘]   เมื่อใด เราได้เห็นพระศาสดาผู้ปลอดภัยเป็นครั้งแรก เมื่อนั้น
                             ความสลดใจได้เกิดมีแก่เรา เพราะได้เห็นพระศาสดาผู้อุดมบุรุษ ผู้ใด
                             นอบน้อมพระศาสดาผู้ทรงศิริ ที่พระบาทด้วยมือทั้งสอง ผู้นั้น
                             พึงทำพระศาสดาให้ทรงยินดีโปรดปราน ครั้งนั้น เราได้ละทิ้งบุตร
                             ภรรยา ทรัพย์ และธัญญาหาร ปลงผมและหนวดออกบวช
                             เป็นบรรพชิต เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพ สำรวมดีแล้วใน
                             อินทรีย์ทั้งหลาย ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้
                             ต่อมาร ครั้งนั้น ความตั้งใจปรารถนาสำเร็จแก่เรา เราไม่ได้
                             นั่งอยู่เปล่าแม้เพียงครู่เดียว ในเมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้นไม่ได้
                             ขอจงดูความเพียร ความบากบั่นของเรา
ผู้อยู่ด้วยความตั้งใจอย่างนั้น

                             เราได้บรรลุวิชชา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว
                             เราระลึกชาติก่อนๆ ได้ ได้ชำระทิพยจักษุหมดจดแล้ว เป็น
                             พระอรหันต์ผู้ควรแก่ทักษิณา หลุดพ้นแล้ว ไม่มีอุปธิ ต่อเมื่อ
                             ราตรีสิ้นไปแล้ว พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา เราทำตัณหาทั้งปวงให้เหือด
                             แห้งไป
จึงเข้าไปสู่ภายในกุฎี โดยบัลลังก์



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2555 23:23:48 »




   ภูตเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระภูตเถระ
                [๓๖๙]   เมื่อใด บัณฑิตกำหนดรู้ทุกข์ในเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้งหลายไม่รู้แจ้งว่า
                             ความแก่และความตายนี้เป็นทุกข์ แล้วจมอยู่ เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่
                             เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความยินดีในเบญจขันธ์นั้น ยิ่งไปกว่าความยินดี
                             ในวิปัสสนาและในมรรคผล
เมื่อใด บัณฑิตละตัณหาอันนำทุกข์มา
                             ให้ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ นำมาซึ่งทุกข์อันเกิดเพราะความต่อเนื่อง
                             แห่งธรรม เป็นเครื่องเนิ่นช้า
เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อม

                             ไม่ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น
เมื่อใด บัณฑิตถูกต้อง
                             ทางอันสูงสุด
เป็นทางปลอดโปร่ง ให้ถึงองค์ ๒ และองค์ ๔ เป็นที่ชำระ
                             กิเลสทั้งปวง ด้วยปัญญา มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบ
                             ความยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพินิจพิจารณานั้น
เมื่อใด บัณฑิตเจริญ
                             สันตบทอันไม่ทำให้เศร้าโศก ปราศจากธุลีอันปัจจัยอะไรๆ ปรุงแต่ง
                             ไม่ได้ ให้หมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องตัดกิเลสเครื่องผูกพัน

                             คือสังโยชน์ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเจริญ
                             สันตบทนั้น
เมื่อใด กลอง คือ เมฆอันเกลื่อนกล่นด้วยสายฝน ย่อม
                             คำรณร้องอยู่ในนภากาศ อันเป็นทางไปแห่งฝูงนกอยู่โดยรอบ และภิกษุ
                             ไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดี
                             อย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งธรรมนั้น
เมื่อใด บัณฑิตมีจิตเบิกบาน นั่งเพ่ง
                             พิจารณาธรรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งหลาย อันดารดาษไปด้วยดอกโกสุม

                             และดอกมะลิที่เกิดในป่า อันวิจิตรงดงาม ย่อมไม่ได้ประสบ
                             ความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการนั่งเพ่งพิจารณาธรรมนั้น
เมื่อใด
                             มีฝนฟ้าร้องในเวลาราตรี ฝูงสัตว์ที่มีเขี้ยว ก็พากันยินดีอยู่ใน
                             ป่าใหญ่ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้น ย่อม
                             ไม่ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น
เมื่อใด
                             ภิกษุกำจัดวิตกทั้งหลายของตน เข้าไปสู่ถ้ำภายในภูเขา ปราศจาก
                             ความกระวนกระวายใจ ปราศจากกิเลสอันตรึงใจ เพ่งพิจารณาธรรมอยู่

                             เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณา
                             ธรรมนั้น
เมื่อใด ภิกษุมีความสุข ยังมลทินกิเลสอันตรึงจิตและความ
                             โศกให้พินาศ
ไม่มีกลอนประตู คือ อวิชชา ไม่มีป่า คือ ตัณหา
                             ปราศจากลูกศร คือ กิเลส เป็นผู้ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เพ่งพิจารณา
                             ธรรมอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการ
                             เพ่งพิจารณาธรรมนั้น.

