"งานช่าง-คำช่างโบราณ" หมวดพยัญชนะ ก - ฮ

<< < (2/3) > >>

Kimleng:
.





- "งานช่าง - คำช่างโบราณ" เป็นผลงานของศาสตราจารย์ ดร.สันติ  เล็กสุขุม  
อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ซึ่งอธิบายความหมายศัพท์ของงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และการช่างประณีตศิลป์ไทย  
นอกจากนี้ยังแสดงความคิดเห็นและข้อวิเคราะห์เกี่ยวกับงานศิลปกรรม ที่ท่านได้จาก
การศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบกับศิลปวัฒนธรรมในสายวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างละเอียด  

- ศาสตราจารย์ ดร.สันติ  เล็กสุขุม  ท่านได้กรุณามอบต้นฉบับหนังสือวิชาการชุดนี้ให้กรมศิลปากร
เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมและอนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ อำนวยประโยชน์กับนักเรียน นักศึกษา
และผู้ที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะการช่างไทยอันเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนในอดีต
 

"งานช่าง-คำช่างโบราณ"

หมวดพยัญชนะ ก


• กรอบเช็ดหน้า, วงกบ
กรอบเช็ดหน้า คือวงกบของประตูหรือหน้าต่าง เช่นที่ปราสาทแบบเขมร  สลักจากหินทราย  หน้ากรอบตกแต่งแนวเป็นคิ้วเล็ก ๆ เรียงขนานกัน  คือตัวอย่างความงามที่ช่างเขมรโบราณให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าส่วนอื่นของงานประดับ

ความเป็นมาของศัพท์ “กรอบเช็ดหน้า”  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเข้าใจว่าเกิดจากที่มีการผูกผ้าขาวเท่าผืนผ้าเช็ดหน้าไว้ที่กรอบวงกบประตู  เพื่อเป็นที่หมายหรือเพื่อเป็นการทำขวัญเมื่อยกขึ้นตั้ง

อนึ่ง การประกอบท่อนไม้สี่ท่อน  แต่ละท่อนบากปลายให้เป็นรูปลิ่มคล้ายปากของกบ ประกบกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม คือที่มาของชี่อ “วงกบ”


กรอบเช็ดหน้าของประตูทางเข้าบริเวณศาสนสถาน ปราสาทเมืองต่ำ บุรีรัมย์ ศิลปะแบบเขมร ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๖
คิ้วเล็ก ๆ ยาวขนานกันไปตามความยาวของหน้ากรอบ คืองานประดับที่เพิ่มความงาม
และดูเหมือนว่าช่วยให้เกิดบรรยากาศเมื่อผ่านเข้าสู่บริเวณอันศักดิ์สิทธ์ของศาสนสถาน
นอกจากนี้หน้าที่สำคัญยิ่งของกรอบเช็ดหน้าคือ รองรับน้ำหนักกดของทับหลัง

• กรอบหน้าบรรพ  กรอบหน้าบัน
คือ “ปั้นลม” หรือ “ป้านลม” อันเป็นกรอบเรียบง่ายปิดประกบไขราที่ต่อเนื่องออกมาจากจั่ว  กรอบหน้าบรรพที่เป็นส่วนประดับก็มี เช่น หน้าบรรพซุ้มประตู  หน้าต่าง ของอุโบสถ วิหาร พระที่นั่ง ปราสาทราชวัง  กรอบหน้าบรรพ ผ่านการพัฒนาการมายาวนาน  จนมีลักษณะงดงามเป็นเอกลักษณ์ของอาคารฐานันดรสูงของไทย  งานประดับกรอบหน้าบรรพ มีต้นเค้าจากรูปพญานาคสองตัว  เลื้อยแยกเฉียงลงมาที่ตอนล่างของกรอบ  หลักฐานมีอยู่ที่หน้าบรรพปราสาทเขมร  สำหรับกรอบหน้าบรรพในศิลปะไทย  สลักเป็นส่วนต่าง ๆ ของพญานาคที่ผ่านการคลี่คลายมาเป็นลักษณะประดิษฐ์  ภายหลังมีชื่อเรียกเลียนลักษณะ เช่น ช่อฟ้า นาคลำยอง (นาคสะดุ้ง) ใบระกา นาคเบือน หางหงส์


อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง  ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  
สร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๒)  
บูรณะปรับปรุงครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)
กรอบหน้าบรรพในศิลปะไทย คือพัฒนาการโดยธรรมชาติของงานช่างไทย ซึ่งมีแนวทางเฉพาะที่เด่นชัดยิ่ง  กล่าวคือ เดิมมีต้นแบบจากกรอบหน้าบรรพแบบศิลปะเขมรซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรูปพญานาค  เมื่อผ่านเข้าสู่ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา  เค้าของลักษณะใหม่ที่คลี่คลายจากต้นแบบคงมีเป็นลำดับมา  และเข้าใจว่าเมื่อถึงสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา กรอบหน้าบรรพจึงมีลักษณะเด่นชัด ตกทอดมาในศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์  ดังที่ได้ชมความงดงามกันอยู่ในปัจจุบัน


•กระจัง
รูปสามเหลี่ยมคล้ายใบโพธิ์  ภายในแบ่งออก ๓ ส่วน  สองส่วนล่างมีกระหนกหันหลังชนกันรองรับส่วนบน คือส่วนที่สาม  ใช้ประดับเรียงแถวตามขอบของแท่นฐาน  กระจังขนาดเล็กสุดมีรายละเอียดน้อยหรือไม่มีรายละเอียดเลยก็ตาม ดูคล้ายตาอ้อย  อันเป็นที่มาของชื่อ “กระจังตาอ้อย” ขนาดใหญ่กว่าจึงเรียกว่า “กระจังเจิม” และเพราะขนาดใหญ่ที่สุด  รายละเอียดมากที่สุด จึงได้ชื่อว่า “กระจังปฏิญาณ”  กระจังเจิมกับกระจังปฏิญาณ  มักประดับเรียงสลับสับหว่างกัน  โดยที่กระจังปฏิญาณอยู่กลาง  เป็นประธานในแถว  กระจังที่ประดับสุดด้านทางซ้ายและขวาเรียกว่า “กระจังมุม”  กรณีที่ประดิษฐ์ให้กระจังแต่ละตัวในแถวเอนลู่ไปทางเดียวกัน เรียกว่า “กระจังรวน”  การประดับกระจังเป็นแถวมีระเบียบของจังหวะช่องไฟ  ครูช่างบางท่านอธิบายง่า กระจังมาจาก “กะจังหวะช่องไฟ” แต่มีที่อธิบายแปลกไปว่า  กระจังอาจมีที่มาจากคำเขมร  ที่หมายถึงเผชิญหน้า  เข้าเค้ากับการประดับเรียงแถวอวดด้านหน้าของกระจังซึ่งประดับตามแนวขอบของแท่นฐาน


กระจัง ไม้ลงรัก ปิดทอง ประดับบุษบกธรรมาสน์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนารายณ์ ลพบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (มีตัวอักษรจารึก พ.ศ.๒๒๒๕
ที่กระดานรองนั่ง ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)

๑.กระจังปฏิญาณ พ้องกับขนาดใหญ่เด่นชัดเป็นประธานในแถว
๒.กระจังเจิม ใหญ่ย่อมลงมา
๓.กระจังมุม ประดับมุม
๔.กระจังตาอ้อย ขนาดเล็กสุด

งานประดับแถวกระจังบนขอบฐาน  คำนึงถึงจังหวะช่องไฟ  และความสูงต่ำ  เพื่อทำหน้าที่สำคัญโดยเชื่อมโยงฐานกับส่วนที่อยู่เหนือขึ้นมาคือพนักของอาสนะ  ให้กลมกลืนเป็นเอกภาพ  อนึ่ง งานประดับแถวกระจังให้ห่างออกจากพนักอาสนะช่วยให้เกิดมิติ  เพิ่มความงามให้แก่งานประดับชนิดนี้ด้วย


• กระหนก
ลวดลายพื้นฐานอันสำคัญยิ่งของงานประดับอย่างไทยโบราณ ลักษณะคล้ายเลขหนึ่งไทยต่อจุกแหลม คือภาพรวมทางพัฒนาการหลังรับแบบอย่างจากศิลปะอินเดียเมื่อพันกว่าปี  มาจนถึงปัจจุบันมีเรียกชื่อว่ากระหนก  แบบที่มีทรงเรียวเพรียว  ยอดสะบัด  มีชื่อขยายลักษณะว่า “กระหนกเปลว”  เพราะปลายสะบัดคล้ายเปลวไฟ คำขยายตามลักษณะกระหนกยังมีอีกมาก เช่น กระหนกหางหงส์  กระหนกผักกูด  


ลวดลายปูนปั้น ประดับฐานซากโบราณสถาน "เขาคลังใน"
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เพชรบูรณ์ ศิลปะทวารวดี
พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔

กระหนก ปูนปั้น ประดับหน้าบรรพหน้าต่าง
ด้านเหนือของวิหารวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เข้าใจว่าปั้นในสมัยการซ่อม
ช่วงรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ.๒๒๕๑-๒๒๗๕)
ที่มาของคำว่ากระหนก  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  มีลายพระหัตถ์แปลว่า “ทอง”  เกิดจากเรียกลวดลายทองที่ช่างโบราณเขียนประดับตู้พระธรรม  คือ ตู้ลายทอง  ภายหลังจึงกลายเป็นชื่อเรียกลักษณะหยักปลายสะบัดของลายทองนั้น คือ ลายกระหนก

ต้นแบบของกระหนก หรือลายกระหนกที่ปัจจุบันเรียกกัน  มีอยู่ในศิลปะทวารวดีซึ่งมีอยู่หลายลักษณะ  จึงอนุโลมเรียกกันว่า กระหนกแบบทวารวดี  โดยมีส่วนเป็นแรงบันดาลใจให้สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ทรงย้อนกลับไปนำเอารูปแบบมาปรุงเป็นลายที่เรียกกันว่า “กระหนกผักกูด”  เพราะลักษณะที่ขดม้วนของลายดูคล้ายใบของต้นผักกูด  แต่ปัจจุบันมีที่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า  ใบผักกูดคือต้นแบบที่ช่างใช้ออกแบบให้เป็นลายกระหนกผักกูด

หลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เราทราบขั้นตอนการปั้นปูนประดับ ว่ามีการร่างด้วยเส้นสีดำก่อนการปั้น  ลักษณะบางพลิ้วของกระหนก ซึ่งปั้นแปะรายละเอียดไว้ภายใน  ช่อกระหนกแยกกิ่งต่อก้าน  ก่อนที่จะเป็นระเบียบแบบแผนรัดกุมยิ่งขึ้น  อันเป็นลักษณะต่อมาของศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์



กระทง ปูนปั้น ด้านนอกของผนักสกัดหลัง วิหารวัดไลย์ ลพบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒

กระทง สลักไม้ บุษบกธรรมาสน์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ลพบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒
• กระทง
ศัพท์นี้ มักทำให้นึกถึงกระทงใบตองประดิษฐ์ในงานเครื่องสด  แต่ศัพท์ช่างหมายถึงงานที่ปั้นด้วยปูนหรือสลักจากไม้ก็ตาม เพื่อประดับตอนล่างของผนังหรือแผงใด ๆ

งานประดับกระทงคงเป็นแนวทางให้มีการดัดแปลงมาประดับชุดกระจัง  ซึ่งจะได้รับความนิยมแทนที่กระทงในที่สุด  งานปูนปั้นประดับตอนล่างของแผงรูปเล่าเรื่องชาดก  รองรับแนวล่างของแผง  เท่ากับเน้นความสำคัญของแผงให้เด่นชัดเป็นสัดส่วน  อนึ่ง ลักษณะของกรอบกระทงและรายละเอียดตกแต่งภายในกรอบ  สะท้อนถึงการปรับปรุงจากงานประดับในศิลปะสมัยล้านนา

• กระเบื้องเชิงชาย กระเบื้องหน้าอุด
ด้านหน้าเป็นแผ่นสามเหลี่ยม มีเดือยออกทางด้านหลังเพื่อเสียบเข้าไปในลอนกระเบื้องมุง กระเบื้องเชิงชายทำด้วยดินเผาหรือดินเผาเคลือบ การที่ใช้ประดับเรียงราย โดยอุดชายคาของกระเบื้องลอน นอกจากเพื่อให้เกิดความงามของแนวชายคาแล้ว  ยังอุดเพื่อกันฝนสาดเข้าไปตามช่องของลอนกระเบื้องมุง  และกันหนูหรืองูเข้าไปภายในอาคาร โดยผ่านทางช่องของลอนกระเบื้อง


กระเบื้องเชิงชายเรียกอีกอย่างว่ากระเบื้องหน้าอุด
ประกับชายคาเพื่ออุดช่องโค้งซึ่งเป็นหน้าตัดของกระเบื้องลอน
ที่มุงเป็นหลังคาพระระเบียงคด วัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ  ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ ในรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑–๒๔๕๓)
แถวแผ่นสามเหลี่ยมซึ่งปลายแหลมเอนงอนเล็กน้อย ช่วยให้แนวตัดของชายคาที่ซ้อนลดหลั่นเกิดจังหวะความงามเรียงไล่ระดับตามแนวของชั้นชายคา


• กลีบขนุน
ชื่อเรียกส่วนประดับบนมุมชั้นซ้อนเป็นส่วนบนของ “เจดีย์ทรงปรางค์” รูปร่างของกลีบขนุน คงดูคล้ายหนึ่งในสี่ส่วนของลูกขนุนผ่าตามตั้ง จึงเข้าใจว่าคือที่มาของชื่อที่เรียกตามลักษณะว่ากลีบขนุน ต้นแบบของงานประดับนี้ คือ บรรพแถลง  (รูปจั่วอันเป็นด้านหน้าของอาคาร) ของปราสาทแบบเขมร  อันเป็นต้นแบบของเจดีย์ทรงปรางค์


ปรางค์วัดส้ม พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐
กลีบขนุน ทั้งประดับมุมของชั้นซ้อน และประดับบนตอนกลางของด้านของปรางค์องค์นี้  เหลืออยู่ไม่ครบตามตำแหน่ง  และอยู่ในสภาพชำรุด  แต่สำคัญที่เป็นเบาะแสของงานช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คืองานประดับปูนปั้นเป็นลวดลายเล็ก ๆ ที่กลีบขนุน  ลายเล็ก ๆ นี้ก็คลี่คลายจากต้นเค้าที่ปราสาทแบบเขมรด้วยเช่นกัน  ครั้นผ่านมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย  ลงมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  จึงกลายเป็นกลีบขนุนเรียบเกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับอีกต่อไป  (เช่นปรางค์ทั้งแปดองค์ ที่เรียกว่า อัษฎามหาเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ)


• กาบ
งานประดับที่เรียกชื่อตามลักษณะของกาบที่หุ้มลำต้นหรือกิ่งก้านของต้นไม้  เช่น กาบต้นไผ่  กาบต้นกล้วย  ช่างประดับกาบ โดยหุ้มสันตอนบนและตอนล่างของเรือนธาตุ  หุ้นสันของตอนบนเรียกว่า “กาบบน” ตอนล่าง เรียกว่า “กาบล่าง” และงานประดับเข้าชุดกัน หุ้มสันระหว่างบนกับล่าง เรียกว่า “รัดอก” หรือ “ประจำยามอก”  งานประดับเช่นนี้มีแบบอย่างมาก่อนในศิลปะสมัยล้านนา  กาบมีแบบต่าง ๆ กันตามความนิยมของยุคสมัย  กล่าวคือ กาบไผ่  คลี่คลายลักษณะจากกาบไผ่  โดยขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น  สะบัดที่ปลายยอด  พื้นที่ภายในกาบประดับลวดลายเป็นขอบเป็นแนว  ใช้ประดับเฉพาะที่ส่วนล่าง เช่น โคนเสาประตูอุโบสถ  วิหาร  ชื่อของกาบฟังไพเราะมียศศักดิ์อยู่ในที  สอดคล้องกับลักษณะงานในเชิงออกแบบ  โดยมิได้มีความหมายตามชื่อ


กาบ ปูนปั้น ประกอบด้วย “กาบบน”  “รัดอก” “กาบล่าง” ประดับจากบนลงล่างโดยลำดับ  
ซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง ศิลปะสมัยล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑]
งานปูนปั้นประดับเช่นนี้ ช่วยลดพื้นที่ว่างเปล่า ความนูน – ความลึก  ของลวดลายช่วยให้เกิดระดับพื้นผิวที่แตกต่าง  ลวดลายละเอียด  ภายในประกอบกันอย่างเป็นระบบระเบียบจึงจับตาจับใจ ชวนให้มองไม่รู้เบื่อ


กาบบน ประจำยามอก (รัดอก) กาบล่าง ของเสาหน้าต่างซุ้มบรรพแถลง
พระที่นั่งดุสิตสวรรย์ธัญญมหาปราสาท ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ลพบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑)

ช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายปรับปรุงแบบงานประดับในศิลปะสมัยล้านนาที่เพิ่งกล่าวผ่านมา โดยที่เสาหน้าต่างขนาดเล็กของซุ้มบรรพแถลง พื้นที่ประดับมีอยู่น้อย เหมาะกับลักษณะเรียบง่ายของงานประดับ กาบบน ประจำยามอก และ กาบล่าง  อนึ่ง ขนาดที่เล็ก เรียบง่ายของ กาบบน และกาบล่าง เทียบกับลักษณะของกาบไผ่ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก "กาบไผ่"


