[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 18:12:05 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มหาสมัยสูตร บทสวดเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของบ้านเมือง  (อ่าน 4769 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5469


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 22 สิงหาคม 2555 16:14:59 »



ภาพวาดพุทธประวัติ  ฝีมือ คำนวน  ชานันโท

มหาสมัยสูตร
ความเป็นมา

มหาสมัยสูตร ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  มีความเป็นมา ดังนี้  เมื่อพระพุทธองค์บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก  และเมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์เพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา  พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย  และในเวลาต่อมา พระพุทธบิดาได้ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตร

ต่อมา ขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ (นิโครธาราม เป็นวัดที่พระประยูรญาติสร้างถวายพระพุทธองค์)  เหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะและโกลิยะที่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโรหิณีได้วิวาทกันเรื่องแย่งน้ำทำนา  ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงยกกองทัพออกไปจะทำสงครามกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้  พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณ  ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงบอกให้ใครทราบ เสด็จดำเนินแต่เพียงพระองค์เดียว ไปประทับนั่งขัดบัลลังก์ระหว่างกองทัพกษัตริย์ทั้ง ๒ นคร

ครั้นกองทัพเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองโกลิยะเห็นพระองค์นั้น ต่างก็คิดว่าพระศาสดาผู้เป็นพะญาติเสด็จมา จึงทิ้งอาวุธและเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ทั้งที่พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ขณะนั้นดี แต่ก็ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วตรัสสอนว่า พวกมหาบพิตรอาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วทำให้กษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้ฉิบหายทำไมกัน

ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัสผันทนชาดก ปฐวีอุทริยนชาดกและลฏุกิกชาดก เพื่อระงับการวิวาทของพระญาติทั้งสองฝ่าย จากนั้นได้ตรัสรุกขธรรมชาดกและวัฏฏกชาดก  เพื่อให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันและท้ายที่สุดได้ตรัสอัตตทัณฑสูตร

กษัตริย์เหล่านั้นได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธ  กล่าวว่า หากพระพุทธองค์ไม่เสด็จมา พวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกันและกัน เลือดจะไหลนองเป็นสายน้ำ  ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้าลูกเมียญาติพี่น้อง กษัตริย์ทั้ง ๒ พระนครจึงถวายพระราชกุมาร ๕๐๐ องค์  โดยแบ่งฝ่ายละ ๒๕๐ องค์  ให้บรรพชาอุปสมบทกับพระพุทธองค์

ในอรรถกถามหาสมัยสูตรได้อธิบายเหตุการณ์ที่ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นบรรลุธรรมไว้ว่า เมื่อพระพุทธองค์นำภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามหาวัน ป ระทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูถวายในโอกาสที่สงัด  ตรัสบอกกัมมัฏฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อรับกัมมัฏฐานแล้ว ทั้งหมดต่างแยกย้ายกันไปเจริญวิปัสสนาในที่เงียบสงัด และก็ทยอยบรรลุพระอรหัต  จากนั้นก็เข้าไปเผ้าพระพุทธองค์จนครบทั้ง ๕๐๐ รูป

อรรถกถาได้อธิบายต่อไปอีกว่า สำหรับท่านผู้สิ้นอาสวะแล้วทั้งหลาย ย่อมมีอาการ ๒ อย่าง คือ
๑. เกิดความคิดว่า ชาวโลกพร้อมกับเทวดาจะพึงรู้แจ้งแทงตลอดคุณวิเศษที่ตนได้เฉพาะแล้ว
๒. ไม่ประสงค์จะบอกคุณที่ตนได้แล้วแก่ผู้อื่น เหมือนคนผู้ได้ขุมทรัพย์ (ไม่อยากจะบอกใครให้รู้)

เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป  ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์บวชจากราชตระกูล  ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เวลานี้เป็นสมัยแห่งการประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก จึงได้แต่งคาถากล่าวสรรเสริญพระพุทธองค์และเหล่าสาวก เทวดาที่มาประชุมกันในที่นั้นมีจำนวนมากมาย ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดานับร้อย บางรูปก็เห็นนับพัน บางรูปก็เห็นนับหมื่น บางรูปก็เห็นนับแสน  บางรูปก็เห็นนับไม่ถ้วน  แตกต่างกันไปตามกำลังญาณของแต่ละรูป

ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจำนวนมากเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  พระพุทธองค์ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวดาในแสนจักรวาลมาประชุมกันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิกษุสงฆ์  เทวดาประมาณเท่านี้ได้เคยประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาลแล้ว  และพวกเทวดาประมาณเท่านี้อีกเช่นกันจักประชุมกันเพื่อชมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล  จากนั้นพระองค์ทรงแนะนำเทวดาแต่ละจำพวกให้ภิกษุทั้งหลายทราบตามลำดับ  ตั้งแต่ภุมมเทวดาไปจนถึงพรหมโลก

ขณะที่เทวดาจากหมื่นจักรวาลมาประชุมกันนั้น ท้องฟ้าโปร่งใสไม่มีเมฆหมอก ก็กลับเกิดเมฆฝนคำรณคำรามกึกก้อง ฟ้าแลบแปลบปลาบ  พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทราบว่า หมู่มารก็ได้มาด้วย จึงทรงแนะนำให้ภิกษุรู้จักพญามาร

พญามารกำลังสั่งบังคับเสนามารให้ผูกเหล่าเทวดาไว้ในอำนาจแห่งกามราคะ แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น พญามารเมื่อไม่ได้ดังใจจึงทำให้เกิดฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว

ตามปกติในที่ที่ไม่มีการบรรลุมรรคผล  พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามมารแสดงสิ่งอันน่ากลัว แต่ในที่ที่มีการบรรลุมรรคผล  พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้ใครรู้เห็นสิ่งที่พญามารกำลังทำ  เนื่องจากการประชุมใหญ่ของเทวดาครั้งนั้น จะมีเทวดาบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก  พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานไม่ให้พวกเทวดารับรู้สิ่งอันน่ากลัวของหมู่มารนั้น พญามารนั้นจึงกลับไปด้วยความเดือดดาล

อรรถกถาได้ยกตัวอย่างอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อสมัยที่พระพุทธศาสนาประดิษฐานรุ่งเรืองในลังกาทวีป  ครั้งหนึ่งที่โกฏิบรรพตวิหาร  มีเทพธิดาตนหนึ่งย่อมอาศัยอยู่ที่ต้นกากะทิง  ใกล้ประตูถ้ำกากะทิง  ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งสาธยายมหาสมัยสูตรนี้ภายในถ้ำ  เทพธิดาฟังแล้วให้สาธุการด้วยเสียงอันดังในเวลาจบพระสูตร  ภิกษุหนุ่มถามว่า ใคร เทพธิดาตอบว่า นางเป็นเทพธิดา  ภิกษุหนุ่มถามต่อว่า ทำไมจึงให้สาธุการ  เทพธิดาชี้แจงว่า ได้ฟังมหาสมัยสูตรนี้ในวันที่พระทศพลประทับนั่งแสดงที่ป่าใหญ่ วันนี้ได้ฟังอีก  บทธรรมนี้พระคุณเจ้าเรียนมาดีแล้ว เพราะไม่ทำอักษรแม้ตัวเดียวให้คลาดเคลื่อนจากพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคแสดงไว้แล้ว

ภิกษุหนุ่มถามว่า เธอได้สดับเมื่อพระทศพลแสดงมาหรือ เทพธิดาตอบว่า เจ้าค่ะ  ภิกษุหนุ่มถามต่อไปว่า ทราบมาว่า เทวดาเข้าประชุมกันมาก แล้วเธอยืนฟังอยู่ ณ ที่ไหน

เทพธิดาบรรยายรายละเอียดว่า ตัวเองเป็นเทพธิดาชาวป่าใหญ่ เมื่อพวกเทวดาชั้นผู้ใหญ่กำลังมาถึง ไ ม่ได้โอกาสอันว่างในชมพูทวีป  เลยไปที่เกาะตัมพปัณณิ (ลังกาทวีป)  ยืนอยู่ที่ท่าชัมพูโกละ  ต่อมาเมื่อพวกเทวดาชั้นผู้ใหญ่มาถึงที่นั้น  ตัวเองก็ต้องถอยร่นมาเป็นลำดับ แช่น้ำทะเลลึกถึงคอ  อยู่ทางส่วนด้านหลังหมู่บ้านในโรหนชนบท  แล้วยืนฟังอยู่ในที่นั้นนั่นเอง  ภิกษุหนุ่มกล่าวว่าจากที่ที่เธอยืนอยู่ก็ไกลมาก  เธอจะเห็นพระศาสดาหรือเทพธิดากล่าวว่า พระคุณเจ้าพูดอะไร ดิฉันเข้าใจว่าพระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ที่ป่าใหญ่ ทรงแลดูดิฉันอยู่เนือง ๆ จึงรู้สึกกลัว รู้สึกละอาย

ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า ทราบมาว่า วันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จพระอรหันต์ แล้วเธอละตอนนั้นสำเร็จพระอรหันต์หรือไม่  เทพธิดาตอบว่า ดิฉันไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์  ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า สำเร็จอนาคามิผลใช่ไหม  เทพธิดาตอบว่า ไม่   ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า ทราบมาว่าพวกเทวดาผู้เสร็จมรรคผลอย่างน้อย ๓ ขั้น มีมากจนนับไม่ถ้วน  ส่วนเธอคงจะเป็นพระโสดาบันในวันนั้น เทพธิดาได้สำเร็จโสดาปัตติผล  รู้สึกอาย จึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม

ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มจึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า เทพธิดาเธอจะแสดงกายให้อาตมาเห็นได้ไหม  นางตอบว่า จะแสดงหมดทั้งตัวไม่ได้เจ้าค่ะ ดิฉันจะแสดงเฉพาะแค่ข้อนิ้วมือแก่พระคุณเจ้า  แล้วหันหน้าเข้ามาภายในถ้ำ  พลางสอดนิ้วมือเข้ามาทางช่องลูกกุญแจ  รัศมีของนิ้วมือได้ส่องสว่างไปทั่ว เป็นเหมือนเวลาที่ดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันเป็นพัน ๆ  เทพธิดากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าประมาท   ไหว้ภิกษุหนุ่มแล้วอำลากลับไป




สวดเมื่อไร  สวดแล้วได้อะไร

มหาสมัยสูตร  เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป็นที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ  ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาเช่นนี้เพียงครั้งเดียว เทวดาทั้งหลายจึงพากันคิดว่า จะฟังพระสูตรนี้ เมื่อพระพุทธองค์แสดงมหาสมัยสูตรจบ  เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัต

พระสูตรนี้เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของพวกเทวดา เพราะต่างก็คิดว่าเป็นพระสูตรของตน  ดังนั้น เมื่อสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่าเทวดามาประชุมกัน  เมื่อเทวดาประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายถอยห่างออกไป  เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาใกล้

พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า มหาสมัยสูตรนี้เป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของเทวดา  ในสถานที่ใหม่ ๆ เมื่อจะกล่าวมงคลกถา ควรสวดพระสูตรนี้  หมายความว่า ในสถานที่สำคัญที่จะประกอบกิจใหม่ หรือในสถานใดที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ  เมื่อจะสวดมงคลกถาในสถานที่เช่นนี้ ควรสวดมหาสมัยสูตร และเนื่องจากมหาสมัยสูตรเป็นสูตรใหญ่  คือ มีเนื้อหาเป็นจำนวนมาก จึงไม่นิยมสวดในงานทำบุญทั่วไป  แต่จะนิยมนำไปสวดเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับความอยู่เย็นเป็นสุขของบ้านเมือง

กล่าวกันว่า มหาสมัยสูตรนี้เป็นสูตรที่ชาวบ้านใช้ลงโทษพระภิกษุสามเณรที่เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน  หากไปทำบาตรหรือฝาบาตรตกในบริเวณลานบ้าน ถือว่าทำเหตุร้ายไม่เป็นมงคลแก่บ้าน  ต้องให้พระภิกษุสามเณรรูปนั้นยืนสวดมหาสมัยสูตรขจัดเหตุร้ายให้  บางแห่งให้พระไปนั่งบนครกตำข้าวห้อยเท้าเหยียบพื้นดินสวด  ทั้งนี้เป็นกลอุบายให้พระภิกษุสามเณรระมัดระวังในการถือบาตร  และเป็นอุบายให้พระขยันท่องมหาสมัยสูตร  ซึ่งหากพลาดพลั้งไปจะได้สวดแก้เคราะห์ให้ชาวบ้านได้



http://i883.photobucket.com/albums/ac40/42tong/thita/buddha032.jpg
มหาสมัยสูตร บทสวดเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของบ้านเมือง

ภาพวาดพุทธประวัติ  ฝีมือ คำนวน  ชานันโท ภาพจาก www.sookjai.com


ที่มา : ความสำคัญของบทสวดมนต์ "มหาสมัยสูตร"   วารสาร สายตรงศาสนา ประจำเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ๒๕๕๕ จัดพิมพ์เผยแพร่โดย กระทรวงวัฒนธรรม


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.508 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 13 เมษายน 2567 18:14:16