                             พระภูตเถระผู้เห็นธรรมโดยถ่องแท้ เป็นผู้เดียวดุจนอแรด ได้
                             ภาษิตคาถา ๙ คาถา
นี้ไว้ในนวกนิบาต ฉะนี้แล.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:38:51 »



               

   กาฬุทายีเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระกาฬุทายี
                [๓๗๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลาย มีดอกและใบมีสีแดงดัง
                             ถ่านเพลิง ผลิผลถอดใบเก่าร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงามรุ่งเรือง
                             ดังเปลวเพลิง ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควร
                             อนุเคราะห์หมู่พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมี
                             ดอกบานงามดี น่ารื่นรมย์ใจส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่วทิศโดยรอบ

                             ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไป
                             จากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมารเสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด ข้าแต่พระองค์
                             ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย
                             ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระ
                             องค์ที่แม่น้ำโรหิณีอันมีหน้าในภายหลังเถิด ชาวนาไถนาด้วยความ

                             หวังผล หว่านพืชด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ย่อมไปสู่
                             สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผล
                             อันใด ขอความหวังผลอันนั้นจงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด
ชาวนาหว่าน
                             พืชบ่อยๆ ฝนตกบ่อยๆ ชาวนาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วย
                             ธัญญาหารบ่อยๆ พวกยาจกเที่ยวขอบ่อยๆ ผู้เป็นทานาธิบดีให้บ่อยๆ

                             ครั้นให้บ่อยๆ แล้วย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ บุรุษผู้มีความเพียร มี
                             ปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้บริสุทธิ์สะอาด
                             ตลอด ๗ ชั่วคน ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐ
                             กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์
                             เกิดแล้วโดยอริยชาติ ได้สัจนามว่าเป็นนักปราชญ์ สมเด็จพระบิดาของ

                             พระองค์ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จ
                             พระนางเจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา
                             ทรงบริหารพระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มา ด้วยพระครรภ์เสด็จสวรรคต
                             ไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคต
                             จุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้า

                             ห้อมล้อม บันเทิงด้วยเบญจกามคุณ อาตมภาพเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า
                             ผู้ไม่มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้จะเปรียบปาน
                             ผู้คงที่
ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นโยมของพระบิดา ของโยมบิดา
                             แห่งอาตมภาพ ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นพระไอยกาของอาตมภาพ
                             โดยธรรม.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #49 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:42:04 »




   เอกวิหาริยเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระเอกวิหาริยเถระ
                [๓๗๑]       ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเรา ความสบายใจอย่างยิ่งคงจะมี
                             แก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว ผิฉะนั้น เราผู้เดียวจักไปสู่ป่าอันพระพุทธเจ้า
                             ทรงสรรเสริญว่า ความผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุอยู่แต่ผู้เดียว มีใจเด็ดเดี่ยว

                             เราผู้เดียวเป็นผู้ชำนาญในสิ่งที่เป็นประโยชน์ จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ อัน
                             ทำให้เกิดปีติแก่พระโยคาวจร น่ารื่นรมย์ เป็นที่อยู่ของหมู่ช้างตกมัน
                             โดยเร็วพลัน เราผู้เดียว จักอาบน้ำในซอกเขาอันเยือกเย็นในป่าอันเย็น
                             มีดอกไม้บานสะพรั่ง จักจงกรมให้เป็นที่สำราญใจ เมื่อไรเราจึงจักได้
                             อยู่ในป่าใหญ่อันน่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง จักเป็นผู้ทำกิจสำเร็จ
                             หาอาสวะมิได้ ขอความประสงค์ของเราผู้ปรารถนาจะทำอย่างนี้จงสำเร็จ
                             เถิด เราจักยังความประสงค์ของเราให้สำเร็จจงได้ ผู้อื่นไม่อาจ
                             ทำผู้อื่นให้สำเร็จได้ เราจักผูกเกราะ คือ ความเพียร
จักเข้า
                             ไปสู่ป่าใหญ่ เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ออกไปจากป่า
                             นั้นเมื่อลมพัดเย็นมา กลิ่นดอกไม้ก็หอมฟุ้งมา เราจักนั่งอยู่บนยอดเขา
                             ทำลายอวิชชา เราจักได้รับความสุขรื่นรมย์อยู่ด้วยวิมุตติสุขในถ้ำที่เงื้อม
                             เขา ซึ่งดารดาษไปด้วยดอกโกสุม มีภาคพื้นเยือกเย็น อันมีอยู่ใน
                             ป่าใหญ่เป็นแน่ เรามีความดำริอันเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ใน
                             วันเพ็ญ เป็นผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:44:25 »




   มหากัปปินเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระมหากัปปินเถระ
                [๓๗๒]                 ผู้ใดพิจารณาเห็นแจ้งหรือแสวงหาประโยชน์ ย่อมพิจารณาเห็นกิจ
                             ทั้งสอง คือ ที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ อันยังไม่มาถึง
                             ได้ก่อนอมิตรหรือศัตรูของผู้นั้น ซึ่งคอยแสวงหาช่องอยู่ไม่ทันเห็น ผู้นั้น
                             เรียกว่า ผู้มีปัญญา ผู้ใดเจริญอานาปาณสติให้บริบูรณ์ด้วยดีแล้ว
                             อบรมแล้วโดยลำดับ  ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ผู้นั้นย่อม
                             ยังโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์เพ็ญออกจากกลีบเมฆฉะนั้น
                             จิตของเราผ่องใสแล้วหนอ อบรมดีแล้ว หาประมาณมิได้ เป็น

                             จิตประคองไว้แล้วเป็นนิตย์ ย่อมยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว บุคคล
                             ผู้มีปัญญาถึงจะสิ้นทรัพย์ ก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นได้แน่แท้ ส่วนบุคคล
                             ผู้ไม่มีปัญญาถึงจะมีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้ ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินสิ่ง
                             ที่ตนฟังมาแล้ว
เป็นเครื่องเจริญชื่อเสียงและความสรรเสริญ นรชน
                             ในโลกนี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญา แม้ในเวลาที่ตนตกทุกข์ ก็
                             ย่อมได้รับความสุข ธรรมนี้มิใช่มีในวันนี้ ไม่ใช่น่าอัศจรรย์
                             และไม่ใช่เคยมีมาแล้ว แต่ดูเหมือนเป็นของที่ไม่เคยมีในโลก ซึ่ง
                             เป็นที่เกิดที่ตาย
เมื่อสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นอยู่กับความ
                             ตายแน่แท้ สัตว์ที่เกิดมาแล้วๆ ในโลกนี้ ย่อมตายไปทั้งนั้น
                             เพราะสัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา
ชีวิตอันใดเป็นประโยชน์
                             แก่บุรุษเหล่าอื่น ชีวิตอันนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว

                             อันการร้องไห้ถึงผู้ที่ตายไปแล้ว ย่อมไม่ทำให้เกิดผล ไม่ทำให้
                             เกิดความสรรเสริญ สมณะและพราหมณ์ไม่สรรเสริญเลย การ
                             ร้องไห้ย่อมเบียดเบียนจักษุและร่างกาย ทำให้เสื่อมวรรณะ กำลัง
                             และความคิด
ชนทั้งหลายผู้เป็นข้าศึกย่อมมีจิตยินดี ส่วนชน
                             ผู้เป็นมิตรก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย เพราะฉะนั้น บุคคลพึงปรารถนา
                             ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต ให้อยู่ในสกุลของตน เพราะ
                             กิจทุกอย่างจะสำเร็จได้ ด้วยกำลังปัญญาของท่านที่เป็นนักปราชญ์
                             และเป็นพหูสูตเท่านั้น เหมือนบุคคลข้ามแม่น้ำอันเต็มฝั่ง ด้วยเรือ
                             ฉะนั้น.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:46:05 »




   จูฬปันถกเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระจูฬปันถกเถระ
                [๓๗๓] เมื่อก่อน ญาณคติเกิดแก่เราช้า เราจึงถูกดูหมิ่น และพี่
                             ชายจึงขับไล่เราว่า จงกลับไปเรือนเดี๋ยวนี้เถิด เราถูกพี่ชายขับไล่แล้ว
                             ไปยืนร้องไห้อยู่ที่ใกล้ซุ้มประตูสังฆาราม เพราะยังมีความอาลัยในศาสนา
                             พระผู้มีพระภาคได้เสด็จมา ณ ที่นั้น ทรงลูบศีรษะเรา ทรงจับแขนเรา
                             พาเข้าไปสู่สังฆาราม พระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ประทานผ้าเช็ดพระบาท
                             ให้แก่เรา ตรัสว่า
จงอธิษฐานผ้าสะอาดผืนนี้ให้ตั้งมั่นดีโดยมนสิการว่า
                             รโชหรณํๆ ผ้าสำหรับเช็ดธุลีๆ จงตั้งจิตให้มั่น นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
                             เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว เกิดความยินดีในศาสนา ได้
                             บำเพ็ญสมาธิให้เกิดขึ้นเพื่อบรรลุประโยชน์อันสูงสุด เราระลึกถึงชาติ
                             ก่อนๆ ได้ ชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว ได้บรรลุวิชชา ๓
                             คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำสำเร็จแล้ว
พระจูฬปันถก-
                             เถระได้เนรมิตตนขึ้นพันหนึ่ง นั่งอยู่ที่ชีวกัมพวันอันรื่นรมย์ จนถึง
                             เวลาเขามาบอกนิมนต์ ครั้งนั้น พระศาสดาทรงส่งทูตไปบอกเวลา
                             ภัตตาหารแก่เรา เมื่อทูตบอกเวลาภัตตาหารแล้ว เราได้เข้าไป
                             เฝ้าโดยอากาศ ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดาแล้ว นั่ง
                             ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระศาสดาทรงรับรองเราผู้
                             ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ เราเป็นผู้ควรบูชาของโลกทั้งปวง เป็นผู้
                             ควรรับของอันเขานำมาบูชา เป็นนาบุญแห่งหมู่มนุษย์
ได้รับ
                             ทักษิณาทานแล้ว.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:47:48 »




   กัปปเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระกัปปเถระ
                [๓๗๔]      ร่างกายนี้ เต็มไปด้วยของอากูลและของอันเป็นมลทินต่างๆ มี
                             หลุมคูถใหญ่เป็นที่เกิด เป็นดุจ
บ่อน้ำครำอันมีมานมนาน เป็น
                             ดุจฝีใหญ่ เป็นดุจแผลใหญ่ เต็มไปด้วยหนองและเลือด เต็มไปด้วย
                             หลุมคูถ มีน้ำไหลออกเป็นนิตย์ มีของเน่าไหลออกทุกเมื่อ กายอัน
                             เปื่อยเน่านี้รัดรึงด้วยเอ็นใหญ่ ๖๐ เส้น ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา คือ
                             เนื้อ หุ้มห่อด้วยเสื้อ คือ หนัง เป็นของหาประโยชน์มิได้
                             เป็นของสืบต่อเนื่องกันด้วยร่างกระดูก เกี่ยวร้อยด้วยด้าย คือเส้น
                             เอ็น เปลี่ยนอิริยาบถได้ เพราะยังมีเครื่องประกอบพร้อม
นรชน
                             ผู้ยังคลุกคลีอยู่ในกามคุณ เป็นผู้ตระเตรียมไปสู่ความตายเป็นนิตย์ เป็น
                             ผู้ตั้งอยู่ในที่ใกล้มัจจุราช จักต้องทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้เอง
กายนี้
                             เองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผูกรัดด้วยเครื่องผูก ๔ ประการ จมอยู่
                             ในห้วงน้ำ คือ กิเลส ปกคลุมไว้ด้วยข่าย คือ กิเลสอันนอน
                             เนื่อง
อยู่ในสันดาน ประกอบแล้วในนิวรณ์ ๕ เพียบพร้อม
                             ด้วยวิตก ประกอบด้วยรากเหง้าแห่งภพ คือ ตัณหา ปก
                             ปิดด้วยเครื่องปกปิด คือ โมหะ หมุนไปอยู่ด้วยเครื่องหมุน คือ
                             กรรม
ร่างกายนี้ย่อมมีสมบัติกับวิบัติเป็นคู่กัน มีความเป็นต่างๆ กัน
                             เป็นธรรมดา
ปุถุชนคนอันธพาลเหล่าใด มายึดถือร่างกายนี้ว่าเป็น
                             ของเรา ย่อมยังสงสารอันน่ากลัวให้เจริญ ปุถุชนเหล่านั้นย่อมถือเอา
                             ภพใหม่อีก
กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตเหล่าใด ละเว้นร่างกายอันฉาบทาแล้ว
                             ด้วยคูถ ดังบุรุษผู้ประสงค์ความสุขอยากมีชีวิตอยู่ เห็นอสรพิษแล้ว
                             หลีกหนีไปฉะนั้น
กุลบุตรเหล่านั้นละอวิชชาอันเป็นรากเหง้าแห่งภพแล้ว
                             เป็นผู้ไม่มีอาสวะจักปรินิพพาน.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:50:06 »




   อุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระอุปเสนวังคันตปุตตเถระ
                [๓๗๕] ภิกษุส้องเสพเสนาสนะอันสงัด ปราศจากเสียงอื้ออึง เป็นที่อยู่อาศัย
                             แห่งสัตว์ร้ายเพราะการหลีกออกเร้นเป็นเหตุ ภิกษุพึงเก็บผ้ามาจากกอง
                             หยากเยื่อ จากป่าช้า จากตรอกน้อยตรอกใหญ่ แล้วทำเป็นผ้านุ่งห่ม
                             พึงทรงจีวรอันเศร้าหมอง ภิกษุควรทำใจให้ต่ำ คุ้มครองทวาร สำรวม
                             ดีแล้ว
เที่ยวไป
บิณฑบาต ตามลำดับตรอก คือ ตามลำดับสกุล ภิกษุ
                             พึงยินดีด้วยของๆ ตน แม้จะเป็นของเศร้าหมอง ไม่พึงปรารถนารส
                             อาหารอย่างอื่นมาก เพราะใจของบุคคลผู้ติดในรสอาหาร ย่อมไม่ยินดี
                             ในฌาน
ภิกษุควรเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด เป็น
                             มุนี ไม่คลุกคลีด้วยพวกคฤหัสถ์ และพวกบรรพชิตทั้งสอง ภิกษุผู้
                             เป็นบัณฑิต ควรแสดงตนให้เป็นคนบ้าและคนใบ้ ไม่ควรพูดมากใน
                             ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ควรเข้าไปกล่าวว่าใครๆ ควรละเว้นการเข้ากระทบ
                             กระทั่ง เป็นผู้สำรวมในพระปาติโมกข์ และพึงเป็นผู้รู้จักประมาณใน
                             โภชนะ
เป็นผู้ฉลาดในการเกิดขึ้นแห่งจิต มีนิมิตอันถือเอาแล้ว
                             พึงประกอบสมถะและวิปัสสนาตามเวลาอันสมควรอยู่เนืองๆ พึง
                             เป็นบัณฑิตผู้ถึงพร้อม
ด้วยความเพียรเป็นนิตย์ เป็นผู้ประกอบภาวนา
                             ทุกเมื่อ
ด้วยความตั้งใจว่า ถ้ายังไม่ถึงที่สุดทุกข์ ไม่พึงถึง
                             ความวางใจ อาสวะทั้งปวงของภิกษุ ผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์
                             เป็นอยู่อย่างนี้ ย่อมสิ้นไป และภิกษุนั้นย่อมบรรลุนิพพาน.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #54 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2555 14:53:11 »