กาบพรหมศร ปูนปั้น ลงรักปิดทองประดับชิ้นกระจกสี พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง สร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒) บูรณะปรับปรุงครั้งสำคัญ
ในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔)
กาบพรหมศรผ่านการปรุงแต่งลักษณะจาก "กาบไผ่" ซึ่งเรียบง่ายมีขนาดเล็กให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ความละเอียดประณีตของงานประดับภายในจึงมีได้มาก ส่วนประดับสำคัญนี้เชื่อมโยงส่วนฐานกับโคนผนังของตัวอาคาร งานประดับนี้ย่อมเกิดจากข้อคำนึงถึงความประสานกลมกลืนของส่วนแตกต่างที่ติดต่อเนื่องกัน ได้พบเป็นปรกติในงานช่างโบราณของไทย  อนึ่ง ได้กล่าวไว้บ้างแล้วเกี่ยวกับชื่อเรียก กาบพรหมศร ซึ่งไพเราะเพราะเป็นคำของกวี แต่มิได้มีความหมายเจาะจงแต่อย่างใด

• กำมะลอ
กำมะลอ ในทางช่างหมายถึง ภาพหรือลวดลาย ระบายด้วยสีฝุ่นผสมยางรักซึ่งกรองจนใส  วาดระบายลงบนผิวเรียบของแผ่นไม้ที่เตรียมพื้นให้เรียบสนิทด้วยยางรักข้น  ซึ่งมีส่วนผสมเถ้าของใบตองซึ่งละเอียดเป็นผง (เมื่อผสมแล้วเรียกว่ารักสมุก)  เส้นสีทองอันแวววาวอันเกิดจากฝีมือช่าง  เป็นลักษณะเด่นของงานช่างประเภทนี้


กำมะลอ ยางรักผสมสีฝุ่นสีแดง หีบพระธรรม
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ 
(พิจารณาจากกระหนกหางกินนร กินรี เทียบเคียงได้กับกระหนก
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เช่น กระหนกที่เป็นงานปูนปั้น จากหน้าบรรพ
หน้าต่างวิหารวัดมเหยงค์ พระนครศรีอยุธยา ฝีมือบูรณะในรัชกาล
สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ และจากตู้ลายรดน้ำฝีมือครูจากวัดเซิงหวาย)
โดยกรรมวิธีแล้ว กำมะลอคงมีต้นทางจากจีน  บรรยากาศของภาพกำมะลอประดับหีบพระธรรมใบนี้ออกทางจีน  โดยเฉพาะลักษณะของต้นไม้ ดอก ใบ และโขดหินเนินผาที่ประกอบฉาก พื้นสีแดงของภาพที่สดจัดกว่าปรกติ เกิดจากเคียงคู่ด้วยสีทอง ในขณะเดียวกันสีทองก็สดเข้มขึ้นเพราะพื้นสีแดง


• กินนร  กินรี
กินนร  กินรี ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นนก  เพศผู้เรียกว่า  กินนร  เพศเมียเรียกว่า กินรี  อาศัยอยู่ตามถ้ำในป่าหิมพานต์  เรื่องของกินนร  กินรี  ผัวเมีย มีอยู่ในชาดกเรื่องที่ ๔๘๕  เล่าเรื่องอดีตพระชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ว่าเสวยพระชาติเป็นพญาจันทรกินนร  พระนางพิมพายโสธรา เสวยพระชาติเป็นพระจันทกินรี อาศัยอยู่บนยอดเขาหิมพานต์ยอดหนึ่ง มีนามว่า “จันทรบรรพต”  อนึ่ง กินนร  กินรี  แต่มีท่อนล่างเป็นเนื้อทราย  (ละมั่ง) เรียกว่า“กินนร กินรีเนื้อ”


กินนร กินรี สีฝุ่นบนกระดาษ สมุดภาพจากวัดหัวกระบือ (เขตบางขุนเทียน) กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีตัวหนังสือที่เขียนระบุ พ.ศ.๒๒๘๖ (ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ๒๔ ปี)
บรรยากาศเบาบางของภาพเกิดจากสีที่ช่างเขียนเลือกใช้  มีมิติใกล้-ไกลเกิดจากสีเข้มของโขดหินกับสีแดงสดที่มุมขวาล่างของภาพ ทีท่าเคลื่อนไหวของกินนร กินรี ท่ามกลางต้นไม้มีดอกสะพรั่งด้วยสีชมพูอมส้ม งานตัดเส้นที่ใบหน้า กิริยาอาการเชิงนาฏลักษณ์ และกระหนกหางกินนร กินรี ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญสอดคล้องกับปี พ.ศ.๒๒๘๖ ที่เขียนระบุไว้ในสมุดภาพนี้


• เกณฑ์สมมาตร
เกณฑ์สมมาตร  เป็นชื่อที่นักวิชาการและช่างปัจจุบันใช้  หมายถึง พื้นที่ สัดส่วน รูปทรง ลักษณะ หรือแม้สีสัน  ที่มีตำแหน่งควบคู่อยู่ในซีกตรงข้ามกัน


แผนผังวัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง พ.ศ.๒๐๓๔
แม้วัดนี้หลงเหลือหลักฐานว่ามีงานสร้างเสริมเพิ่มเติมในระยะต่อมา แต่เจตนาในการรักษาเกณฑ์สมมาตรยังเด่นชัด  เกณฑ์สมมาตรเป็นคำใหม่  อนุโลมใช้เรียกในที่นี้  โดยหมายถึงงานช่างที่ออกแบบรูปทรง และจัดการพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกของปราสาทราชมนเทียร วัด อุโบสถ หรือวิหาร ก็ตาม เพื่อให้เกิดระเบียบที่สอดคล้องกับฐานานุศักดิ์ โดยมีบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม ดังกล่าวนี้มักมีเกณฑ์สมมาตรเป็นสำคัญ


• เกี้ยว
เกี้ยวหมายความได้หลายทาง  สำหรับทางช่างหมายถึง เครื่องประดับศีรษะ  ทำนองพวงมาลัยหรือผ้าโพกศีรษะ  ภายหลังประดิษฐ์ให้งดงามทำด้วยโลหะมีค่า  เกี้ยวถูกยืมไปใช้ในความหมายของส่วนประดับตอนบนของสิ่งก่อสร้างบางอย่าง เช่น “ประตูเกี้ยว” หมายถึง ประตูประดับตอนบนด้วยแผงไม้เป็นครีบโดยฉลุลวดลายเพิ่มเติมความงดงาม


จิตรกรรมฝาผนังตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ครึ่งแรกหรือกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
ประตูมีเสาและคานคือรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง เมื่อประดับแผงไม้ ตอนบนมีแนวเป็นละลอกคล้ายคลื่น แผงประดับที่เรียกว่าเกี้ยวนี้ เปลี่ยนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าของประตูให้งามแปลกตาให้รู้สึกถึงความเป็นประตูได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น


หมวดพยัญชนะ ข
• ขัดสมาธิเพชร
พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิของพระพุทธรูป พระเพลา (ขา) ขัดกัน พระบาท (ฝ่าเท้า) ทั้งสองข้างหงาย ได้พบที่พระพุทธรูปบางรุ่นของศิลปะสมัยล้านนา อนึ่ง ชื่อศิลปะสมัยล้านนา หรือศิลปะล้านนา นิยมเรียกกันมาก่อนว่า “ศิลปะเชียงแสน” และเรียกแบบอย่างของพระพุทธรูปว่า “พระพุทธรูปเชียงแสน”


พระพุทธรูป (พระอิริยาบถ) ขัดสมาธิเพชร  
พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย สำริด  ลงรัก  ปิดทอง  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ ศิลปะสมัยล้านนา (ศิลปะเชียงแสน)  
พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑
ขัดสมาธิเพชรเป็นอิริยาบถของพระพุทธรูปที่มีอยู่ในสมัยราชธานีเมืองพุกาม ประเทศพม่า (พุทธศตวรรษที่ ๑๖–๑๘)  ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดียแบบปาละ (พุทธศตวรรษที่ ๑๔–๑๘)  พระพุทธรูปรุ่นแรก (มีที่เรียกว่าพระพุทธรูปแบบสิงห์หนึ่ง)  ในศิลปะสมัยล้านนาได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะสมัยเมืองพุกาม  จึงเข้าใจว่า พระอิริยาบถของพระพุทธรูปในศิลปะสมัยล้านนา  ขัดสมาธิเพชรมีมาก่อนขัดสมาธิราบ (พระเพลาขวาทับพระเพลาซ้าย)  แต่ภายหลังความเข้าใจเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลที่ว่าพระอิริยาบถขัดสมาธิทั้งสองแบบได้พบควบคู่กันในดินแดนแถบอินโดจีนและเอเชียใต้มาก่อน สำหรับพระพุทธรูปรุ่นหลังของศิลปะสมัยล้านนา (มีที่เรียกว่า พระพุทธรูแบบสิงห์ทอง) ได้รับแรงบันดาลใจจากพระพุทธรูปในศิลปะสมัยสุโขทัย และพระพุทธรูปในศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตามลำดับ


• ขัดสมาธิราบ
พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิของพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในศิลปะไทย พระเพลา (ขา) ขวาทับพระเพลาซ้าย


พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ สำริด
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ *
พระพุทธรูปสมัยศิลปะสุโขทัยส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดที่สำรวจพบ ซึ่งอยู่ในพระอิริยาบถขัดสมาธิราบ โน้มนำให้รู้สึกผ่อนคลายไปกับเส้นรูปนอกเลื่อนไหล สัมพันธ์กับปริมาตรเชิงประติมากรรม  อนึ่ง พระอิริยาบถขัดสมาธิราบนิยมต่อเนื่องยาวนานมาก่อนในศิลปะลังกาทั้งสมัยเมืองอนุราธปุระ (พุทธศตวรรษที่ ๔–๑๖)  และต่อมาในสมัยเมืองโปลนนารุวะ (พุทธศตวรรษที่ ๑๗–๑๘) ด้วย

*พระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่องค์นี้ หล่อสำริด มีจารึกที่ฐาน (“จารึกฐานพระพุทธรูปทิดไสหง” จารึกสมัยสุโขทัย) ลักษณะอักษรช่วยให้ประมาณกำหนดอายุได้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐  อนึ่ง พระพุทธรูปสุโขทัยหมวดใหญ่นิยมสร้างกันมากในสมัยสุโขทัย จนล่วงมาในครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ก็ยังมีหลักฐานว่านิยมสร้างกัน


• เขาพระสุเมรุ
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นแกนจักรวาลในอุดมคติโบราณ


จิตรกรรมฝาผนัง อุโบสถวัดเกาะแก้วสุทธาราม เพชรบุรี  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา ตัวหนังสือปรากฏอยู่กับจิตรกรรม ระบุ พ.ศ.๒๒๘๘  
ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
ภาพเขาพระสุเมรุปรากฏร่วมกับเขาสัตตบริภัณฑ์เสมอ  จึงเป็นอันสมบูรณ์ตามสาระสำคัญว่าด้วยเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาล  โดยที่เขาสัตตบริภัณฑ์คือเจ็ดเขาวงแหวน  โอบล้อมเขาพระสุเมรุเป็นลำดับตั้งแต่วงในสุดสูงใหญ่รองจากเขาพระสุเมรุ  ไล่เรียงลดความสูงใหญ่ลงเป็นลำดับจนถึงวงนอกสุด  นายช่างเขียนภาพเขาพระสุเมรุกับเขาบริวารให้เป็นแท่งตั้ง  จึงเห็นภาพเขาพระสุเมรุสูงเด่นเป็นประธานอยู่กลาง


เขาพระสุเมรุ ตู้ลายทอง (ตู้ลายรดน้ำ, ตู้พระธรรม)  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓
แนวความคิดเดียวกับจิตรกรรมจากวัดเกาะแก้วสุทธารามที่เพิ่งผ่านมา แต่เพิ่มเติมความน่าสนใจที่ส่วนล่างของภาพด้วย คือเรื่องราวของป่าหิมพานต์และประชากร  เช่น มีภาพสระอโนดาต  ซึ่งหนังสือโบราณเล่าว่าแวดล้อมด้วยภูเขาหิมพานต์ ๕ เขาที่ยอดโน้มลงมาปกคลุมสระนี้ไว้ น้ำในสระอโนดาตไม่เคยเหือดแห้งแม้ไหลออกไปโดยปากช่องทั้งสี่ คือ ปากราชสีห์ ปากช้าง ปากม้า ปากโค เท่าใดๆ ก็ดี


เขาพระสุเมรุ ประติมากรรม สำริด ปิดทอง  
ภายในวัดพระธาตุหริภุญชัย ลำพูน สันนิษฐานว่าเป็นงานรุ่นหลัง  
คงหล่อขึ้นราวปลายศตวรรษที่ผ่านมา
เขาพระสุเมรุ  มีปราสาทสีทองเป็นประธานอยู่เหนือวงแหวนเจ็ดวง (คือเขาสัตตบริภัณฑ์) รูปแบบการนำเสนอเช่นนี้นับว่าแปลกเป็นพิเศษ อนึ่ง วงแหวนทั้งเจ็ดมีรูปนูนต่ำเป็นโขดเขา ป่าไม้ ซึ่งมีรูปแบบเอื้อต่อการคะเนอายุการสร้างที่กล่าวข้างต้น


• เขามอ
ใช้เรียกโขดหินที่ก่อจำลองในสวน หรือที่วาดเป็นภาพทิวทัศน์ของจิตรกรรมไทยโบราณ ลักษณะคล้ายโขดหินตามธรรมชาติ


จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดราชสิทธาราม ธนบุรี  
ประวัติวัดระบุการสร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕–๒๓๕๒)  ผ่านการบูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

ฉากในเรื่องเวสสันดรชาดก สีสดเข้มขับสีทองให้สุกใส อาศรมอย่างจีนของพระเวสสันดร ต้นไม้ พุ่มใบ และโขดเขาแบบเขามอ พื้นดินระบายด้วยสีมืด รวมทั้งสีฟ้ามืดของท้องฟ้า ล้วนกำหนดได้ว่าเป็นงานช่างสมัยบูรณะ ภาพพระอินทร์ในท่าเหาะอยู่ภายในกรอบ คือการเน้นให้เห็นเด่นชัด ขณะเดียวกันก็หมายถึงการเนรมิตปิดบังกายด้วย


• เขาไม้
ภาพโขดหินเป็นแท่งคดโค้ง เลื่อนไหล มีแง่มุมปุ่มปมยักเยื้องคล้ายลำต้นไม้ บ้างก็มีโพรงเล็กโพรงน้อยทำนองตอไม้ใหญ่ ช่างปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาปรับปรุงเขาไม้จากภาพเขียนจีนที่ประกอบอยู่ในฉากทิวทัศน์ ภาพเขาไม้ในจิตรกรรมไทยโบราณได้รับความนิยมสืบเนื่องลักษณะมาในจิตรกรรมสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ระยะแรกด้วย


จิตรกรรมฝาผนังตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์  
วัดพุทไธสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
ฉากการไปนมัสการพระพุทธบาท ณ สถานที่ต่างๆ เช่น ที่พระพุทธบาทที่ประดิษฐานบนสัจจพันธคีรี  อันเป็นการเดินทางรอนแรมด้วยศรัทธา ลักษณะเฉพาะที่บ่งว่าเป็นภาพเขียนสมัยกรุงศรีอยุธยาได้แก่ ภาพน้ำแบบอุดมคติ โขดเขาไม้ และประชากรน้ำประเภทต่างๆ ดูน่ากลัว เช่น จระเข้ ปลายักษ์ ผู้หญิงคงเป็นนางเงือก แมงกะพรุน รวมทั้งที่เด่นชัดประกอบอยู่ใน ฉากอีกอย่างหนึ่ง คือภาพเขาไม้


หมวดพยัญชนะ ค
• ครุฑ
ครุฑ : เรื่องราวของครุฑแยกเป็นครุฑพาหนะของพระนารายณ์เทพเจ้าสูงสุดหนึ่งในสามของศาสนาฮินดู หมายถึง พระมหากษัตริย์ ตามคติที่ทรงเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์  และครุฑรู้จักในชื่อ “ครุฑพ่าห์” หมายถึง ราชพาหนะมีมาอย่างช้าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  ผ่านมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์มีพระราชลัญจกรประจำรัชกาลเป็นรูปครุฑยุดนาค  ซึ่งเชื่อมโยงจากเรื่องครุฑกับนาคเป็นศัตรูกัน


ครุฑยุดนาค พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
สร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕–๒๓๕๒) บูรณะปรับปรุงครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)
การประดับแถวรูปครุฑยุดนาคที่ฐานของอุโบสถ ไม่น่าจะมีความหมายเจาะจง แต่หากลากเข้าหาความ ก็คงอธิบายได้ว่าครุฑเป็นพระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์สมมุติหมายของพระนารายณ์อวตาร อย่างไรก็ดี กล่าวในเชิงประดับประดา แถวประติมากรรมรูปครุฑยุดนาคลงรักปิดทอง โดยมีสีสันละลานตาที่เกิดจากชิ้นเล็กๆ ของกระจกสีต่างๆ รวมทั้งสีทองของลวดลายปั้นที่ประกอบอยู่ด้วย  คือรสชาติของงานประดับอย่างไทยโบราณโดยแท้ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระราชลัญจกรเป็นรูปครุฑยุดนาค  ลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ความว่า พระองค์ทรงออกแบบรูปครุฑโดยไม่ยุดนาคถวายรัชกาลที่ ๕ และทรงเล่าเหตุผลระคนพระอารมณ์ขันว่า ครุฑจับหรือยุดนาค ดูเป็นครุฑตะกลามเต็มที ไปไหนต่อไหนต้องหิ้วอาหาร (คือนาค)  จึงทรงออกแบบครุฑพ่าห์เป็นเพียงรูปครุฑกางแขนซึ่งมีปีก  ใช้กันมาในราชการตั้งแต่นั้นมา

Kimleng:
หมวดพยัญชนะ ท
• ทวารบาล
ทวารบาล : รูปเทวดายืนสลักจากไม้ หรือวาดเป็นภาพประดับบานประตู บานหน้าต่าง  หมายถึง เทพผู้พิทักษ์รักษา อันเป็นสิริมงคลตามคติไทย หากเปลี่ยนเป็นรูปภาพขุนศึกจีน ก็มีชื่อเฉพาะว่า เซี่ยวกาง


บานประตูสลักไม้ จากสถูปหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง  รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พ.ศ. ๒๐๔๒
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา

ทีท่าของเทพทวารบาลยังไม่ได้จังหวะครบถ้วนความงามเมื่อเทียบกับส่วนประดับประดา เช่น ลวดลายช่อดอกไม้ที่พระหัตถ์ ประภามณฑลพร้อมกระหนกที่ปลาย และร่มฉัตรกับริ้วผ้าที่พลิกม้วน


ทวารบาล จิตรกรรมบนบานประตูพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓

เทพทวารบาลในงานจิตรกรรมมีทีท่านุ่มนวล  อิริยาบถยืนที่มีจังหวะงดงาม พระหัตถ์อยู่ในทีท่าอ่อนโยน บรรดาลวดลายที่ประกอบในภาพล้วนแสดงถึงฝีมือช่างชั้นครู  หากกล่าวถึงงานช่างโบราณระหว่างงานเขียนกับงานสลัก  คงเป็นประเด็นของงานช่างเขียนที่งานครบถ้วน  ฝีมือก้าวหน้ากว่างานของช่างสลัก  โดยเฉพาะในส่วนของรูปภาพ เช่น ทวารบาล


• ทับหลัง คานทับหลัง
ทับหลัง คานทับหลัง : แท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน  มีความหนาเพราะทำหน้าที่เป็นคานรับน้ำหนักส่วนบนคือหน้าบรรพ  ทับหลังตั้งอยู่บน (หลัง) กรอบวงกบประตู จึงเป็นที่มาของคำเรียกอย่างสั้นว่า ทับหลัง  เรียกอย่างยาวว่า คานทับหลัง  ช่างเขมรโบราณสลักรูปเล่าเรื่องหรือลวดลายประดับทับหลังให้งดงามและมักมีความหมายทางด้านคติความเชื่อ อันเป็นข้อมูลในการกำหนดอายุโดยเปรียบเทียบลักษณะทางวิวัฒนาการ


ปราสาทแบบขอมหลังหนึ่งในบริเวณปราสาทเมืองต่ำ บุรีรัมย์  
ศิลปะแบบเขมร ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗

ทับหลังหรือคานทับหลัง ทำหน้าที่รับน้ำหนักที่กดลงจากตอนบนคือหน้าบรรพ  ขนาดและสัดส่วนของทับหลังไม่มีเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับรูปแบบรูปทรงของปราสาท เช่น ทับหลังขนาดใหญ่ในภาพนี้  แตกต่างจากทับหลังขนาดเล็กกว่ามาก เช่น ทับหลังของปราสาทของพระวิหาร ศรีสะเกษ  ซึ่งร่วมสมัยกับปราสาทเมืองต่ำแห่งนี้ แต่แผนผังของปราสาท (พื้นที่ของศาสนสถาน) และรูปแบบปราสาท (แบบอย่างสถาปัตยกรรม) นั้นแตกต่างกัน


• เทพชุมนุม
เทพชุมนุม : โดยทั่วไปหมายถึง เหล่าอมนุษย์วรรณะต่าง ๆ เช่น เทวดา ยักษ์ วิชาธร (วิทยาธร)  พญาครุฑ  พญานาค  เป็นต้น พากันมาร่วมชุมนุมครั้งสำคัญ คือ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ  อมนุษย์ทั้งหมื่นจักรวาลที่มาชุมนุมกัน  ทางช่างเรียกว่า เทพชุมนุม  มักวาดไว้บนพื้นที่เหนือหน้าต่างของผนังด้านข้างของอุโบสถ เหล่าผู้มีฤทธิ์นั่งเรียงสลับโดยไม่ลำดับบุญบารมีว่าสูงหรือต่ำกว่ากัน


เทพชุมนุม จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชระบุรี  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓
อมนุษย์จากหมื่นจักรวาล  พากันมาชุมนุมแสดงความยินดีที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ปรัชญาพุทธศาสนาแฝงอยู่ในเรื่องอุดมคติตอนนี้ที่ระบุว่า เหล่าอมนุษย์ต่างประเภท ต่างชั้นวรรณะมาร่วมชุมนุมไม่มีข้อรังเกียจ และในวาระนั้น ภพนรก ภพมนุษย์ ภพสวรรค์ ต่างเปิดเห็นกันโดยตลอด

ความเด่นชัดในเชิงช่างของจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้คือ การใช้สีสดจัดอย่างมีจังหวะอันเหมาะสม ทุกสีจึงกลมกลืนไปด้วยกันอย่างมีเอกภาพ  จำนวนมากของเหล่าอมนุษย์ล้วนพนมมืออยู่ภายในแถวที่เรียงซ้อนกัน แต่ไม่ชวนให้รู้สึกซ้ำซาก เพราะช่างเขียนสลับปรับท่านั่งให้เห็นเป็นมุมด้านเฉียงบ้าง มุมด้านข้าง ลายผ้านุ่งที่ยังเหลืออยู่แสดงถึงการยักย้ายสลับสีอย่างช่ำชอง  เช่นเดียวกับความมากหลายที่ช่างเขียนเลือกสลับปรับเปลี่ยนสี  รวมทั้งรูปสามเหลี่ยมเรียงแถวที่ตอนบนของแต่ละแถว  ซึ่งพื้นที่ของสามเหลี่ยมแต่ละรูปประดับด้วยภาพช่อลายดอกไม้มากหลายลักษณะและสีสัน


เทพชุมนุม จิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งพุทไธสวรรย์  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ  ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เขียนขึ้นในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๒) บูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔)

เหล่าเทพยดาชุมนุม  นอกจากตอนพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีวาระอื่น  เช่น การนมัสการเจดีย์จุฬามณี ที่เข้าใจว่าเป็นวาระนี้เพราะพระอินทร์ระบายสีเขียวนั่งนมัสการขนาบข้างภาพเจดีย์ ภาพนี้อยู่เหนือช่องประตูของผนังสกัดหลัง อยู่ด้านตะวันตกและเหนือช่องประตูของผนังสกัดหน้า ซึ่งอยู่ด้านตะวันออก มีภาพแถวเทวดานมัสการเจดีย์เช่นกัน เข้าใจว่านมัสการทุสสะเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดุสิต



•เทวรูป
เทวรูป : รูปเคารพในศาสนาฮินดู  มีทั้งเทพเจ้าสูงสุด ได้แก่พระศิวะ (พระอิศวร) พระนารายณ์ (พระวิษณุ) และพระพรหม  ส่วนเทพเจ้าชั้นรอง ได้แก่ พระคเณศ ท่าวกุเวร (ท้าวชัมพล)  เหล่าเทพเจ้าประจำทิศต่าง ๆ เป็นต้น รูปเคารพเหล่านี้ล้วนมีลักษณะที่สอดคล้องกับแนวคำสั่งสอนทางศาสนา  กล่าวคือ แสดงสาระสำคัญแห่งศักดานุภาพของแต่ละพระองค์


ศิวะลึงค์ (มีที่เรียกว่า เอกามุขลึงค์)  ศิลา  
ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ ๑๒
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

หากให้คำอธิบายว่า ส่วนล่างเป็นแท่นสี่เหลี่ยม หมายถึง พระพรหมคือพรหมภาค  ส่วนทรงแปดเหลี่ยม หมายถึง พระนารายณ์ เรียกชื่อว่า วิษณุภาค  และส่วนบนซึ่งเป็นทรงกระบอก หมายถึง รุทรภาค คืออีกชื่อหนึ่งของพระศิวะ ก็หมายถึงการรวมศักดานุภาพของเทพเจ้าสูงสุดทั้งสามไว้ที่ศิวะลึงค์  อย่างไรก็ดี การพิจารณาเชิงช่างได้ข้อสังเกตว่า แท่นสี่เหลี่ยม เมื่อขึ้นถึงส่วนกลางเปลี่ยนเป็นแปดเหลี่ยม เท่ากับปาดมุมสี่เหลี่ยมให้เป็นแปดเหลี่ยม เพื่อให้เกิดความกลมกลืนส่งต่อขึ้นไปเป็นส่วนบนทรงกระบอก  ทั้งนี้ ยังมีข้อคำนึงถึงการติดตั้ง โดยส่วนสี่เหลี่ยมและส่วนแปดเหลี่ยมที่ฝังอยู่กับส่วนรองรับล่างสุดที่เรียกว่า โยนี หมายถึง พระอุมามเหสีของพระศิวะ (โยนีรองรับน้ำที่รดศิวะลึงค์ จึงเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์)  โยนีจึงตรึงศิวะลึงค์ให้มั่นคงไม่ล้มลง  อนึ่ง ยังมีข้ออธิบายว่า แท่งศิวะลึงค์ คือ เค้าโครงของปราสาทแบบเขมร


เทวรูปพระนารายณ์ ศิลา ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า  
พุทธศตวรรษที่ ๙–๑๐ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ด้วยลักษณะเก่าเทียบเคียงกับศิลปะอินเดียโบราณรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๘ – ๙  เทวรูปพระนารายณ์องค์นี้แสดงให้เห็นว่าช่างสลัก ซึ่งอาจเป็นช่างท้องถิ่นที่เรียนรู้จากต้นแบบ ได้รู้ปัญหาของวัสดุ คือ ศิลา ว่าแข็งแกร่งแต่เปราะ จึงสลักโดยเหลือเนื้อศิลาไว้เสริมความแข็งแรง แต่ก็หักชำรุด เหลืออยู่ทางซ้ายและขวาที่ด้านข้างของส่วนล่างพระวรกาย ชายพกที่ช่างสลักให้เหลือศิลาจากส่วนฐานขึ้นมาเพื่อเสริมความแข็งแรงด้วย กระนั้นก็หักชำรุดจนได้ (กรมศิลปากรได้ต่อชิ้นส่วนหักชำรุดที่เหลือกลับเข้าที่เดิม)  อนึ่ง ศิราภรณ์ (หมวก) ทรงกระบอก คือลักษณะหนึ่งที่ช่างสมัยนั้นสลักสำหรับเทวรูปพระนารายณ์โดยเฉพาะ โดยมีลักษณะทางประติมานวิทยา (ลักษณะที่บ่งบอกความหมายของรูปเคารพ) เช่น ทรงมีสี่กร ทรงถือจักร สังข์ คทา และดอกบัว (หมายถึงธรณี) ร่วมอยู่ด้วย


เทวรูปพระนารายณ์ (พระวิษณุ) ศิลา  
ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ ๑๒–๑๓  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

สี่กร (ชำรุด)  อันเป็นลักษณะของรูปพระนารายณ์ ท่ายืนเอียงสะโพก  แสดงศักดานุภาพที่แฝงด้วยความงามสง่านุ่มนวล ได้พบว่านิยมสร้างสำหรับเทวรูปในศาสนาฮินดู รูปพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็นิยมด้วย  อนึ่ง รอยต่อที่ข้อพระบาททั้งสองที่หัก ซึ่งกรมศิลปากรซ่อมแซมตามหลักฐาน นับเป็นสภาพชำรุดที่เป็นปรกติของประติมากรรมสลักจากศิลาอันเป็นวัสดุแข็งแกร่งแต่เปราะ


เทวรูปพระกฤษณะโควรรธนะ ศิลา  
ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ ๑๒– ๑๓
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พระวรกายที่เอนเอียงแบบตริภังค์ พระกรซ้ายซึ่งชำรุด เคยอยู่ในท่ายกขึ้น นักวิชาการจึงอธิบายว่าเป็นพระกฤษณะ (อวตารหนึ่งของพระนารายณ์) ทรงยกภูเขาโควรรธนะเพื่อปกป้องคนเลี้ยงโคกับฝูงโคให้พ้นจากฤทธิ์โทสะของพระอินทร์ น่าเสียดายที่ประติมากรรมนี้ชำรุด ไม่เหลือชิ้นส่วนให้ซ่อมแซมได้ครบสมบูรณ์


เทวรูปพระอาทิตย์ ศิลา
ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ ๑๒–๑๓
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

กรณีที่รูปแบบหรือสัญลักษณ์ของประติมากรรมคลุมเครือ  ไม่มีหลักฐานชัดเจนให้ระบุได้ว่าเป็นรูปเทพเจ้าองค์ใด นักวิชาการต้องพยายามหาหลักอ้างอิง เช่นในกรณีนี้ เหตุผลหนึ่งในบรรดาข้อมูลอื่นที่โน้มน้าวให้นักวิชาการเชื่อว่าเป็นเทวรูปพระอาทิตย์ คือ แผ่นวงกลมที่เป็นพื้นหลังของพระเศียรอันควรเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตามการพิจารณาทางช่างเพิ่มเติมความเข้าใจได้อย่างหนึ่ง ไม่ว่าแผ่นวงกลมจะหมายถึงดวงอาทิตย์หรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ แผ่นวงกลมเป็นศิลาชิ้นเดียวกับเทวรูป ช่างสลักได้เหลือไว้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้พระศอ คือให้ต่อเนื่องจากพระอังสะขึ้นไปถึงพระเศียร  พระศอของประติมากรรมรูปนี้จึงไม่หักชำรุด


เทวรูปพระนารายณ์ ศิลา  
ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

แม้อยู่ในสภาพชำรุด แต่ความเด่นชัดของสัดส่วนตลอดจนลักษณะทางกายวิภาคแสดงว่าเป็นงานช่างที่มีพัฒนาการระดับสูงแล้ว ท่ายืนกางพระเพลา (ขา) เล็กน้อย แสดงอาการมั่นคงด้วยกล้ามพระมังสา (กล้ามเนื้อ) ที่ตึงแน่นของพระอูรุ (โคนขา)  พระอุระ (อก)  ยืดพระพาหา (ไหล่ต่อเนื่องไปถึงศอก)  ผายและกางออกแสดงอำนาจแห่งฤทธานุภาพของพระองค์


เทวรูปพระนารายณ์ สำริด ศิลปะสมัยสุโขทัย
าวรัชกาลพระเจ้าลิไท (พ.ศ.๑๘๙๐ – ราว พ.ศ.๑๙๑๑)  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

สมัยราชธานีสุโขทัย พุทธศาสนาเถรวาทรุ่งเรืองเป็นหลักสำคัญ กระนั้นก็มีการเคารพบูชาเทพเจ้าในศาสนาฮินดูด้วย  ดังศิลาจารึกบางหลักของสมัยสุโขทัยระบุว่ามีการหล่อเทวรูปพระอิศวร  เทวรูปพระนารายณ์ เป็นต้น เทวรูปในศิลปะสมัยสุโขทัยมีลักษณะทางสุนทรียภาพทำนองเดียวกับพระพุทธรูปในศิลปะสมัยเดียวกันนี้ โดยเฉพาะพระพุทธรูปหมวดใหญ่ เช่น พระพักตร์รูปไข่ พระอังสา (บ่า) ใหญ่  บั้นพระองค์ (เอว) เล็ก  แสดงถึงความเป็นงานช่างร่วมสมัย


เทวรูปพระอิศวร (พระศิวะ) สำริด
ศิลปะสมัยสุโขทัย ราวรัชกาลพระเจ้าลิไท (พ.ศ.๑๘๙๐–ราว พ.ศ.๑๙๑๑)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

เช่นเดียวกับเทวรูปพระนารายณ์ที่เพิ่งผ่านมา คือ สุนทรีภาพอย่างพระพุทธรูปสุโขทัยหมวดใหญ่ ที่สร้างเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ตามความหมายของพระอิศวร คือพระองค์ประทับยืนเหนือโยนี

Kimleng:
.
หมวดพยัญชนะ น
• นกคาบ, ลาย
ลายนกคาบ เรียกเพราะมีจะงอยคล้ายปากนกโดยมีกระหนกประกอบอยู่ด้วย ช่างใช้ลายนี้เพื่อให้ได้จังหวะก่อนจะต่อลายหรือแยกลายไปตามทิศทางที่กำหนด


ลวดลายปูนปั้นประดับหน้าบรรพ อาคารทรงตึก (มีที่เรียกอาคารนี้ว่าเป็น วัดเตว็จ)
พระนครศรีอยุธยา ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓

ลายวงโค้งมีที่เรียกว่า ก้านขด เช่นลายนี้ คงแปลงจากลายฝรั่ง คือ ลายใบไม้พลิกข้าง ตรงจุดแยกของก้านขดมีลายประดับดูคล้ายหัวนก เป็นที่มาของชื่อลายนกคาบ เข้าใจว่าแปลงจากลายฝรั่งเช่นกัน โดยจะกลายลักษณะอย่างรวดเร็วโดยเป็นลายประดับแบบกรุงศรีอยุธยา


ลายเส้นจากตู้พระอภิธรรม ฝีมือครูจากวัดเซิงหวาย
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๒๓
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พัฒนาการของลายนกคาบลักษณะต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๒ แบบตามแต่ใจชอบของช่าง เช่น ที่วาดเป็นจะงอยปากนกก็มี ปากแบบจระเข้ก็มี


• นภศูล, นพศูล
“นภ” แปลว่า ท้องฟ้า “ศูล” แปลว่า เครื่องมือที่มีปลายแหลมอย่างหนึ่ง เช่นหอกซึ่งเป็นอาวุธมีด้ามยาว นภศูลจึงแปลว่าอาวุธที่เสียดขึ้นไปกลางท้องฟ้า ส่วน นพศูล แปลว่า อาวุธเก้าแฉก  นภศูล และ นพศูล  สะกดเอาแน่ไม่ได้ แต่ที่แน่คือใช้ประดับเป็นยอดของเจดีย์ทรงปรางค์  ซึ่งต้นแบบของการประดับมีมาก่อนที่ปราสาทแบบเขมร


นภศูล โลหะ ประดับเป็นยอดเจดีย์ทรงปรางค์ วัดระฆังโฆษิตาราม ธนบุรี  
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างราวรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒)