           

   โคตมเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระโคตมเถระ
                [๓๗๖] บุคคลพึงรู้จักประโยชน์ของตน พึงตรวจตราดูคำสั่งสอนของพระ
                             ศาสดา และพึงตรวจตราสิ่งที่สมควรแก่กุลบุตร ผู้เข้าถึงซึ่ง
                             ความเป็นสมณะในศาสนานี้
การมีมิตรดี การสมาทานสิกขา
                             ให้บริบูรณ์ การเชื่อฟังต่อครูทั้งหลาย ข้อนี้ล้วนแต่สมควรแก่
                             สมณะ ในศาสนานี้ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ความยำ
                             เกรงในพระธรรมและพระสงฆ์ตามความเป็นจริง ข้อนี้ ล้วนสมควร
                             แก่สมณะ
การประกอบในอาจาระและโคจร อาชีพที่หมดจด อัน
                             บัณฑิตไม่ติเตียน การตั้งจิตไว้ชอบนี้ ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ
                             จาริตศีลและวาริตศีล การเปลี่ยนอิริยาบถอันน่าเลื่อมใส และ
                             การประกอบในอธิจิต ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ
เสนาสนะป่าอันสงบ
                             ปราศจากเสียงอึกทึก มุนีพึงคบหา นี้เป็นของสมควรแก่สมณะ
                            จตุปาริสุทธศีล พาหุสัจจะ การเลือกเฟ้นธรรมตามความเป็นจริง
                             การตรัสรู้อริยสัจ นี้ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ

                             ข้อที่บุคคลมาเจริญอนิจจสัญญาในสังขารทั้งปวงว่า สังขารทั้งปวง
                             ไม่เที่ยง เจริญอนัตตสัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
                             และเจริญอสุภสัญญาว่า กรัชกายนี้ไม่น่ายินดีในโลก นี้ก็ล้วนแต่
                             สมควรแก่สมณะ การที่บุคคลมาเจริญโพชฌงค์ ๗ อิทธิบาท ๔
                             อินทรีย์ ๕ พละ ๕ และอริยมรรคมีองค์ ๘
ก็ล้วนสมควรแก่สมณะ

                             การที่บุคคลผู้เป็นมุนีมาละตัณหาทำลายอาสวะ พร้อมทั้งรากเหง้า เป็น
                             ผู้หลุดพ้น
จากอาสวะกิเลสอยู่
ก็ล้วนแต่สมควรแก่สมณะ


http://i1012.photobucket.com/albums/af250/paulk2010/Bhudda%20Art/paul1008004.jpg
۞ ๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #55 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2555 19:08:52 »




   สังกิจจเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระสังกิจจเถระ
                อุบาสกคนหนึ่ง ได้วอนขอให้กิจจสามเณรอยู่ในวิหารแห่งหนึ่งด้วยคาถาว่า
                [๓๗๗]      ดูกรพ่อสามเณร จะมีประโยชน์อะไรในป่า ภูเขาชื่ออุชชุหานะ เป็น
                             ที่ไม่สบายในฤดูฝน เพราะฉะนั้น ภูเขาอุชชุหานะจะมีประโยชน์
                             อะไรแก่ท่าน ลมหัวด้วนพัดมาอยู่ ท่านพอใจหรือ เพราะ
                             ความเงียบสงัดเป็นที่ต้องการของผู้เจริญฌาน.