ปลายส่วนบนที่สอบมนของเจดีย์ทรงปรางค์ เมื่อต่อยอดด้วยนภศูลจึงงามครบถ้วน  นภศูลประดับเป็นยอดปราสาทแบบเขมร และเจดีย์ทรงปรางค์ของไทยเสมอ ที่ใดไม่มีเป็นเพราะชำรุดเสียหายไปทั้งสิ้น


นภศูล โลหะ ลงรักปิดทอง ที่ปรางค์มุมองค์หนึ่งของพระอุโบสถ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)  วัดนี้บูรณะปรับปรุงจากวัดเก่า
ที่มาก่อนตั้งกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)
และสร้างเสริมเพิ่มเติมครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔)

ตัวอย่างนภศูล รูปทรงสัดส่วนงามเพรียว ด้วยรสนิยมอย่างไทยผิดจากความล่ำสันแข็งขันอย่างเขมร


• นาคเบือน
นาคเบือน: อยู่ที่ปลายล่างทั้งสองของข้างกรอบหน้าบรรพ เค้าโครงที่เรียบง่ายแต่งดงามของนาคเบือน คลี่คลายจากพญานาคห้าเศียรซึ่งมีอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันที่ปราสาทแบบเขมร ไม่แน่ว่าช่างไทยทำนาคเบือนมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ได้ทำสืบเนื่องมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนจะหมดความนิยมลง และหันมาทำหางหงส์แทน


นาคเบือน ไม้ลงรักปิดทอง
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)

นาคเบือนของพระมหาปราสาทองค์นี้ คงเป็นระยะปลาย ก่อนที่ความนิยมจะเปลี่ยนเป็นหางหงส์ นาคเบือนมีต้นคิดต้นแบบเดียวกับหางหงส์ คือพญานาคห้าเศียรจากศิลปะแบบเขมร แต่ด้วยรสนิยมอย่างไทย รูปทรงหนาหนักในศิลปะเขมรจึงได้รับการพัฒนาในแนวเรียบง่ายโดยที่ยังรักษาเค้าของห้าเศียรพญานาค ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหางหงส์



• นาคปัก
นาคปัก : ชื่อตามลักษณะและตำแหน่งที่ประดับ คือเป็นรูปพญานาคห้าเศียร ตั้งประดับ (ที่มาของคำว่า “ปัก”) บนมุมประธานของชั้นซ้อนลดหลั่นของปราสาทแบบขอม


นาคปัก ปราสาทพนมรุ้ง ศิลา บุรีรัมย์
ศิลปะแบบเขมร  ราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗
นาคปัก ปักหรือตั้งประดับเป็นหลักบนมุมประธานซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามุมย่อยที่ขนาบ นาคปักของปราสาทแบบเขมรช่วยให้จังหวะของพื้นที่เป็นสัดส่วนยิ่งขึ้น โดยที่ต่อมาจะมีพัฒนาการอยู่กับเจดีย์ทรงปรางค์ด้วย


• นาครวย  ตัวรวย
นาครวย ตัวรวย คือตัวไม้ที่แยกเฉียงลงมาจากยอดจั่วที่ประดับช่อฟ้า นาครวยไม่คดโค้งหรือหยักสะดุ้ง คำว่า นาคมีที่มาจากรูปพญานาค ปลายล่างคือเค้าของหัวพญานาคโดยทั้งแบบที่เป็นหางหงส์ และแบบที่เรียกว่า นาคปัก  คำว่า นาค มี “รวย” เพิ่มขึ้น คงได้จากลักษณะที่ระทวยเป็นแนวเอนลาด  แต่ก็อาจเข้าใจไปได้ว่า คือการประดับแถวใบระกา ทำให้เรียก นาครวย หรือ ตัวรวย โดยหมายถึง ร่ำรวยใบระกา


นาครวย พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
เดิมเป็นวังหน้า กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาททรงครอง
และสร้างไว้ในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕ – ๒๓๕๒)
ได้รับการปรับปรุงในรัชกาลที่ ๓ และต่อมารัชกาลที่ ๕ (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓)
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สำหรับพระนคร

นาครวยที่เรียบง่ายดูเหมือนว่าถูกกำหนดให้เป็นลักษณะของวังหน้า เพื่อให้แตกต่างจากนาคลำยอง หรือตัวลำยอง  ซึ่งมีส่วนคดโค้งที่ตกแต่งความงามสง่าให้เด่นชัดยิ่งขึ้น สมกับเป็นงานช่างของพระราชวังหลวง


• นาคลำยอง ตัวลำยอง
นาคลำยอง ตัวลำยอง : ช่างไทยหมายถึงเรียกลำตัวของพญานาค ซึ่งประดิษฐ์เป็นกรอบหน้าบรรพของปราสาทแบบเขมรมาก่อน เมื่อมีพัฒนาการในศิลปะไทย ลำตัวพญานาคคลี่คลายมามาก ตอนล่างคดโค้งเป็นจังหวะสอดรับกันด้วยลักษณะแปลกจากเดิม มีชื่อเรียกว่า นาคสะดุ้ง โดยมีครีบนาคที่เรียกว่าใบระกาประดับเรียงเป็นแถว


นาคลำยอง หรือกรอบหน้าบรรพมุข
ของพระระเบียงคด วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)
บูรณะปรับปรุงจากวัดเก่าที่มีมาก่อนตั้งกรุงเทพฯในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)
และสร้างเสริมเพิ่มเติมครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔)

ส่วนล่างที่คดโค้งช่วยให้นาคลำยองงามคมคายยิ่งกว่านาครวย  โดยเฉพาะจังหวะตวัดปลายแหลมลงที่เรียกว่า “งวงไอยรา” ก่อนจะเริ่มส่วนโค้งเป็นคลื่นลงมาที่ปลายกรอบซุ้มซึ่งออกเป็นหางหงส์



หมวดพยัญชนะ บ
• บรรพแถลง (บันแถลง)
บรรพแถลง (บันแถลง) : มีที่สะกด “บันแถลง”  โดยทั่วไปคือรูปจั่วอันเป็นด้านหน้าของอาคาร ซึ่งหมายถึงหลังคาด้วย รูปอาคารจำลองอันเป็นสัญลักษณ์ของปราสาทหรือวิมาน คือบรรพแถลงของปราสาทแบบขอม สลักจากแท่งหิน  เพื่อประดับบนมุมของส่วนบน ซึ่งเป็นชุดชั้นซ้อนลดหลั่น บรรพแถลงของปราสาทแบบขอม ประกอบด้วยฐานรองรับเสาซึ่งหมายถึงตัวอาคารและครอบด้วยจั่วซึ่งหมายถึงหลังคา  ความเป็นวิมานหรืออาคารจำลองที่กล่าวมานี้ ชัดเจนยิ่งขึ้นจากรูปสลักบุคคล เช่น มีรูปเทวดาภายในวิมานจำลองนี้ด้วย  อนึ่ง มีคำเรียก “นาคปักบรรพแถลง” เพราะตั้งประดับนาคปักกับบรรพแถลงคู่เป็นชุดกัน มีเฉพาะที่ปราสาทแบบเขมร ส่วนบรรพแถลงที่เป็นสัญลักษณ์ของอาคารจำลองแบบไทย เป็นรูปหน้าบรรพมีกรอบ ไม่ทำเสา ไม่มีฐาน สำหรับประดับเรียงขนาดน้อยใหญ่ตามขอบหลังคาลาดลดหลั่นของหลังคายอดของมณฑป


บรรพแถลง ศิลา ปราสาทพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศิลปะแบบเขมร กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗

งานประดับที่มีสองนัยสำคัญ คือ บรรพแถลง  นัยแรก ความเป็นงานประดับที่ลดพื้นที่ว่างเปล่าและช่วยให้เกิดความต่อเนื่องกลมกลืนของพื้นที่บริเวณนั้น  นัยที่สอง บรรพแถลงมีความหมายที่เป็นรูปสัญลักษณ์ของอาคารจำลองหรือวิมาน เติมเต็มความหมายของความเป็นเรือนชั้นหรือเรือนฐานันดรสูง  บรรพแถลงของปราสาทแบบเขมร มีจังหวะของการประดับที่น่าสนใจ  กล่าวคือ บรรพแลงที่เป็นรูปด้านหน้า เห็นได้เต็มใบ ใช้ประดับบนกลางด้านทั้งสี่ (ประจำทิศ)  ส่วนที่ใช้ประดับบนมุม (ประจำมุม) บรรพแถลงก็หักฉาก จึงมีสองซีก เห็นได้จากสองมุมมองแต่ละมุมมองเห็นได้ครึ่งซีก


พระมหามณฑป วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  สร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕ – ๒๓๕๒)  
บูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๙๔)

หลังคาลาดซ้อนชั้นเป็นชุดของสถาปัตยกรรมฐานันดรสูงรูปทรงนี้ มีบรรพแถลง ใหญ่ – น้อย  ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของอาคารจำลอง ซึ่งทำเฉพาะรูปจั่ว (หลังคา) ตัดเสา ตัดฐานออก      


• บัลลังก์
บัลลังก์ : แท่นฐานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อใช้เป็นองค์ประกอบของเจดีย์ ทำตั้งไว้บนทรงระฆังก็เรียกบัลลังก์ บางทีก็เรียกบัลลังก์ว่า “ฐานยอด”


พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔ – ๒๔๑๑)

พระเจดีย์องค์นี้รัชกาลที่ ๔  โปรดให้ถ่ายแบบจากเจดีย์ประธานวัดพระศรีสรรเพชญ  พระนครศรีอยุธยา  ซึ่งส่วนที่เป็นบัลลังก์เด่นชัด สะท้อนถึงการเกี่ยวข้องกับการทำบัลลังก์เหนือระฆังของเจดีย์โบราณในประเทศศรีลังกา

• บัวปลายเสา  บัวหัวเสา
บัวปลายเสา  บัวหัวเสา : ส่วนประดับที่ปลายเสาให้เป็นรูปกลีบบัว  บัวหัวเสามีหลายลักษณะแตกต่างกันไป อันเป็นเครื่องบ่งชี้พัฒนาการตามยุคสมัย


บัวปลายเสา ดินเผา วิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง
รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พ.ศ.๒๐๔๒

กลีบบัวเล็กๆ  ประกอบกันเป็นทรงดอกบัวประดับเป็นบัวปลายเสา วิหารหลวงแห่งนี้มีเสาซึ่งประดับด้วยบัวหัวเสา ไม่น้อยกว่า ๔๐ ต้น  เหมาะแก่การผลิตกลีบบัวจากแม่พิมพ์ เมื่อได้กลีบบัวเป็นดินดิบแล้ว นำไปเผาให้สุกเป็นกลีบบัวดินเผา เหมาะแก่งานประดับเป็นบัวปลายเสาที่มีจำนวนมาก หากใช้ปูนปั้นต้องใช้เวลามากกว่านัก ทั้งขนาด ความสม่ำเสมอก็ไม่ได้เท่า


บัวปลายเสา ในเมรุองค์หนึ่งของวัดไชยวัฒนาราม
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒ – ๒๑๙๙)

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีบัวปลายเสาประกอบจากรูปกลีบบัวยาว เรียวปลายทำนองใบหอก ก่อนที่จะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วเป็นกลีบบัวรูปยาวมนแหลมที่ปลายกลีบทำนองใบดาบ


บัวหัวเสา วิหารหลวง วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น วัดนี้สร้างใน พ.ศ.๑๙๖๗  
รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา)  
แต่ผ่านการบูรณะมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา
ดังลักษณะทางพัฒนาการบัวหัวเสาของมุขโถงด้านหลังของวิหารหลวง

กลีบบัวยาว มนแหลมที่ปลายกลีบทำนองใบดาบ เรียกว่า “บัวแวง” (แวง แปลว่า ดาบ)  นิยมอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ (พ.ศ.๒๒๕๑ – ๒๒๗๕) เช่นกลีบบัวหัวเสาประดับผนังวิหารวัดมเหยงคณ์ และประดับผนังวิหารวัดกุฎีดาวด้วย แห่งหลังนี้บูรณะในรัชกาลถัดมาคือสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑)  เมื่อย่างเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปลายกลีบบัวคลี่คลายด้วยลีลาเรียวสะบัดปลาย


• บัวปากระฆัง
บัวปากระฆัง : ชุดลวดบัว รองรับปากระฆัง


พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑)

ทรงระฆังมีชุดลวดบัวรองรับ ชุดลวดบัวดังกล่าวนี้ประดับแถวกลีบบัว ทำนองแถวบัวคว่ำ – บัวหงาย  จึงดูเป็นรูปดอกบัวบานรองรับทรงระฆัง  ศัพท์นี้จึงมีสองนัย นัยหนึ่งคือ ลวดบัว (คิ้ว) ประกอบด้วยลวดบัวเป็นชุด อีกนัยหนึ่งคือ บัวคว่ำ – บัวหงาย


•  ใบระกา
ใบระกา : แผ่นสามเหลี่ยมคล้ายใบไม้ เทียบได้กับครีบเป็นแถวของลำตัวพญานาค ประดับเรียงเป็นแถวตามแนวยาวของนาครวย


ใบระกาประดับนาคลำยอง กรอบหน้าบรรพมุขพระระเบียงคด วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)  
บูรณะปรับปรุงจากวัดเก่าที่มีมาก่อนตั้งกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕–๒๓๕๒)  
และสร้างเสริมเพิ่มเติมครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

แถวใบระกาซึ่งมีที่มาจากแถวครีบของพญานาค  ต้นเค้ามีอยู่ที่รูปพญานาคประกอบกันเป็นกรอบหน้าบรรพของปราสาทแบบเขมร  แถวใบระกามีความหมายเป็นส่วนประกอบในชื่อนาครวย  ซึ่งอาจเกี่ยวข้องเพราะประดับใบระกาจำนวนมาก เรียงเป็นแถว จึงได้ชื่อ นาครวย (ระกา) หรือตัวรวย (ระกา)

Kimleng:
.
หมวดพยัญชนะ ป
• ประตูยอด
ประตูยอด : ส่วนบนของประตูที่ต่อยอด เช่น ยอดทรงฝักข้าวโพดอย่างปรางค์ หรือยอดเรียวแหลมตั้งขึ้นจากชุดชั้นซ้อนลดหลั่น


ประตูยอด อิฐฉาบปูน ปั้นปูนประดับ พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔–๒๔๑๑)

ชุดหลังคาที่ซ้อนเป็นชั้น ต่อยอดที่แม้ไม่ใช่ยอดเรียวแหลม แต่เป็นทรงแท่งของส่วนบนเจดีย์ทรงปรางค์ ก็เรียกกันว่าประตูยอด รูปแบบของประตูยอดเช่นนี้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๔ เข้าใจว่าโปรดให้ใช้แบบอย่างที่มีอยู่ในพระราชวังโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์คงยังมีตัวอย่างหลงเหลืออยู่ ประตูยอดคือตัวอย่างฐานันดรศักดิ์สูงของงานก่อสร้างในวัฒนธรรมไทย ทำไว้เป็นประตูสำคัญของพระบรมมหาราชวัง หรือเป็นประตูเมืองก็มี


• ประตูหลอก
ประตูหลอก : คือ งานก่ออิฐ หิน หรือศิลาแลงก็ตาม สลักเลียนแบบประตูมีบานปิด  ลักษณะเฉพาะเช่นนี้สำคัญสำหรับปราสาทแบบเขมร อันเป็นส่วนของความสงบเงียบ ความขลังและศักดิ์สิทธิ์


ประตูหลอก ศิลา ปราสาทบ้านพลวง สุรินทร์
ศิลปะแบบเขมร พุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗
เพราะเป็นประตูหลอก ก่อและสลักจากศิลา จึงทำหน้าที่เป็นผนังรองรับน้ำหนักจากส่วนบน ศาสนสถานรูปแบบใดก็ตามที่บานประตูปิด สร้างบรรยากาศลี้ลับ ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับศาสนสถานที่บานประตูเปิด เช่น เจดีย์ทรงปรางค์ ในศิลปะไทยซึ่งแม้มีพัฒนาการจากปราสาทแบบเขมรก็ตาม แต่เจดีย์ทรงปรางค์มีบานประตูเปิดทั้งสี่ด้าน สามด้านหมายถึงจระนำซุ้มมีพระพุทธรูปประดิษฐาน เสมือนพระพุทธองค์ประทับอยู่ภายในคูหา ด้านที่สี่คือคูหาจริงซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน


• ประภามณฑล
ประภามณฑล : คือ พระรัศมี ที่เปล่งออกจากวรกายของพระพุทธองค์  ช่างทำไว้เป็นแนวรอบนอกของพระวรกาย หรือเพียงรอบพระเศียร  ในพุทธประวัติกล่าวว่า สัปดาห์ที่สี่หลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ พระพุทธองค์ประทับในรัตนคฤห (เรือนที่ล้วนแล้วไปด้วยแก้วอันมีค่า – เรือนแก้ว)  ทรงพิจารณาพระอภิธรรมที่ได้ตรัสรู้ สิ้นสัปดาห์นั้นประภามณฑลเปล่งออกรอบพระวรกายเป็นครั้งแรก  อย่างไรก็ตาม ช่างมักวาดหรือปั้นพระพุทธรูปมีประภามณฑลด้วยเสมอ ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่สี่


พระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ทั้งสองแสดงปางเทศนาสั่งสอน สำริด  
ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๕  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง สุพรรณบุรี
ประภามณฑลเป็นวงอยู่เบื้องหลังพระเศียร ซึ่งหมายถึงพระรัศมี ที่เปล่งรอบพระวรกาย เพราะนอกจากแสดงบุญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในเชิงช่างประภามณฑลเน้นความงดงามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูป

พระรัศมี : ประภามณฑลเป็นวง มีรูปเปลวอยู่โดยรอบ แสดงถึงแบบอย่างอันเกี่ยวข้องกับลักษณะที่มีอยู่ก่อนในศิลปะอินเดียแบบปาละในแคว้นเบงคอล ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอยู่ในระยะนั้น


• ปล้องไฉน
ปล้องไฉน : ป้องไฉนอยู่เหนือบัลลังก์ ของเจดีย์ทรงระฆัง ที่มาของปล้องไฉน คือ ร่ม (ฉัตร)  ช่างทำเป็นทรงกรวย  ปั้นพอกเป็นวงแหวนซ้อนเรียงกัน (หมายถึง วงฉัตร หรือเรียกอีกอย่างว่า ใบฉัตร ซ้อนชั้นกัน)  จึงเป็นที่มาของชื่อที่ช่างไทยเรียกเลียนลักษณะของปี่ไฉน


พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์  สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔–๒๔๑๑)

ปล้องไฉนพัฒนารูปแบบจากร่ม (ฉัตรวลี) ของเจดีย์ต้นแบบ เช่น มหาสถูปที่สาญจีในศิลปะอินเดียโบราณ ร่ม (ฉัตรวลี) ดังกล่าว ทำจากศิลา สกัดเป็นแผ่นวงกลม ไล่เรียงขนาดจำนวน ๑ – ๓ แผ่น  กลางแผ่นเจาะรูไล่เรียงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางให้เหมาะสำหรับสวมลงไปในแกนศิลาทรงกรวย ซึ่งติดตั้งบนบัลลังก์ที่ตั้งเหนือทรงระฆัง  ปล้องไฉนพัฒนารูปแบบและกรรมวิธีทางช่างอยู่ในศิลปะโบราณของประเทศศรีลังกา  โดยก่ออิฐเป็นแกนทรงกรวยขนาดใหญ่ แล้วจึงปั้นปูนเป็นวงแหวนเรียงเป็นชุดจากโคนขึ้นไป  ได้แพร่หลายมาสู่ดินแดนไทยดังที่มีอยู่กับเจดีย์ศิลปะสมัยสุโขทัย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


• ปลี
ปลี : ปลายยอดของกรวยต่อขึ้นไปจากปล้องไฉน  ปลีคลี่คลายควบคู่มากับปล้องไฉน  ต้นแบบของปลีคงเป็นดุมของร่ม (ฉัตรวลี) แนวพัฒนาการที่ยืดทรงดูคล้ายปลีกล้วย คือที่มาของคำศัพท์นี้


พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์  สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔–๒๔๑๑)

ต่อจากปล้องไฉนขึ้นไปที่เรียกว่าปลี  มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ ผ่านมาถึงตอนปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดความนิยมเจดีย์รูปทรงใหม่ คือ เจดีย์ทรงเครื่อง  ซึ่งมีทรวดทรงยืดสูง  ปลีก็ยืดสูงขึ้นไปตามสัดส่วน  ทางช่างจึงใช้ลูกกลมหรือรีก็ตาม เรียกว่า “ลูกแก้ว”  คั่นจังหวะที่ยืดสูงนั้น ตอนเหนือลูกแก้วขึ้นไปเรียกตามตำแหน่งว่า “ปลียอด”  ส่วนตอนใต้จากลูกแก้ว เรียกว่า “ปลี” ตามเดิม


• ปัจเจกพุทธเจ้า
ปัจเจกพุทธเจ้า : พระพุทธเจ้าประเภทหนึ่ง ตรัสรู้ด้วยตนเอง และไม่เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ผู้ใด พระปัจเจกพุทธเจ้าผ่านการบำเพ็ญบุญบารมีมาในอดีตชาติอันนับไม่ถ้วน เมื่อมาเกิดในชาติสุดท้ายเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ หรือนักบวช คิดเบื่อหน่ายโลก จึงรักษาศีลภาวนาได้สำเร็จพระโพธิญาณ และเหาะมาชุมนุมจำศีลกัน ณ ถ้ำนันทมูล ในเขตคันธมาทน์อันเป็นภูเขาสำคัญลูกหนึ่งในหมู่เขาหิมพานต์


จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

ปรัมปราคติเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้าในบรรยากาศป่าหิมพานต์  ช่างเขียนได้สอดแทรกลักษณะสมจริงไว้มาก อันเป็นไปตามสมัยเริ่มหัวต่อของกระแสวัฒนธรรมสมจริงอย่างตะวันตก ดังภาพพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เขียนอย่างพระภิกษุ ภาพช้างที่ใช้งวงใช้เท้าจับไม้ไผ่ เพื่อช่วยกันสีให้เกิดประกายไฟ ก่อกองไฟลดความหนาวเย็น บ้างก็ชูงวงถวายดอกไม้บูชาเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า


• ปัทมาสน์
ปัทมาสน์ : พุทธอาสน์ทำเป็นรูปดอกบัวบาน


พระพุทธสิหิงค์ สำริด  พระที่นั่งพุทไธสวรรค์  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒

ปัทมาสน์  หมายถึง รูปดอกบัวบานเป็นอาสน์ที่ประทับของพระพุทธองค์  นิยมอยู่ในศิลปะล้านนาตั้งแต่เริ่มพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้นมา  แต่ปัทมาสน์ของพระพุทธสิหิงค์องค์นี้คงทำขึ้นภายหลังจากกรมพระราชวังบวรฯ  โปรดให้อัญเชิญลงมาจากเมืองเชียงใหม่ และประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์   การที่พระพุทธรูปสำคัญองค์นี้ประทับขัดสมาธิราบ เค้าพระพักตร์ค่อนข้างมนกลม  ชายจีวรเป็นแผ่นยาวลงมาจรดพระนาภี  ชวนให้เข้าใจได้ว่าเป็นแบบอย่างทางกรุงศรีอยุธยา


• ปาง (มุทรา)
มุทรา : การสื่อแสดงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ด้วยมือ เช่น พระพุทธรูปปางสมาธิ คือ พระหัตถ์ขวาวางหงายบนพระหัตถ์ซ้ายที่วางบนพระเพลา หรือปางมารวิชัย ที่พระหัตถ์ขวาวางพาดที่พระชงฆ์  พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา เป็นต้น  คำว่าปางที่นิยมใช้กันในความหมายของเหตุการณ์ตอนหนึ่งๆ ในพุทธประวัติด้วย เช่น ปางประสูติ  ปางนาคปรก  ปางยมกปาฏิหาริย์  ปางลีลา  ใช้กันตามสะดวกต่อๆ กันมา


• ปางมารวิชัย
ปางมารวิชัย : พระพุทธรูปในพระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบหรือขัดสมาธิเพชรก็ตาม  พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย คือ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนเพลา (ขา)  พระหัตถ์ขวาวางคว่ำที่ชงฆ์ (เข่า) เป็นการชี้พระหัตถ์ลงธรณีเพื่อเรียกแม่พระธรณีเป็นพยานในบุญญาบารมีของพระองค์ที่ทรงสั่งสมมาในพระอดีตชาติอันนับไม่ถ้วน ใน ที่สุดเหล่ามารที่มาผจญแตกพ่ายไป ดังมีที่เรียกอีกอย่างว่า ปางชนะมาร


พระพุทธรูป ศิลา ศิลปะทวารวดี ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๕
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

น่าสังเกตว่า พระพุทธรูปในศิลปะทวารวดีที่ทำปางมารวิชัยมีน้อย ดูเหมือนว่าน้อยกว่าปางสมาธิด้วยซ้ำ  กล่าวถึงอิริยาบถยืน ก็ได้พบมากกว่าอิริยาบถประทับนั่ง  อนึ่ง พระพุทธรูปปางมารวิชัยทำได้เฉพาะในพระอิริยาบถประทับนั่ง


• ปางประทานธรรม (ปางแสดงธรรม ปางประทานอภัย)
ปางประทานธรรม : พระพุทธรูปรุ่นแรก ทรงแสดงพระหัตถ์ข้างเดียว หรือสองข้างก็ตาม  จีบพระอังคุฐ (นิ้วโป้ง) กับพระดัชนี (นิ้วชี้) เป็นวง  ตำราว่าหมายถึงพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม บ้างก็ว่าหมายถึงทรงประทานอภัย ปางนี้ทำได้ทั้งพระอิริยาบถประทับนั่ง และพระอิริยาบถยืน


พระพุทธรูป สำริด ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๕–๑๖  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง สุพรรณบุรี

พระพุทธรูปทวารวดีคือระยะแรกรับแรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดีย  แม้ลักษณะท้องถิ่นเริ่มเด่นชัดมาเป็นลำดับแล้ว แต่หลักความรู้ก็ยังเคร่งครัด เช่นการทำนิ้วพระหัตถ์ของปางทรงแสดงธรรม  อย่างไรก็ตาม โดยข้อจำกัดของวัสดุและกรรมวิธีทางช่าง เช่นการจีบนิ้วพระหัตถ์ที่มักหักชำรุด คงมีส่วนทำให้เกิดลักษณะคลี่คลายอย่างน่าสนใจ


พระพุทธรูป ศิลา ศิลปะทวารวดี
พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๕ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

งานสลักศิลาซึ่งเรียกอย่างสามัญว่าสลักหิน  คือการทำงานกับวัสดุแข็งแกร่งแต่เปราะ  นิ้วพระหัตถ์จึงเป็นประเด็นที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงการหักชำรุด  คงทำให้ช่างสลักทุกนิ้วพระหัตถ์แนบอยู่กับอุ้งพระหัตถ์  ดูคล้ายกำพระหัตถ์ ความคลี่คลายจากข้อจำกัดของวัสดุและกรรมวิธีดังกล่าวยังมีต่อไปอีก


พระพุทธรูป สำริด  ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง  
ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พระหัตถ์แสดงปางประทานอภัย  คลี่คลายมาโดยที่ช่างทำนิ้วพระหัตถ์ตรง คือแบฝ่าพระหัตถ์  ซึ่งสะดวกสำหรับกระบวนการหล่อโลหะ และได้นิ้วพระหัตถ์ที่ไม่ชำรุดเสียหายโดยง่าย รูปแบบลักษณะของพระหัตถ์ที่เปลี่ยนใหม่นี้ ภายหลังคงทำให้เกิดมีความคิดเทียบเคียง โยงให้เข้ากับเหตุการณ์บางตอนในพุทธประวัติ เช่นอธิบายเป็นปางห้ามสมุทรบ้าง ปางห้ามญาติบ้าง  ซึ่งแตกต่างจากความหมายเดิม คือ ปางประทานธรรมหรือแสดงธรรม


• ปางไสยาสน์ (พระอิริยาบถไสยาสน์)
ปางไสยาสน์ : พระพุทธรูปในพระอิริยาบถไสยาสน์ (นอน) หากเทียบกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติ มีตอนสำคัญคือ มหาปรินิพพาน


พระพุทธรูปไสยาสน์ ปูนปั้น ลงรักปิดทอง
วัดพระรูป สุพรรณบุรี  ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พุทธศตวรรษที่ ๒๐

พระพักตร์ของพระพุทธรูปไสยาสน์องค์นี้ จัดได้ว่าอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น  เพราะรูปแบบลักษณะทำนองเดียวกับพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่สาม  ซึ่งพบมากในกรุของปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา  สร้างใน พ.ศ. ๑๙๖๗  พระพุทธรูปไสยาสน์องค์นี้   นอกจากมีขนาดใหญ่ที่สุดของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นที่รู้จักกันในปัจจุบันแล้ว ยังสมควรยกย่องฝีมือช่างปั้นที่แสดงพระอิริยาบถไสยาสน์ได้งามอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น พระอุระที่เอนลาดในแนวเฉียง  ต่อเนื่องเป็นพระศอ  พระพักตร์ และพระเศียรได้ด้วยความเข้าใจสรีระที่อยู่ในพระอิริยาบถนอน เอนพระเศียรโดยมีพระหัตถ์ขวารองรับ


พระพุทธรูปไสยาสน์  ปูนปั้น ลงรักปิดทอง  
ในวิหารวัดพระนอน  วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)  
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗–๒๓๙๔)

พระพุทธรูปไสยาสน์ขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาพระนอน  ศิลปะกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓  ลักษณะพิเศษที่น่าเอาใจใส่ยิ่งคือ  พระบาทของพระพุทธรูปองค์นี้มีงานช่างมุก ทำเป็นลายรูปสัญลักษณ์ของมงคล ๑๐๘ ประการ ตามอุดมคติโบราณ  โดยจัดเรียงอย่างมีระบบและมีความงดงามไม่มีที่ใดเหมือน (ลายบนฝ่าพระบาททั้งสองอยู่เลยขอบภาพทางขวา)


• ปางประทานอภัย (ปางลีลา)
ปางประทานอภัย : ปางซึ่งแสดงด้วยพระหัตถ์ สัมพันธ์กับพระอิริยาบถสี่ คือ นั่ง ยืน นอน (ไสยาสน์)  และเดิน (ลีลา)  พระอิริยาบถลีลาพระหัตถ์ปางประทานอภัยเช่นนี้ มีที่นิยมเรียกรวบให้สั้นว่า พระพุทธรูปลีลา หรือพระพุทธรูปปางลีลา


พระพุทธรูปลีลา สำริด ศิลปะสมัยสุโขทัย  
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙–๒๐ ประดิษฐานในพระระเบียงคด วัดเบญจมบพิตรฯ กรุงเทพฯ
พระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย นอกจากมีชื่อเสียงว่างดงามยิ่ง โดยเฉพาะที่จัดไว้ใน “หมวดใหญ่”  ซึ่งพระพักตร์รีคล้ายรูปไข่ พระพุทธรูปลีลาองค์นี้อยู่ในหมวดใหญ่ด้วย พระอิริยาบถลีลาเป็นการเฉพาะในศิลปะสุโขทัย ได้แพร่หลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้งานช่างของกรุงศรีอยุธยาบ้าง ปัจจุบันก็ยังอยู่ในความนิยมด้วย


• ปิดทองล่องชาด
ปิดทองล่องชาด : งานไม้ สลักนูน ลงรักปิดทองที่ตัวลาย ลึกลงจากตัวลายคือพื้นลายทาสีแดง และอาจมีประดับชิ้นกระจกสีได้ด้วย


แผงไม้เป็นส่วนของดาวเพดานจากคูหาปรางค์พระศรีรัตนมหาธาตุ  
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ศรีสัชนาลัย
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ราว พ.ศ. ๒๐๑๗  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง สุโขทัย

แผงไม้สลักลวดลายละเอียดซึ่งลักษณะของลายเกี่ยวข้องกับรสนิยมอย่างจีน  ช่างสมัยนั้นอาจรับเข้ามาปรับปรุงโดยตรง หรืออาจผ่านจากศิลปะสมัยล้านนา  ซึ่งอยู่ในช่วงกว่า ๑๐ ปีที่หลักฐานด้านเอกสารระบุว่ากองทัพของเชียงใหม่ ราชธานีแห่งแคว้นล้านนา ลงมาเผชิญหน้ากับกองทัพของกรุงศรีอยุธยาที่เมืองศรีสัชนาลัย  อนึ่ง ลวดลายประดับที่งามอย่างพิเศษของ แผงไม้นี้ไม่เป็นที่กล่าวขวัญกัน ทั้งที่สำคัญเพราะเป็นจุดหักเหด้านแบบอย่าง รสนิยมในงานประดับของศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา


• ปูนปั้น
ปูนปั้น : วัสดุและกรรมวิธีทางช่าง  ปูนปั้นเตรียมจากส่วนผสมอันมีปูนขาวเป็นหลัก  โดยนำไปหมักน้ำ เพื่อให้เหนียว เนื้อแน่น   ส่วนผสมสำคัญได้แก่ ทรายร่อนละเอียด  น้ำอ้อยในฐานะที่มีความเหนียว เป็นต้น  นำมาโขลกตำให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกับปูน  จึงมีที่เรียกว่า “ปูนตำ”  ในการปั้นช่างจะพอกเพิ่มทีละชั้นจนได้ความหนา ได้เค้าโครงรูปทรงตามต้องการ ต่อจากนั้นก็ตกแต่งรายละเอียด  งานปั้นปูนนอกจากพอกเพิ่มแล้ว ยังขูด ขุด ควักเอาออกได้ หากพอกหนาเกินต้องการ  แม้เมื่องานสำเร็จ  ปูนแห้งแข็งแล้ว ก็ยังแก้ไขด้วยการพอกเพิ่ม หรือถากทุบเอาออกได้ นับเป็นความคล่องตัว  แต่ส่วนที่ด้อยคือไม่คงทนหากเทียบกับงานสำริด หรืองานสลักหิน


ปูนปั้นประดับหน้าบรรพอุโบสถ วัดสระบัว เพชรบุรี  
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย–สมัยกรุงรัตนโกสินทร์  
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓–๒๔

งานปั้นปูนประดับของช่างเพชรบุรีมีชื่อเสียงในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน  ลายกระหนกที่ปลายเรียวสะบัดพลิ้ว เกิดจากส่วนผสมปูนที่เหนียวและแกร่งเป็นพิเศษ จึงได้ชื่อว่า ปูนเพชร  อย่างไรก็ตาม มีคำอธิบายที่แตกต่างว่า ปูนเพชร มีความหมายว่าเป็นปูนของช่างเมืองเพชร แต่ไม่ว่าคำอธิบายเป็นเช่นไร  เมื่อมีชื่อว่าปูนเพชร ย่อมสะท้อนชื่อเสียงงานช่างประเภทนี้ของเพชรบุรี


• ปูนปั้นประดับกระจก
ปูนปั้นประดับกระจก : งานปูนปั้นที่มีการประดับชิ้นกระจกสีต่างๆ ให้ความงดงามทั้งความนูน ความลึกในเชิงประติมากรรม พร้อมกับรสชาติทางจิตรกรรมที่เกิดจากสีสดใสของชิ้นกระจก  ช่างโบราณใช้กระจกสีต่างๆ ซึ่งบางและอ่อนตัวได้ (มีที่เรียกว่า “กระจกเกรียบ”)  นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนปิดชิ้นกระจกต้องทา (ยาง)  รักสมุก (ยางรักใสผสมเถ้าใบตองเพื่อให้ข้น) บนพื้นที่ที่จะปิดประดับก่อน เพื่อให้ชิ้นกระจกติดอยู่ได้