                สังกิจจสามเณรตอบว่า
                             ลมหัวด้วนในฤดูฝนย่อมพัดผันเอาวลาหกไปฉันใด สัญญาอันประกอบ
                             ด้วยวิเวก ย่อมคร่าเอาจิตของอาตมามาสู่ความสงัด ก็ฉันนั้น
                             กายคตาสติกัมมัฏฐาน อันประกอบด้วยความคลายกำหนัดในร่างกาย
                             ย่อมเกิดขึ้นแก่อาตมาทันที เหมือนกาอันเป็นสัตว์เกิดแต่ฟองไข่มีสีดำ

                             เที่ยวอาศัยอยู่ในป่าช้า ฉะนั้น บุคคลเหล่าอื่น ย่อมไม่รักษาบรรพชิต
                             และบรรพชิตก็ไม่รักษาคนเหล่าอื่น ภิกษุนั้นแลเป็นผู้ไม่ห่วงใยในกาม
                             ทั้งหลาย ย่อมอยู่เป็นสุข แอ่งศิลา ซึ่งมีน้ำใส ประกอบด้วยหมู่ชะนี
                             และค่างดารดาษไปด้วยสาหร่าย ย่อมยังอาตมาให้ยินดี การที่อาตมาอยู่
                             ในเสนาสนะป่า คือ ซอกเขาและถ้ำอันเป็นที่สงัด เป็นที่ส้องเสพอาศัย


                             แห่งมวลมฤค ย่อมทำให้อาตมายินดี อาตมาไม่เคยรู้สึกถึงความดำริอันไม่
                             ประเสริฐ ประกอบด้วยโทษเลยว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกเบียดเบียน จง
                             ถูกฆ่า จงได้รับทุกข์ อาตมาได้ทำความคุ้นเคยกับพระศาสดาแล้ว
                             คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาตมาทำเสร็จแล้ว อาตมาปลงภาระอันหนัก
                             ลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตร


                             ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาต้องการแล้ว ถึงความสิ้นไปแห่ง
                             สังโยชน์ทั้งปวงแล้ว อาตมาไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความ
                             เป็นอยู่ และรอเวลาอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้สิ้นเวลาทำงาน ฉะนั้น
                             อาตมาไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็นอยู่ และเป็นผู้มี
                             สติสัมปชัญญะ รอเวลาตายอยู่

                             ในเอกาทสนิบาตนี้ พระสังกิจจเถระองค์เดียวเท่านั้น ผู้เสร็จกิจแล้ว 
                             หมดอาสวะ ได้ภาษิตคาถาไว้ ๑๑ คาถาถ้วนฉะนี้แล.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #56 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2555 17:59:19 »



           

   สีลวเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระสีลวเถระ
                [๓๗๘]       ท่านทั้งหลายพึงศึกษาศีลในศาสนานี้ ด้วยว่าศีลอันบุคคลศึกษาดีแล้ว
                             สั่งสมดีแล้ว ย่อมนำสมบัติทั้งปวงมาให้ในโลกนี้ นักปราชญ์
                             เมื่อปรารถนาความสุข ๓ ประการ คือ ความสรรเสริญ ๑ การได้
                             ความปลื้มใจ ๑ ความบันเทิงในสวรรค์เมื่อละไปแล้ว ๑ พึง
                             รักษาศีล ด้วยว่าผู้มีศีล มีความสำรวม ย่อมได้มิตรมาก

                             ส่วนผู้ทุศีลประพฤติแต่กรรมอันลามก ย่อมแตกจากมิตร นรชน
                             ผู้ทุศีล ย่อมได้รับการติเตียนและความเสียชื่อเสียง ส่วนผู้มีศีล
                             ย่อมได้รับการสรรเสริญและชื่อเสียงทุกเมื่อ ศีลเป็นเบื้องต้น เป็น
                             ที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธาน
                             แห่งธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึงชำระศีลให้บริสุทธิ์ สังวร

                             ศีลเป็นเครื่องกั้นความทุจริต ทำจิตให้ร่าเริง เป็นท่าที่หยั่งลง
                             มหาสมุทร คือ นิพพานของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เพราะฉะนั้น
                             พึงชำระศีลให้บริสุทธิ์ ศีลเป็นกำลังหาเปรียบมิได้ เป็นอาวุธ
                             อย่างสูงสุด เป็นอาภรณ์อันประเสริฐ เป็นเกราะอันน่าอัศจรรย์
                             ศีลเป็นสะพาน เป็นมหาอำนาจ เป็นกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยม เป็น

                             เครื่องลูบไล้อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่ว
                             ทุกทิศ ศีลเป็นกำลังอย่างเลิศ เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็น
                             พาหนะอันประเสริฐยิ่งนัก เป็นเครื่องหอมฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ คนพาล
                             ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นในศีล ย่อมได้รับการนินทาในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้
                             เมื่อตายไปแล้ว ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในอบายภูมิ ย่อมได้รับทุกข์

                             โทมนัสในที่ทั่วไป ธีรชนผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีในศีล ย่อมได้รับการ
                             สรรเสริญในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้รับความสุข
                             โสมนัสในสวรรค์ ย่อมรื่นเริงใจในที่ทุกสถานในโลกนี้ ศีลเท่านั้นเป็น
                             ยอดและผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ ความชนะในมนุษยโลกและ
                             เทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา.