เสาเฉลียงหน้าของอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๒๕–๒๓๕๒)  
บูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

งานปูนปั้นลงรักสมุกเพื่อปิดทองและประดับชิ้นกระจกสี มีกระบวนการทางช่าง เริ่มจากออกแบบลวดลายเพื่อประดับให้เหมาะกับพื้นที่ จัดลำดับความนูนพ้นระนาบ  จัดจังหวะช่องไฟที่โปร่ง – ถี่ และสอดสี สอดไส้ลาย เป็นต้น

Kimleng:
.
หมวดพยัญชนะ ผ
• ผ้าทิพย์
ผ้าทิพย์ : ผ้าทิพย์ หมายถึง ผ้าที่ปูไว้บนพุทธอาสน์ที่พระพุทธองค์ประทับนั่ง
หากเป็นภาพวาด ช่างวาดผ้าทิพย์โดยออกแบบให้มีชายผ้าห้อยลงทางด้านหน้าของพุทธอาสน์ ระบายสีตกแต่งให้ดูเป็นลายผ้า
หากเป็นงานปั้น ลวดลายผ้านั้นมักลงรักปิดทอง หากพื้นลายปิดประดับด้วยชิ้นกระจกสี ความงดงามแวววาวก็จะเพิ่มขึ้น


พระพุทธรูป โลหะผสม
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔)  
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ชายผ้าปู (นิสีทนะ) บนพุทธอาสนะหรือรัตนบัลลังก์ที่พระพุทธองค์ประทับ คืองานประดับตกแต่งเพิ่มความงามและเน้นความหมายแห่งรัตนบัลลังก์ด้วย


หมวดพยัญชนะ พ
• พนัสบดี
พนัสบดี : สัตว์ในนิทานปรัมปรา เดิมมีข้ออธิบายว่า คือการรวมลักษณะเด่นของพาหนะเทพเจ้าทั้งสามในศาสนาฮินดู คือ ครุฑ พาหนะของพระนารายณ์ หงส์ พาหนะของพระพรหม และโค พาหนะของพระอิศวร สัตว์ในปรัมปราคติดังกล่าวมีปากคล้ายครุฑ ปีกคล้ายหงส์ และมีเขาคล้ายโค ปรากฏอยู่ในศิลปะทวารวดี เป็นพระพาหนะของพระพุทธเจ้า แต่มีข้อมูลที่ชวนให้คิดแตกต่างจากข้ออธิบายข้างต้นว่า รูปแบบทำนองเดียวกันที่ยักเยื้องเป็นหลายแบบหลายประเภท มีมาก่อนแล้วในศิลปะอินเดียโบราณ ทั้งที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู


พระพุทธเจ้าประทับเหนือพนัสบดี ศิลา
ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๕
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ความหมายของรูปพระพุทธเจ้าประทับเหนือพนัสบดี ที่ยังมีประเด็นโต้แย้ง ต้องรองานศึกษาเพิ่มเติมเพื่อขยายความรู้ความเข้าใจด้านคติความเชื่อ ทั้งนี้น่าจะให้ความสำคัญแก่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธรรมจักรศิลาในวัฒนธรรมทวารวดี


• พระบฏ
พระบฏ : ภาพวาดเรื่องราวทางศาสนาบนผืนผ้า นิยมวาดเรื่องพุทธประวัติหรือเรื่องชาดกทศชาติ


พระบฏ ภาพเขียนบนผ้า ศิลปะสมัยล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ๒๒
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่

หลังจากทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ดาวดึงส์แล้ว พระพุทธองค์เสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ใกล้กับประตูเมืองสังกัสสะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาคอยนมัสการรับเสด็จ ทั้งภาพ (รวมส่วนที่ชำรุดหายไปด้วย) ใช้สีแดงระบาย ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์บรรเจิดจ้า สีแดงใช้ระบายเป็นฉากหลังแต่ลวงตาว่าอยู่ห่างไกลด้วยภาพช่อดอกไม้ใหญ่ – น้อยนานาพรรณลอยละล่อง  อนึ่ง ช่อดอกไม้ดังกล่าวบางช่อ คือข้อมูลบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับดอกไม้ปรับปรุงจากงานประดับในวัฒนธรรมจีน


• พระสงฆ์สาวก
พระสงฆ์สาวก : พระสงฆ์สาวก : รูปพระสงฆ์สาวก โดยทั่วไปหมายถึงพระอรหันต์ รูปแบบหลักคือประนมมือ กลางเศียรไม่มีอุษณีษะ ดวงตาเบิกโดยไม่หรี่ลงต่ำ


พระสงฆ์สาวก ดินเผา ศิลปะหริภุญชัย พุทธศตวรรษที่ ๑๘
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่
ประติมากรรมดินเผา คืองานช่างสำคัญในศิลปะหริภุญชัย มีกรรมวิธีปั้นรูปเพื่อทำพิมพ์ประกบ (คือพิมพ์สองชิ้น หน้า – หลัง ประกบกันเมื่อเทกรอกน้ำดิน) ผ่านกระบวนการเทกรอกน้ำดิน รอให้แห้งโดยผึ่งลม ผึ่งแดด จนรูปดินดิบแห้งสนิทก่อนจึงนำเข้าเตาเผา เริ่มที่ไฟอ่อนก่อนเร่งความร้อนขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ความร้อนแผ่ได้ทั่วถึงทั้งรูป หากความร้อนแตกต่างกันมาก การขยายตัวของรูปดินดิบขยายตัวไม่เท่ากัน ก็จะปริ แตก เสียหาย กรรมวิธีดังกล่าวศึกษาจากร่องรอยของแนวประกบที่หลงเหลือ และอาศัยความรู้จากการหล่อในปัจจุบันช่วยขยายความ


• พระอดีตพระพุทธเจ้า
พระอดีตพระพุทธเจ้า : อุดมคติในพุทธศาสนาเรื่องหนึ่งมีว่า พระพุทธเจ้าจำนวนอันนับไม่ได้ อุบัติลงมาตรัสรู้บนโลกมนุษย์ก่อนพระพุทธเจ้าศากยมุนีของเรา ช่างเขียนโบราณมักเขียนบอกเล่าไว้ด้วยภาพพระอดีตพุทธเจ้าเรียงรายเป็นแถว


จิตรกรรมฝาผนังคูหา ปรางค์มหาธาตุ วัดมหาธาตุ ราชบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ต่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐

จิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้คือตัวอย่างของงานช่างในช่วงหัวต่อของการปรับรับรสนิยมใหม่ๆ ดังปรากฏที่พระพักตร์ของเหล่าพระอดีตพุทธเจ้า ซึ่งมีทั้งรูปไข่แบบศิลปะสมัยสุโขทัย พระพักตร์เหลี่ยมแบบศิลปะอู่ทอง และที่ผสมผสานแบบทั้งสองดังกล่าวข้างต้นก็มี


• พระพุทธบาท (รอยพระพุทธบาท)
พระพุทธบาท (รอยพระพุทธบาท) : พระพุทธบาท  หมายถึง รูปพระพุทธบาทที่มีลายลักษณ์อันมีความหมายเป็นมงคล ๑๐๘  ประการ  มีความหมายเช่นเดียวกับรอยพระพุทธบาทตามความเชื่อว่า พระพุทธองค์ทรงกดประทับเป็นรอยไว้


รอยพระพุทธบาท ไม้ ลงรักปิดทอง ประดับมุก ศิลปะสมัยล้านนา
สร้างราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ และมีจารึกระบุการซ่อมใน พ.ศ. ๒๓๓๗

ภาพประดับมุกที่แสดงคติเรื่องมงคล ๑๐๘ ถัดล่างลงมาเป็นเรื่องศูนย์กลางจักรวาล คือเขาพระสุเมรุ แวดล้อมด้วยเขาวงแหวนทั้งเจ็ดที่เรียกว่า สัตตบริภัณฑ์ แต่ละวงของเขาบริวารเหล่านี้แสดงเป็นแท่งสูงลดหลั่น ขนาบเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นประธานอยู่กลาง เหนือยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ดาวดึงส์อันศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล


พระพุทธรูป
พระพุทธรูป : คือรูปสัญลักษณ์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พัฒนาการด้านรูปแบบของพระพุทธรูปช่วยให้หยั่งทราบความเปลี่ยนแปลงด้านแนวความคิดทางช่าง ฝีมือช่าง ซึ่งสะท้อนรสนิยมของยุคสมัย ที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับแหล่งบันดาลใจจากดินแดนใกล้ – ไกล

• พระพุทธรูป ศิลปะทวารวดี
พระพุทธรูป ศิลปะทวารวดี : สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจทั้งด้านคติความเชื่อและรูปแบบงานช่างของสมัยทวารวดี อันเป็นแรกเริ่มงานพุทธศิลปะในดินแดนก่อนที่จะเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน แหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจคือพุทธศาสนาและงานช่างของประเทศอินเดีย


พระพุทธรูป ศิลา ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปในศิลปะทวารวดี คือ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม เม็ดพระศกใหญ่ พระขนงแนวนอนคล้ายรูปปีกกา ซึ่งสัมพันธ์กับพระนลาฏกว้าง ริมพระโอษฐ์หนา ทรงจีวรห่มคลุม แต่ที่ห่มเฉียงก็มี พระพุทธรูปในพระอิริยาบถยืน พระชงฆ์มีขอบจีวรพาดผ่านเป็นวงโค้งเป็นลักษณะเด่น เช่นเดียวกับพระหัตถ์ทั้งสองแสดงปางประทานธรรม ซึ่งสอดคล้องเป็นความสมมาตร (สองข้างเท่ากัน) กับพระอิริยาบถ


• พระพุทธรูป ศิลปะศรีวิชัย
พระพุทธรูป ศิลปะศรีวิชัย : คาบสมุทรภาคใต้ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๙ มีเมืองท่าสำคัญอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี คือแหล่งการค้าการติดต่อกับดินแดนภายนอกทั้งใกล้ ไกล โดยเฉพาะที่มาจากชวาภาคกลาง (ในประเทศอินโดนีเซีย) เวียดนาม การติดต่อทางบกกับเขมรก็มีด้วย เป็นต้น


พระพุทธรูปนาคปรก สำริด ศิลปะศรีวิชัย  ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ลักษณะอันเป็นเค้าจากศิลปะเขมร คือ เศียรพญานาค และพระพักตร์ของพระพุทธรูปซึ่งความกลมเนียนก็ชวนให้นึกถึงสุนทรียภาพอย่างศิลปะชวาภาคกลางด้วย พระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้แสดงปางมารวิชัย เป็นกรณีที่พบน้อยมาก ส่วนใหญ่มักทำปางสมาธิ  เพราะความหมายหลักของปางมารวิชัย คือขณะก่อนพระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ แต่เหตุการณ์ที่มีพญานาคปรกพระพุทธองค์ ล่วงเลยหลังการตรัสรู้มาในสัปดาห์ที่หกแล้ว  พระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้ถอดออกได้ ๓ ส่วน คือ ส่วนขนดคือลำตัวของพญานาค  ส่วนองค์พระพุทธรูปและส่วนที่เป็นพังพาน ทั้งสามส่วนประกอบเข้ากันได้พอดี แสดงถึงประสบการณ์ในการสร้างระดับสูง และกระบวนการสร้างได้มีการตระเตรียมอย่างดี ตั้งแต่สร้างรูปหุ่น การทำพิมพ์โดยแยกส่วน การหล่อและการประกอบส่วนที่แยกเข้าด้วยกัน


• พระพุทธรูป ศิลปะแบบเขมร
พระพุทธรูป ศิลปะแบบเขมร : มีหลักฐานของวัฒนธรรมเขมรในดินแดนก่อนที่จะเป็นประเทศไทย ซึ่งแพร่หลายอยู่ราว ๒๐๐ ปีก่อนที่จะเสื่อมถอยไปหลังการสวรรคตของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรเขมร


พระพุทธรูปนาคปรก ศิลา ศิลปะเขมร ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
 
พระพุทธองค์ประทับขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิตามแบบแผนของพระพุทธรูปนาคปรก  ประเด็นทางช่างสำหรับพระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้ คือ ทรงครองจีวรห่มคลุม แต่ช่างมิได้สลักจีวรซึ่งปกติควรมีอยู่ระหว่างพระพาหา (แขน) กับพระปรัศว์ (สีข้าง)


พระพุทธรูป ศิลา ศิลปะแบบเขมร พุทธศตวรรษที่ ๑๘– ๑๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ลพบุรี

รสนิยมแบบเขมรที่พระพุทธรูปปางสมาธิองค์นี้คลี่คลายลงมากแล้ว แต่ก็ยังเหลือลักษณะบางประการ ได้แก่ อุษณีษะรูปกลีบบัว พระรัศมี ทรงดอกบัวตูม  พระนลาฏ (หน้าผาก) กว้าง  อันเป็นพระพักตร์แบบเขมร  แต่ก็มีเค้ามนงาม เผยให้เห็นสุนทรียภาพแนวใหม่ที่เริ่มปรากฏแล้ว พระขนงยังเป็นแนวนอนคล้ายปีกกาอยู่บ้าง มีขอบไรพระศกและจีวร (บางท่านเรียกว่า สังฆาฏิ) เป็นแผ่นยาวใหญ่ ปลายตัดตรง ทั้งหมดที่กล่าวจะคลี่คลายเป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทองรุ่นแรก


• พระพุทธรูป ศิลปะหริภุญชัย
พระพุทธรูป ศิลปะหริภุญชัย : เมืองต่างๆ ในภาคเหนือก่อนรวมเป็นแว่นแคว้นล้านนา มีเมืองหริภุญชัยเป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนา ซึ่งควบอยู่กับความเป็นศูนย์กลางด้านงานช่างในศาสนาด้วย


พระพุทธรูป ดินเผา ปูนปั้น เจดีย์แปดเหลี่ยมวัดกู่กุด (วัดจามเทวี)
ศิลปะหริภุญชัย พุทธศตวรรษที่ ๑๘

พระเศียรของพระพุทธรูปเป็นงานดินเผา พระวรกายเป็นงานปูนปั้น เข้ากันอย่างกลมกลืนเพราะส่วนที่เป็นพระฉวี (ผิวกาย) ลงรักปิดทอง (ร่องรอยของยางรักสีดำยังหลงเหลือให้เห็น) ส่วนที่เป็นจีวรทาสีแดงคล้ำ ความแตกต่างของผิววัสดุจึงไม่มีให้สังเกตเห็น

พระนลาฏกว้างเป็นลักษณะสำคัญ มีอยู่ทั้งพระพักตร์พระพุทธรูปแบบเขมร และแบบทวารวดี ขณะที่ขอบสบงไม่มีรัดประคดและพับหน้านาง แต่นูนสอบลงเป็นรูปสามเหลี่ยมตามแนวของพระอูรุ (ต้นขา) คือลักษณะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปพม่าแบบพุกาม ชายจีวรเบื้องล่างมีจีบริ้วที่เป็นลักษณะเด่นชัดอีกประการหนึ่งที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องกับแบบอย่างที่มีอยู่ก่อนในศิลปะพุกาม


• พระพุทธรูป ศิลปะสมัยสุโขทัย
พระพุทธรูป ศิลปะสมัยสุโขทัย : ในช่วง ๒๐๐ ปี ของศิลปะสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปมีพัฒนาการอย่างกว้างๆ ๓ ขั้นตอน แรกสุดมีชื่อเรียกว่า หมวดรัดตะกวน (ชื่อวัดที่แรกพบพระพุทธรูปแบบนี้จำนวนหนึ่ง) คือแบบที่มีลักษณะร่วมกับพระพุทธรูปในศิลปะสมัยล้านนา เช่น พระพักตร์ค่อนข้างอวบอ้วน พระขนงโก่ง ปลายพระนาสิกแหลม ไม่มีไรพระศก ทรงจีวรห่มเฉียง ชายจีวรสั้นระดับราวพระถัน (ราวนม) แบบต่อมาความอวบอ้วนลดน้อย พระพักตร์รูปไข่ ชายจีวรยาวลงมาจรดพระนาภี (ท้อง) ปลายจีวรแยกหยักทำนองเขี้ยวตะขาบเด่นชัดยิ่งขึ้น มีชื่อเรียกว่า หมวดใหญ่ เพราะได้พบจำนวนมาก แบบที่สามเป็นแบบสุดท้าย พระพักตร์แป้น หากเห็นว่ามีเค้าเหลี่ยมอยู่บ้าง ก็อาจเกี่ยวข้องกับพระพักตร์ของพระพุทธรูปจากศิลปะของกรุงศรีอยุธยาที่แพร่ขึ้นมา หมวดหลังสุดนี้เรียกกันว่า หมวดพระพุทธชินราช


พระพุทธรูป หมวดใหญ่ สำริด ศิลปะสมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

วงพระพักตร์และเครื่องแต่งพระพักตร์ของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย คือการเริ่มต้นสุนทรียภาพอย่างใหม่ในวัฒนธรรมของผู้คนกลุ่มใหม่ คงมีพื้นฐานทางชาติพันธุ์แตกต่างจากเขมร เพราะพระพักตร์กลม หรือรูปไข่ แตกต่างจากพระพักตร์เหลี่ยมของพระพุทธรูปแบบเขมร พระนลาฏของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยแคบ จึงเน้นวงพระพักตร์รูปไข่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีพระขนงโก่งรับกับแนวพระนลาฏ ดังกล่าวนี้แตกต่างจากพระนลาฏกว้างแบบเขมรหรือแบบหริภุญชัยก็ตาม ซึ่งมีพระขนงต่อเนื่องแนวนอนคล้ายรูปปีกกา