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #57 เมื่อ: 29 ตุลาคม 2555 18:27:35 »



           

   สุนีตเถรคาถา
   คาถาภาษิตของพระสุนีตเถระ
                [๓๗๙] เราเกิดมาในสกุลต่ำ เป็นคนยากจน มีเครื่องบริโภคน้อย การงานของ
                             เราเป็นการงานต่ำ เราเป็นคนเทดอกไม้ เราถูกมนุษย์เกลียดชัง ดูหมิ่น
                             และแช่งด่า เราถ่อมตนไหว้หมู่ชนเป็นอันมาก ครั้งนั้น เราได้เห็น
                             พระพุทธเจ้า ผู้เป็นมหาวีรบุรุษ ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ เสด็จ
                             เข้าไปสู่พระนครอันอุดม ของชาวมคธเพื่อบิณฑบาต เราจึงวางกระเช้า

                             ลงแล้วเข้าไปถวายบังคม พระองค์ผู้เป็นอุดมบุรุษได้ประทับยืนอยู่เพื่อ
                             อนุเคราะห์เรา ครั้งนั้นเราได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดาแล้ว
                             ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงทูลขอบรรพชากะพระองค์ผู้สูงสุด
                             กว่าสัตว์ทั้งปวง ลำดับนั้น พระศาสดาผู้มีพระกรุณาอนุเคราะห์สัตว์โลก
                             ทั้งปวง ได้ตรัสเรียกเราว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด พระดำรัสนั้นเป็น

                             อุปสมบทของเรา เมื่อเราอุปสมบทแล้ว อยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ไม่เกียจ
                             คร้าน ได้ทำตามพระดำรัสของพระศาสดาผู้พิชิตมาร ที่ทรงสั่งสอนเรา
                             ในราตรีปฐมยาม เราก็ระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้ในมัชฌิมยาม ก็ได้ทิพย-
                             จักษุ ในปัจฉิมยาม เราก็ทำลายกองแห่งความมืด คือ อวิชชาได้ ครั้น
                             รุ่งราตรีพระอาทิตย์อุทัย เทพเจ้าเหล่าอินทร์และพรหมทั้งหลาย พากัน

                             ประนมอัญชลีนมัสการเราพร้อมกับกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชา-
                             ไนย ขอนอบน้อมต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นอุดมบุรุษ ขอนอบน้อมต่อ
                             ท่าน ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นทักขิไณยบุคคล
                             ลำดับนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราห้อมล้อมด้วยหมู่เทพเจ้า
                             จึงทรงยิ้มแย้ม แล้วได้ตรัสเนื้อความนี้ว่า บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์
                             เพราะคุณธรรม ๔ ประการ คือ ตบะ ๑ พรหมจรรย์ ๑ สัญญมะ ๑
                             ทมะ ๑ ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการ
                             มีตบะเป็นต้นนั้นว่า เป็นพราหมณ์ผู้อุดม.

                             ในทวาทสกนิบาตนี้ พระเถระ ๒ รูป คือ พระสีลวเถระ ๑ พระสุนีต
                             เถระ ๑ ล้วนแต่มีมหิทธิฤทธิ์ ได้ภาษิตคาถารูปละ ๑๒ คาถา รวมเป็น
                             ๒๔ คาถา ฉะนี้.


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #58 เมื่อ: 31 ตุลาคม 2555 21:48:22 »



           

   โสณโกฬิวิสเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระโสณโกฬิวิสเถระ
                [๓๘๐]       ผู้ใดเป็นผู้สำเร็จความปรารถนา เป็นผู้สูงสุดในแว่นแคว้นของ
                             พระเจ้าอังคะ วันนี้ ผู้นั้นมีนามว่าโสณะ เป็นผู้เยี่ยมในธรรมทั้งหลาย
                             เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ภิกษุพึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ พึงละสังโยชน์
                             เบื้องบน ๕ และพึงเจริญอินทรีย์ ๕ ให้ยิ่ง
ภิกษุผู้ล่วงธรรมเป็น
                             เครื่องข้อง ๕ ท่านเรียกว่า ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว ศีล สมาธิ และ

                             ปัญญา ของภิกษุผู้มีมานะเพียงดังว่าไม้อ้ออันยกขึ้นแล้ว ผู้ประมาท
                             ยินดีในอายตนะอันมีในภายนอก
ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์ กิจใดที่
                             ควรทำ ภิกษุเหล่านี้มาละทิ้งกิจอันนั้นเสีย แต่มาทำกิจที่ไม่ควรทำ
                             อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้มีมานะเพียงดังไม้อ้ออันยก
                             ขึ้นแล้ว เป็นผู้ประมาท ส่วนภิกษุเหล่าใดปรารภกายคตาสติด้วยดีเป็น

                             นิตย์ ภิกษุเหล่านั้นกระทำกรรมที่ควรทำเนืองนิตย์ ย่อมไม่เสพกรรมมิใช่
                             กิจ อาสวะของภิกษุเหล่านั้นผู้มีสติสัมปชัญญะ ย่อมถึงความสิ้นสูญ เมื่อ
                             มีทางตรงพระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้แล้ว ขอท่านทั้งหลายจงดำเนินไปเถิด
                             อย่าพากันกลับ จงตักเตือนตนด้วยตนเอง พึงน้อมตนเข้าไปสู่นิพพาน
                             เมื่อเราปรารภความเพียร พระศาสดาผู้มีพระจักษุยอดเยี่ยมในโลก ได้

                             ทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยสายพิณสอนเรา เราฟังพระดำรัสของพระองค์
                             แล้ว ยินดีอยู่ในพระศาสนา ยังสมถภาวนาให้เกิดขึ้น เพื่อบรรลุ
                             ประโยชน์อันสูงสุด เราบรรลุวิชชา แล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธ
                             เจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว จิตของเราผู้น้อมไปในเนกขัมมะ ในความวิเวก
                             แห่งจิต ในความไม่เบียดเบียน ในความสิ้นไปแห่งอุปาทาน ในความ

                             สิ้นตัณหาและในความไม่หลงใหลแห่งใจ
ย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะ
                             เห็นความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ การสั่งสมย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้หลุด
                             พ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบระงับเสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะพึงทำอีกไม่มี
                             ภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งทึบ ย่อมไม่สะเทือนด้วยลม ฉันใด รูป เสียง
                             กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ และ

                             อนิฏฐารมณ์ ย่อมไม่ทำจิตของบุคคลผู้คงที่ให้หวั่นไหวได้ ฉันนั้น จิต
                             ของผู้คงที่นั้น เป็นจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอารมณ์
                             อะไรๆ เพราะผู้คงที่นั้นพิจารณาเห็นความเสื่อมไปแห่งอารมณ์นั้
น.
                             ในเตรสกนิบาตนี้ พระโสณโกฬิวิสเถระผู้มีมหิทธิฤทธิ์รูปเดียวเท่านั้น
                             ได้ภาษิตคาถาไว้ ๑๓ คาถา ฉะนี้แล


บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« ตอบ #59 เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2555 17:10:33 »



      http://img827.imageshack.us/img827/5706/76699167692699916996100.jpg
۞ ๚ เถระคาถา ๚ะ๛ ۞


เรวตเถรคาถา
   คาถาสุภาษิตของพระเรวตเถระ
                [๓๘๑]       นับแต่เราออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ไม่รู้สึกถึงความดำริอันไม่ประเสริฐ
                             ประกอบด้วยโทษเลย ในระยะกาลนานที่เราบวชอยู่นี้ เราไม่รู้สึกถึง
                             ความดำริว่า ขอให้สัตว์เหล่านั้น จงถูกฆ่า ถูกเขาเบียดเบียน จงได้
                             รับทุกข์ เรารู้สึกแต่การเจริญเมตตาอันหาประมาณมิได้ อบรมสั่งสม
                             ดีแล้วโดยลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เราได้เป็นมิตร

                             เป็นสหายของสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ยินดีแล้วใน
                             การไม่เบียดเบียน เจริญเมตตาจิตอยู่ทุกเมื่อ เรายังจิตอันไม่ง่อนแง่น
                             ไม่กำเริบให้บันเทิงอยู่ เจริญพรหมวิหารอันบุรุษผู้เลวทรามไม่ซ่องเสพ
                             สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร
                             ประกอบด้วยความเป็นผู้นิ่งเป็นอริยะ โดยแท้จริง ภูเขาศิลาล้วนไม่หวั่น

                             ไหว ตั้งอยู่คงที่ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ย่อมไม่หวั่นไหวดุจบรรพต
                             เพราะสิ้นโมหะ ความชั่วแม้มีประมาณเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏ
                             เหมือนประมาณท่าหมอกเมฆ แก่ท่านผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ผู้แสวง
                             หาความสะอาดเป็นนิตย์ เมืองหน้าด่านเป็นเมืองอันเขาคุ้มครองแล้ว
                             ทั้งภายในและภายนอก ฉันใด ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด

                             ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เราไม่ยินดีต่อความตาย ไม่
                             เพลิดเพลินต่อความเป็นอยู่ แต่เรารอเวลาตาย เหมือนลูกจ้างคอยให้
                             หมดเวลาทำงานฉะนั้น เราไม่ยินดีความตาย ไม่เพลิดเพลินความเป็น
                             อยู่ แต่เรามีสติสัมปชัญญะ รอท่าเวลาตาย พระศาสดาเราคุ้นเคยแล้ว
                             เราทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว

                             ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว ได้บรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวช
                             เป็นบรรพชิตต้องการแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวง ท่านทั้ง
                             หลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นคำสอนของเรา เรา
                             จักอำลาท่านทั้งหลายปรินิพพานในบัดนี้ เพราะเราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว
                             จากกิเลสทั้งปวง.


บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 [3] 4 5   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.423 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 18 มีนาคม 2567 13:04:56