• พระพุทธรูป ศิลปะสมัยล้านนา
พระพุทธรูป ศิลปะสมัยล้านนา : บางทฤษฎีกำหนดว่าพระพุทธรูปศิลปะสมัยล้านนา (เดิมเรียกว่า พระพุทธรูปเชียงแสน) มี ๒ รุ่น รุ่นที่ ๑ พระพักตร์และพระวรกายอวบอ้วน ชายจีวรสั้น ปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบ พระรัศมี รูปดอกบัวตูม  รุ่นที่ ๒ ได้รับอิทธิพลจากลักษณะของพระพุทธรูปสุโขทัย  บางองค์แม้ยังอวบอ้วนแต่ก็มีพระรัศมีรูปเปลวแบบพระพุทธรูปสุโขทัยด้วย  ชายจีวรยาวปลายหยักเขี้ยวตะขาบแบบพระพุทธรูปสุโขทัยเช่นกัน แต่เดิมนั้นเรียกรุ่นที่ ๑ ว่าพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง  รุ่นที่ ๒ ว่าพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์สอง  อนึ่ง ราชธานีเชียงใหม่ของแคว้นล้านนายาวนานลงมาร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา พระพุทธรูปล้านนาจึงรับแรงบันดาลใจจากพระพุทธรูปแบบกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย จัดเป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยล้านนารุ่นหลัง


พระพุทธรูป สำริด ศิลปะสมัยล้านนา ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญชัย ลำพูน

พระพุทธรูปล้านนารุ่นแรก (เชียงแสนสิงห์หนึ่ง) พระรัศมี ที่ชำรุดหาย คงเป็นรูปดอกบัวตูม พระนลาฏยังมีแนวกว้างอยู่บ้าง จีวรสั้นเหนือพระถัน ชายจีวรหยักรูปเขี้ยวตะขาบ ฝีมือช่างระดับสูงสะท้อนที่ความสมส่วนเชิงอุดมคติของพระวรกายและพระพักตร์แห่งพุทธสภาวะ

แหล่งบันดาลใจมากกว่าหนึ่งที่ควบซ้อนกันอยู่กับลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ คือศิลปะอินเดียแบบปาละที่ผ่านมาทางศิลปะพม่า สมัยเมืองพุกามและศิลปะหริภุญชัย


• พระพุทธรูป ศิลปะแบบอู่ทอง
พระพุทธรูป ศิลปะแบบอู่ทอง : แหล่งที่สร้างพระพุทธรูปแบบนี้ อยู่ทางภาคกลาง อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ๒๐ มีอยู่ ๓ รุ่น  รุ่นที่ ๑ สืบเนื่องอย่างใกล้ชิดกับแบบเขมร  รุ่นที่ ๒ มีลักษณะของพระพุทธรูปหมวดใหญ่จากศิลปะสุโขทัยเข้าผสม  รุ่นที่ ๓ ลักษณะพระพุทธรูปจากศิลปะสุโขทัยเพิ่มมากยิ่งขึ้นและได้พบจำนวนมากในกรุของปรางค์ประธานวัดราชบูรณะซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗ อันเป็นระยะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น จึงควรเรียกว่าเป็นศิลปะกรุงศรีอยุธยาตอนต้นได้ด้วย


พระพุทธรูปปางมารวิชัย สำริด ศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๑ ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ความเชื่อมโยงกับพระพุทธรูปแบบเขมร ยังสังเกตได้จากพระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระนลาฏกว้าง มีไรพระศกแต่ขนาดเล็ก พระขนงอยู่ในแนวนอนคล้ายรูปปีกกา ริมพระโอษฐ์ค่อนข้างหนา ทรงครองจีวรห่มเฉียง ชายจีวรเป็นแผ่นยาวปลายตัดตรง


พระพุทธรูป สำริด ศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๒ ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐  
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ลักษณะผสมผสานระหว่างพระพุทธรูปอู่ทอง รุ่นที่ ๑ กับรุ่นที่ ๒ เด่นชัด  กล่าวคือ พระพักตร์เริ่มคลายจากรูปเหลี่ยม ขณะที่พระอุษณีษะและพระรัศมี ย้อนกลับไปได้แบบอย่างจากพระพุทธรูปในศิลปะแบบเขมร แต่แผ่นชายจีวรเล็กลง และที่สำคัญคือชายจีวรแยกออกเป็นรูปเขี้ยวตะขาบซึ่งแสดงถึงการเกี่ยวข้องกับแบบอย่างจากพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยแล้ว  อนึ่ง รัตนบัลลังก์ คือเค้าโครงของรูปดอกบัวบาน เพียงแต่มิได้ประดับรูปกลีบบัวคว่ำ – กลีบบัวหงาย  โดยที่รูปแบบดังกล่าวของรัตนบัลลังก์จะต่อเนื่องอยู่ในพระพุทธรูปแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓ ด้วย


พระพุทธรูปปางมารวิชัย สำริด ศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๒
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙–๒๐ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พระนลาฏกว้าง พระพักตร์มีเค้าเหลี่ยม มีไรพระศก ทรงครองจีวรเฉียง สังฆาฏิเป็นแผ่น ปลายตัด แบบอู่ทอง รุ่นที่ ๑ แต่พระรัศมีเป็นรูปเปลวอันเป็นลักษณะที่มีอยู่ในศิลปะสมัยสุโขทัย จึงจัดเป็นแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๒


พระพุทธรูป สำริด ศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พระพุทธรูปแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓ มีแบบอย่างของพระพุทธรูปแบบศิลปะสมัยสุโขทัยเข้าผสมมากแล้ว พระรัศมีรูปเปลว  พระพักตร์รูปไข่แต่ยังเหลือไรพระศก พระขนงโก่ง ชายสังฆาฏิแยกคล้ายเขี้ยวตะขาบ พระวรกายเพรียวยิ่งขึ้น  ได้พบจำนวนกว่าร้อยองค์  ขณะที่พระพุทธรูปแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๑ และรุ่นที่ ๒ ได้พบรวมกันไม่ถึง ๒๐ องค์ จากกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา  ซึ่งสร้างในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. ๑๙๖๗  งานสร้างปรางค์ประธานของวัดนี้คงอยู่ในระยะเดียวกับความนิยมสร้างพระพุทธรูปแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓  ฉะนั้น พระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นนี้จึงจัดว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นด้วย


• พระพุทธรูป  ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา
พระพุทธรูป  ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา : สืบเนื่องจากพระพุทธรูปในศิลปะแบบอู่ทอง รุ่นที่ ๓ ที่เพิ่งกล่าวผ่านมาว่าอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น วงพระพักตร์ของพระพุทธรูปของศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง มีเค้าแป้นที่ชวนให้นึกถึงลักษณะโดยรวมของพระพุทธชินราชไม่มากก็น้อย ส่วนพระวรกายอวบอาจเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปแบบล้านนา ช่วงของกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง มีความนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยอยู่ด้วย  ครั้นผ่านมาในกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีความนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ โดยมีพระพักตร์คมเข้มเป็นลักษณะสำคัญ


พระพุทธรูปปางมารวิชัย สำริด ลงรักปิดทอง ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง
พุทธศตวรรษที่ ๒๑–๒๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

ฐานหรือที่เรียกว่ารัตนบัลลังก์ของพระพุทธรูปองค์นี้ ประดับด้วยฉากเหตุการณ์ตอนพระโพธิสัตว์ทรงเรียกแม่พระธรณีบีบน้ำจากมวยผมของพระนาง น้ำจำนวนอันนับไม่ได้คือเครื่องแสดงบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ทรงสั่งสมมาในอดีตในช่วงเวลาอันนับไม่ถ้วนเช่นกัน น้ำท่วมท้นเหล่ามารทำให้ต้องยอมพ่ายแพ้ จากนั้นพระโพธิสัตว์จึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉากเหตุการณ์ดังกล่าวคือรูปธรรมของอุดมคติขยายความหมายของพระพุทธรูปปางมารวิชัย


• พระพุทธรูป ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระพุทธรูป ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ : สืบทอดพุทธลักษณะจากพระพุทธรูปแบบกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ดังหลักฐานของพัฒนาการด้านรูปแบบของพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ แต่ในส่วนของพระพักตร์มีลักษณะใหม่ ดูอ่อนเยาว์ของทั้งพระพุทธรูปที่ทรงเครื่องใหญ่ และที่ไม่ทรงเครื่อง (พระพุทธรูปแบบปรกติ) คือความเด่นชัดของลักษณะในบรรยากาศใหม่ทางสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างจากอดีตราชธานีกรุงเก่า


พระพุทธรูป สำริด ลงรักปิดทอง พระอุโบสถวัดราชนัดดาฯ กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

พระอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางมารวิชัย เป็นแบบอย่างมีมาตั้งแต่แรกสร้างพุทธศิลปะในดินแดนไทยเมื่อกว่าพันปีก่อน โดยวางพระหัตถ์ขวาไว้ที่พระชงฆ์ (หน้าแข้ง) ซึ่งแตกต่างจากวางที่พระชานุ (เข่า) วางพระหัตถ์ไว้ที่พระชงฆ์สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่พระโพธิสัตว์ทรงชี้นิ้วพระหัตถ์ลงที่พระธรณี แต่หากวางพระหัตถ์ที่พระชานุ น่าจะเป็นเรื่องของช่างที่ให้ความสำคัญแก่จังหวะความงามด้วย และพร้อมกับจังหวะดังกล่าว ช่างยังมักปั้นนิ้วพระหัตถ์ให้มีลีลา (ตรงกับที่เรียกกันว่า กรีดนิ้ว)

พระพักตร์ของพระพุทธรูปสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ดูอ่อนเยาว์ แตกต่างจากพระพักตร์ของพระพุทธรูปสมัยก่อน พร้อมทั้งการจัดชายจีวร (หรือสังฆาฏิ) ให้วกจากพระอังสะมาที่กลางพระอุระเพื่อดิ่งตรงลงจรดพระนาภี


• พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย
พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย : แตกต่างจากพระพุทธรูปปรกติ พระพุทธรูปทรงเครื่องน้องมีอาภรณ์เครื่องประดับ เช่น มงกุฎ กรองศอ (สายสร้อย) และอื่นๆ แต่ยังนับว่าน้อยกว่าเครื่องประดับพระวรกายพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่


พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย สำริด
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒

พระพุทธรูปทรงเครื่อง ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาแสดงปานประทานอภัย มงกุฎทรงสูงเทียบเค้าได้กับมงกุฎของทวารบาลสลักไม้ของบานประตูจากวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ พระนครศรีอยุธยา

พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยองค์นี้ค้นพบในพระอุระของพระพุทธรูปมงคลบพิตรซึ่งเชื่อว่าสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓ – ๒๑๗๑)


• พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่
พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ : พระพุทธรูปทรงอาภรณ์ประดับอย่างมาก มีที่เทียบว่าดังจักรพรรดิราช เข้าใจกันโดยทั่วไปว่ามาจากพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์ ทรงปราบพญาชมพูบดีซึ่งเป็นพระราชาผู้ร่ำรวยและมีฤทธานุภาพมาก พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพุทธบารมีว่าพญาตนนี้หากบรรพชาจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในพุทธศาสนา จึงโปรดให้เชิญมาเฝ้า แล้วพระพุทธองค์ทรงเนรมิตพระองค์เองเป็นพระราชาธิราช ทรงเครื่องอาภรณ์มากยิ่งกว่าพญาชมพูบดีทุกประการ เมื่อได้สดับธรรมจากพระพุทธองค์จนหมดทิฐิแล้วพญาตนนี้จึงขอบรรพชา


พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ พระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒ – ๒๑๙๙)
วัดหน้าพระเมรุคงมีอยู่แล้วอย่างช้าในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เชื่อว่าได้รับการบูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เพราะพุทธลักษณะของพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพักตร์เสี้ยม พระขนงโก่งรับกับขนาดใหญ่ของเปลือกพระเนตร พระนาสิกโก่งปลายแหลม ริมพระโอษฐ์อิ่ม

ทั้งหมดที่กล่าวมา เทียบได้ส่วนละเล็กละน้อยกับพระพักตร์ของพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ปูนปั้น ซึ่งประดิษฐานภายในเมรุทิศ เมรุรายของวัดไชยวัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา วัดนี้สร้างขึ้นในรัชกาลนั้นด้วย  อนึ่ง พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ของวัดหน้าพระเมรุได้รับการบูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  ลวดลายประดับของเครื่องทรง คงปั้นซ่อมแซมขึ้นตามแบบอย่างเดิมไม่มากก็น้อย


• พระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ : ในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท หมายถึง สภาวะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น นิทานชาดกซึ่งพระพุทธเจ้าศากยมุนีเสวยพระอดีตชาติเป็นพระโพธิสัตว์ จนแม้เมื่อเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงผนวชและตรัสรู้แล้วจึงเป็นพระพุทธเจ้า สำหรับพระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายาน มีมากหลาย ล้วนทรงฤทธิ์อำนาจ แต่ยังไม่ทรงตรัสรู้ เพราะทรงรั้งรอเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากวัฏสงสาร


จิตรกรรมฝาผนัง อุโบสถวัดประตูสาร สุพรรณบุรี
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)
 
เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ทรงปลงพระเกศาในคราวทรงผนวช ก่อนจะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด สีสดเข้มพื้นหลังมืด คือแบบอย่างที่นิยมในหมู่ช่างเขียนสมัยรัชกาลที่ ๓ นายฉันนะกับม้ากัณฑกะในกริยาเศร้าโศก ฆฏิการพรหมประทับนั่งประนมกร บนพานมีไตรจีวรซึ่งทรงนำมาถวายพระโพธิสัตว์ ส่วนพระอินทร์อยู่ในท่าเหาะเพื่อจะอัญเชิญพระเกศาที่พระโพธิสัตว์ทรงปลง เพื่อขึ้นไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ดาวดึงส์

Kimleng:
.

• พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย
พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย : พระโพธิสัตว์สถิต ณ สวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์จะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป


พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย สำริด ศิลปะแบบเขมร
พุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๕ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

รูปเจดีย์ที่ด้านหน้าศิราภรณ์ คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงว่าประติมากรรมรูปนี้ คือพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย


• พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร : พระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งในพุทธศาสนามหายาน พระองค์กำเนิดจากพระพุทธเจ้าอมิตาภะ  ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จึงมีรูปพระพุทธเจ้าอมิตาภะขนาดเล็กอยู่ที่ด้านหน้าของศิราภรณ์ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงได้รับความนับถือมากที่สุดในบรรดาพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นเพราะพระองค์ประจำอยู่ในยุคปัจจุบัน ความที่ได้รับความนิยมนับถือกันมาก จึงมีหลายพระนามหลายรูปแบบ


พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สำริด ศิลปะศรีวิชัย
ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

เครื่องทรงอันงดงามของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (มีพระธยานิพุทธเจ้าที่ศิราภรณ์) ประกอบกับพระพักตร์ พระวรกายที่แม้บางส่วนชำรุดหายไป ก็ยังแสดงถึงสุนทรียภาพที่สัมพันธ์กับประติมากรรมในศิลปะชวาภาคกลางของประเทศอินโดนีเซียโบราณ


พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลาศิลปะแบบเขมร
ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
 
พระธยานิพุทธเจ้าที่อยู่เบื้องหน้าศิราภรณ์คือสัญลักษณ์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลาหรือหินทราย แข็งแกร่ง แต่เปราะ ช่างเขมรโบราณจึงสลักส่วนล่างให้ใหญ่กว่าปรกติเพื่อความแข็งแรงทนทาน กระนั้นข้อพระบาทก็ยังหัก (กรมศิลปากรต่อเข้าที่เดิม) ส่วนพระกรที่หักไม่พบชิ้นส่วน


• พระมาลัย
พระมาลัย : เบื้องหน้าจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ดาวดึงส์ พระมาลัยถือตาลปัตรกำลังสนทนากับพระอินทร์


จิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงธนบุรี
ศิลปะสมัยกรุงธนบุรี รัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พ.ศ.๒๓๑๐–๒๓๒๔)

เบื้องหน้าจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ดาวดึงส์ พระมาลัยถือตาลปัตรกำลังสนทนากับพระอินทร์


• พระอินทร์
พระอินทร์ : มีผิวกายสีเขียว ครองสวรรค์ดาวดึงส์ ราชธานีของพระองค์ชื่อสุทัศน์ พระอินทร์ทรงช้างเป็นพาหนะชื่อเอราวัณ ทรงเป็นประมุขแห่งเทวดา ๓๒ องค์ ทรงนับถือพุทธศาสนาและคอยช่วยเหลือพระพุทธเจ้า


จิตรกรรมสมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงธนบุรี
ศิลปะกรุงธนบุรี รัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พ.ศ.๒๓๑๐–๒๓๒๔)

ภาพพระอินทร์นั่งประนมกรนมัสการพระมาลัย เบื้องหน้าจุฬามณีพระเจดีย์ บนสวรรค์ดาวดึงส์

• พลแบก
พลแบก : มักหมายถึงไพร่พล เช่น ยักษ์ ลิง อยู่ในท่าแบกฐานอาคารสิ่งก่อสร้าง


พลแบก ปูนปั้น ประดับปีกด้านใต้ของปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ  ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) พ.ศ.๑๙๖๗

แม้ชำรุด แต่รูปร่างล่ำสันของเหล่าพลแบกก็แสดงถึงลักษณะของประติมากรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ลวดลายเครื่องประดับโดยเฉพาะเชือกเกลียวที่คาดอก สัมพันธ์กับที่มีอยู่ในศิลปะสุโขทัย รูปแบบของลวดลายอันมีแบบอย่างเฉพาะพร้อมทั้งกรรมวิธีปั้นประดับ อันเป็นหลักฐานของงานช่างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นที่พบเช่นเดียวกัน ในงานปั้นปูนร่วมสมัย เช่นที่วัดส้ม  ซึ่งชัดเจนว่าใช้เครื่องมือที่ไม่แหลม ไม่คม เป็นหลักในการปั้นแต่งลวดลาย แตกต่างจากร่องรอยอันเกิดจากเครื่องมือแหลมคม กรีด และขุดขูดปูนให้เกิดเป็นตัวลายที่ได้พบทั่วไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย


พลแบก ปูนปั้นประดับแท่นสีมา อุโบสถวัดสระบัว เพชรบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ – ๒๔)
และคงผ่านการบูรณะปรับปรุงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย)

นอกจากการประดับงานปูนปั้นแล้ว ช่างปั้นปูนได้เพิ่มเรื่องฐานุนาศักดิ์ของชั้นลดหลั่น โดยปั้นรูปยักษ์แบกฐานล่าง ฐานถัดขึ้นไปเป็นแถวรูปครุฑแบก แล้วจึงขึ้นถึงชั้นบัวทรงคลุ่ม ซึ่งรอบรับใบสีมาคู่ การที่ครุฑถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว เพราะมีคติอย่างหนึ่งว่า ครุฑอยู่ระหว่างพิภพกับสวรรค์


• พุทธประวัติ
พุทธประวัติ : วรรณกรรมเรื่องพุทธประวัติเล่มสำคัญที่ปัจจุบันรู้จักกันดี คือ พระปฐมสมโพธิกถา  สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเรียบเรียงจากหนังสือคัมภีร์เก่า พระปฐมสมโพธิกถา มีอยู่ ๒๙ ปริเฉท (บท) เริ่มจาก “วิวาหมงคลปริวรรต” คือ อภิเษกสมรสพุทธบิดา – พุทธมารดา และจบด้วย “อันตรธานปริวรรต”  หมายถึง บทที่ว่าด้วยเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพุทธศาสนา


จิตรกรรมฝาผนังกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) พ.ศ. ๑๙๖๗

ผนังกรุล่างของปรางค์ประธาน มีจิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติ พระอดีตพุทธเจ้า และเรื่องชาดก เป็นต้น สภาพชำรุดบางแห่งเป็นร่องรอยเกิดจากกลุ่มคนร้ายที่บุกรุกลงไปโจรกรรมสมบัติล้ำค่าเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑  เรื่อง พุทธประวัติตอนตรัสรู้ในสัปดาห์ที่หก มีอยู่ว่าตลอดสัปดาห์นั้น เกิดพายุฝนหนักเป็นอุทกภัย พญานาคชื่อ มุจลินต์ ขึ้นจากสระน้ำขดลำตัวล้อมพระพุทธองค์พร้อมทั้งแผ่พังพานปกป้องพายุฝน ความตอนนี้ช่างเขียนถ่ายทอดเป็นภาพพระพุทธองค์ประทับบนเรือหัวพญานาค ส่วนภาพมานพหนุ่มนั่งประนมกรเบื้องหน้าพระพุทธองค์ พุทธประวัติระบุว่า คือ พญานาคมุจลินต์แปลงกายคราวหลังเมื่ออากาศวิปริตกลับสู่สภาวะปรกติตอนสิ้นสุดสัปดาห์


พระพุทธรูปนาคปรก สำริด ศิลปะศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ ๑๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ

พุทธประวัติตอนเดียวกับภาพที่ผ่านมา เรียกกันว่า พระพุทธรูปนาคปรก เป็นรูปแบบอุดมคติที่ช่างถ่ายทอดจากรายละเอียดในพุทธประวัติ การที่ช่างออกแบบให้พระพุทธองค์ประทับนั่งเหนือขดลำตัวพญานาค โดยมีพังพานพญานาคแผ่อยู่เบื้องหลัง เป็นงานออกแบบที่เน้นความงดงามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปให้เด่นชัดยิ่งขึ้น


พระพุทธรูปนาคปรก พระนาม “พระมหานาคชินะวร วรานุสรณ์มงกุฎราช”  โลหะ ปิดทอง
ประดิษฐานภายในอาคารชื่อเดียวกับพระนาม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ
เททองเมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

พุทธประวัติตอนเดียวกับภาพที่ผ่านมา คือสัปดาห์ที่หกหลังการตรัสรู้ ช่างปัจจุบันสร้างประติมากรรมด้วยแรงบันดาลใจจากสุนทรียภาพของพระพุทธรูปสุโขทัย แต่ทำพญานาคปรกพระพุทธองค์ตามที่เคยมีมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ดังมีตัวอย่างอยู่ที่วิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนฯ หล่อทองแดงขัดเกลี้ยง หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอก  สร้างขึ้นตามที่ระบุอยู่ในพุทธประวัติ โดยคำนึงถึงความสมจริง ซึ่งตรงกับนาคปรกพระพุทธเจ้ามากกว่าพระพุทธรูปนาคปรก

 
หมวดพยัญชนะ  ภ

• ภาพกาก
ภาพกาก : เรียกตัวภาพประกอบฉากในจิตรกรรมแบบแผนประเพณีไทย เช่น ภาพชาวบ้าน ทหารเลว ซึ่งได้พบมากเป็นลำดับตั้งแต่จิตรกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จนถึงจิตรกรรมสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นช่วงรัชกาลที่ช่างเขียนภาพกากได้อย่างมีชีวิตชีวา ตามอากัปกิริยาในชีวิตประจำวัน ภาพกากมิได้หมายถึงคุณภาพต่ำของฝีมือช่าง แต่หมายถึงภาพประกอบฉากเหตุการณ์ที่มีส่วนให้ความหมายของเรื่องสมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น


จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย ธนบุรี
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔)

ชาดกเรื่องจันกุมาร มีภาพพิธีบูชายัญพระโพธิสัตว์และพระญาติพระวงศ์ จัดขึ้นโดยพราหมณ์ชั่ว แต่เกิดโกลาหลเพราะพระอินทร์เหาะลงมาทำลายพิธี ภาพพราหมณ์ที่ถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ เพราะคั่งแค้นแทนพระโพธิสัตว์และพระญาติพระวงศ์ กิริยาใบหน้าดุร้ายขณะเดียวกันก็น่าขำขันของผู้คนในฉาก ช่วยให้ความหมายของภาพกากชัดเจนยิ่งขึ้น

• ภาพตัวพระ, ภาพตัวนาง
ภาพตัวพระ, ภาพตัวนาง : คือภาพพระราชา ภาพนางกษัตริย์ รวมทั้งภาพพระราชวงศ์ชั้นสูงและภาพเทวดา นางฟ้า อากัปกิริยาอย่างนาฏลักษณ์ แช่มช้อย มียศศักดิ์ วาดอย่างประณีต ปิดทองตัดเส้นอาภรณ์เครื่องประดับอย่างวิจิตรบรรจง


จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม บางกอกน้อย ธนบุรี
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

ชาดกเวสสันดร ตอนฉกษัตริย์ หมายถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์หกพระองค์ คือ  พระเจ้าสญชัย พระนางผุสดี และพระราชบุตร คือ พระเวสสันดร กับพระมเหสี คือ พระนางมัทรี และกุมารชาลี พระกุมารีกัณหา ต่างทรงกันแสงหลังพลัดพรากจากกันนาน ทีท่านาฏลักษณ์เป็นลักษณะเด่นเฉพาะของภาพตัวพระ ภาพตัวนาง


• ภาพประดับมุก
ภาพประดับมุก : ภาพหรือลวดลายที่เกิดจากการประดับชิ้นของเปลือกหอยมุกลงบนแผ่นไม้ที่ลงพื้นด้วยรักสมุก (ยางรักผสมเถ้าใบตอง) งานช่างประเภทนี้ต้องอาศัยความประณีตทุกขั้นตอน  ตั้งแต่การเลื่อยเปลือกหอยมุกเป็นชิ้นเล็ก ๆ  นำมาประดับเป็นลวดลายเรียงกันตามแบบลายที่ร่างไว้ เสร็จแล้วถ่ายลายลงบนพื้นงานที่ลงรักสมุกไว้  ต่อจากนั้นจึงขัดผิวลวดลายให้เรียบ ก็จะได้ภาพประดับมุกที่แวววาวออกสีรุ้งบนพื้นรักสีดำสนิท งานช่างประเภทนี้นิยมทำประดับบานประตู บานหน้าต่าง หรือประดับผิวภาชนะที่ออกแบบเป็นพิเศษ


บานประตูมุก วิหารพระพุทธชินราช  วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พ.ศ.๒๒๙๙  

ตัวอย่างของการออกแบบชั้นครู ที่เน้นจังหวะช่องไฟ และจังหวะของน้ำหนักอ่อน – แก่ จึงหลีกเลี่ยงความซ้ำขององค์ประกอบเช่นนี้ได้ ทั้งการเพิ่มความสำคัญของภาพในวงกลางด้วยลวดลายเคล้าภาพ มีหนุมาน หงส์ กินรี เป็นต้น ประกอบกับความแวววับวิจิตรของเหลือบสีเปลือกหอยมุกที่จับตาจับใจเป็นพิเศษ


พระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)
ภาพวิจิตรของเหตุการณ์ตอนศึกกุมภกัณฑ์ ในเรื่องรามเกียรติ์ จังหวะของน้ำหนักขาวกับน้ำหนักดำเป็นอิสระตามลีลาของการวางภาพซึ่งเลื่อนไหลไปตามเหตุการณ์ในท้องเรื่อง กรรมวิธีสำคัญของช่างที่ใช้เน้นภาพให้ชัดเจน คือช่องไฟใหญ่น้อยของพื้นดำ รวมทั้งรายละเอียดมาก - น้อย เกิดจากการจัดเรียงชิ้นหอยมุก ที่เกิดผลลวงตา เป็นมิติใกล้ - ไกลของส่วนหลัก ส่วนรองของภาพ


หมวดพยัญชนะ  ม

• มกร
มกร  : รูปสัตว์ในเทพนิทาน  มีหัวคล้ายจระเข้บ้าง บ้างก็คล้ายช้าง  มีสองขาหน้า ลำตัวสั้น มีหางคล้ายปลา


มกรปลายกรอบซุ้มของเจดีย์ทรงปราสาทประจำทิศ ปูนปั้น
วัดมหาธาตุ สุโขทัย ศิลปะสมัยสุโขทัย ครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ ๑๙

รูปมกรมีหางเป็นแถวกระหนกเรียงคดโค้งเป็นจังหวะ อันเป็นลักษณะที่ผ่านมาจากศิลปะลังกา ซึ่งรวมทั้งลักษณะของซุ้มแบบโค้งหน้านางและยอดซุ้มมีรูปหน้ากาลด้วย


• มณฑป
มณฑป : อาคารที่มีผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หากหลังคาเป็นทรงกรวยเหลี่ยมประกอบด้วยชั้นหลังคาเอนลาดซ้อนลดขนาด คือสัญลักษณ์ของเรือนยอดในความหมายของปราสาท


มณฑป อิฐฉาบปูน วัดศรีชุม สุโขทัย
ศิลปะสมัยสุโขทัย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ส่วนหลังคาทลายลงหมดสิ้น

มณฑปที่มีหลังคาทรงกรวยเหลี่ยม ประกอบจากหลังคาลาดซ้อนลดหลั่นต่อเนื่องเป็นยอดแหลมหลังคาดังกล่าวหมายถึงเครื่องยอดหรือหลังคายอด นอกจากเป็นหลังคายอดของมณฑปแล้ว ยังเป็นหลังคายอดของพระมหาปราสาท เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นผลจากพัฒนาการอันยาวนานของหลังคายอด มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

กรมศิลปากรเคยพบหลักฐานการมุงหลังคาด้วยกระเบื้องเป็นจำนวนมากคราวบูรณะมณฑปวัดศรีชุม เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๐  จึงเข้าใจได้ว่าหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง  ดังรูปทรงสันนิษฐานที่แสดงไว้ในที่นี้ เชื่อว่าเป็นรูปทรงก่อนจะมีพัฒนาการลำดับมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์


พระมหามณฑป ก่ออิฐ ไม้ ลงรักปิดทอง ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) บูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่  ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔)

ความงามของมณฑปอยู่ที่หลังคาลาด ซ้อนลดหลั่น แต่ละชั้นประดับด้วยบรรพแถลง ใหญ่ - น้อย ประดับยักเยื้องบนกระเปาะที่ยื่นมาก ยื่นน้อยอย่างมีจังหวะ  อนึ่ง เหนือจากหลังคาลาดซ้อนบนสุดเป็นยอดแหลม มีองค์ประกอบต่างๆ ผสมผสานจากส่วนประกอบของเจดีย์ทรงเครื่อง และเจดีย์ทรงปรางค์ ซึ่งเป็นแบบอย่างงานช่างร่วมสมัยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้ว


• มาลัยเถา
มาลัยเถา : คือลวดบัวแบบหนึ่ง ดูคล้ายท่อนมาลัย คาดอยู่ใต้ทรงระฆังของเจดีย์ มักคาดไว้สามเส้นซ้อนลดหลั่น อันเป็นที่มาของคำว่า “เถา”  ขยายมาลัย เป็น มาลัยเถา


มาลัยเถาของพระศรีรัตนเจดีย์  วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๓๙๔–๒๔๑๑)

ลวดบัว - มาลัยเถา เป็นแบบอย่างของเจดีย์ทรงระฆังสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่หากเจดีย์ทรงระฆังมีชุดบัวถลาแทนมาลัยเถา ก็เป็นแบบอย่างนิยมเฉพาะเจดีย์ทรงระฆังในศิลปะสมัยสุโขทัย


• มุขเด็จ
มุขเด็จ : กระเปาะที่ต่อจากด้านหน้าของอาคารออกเป็นมุข  นอกจากเรื่องของความงดงามเชิงสถาปัตยกรรมแล้ว มุขเด็จยังเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจพิธี คงเคยเรียกว่า “มุขเสด็จ” มาก่อนที่จะกร่อนคำกลายมาเป็นมุขเด็จ
 

พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สร้างในรัชกาลที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒)  บูรณะครั้งสำคัญในรัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๗–๒๓๙๔)

อุโบสถ หรือวิหารก็ตาม ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เช่น ที่วัดมเหยงคณ์ วัดกุฎีดาว วัดบรมพุทธาราม  ที่มีมุขยื่นออกทางด้านหน้าและด้านหลัง เรียกว่า มุขหน้า มุขหลัง เป็นมุขโถงคือไม่มีผนังกั้น


• มุขโถง
มุขโถง : มุขไม่มีฝา นิยมสร้างสำหรับอุโบสถ หรือวิหาร


มุขโถง พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๒

บรรยากาศใหม่จากวัฒนธรรมตะวันตกผสมผสานกับแบบแผนประเพณีในรัชกาลที่ ๕ ได้เกิดลักษณะผสมผสานอันชวนมอง เช่น รูปแบบประเพณีของมุขโถง ของหลังคา หน้าบรรพ โดยมีหินอ่อนเป็นวัสดุของงานก่อสร้างจากตะวันตกควบคู่กับเหล็กหล่อที่เป็นลายฝรั่ง ใช้ประดับเป็นลูกกรงระเบียงของลานฐานพระอุโบสถ


• มุขประเจิด
มุขประเจิด : มุขโถงขนาดเล็กยื่นจากหน้าบรรพ รองรับด้วยเสาที่ตั้งขึ้นจากหลังคากันสาด


ศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓

มุขประเจิดเชื่อมโยงแผงสกัดของหน้าบรรพกับแนวลาดเทของหลังคากันสาด ช่วยเปลี่ยนพื้นที่ว่างตรงนั้นให้งามสง่าด้วยการซ้อนชั้นหลังคา พร้อมทั้งเพิ่มความชัดเจนของความเป็นเรือนฐานันดรสูงด้วย


• เม็ดน้ำค้าง
เม็ดน้ำค้าง : รูปกลมหรือทรงดอกบัวตูม ประดับปลายยอดของปลี บ้างก็เรียกชื่อไพเราะอิงความหมายทางศาสนาว่า “เม็ดนิพพาน"


พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ
ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑)

เม็ดน้ำค้าง คือ งานเพิ่มเติมในเชิงประดับ เกิดขึ้นภายหลัง อาจในราวกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง หรือตอนปลาย จึงไม่ควรเข้าใจผิดไปว่า เม็ดน้ำค้างมีที่มาดั้งเดิมคือดุมฉัตร เพราะดุมฉัตรพัฒนามาเป็นปลี


• เมรุทิศ, เมรุราย (เมรุมุม)
เมรุทิศ, เมรุราย (เมรุมุม) : หนังสือเก่าของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กล่าวถึง วัดไชยวัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา ว่าพระศรีมหาธาตุทรงปรางค์ มีเมรุทิศ เมรุราย ซึ่งหมายถึงทรงปราสาทก่อไว้ประจำทิศ ประจำมุม มีระเบียงเชื่อมต่อล้อมเป็นบริเวณระเบียงดังกล่าว เรียกว่า ระเบียงคด


เมรุทิศ เมรุราย (เมรุมุม) วัดไชยวัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๓

มีการแปลความหมายเมรุทิศ เมรุรายของวัดไชยวัฒนาราม ว่าคือกำแพงจักรวาล ล้อมรอบทวีปทั้งสี่ ซึ่งแทนค่าด้วยปรางค์ขนาดเล็กสี่องค์ที่ประจำมุมทั้งสี่ของปรางค์ประธานอันเป็นศูนย์กลางจักรวาล  อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอดเนื้อหาจากคำบอก หรือจากหนังสือคัมภีร์ใดๆ อันเป็นแรงบันดาลใจ มีข้อจำกัดที่เงื่อนไขของงานก่อสร้าง พื้นที่ วัสดุ และกรรมวิธีในการก่อสร้าง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ การทำความเข้าใจจึงต้องยืดหยุ่นเสมอ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว