[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 21:35:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ลมหายใจแห่งการสร้างบารมี  (อ่าน 1917 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2553 19:18:02 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]



ลมหายใจแห่งการสร้างบารมี




โลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นตลาดกลางการค้าบุญ และบาปที่ใหญ่ที่สุด ผลของบุญ และบาปจะตามส่งผลให้เสมอ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำในสมัยที่เป็นมนุษย์ ถ้าทำแต่ความดี ก็จะบันเทิงอยู่ในโลกทั้งสอง คือมีความสุขทั้งโลกนี้ แม้ละโลกไปแล้วก็ไปบันเทิงในโลกหน้า เหมือนการที่ตึกทวินทาวเวอร์ หรือตึกเวิลด์เทรดในสหรัฐอเมริกา ได้ถูกเครื่องบินสองลำพุ่งชน ทำให้เกิดการพังพลายลงมาภายในไม่กี่ชั่วโมง

ซึ่งนับเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนขวัญและช็อคคนทั้งโลก ที่ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์นี้จะบังเกิดขึ้นได้ นึกว่าคงเป็นเพียงแค่ในภาพยนต์ที่เขาได้ถ่ายทำมาหลอกสายตาผู้ชมเท่านั้น แต่ความจริงก็คือความจริง ทุกสิ่งในโลกล้วนตกอยู่ในกฏของไตรลักษณ์ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด
ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งที่ยากจะคำนวนด้วยตัวเงิน เพราะชีวิตของมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย เวลาแม้เพียงน้อยนิด สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นสมบัติได้มากมายมหาศาล

แต่สมบัติแม้มีมากมายก็ไม่อาจสามารถหยุดยั้งเวลาและลมหายใจที่กำลังจะหมดไปของเราได้ จะมีสักกี่คนไหมที่มีโอกาสเตรียมตัวตาย จะมีสักกี่คนไหมหนอที่มั่นใจว่า ถ้าตายไปแล้วจะมีบุญพอที่จะเป็นเสบียงนำทางไปสู่สุคติสวรรค์ เพราะพญามัจจุราชไม่เคยปราณีใคร ความตายจึงเป็นสิ่งที่ใคร ๆ จะหลบหนีพ้นได้ยาก

ดังนั้นผู้มีปัญญาเห็นคุณค่าของชีวิต จึงไม่ควรประมาทในชีวิต มุ่งสั่งสมบุญ เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางข้ามวัฏสงสารให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สั่งสมบุญ ไม่เห็นแก่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว และก็ไม่แสวงหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่จะสร้างบุญบารมีในทุกโอกาส ส่วนผู้ไม่รู้ก็ปล่อยชีวิตไปวัน ๆ ไม่ได้มองไปในอนาคต ไม่ทำบุญกุศลอะไร นอกจากจะไม่ทำแล้ว ยังขัดบุญของคนอื่นอีกด้วย เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ต้องไปเป็นเปรต ผู้หิวโหย ไม่ได้รับความอิ่มหนำสำราญใจแม้แต่วันเดียว



มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในคาถาธรรมบทว่า
ผู้ทำบุญแล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิงยิ่งขึ้นไปย่อมชื่อว่าบันเทิงในโลกทั้งสอง เมื่อมองเห็นกรรมอันบริสุทธิ์ของตนแล้ว ย่อมร่าเริงบันเทิงใจมากยิ่งขึ้น

ในสมัยหนึ่ง พระสังกิจจะเถระ ได้พาลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ รูป ไปนมัสการสถานที่แสดงปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านเห็นพระภิกษุมากันมากมาย ก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ได้ชักชวนกันมาถวายภัตตาหารเป็นประจำ

แต่มีพราหมณ์สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้สั่งสอนลูกทั้ง ๓ คนว่า อย่าไปทำบุญให้ทาน แต่ทุก ๆ ท่าน เป็นคนมีบุญมีปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมจากพระเถระ ก็เกิดดวงปัญญา เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก จึงได้นิมนต์พระมาฉันที่บ้านเป็นประจำ

ส่วนหลานชายเมื่อได้ฟังธรรมะเป็นประจำ ก็พิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสังสาร จึงขออนุญาตพ่อแม่ออกบวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วท่านก็ไปฉันภัตตาหารที่บ้านบ่อย ๆ

เนื่องจากไม่สำรวมอินทรีย์ จึงอยากลาสิกขาออกมาแต่งงาน สามเณรกลับมาวัดบอกพระอาจารย์ ว่าอยากลาสิกขาแล้ว พระเถระท่านเห็นว่าสามเณรเป็นผู้มีบุญพอที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงบอกให้สามเณรเลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งเดือน พอครบหนึ่งเดือนสามเณรก็เข้ามาหาใหม่ พระอาจารย์ก็บอกว่า ให้รอไปอีกหนึ่งอาทิตย์ คืนหนึ่งบ้านของลุงป้าเกิดพายุพัดกระหนํ่าเข้าใส่ จึงพังลงมาทับคนในบ้านตายหมดทั้งครอบครัว

ผู้ที่เป็นลูกชายลูกสาวของพราหมณ์ได้ไปบังเกิดเป็นภุมมเทวา มีรัศมีกาย สว่างไสวทีเดียว ลูกคนโตมีช้างเป็นพาหนะ ลูกคนเล็กมีรถเทียมม้าเป็นพาหนะ ส่วนลูกสาว มีวอทองเป็นพาหนะ เพราะผลบุญที่เกิดจากการฟังธรรม และถวายทานเป็นประจำนั่นเอง ส่วนพราหมณ์พ่อแม่ไปบังเกิดเป็นเปรต ตัวสูงเท่าลำตาล รูปร่างผอมโซ ต่างคนก็ต่างถือเอาฆ้อนเหล็กขนาดใหญ่มาทุบตีกัน ที่ที่ถูกทุบจะมีฝีประมาณเท่าหม้อลูกใหญ่ผุดขึ้น เมื่อหัวฝีแก่เต็มที่ก็แตกออก นํ้าเลือด นํ้าเหลืองไหลไม่หยุด ทั้งสองคนคคอยดูดกินนํ้าเลือดนํ้าหนองของกัน และกันด้วยความหิวกระหาย

คืนต่อมาสามเณรก็เข้าไปลาพระเถระเป็นครั้งที่ ๓ พระเถระจึงพาสามเณร ไปหลังวิหาร แล้วอธิษฐานจิตให้เทพบุตรทั้ง ๒ กับเทพธิดาที่เป็นญาติมาปรากฏกายให้เห็น สามเณรเมื่อได้เห็นเทพบุตรเทพธิดาที่เป็นญาติของตัว เป็นผู้มีรัศมีกายสว่างไสวแวดล้อมด้วยบริวาร พากันมาทางอากาศ มีดนตรีทิพย์บรรเลงไพเราะเสนาะโสต ก็ปลื้มปีติร่าเริงบันเทิงใจ แล้วสามเณรก็ได้เห็นเปรตสองตายายที่เที่ยวเอาฆ้อนไล่ทุบตีกัน รูปร่างดำทะมึน มีผมยาวรกรุงรังน่าเกลียดน่ากลัว มีนํ้าเลือดนํ้าหนองไหลออกมาไม่ขาด ร่างกายก็น่าขยะแขยง เที่ยวติดตามเหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่เคยเป็นลูกไปทุกหนทุกแห่ง สามเณรยืนดูด้วยความตะลึง เพราะไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงร้องถามเปรตไปว่า ไปทำกรรมอะไรมา ถึงต้องมาดื่มกินโลหิตของกัน และกันอย่างน่าเวทนาอย่างนี้

เปรตก็เล่าให้สามเณรฟังว่า เทพบุตรที่ขี่ช้างเผือกชาติกุญชรนำหน้าไปนั้น เป็นลูกชายคนโต สมัยที่เป็นมนุษย์เขามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ถวายทานกับพระสงฆ์หมู่ใหญ่ จึงได้รับความสุขความบันเทิงใจ ผู้ที่นั่งรถเทียมม้าอัสดรเป็นลูกชายคนกลาง เขาไม่ตระหนี่เป็นทานบดีผู้ใจบุญ ส่วนนางฟ้าผู้มีดวงตางดงามนั้นเป็นลูกสาว เมื่อเป็นมนุษย์นางได้ถวายทานแด่พระสงฆ์ด้วยความเคารพ

ส่วนพวกเราสมัยเป็นมนุษย์ก็คือลุงกับป้าของสามเณรนั่นแหละ มีความตระหนี่ ไม่ได้ให้ทาน แล้วยังเที่ยวด่าบริภาษสมณพราหมณ์ผู้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน มีทรัพย์แล้วแต่ไม่ได้ให้ทาน มัวแต่สะสมเก็บตุนเอาไว้ แล้วยังห้ามลูก ๆ ไม่ให้ทำบุญให้ทานอีกด้วย ผลบาปนั้น ทำให้ต้องมาทนทุกข์ทรมานในอัตภาพของเปรต ขอให้สามเณรช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยเถอะ เพราะขณะนี้ทุกข์มากต้องกินนํ้าเลือดนํ้าหนองของกันและกัน กรรมนั้นก็บังคับให้ทุบตีกันด้วยความโกรธอีก ไม่เคยได้รับความสุขเลย เพราะความตระหนี่ จึงไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย ผลก็คือต้องมาลำบากเป็นทุกข์อย่างที่เห็นนี้แหละ

สามเณรได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็บังเกิดความสลดสังเวชใจ สงสารลุงกับป้าจับใจ จึงเข้าไปกราบพระอาจารย์แล้วเรียนท่านว่า จะไม่ลาสิกขาแล้ว แต่นี้ต่อไปจะตั้งใจปฏิบัติธรรมส่งบุญให้โยมลุงโยมป้าให้พ้นจากอัตภาพของเปรต สามเณรได้มุ่งมั่นทำความเพียร ไม่ให้ใจ ออกห่างจากศูนย์กลางกายเลย ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ลุงป้าเป็นประจำ ทำให้ท่านพ้นจากอัตภาพของเปรตไปบังเกิดบนสวรรค์

เราจะเห็นว่า สิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ไม่สูญหายไปไหน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว จะก่อตัวเป็นดวงบุญและดวงบาปติดอยู่ในกลางกายของเรา คอยวันเวลาที่จะส่งผล เหมือนผลไม้ที่สุกงอมแล้วก็ต้องร่วงหล่นจากต้น หรือเหมือนฝนที่ตกลงมาเต็มลำธาร แล้วจะไหลไปสู่แม่นํ้า เอ่อล้นไหลต่อไปถึงทะเลมหาสมุทร เพราะฉะนั้น บุญบาปที่สั่งสมในสมัยที่เป็นมนุษย์ แม้ไม่ทันส่งผลในชาตินี้ ก็จะตามไปให้ผลในภพชาติต่อไป

คนเราแม้ไม่อาจจะกำหนดความตายได้ แต่เราก็สามารถเลือกเกิดได้ ชีวิตของเราจะให้เป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับใจของเรา เมื่อเราละจากโลกนี้ไป โอกาสที่เราจะเลือกเกิดในสุคติภพก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้ใช้โอกาสที่เป็นมนุษย์นี้ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตของเราหรือเปล่า หากมีบุญเสียแล้วต้องเลือกเกิดได้ จะไปเป็นเศรษฐีหรือเป็นสหายแห่งเทพในโลกสวรรค์ หรือจะไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ ก็อยู่ที่ตัวของเราเอง ชีวิตนี้แล้วแต่เราจะเลือกเดิน



เรารู้แล้วว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก เพราะกว่าจะได้อัตภาพนี้มา จะต้องมีกำลังบุญมากพอที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ากำลังบุญน้อย ๆ มาเกิดไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เราได้มาด้วยความยากลำบากนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้กันอย่างไม่ทะนุถนอม ใช้กันอย่างถล่มทลายโดยไม่รู้คุณค่าของกายมนุษย์ว่าสำคัญแค่ไหน เหมือนคนหาเงินมาได้ด้วยความยากลำบาก เพื่อจะได้ซื้อรถดี ๆ สักคัน พอได้มาแล้วก็ไม่ได้ดูแลรักษา ใช้อย่างไม่ทะนุถนอม ใช้ไปไม่กี่ปีก็พังเสียแล้ว ไม่คุ้มกับเงินทองที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากลำบากเลย

เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคนควรให้ความสำคัญกับการสั่งสมบูญให้มาก ๆ เพราะบุญเท่านั้นที่จะไปเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย ท่านรู้คุณค่าบุญ ลมหายใจของท่านเป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญกุศลล้วน ๆ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องสั่งสมบุญ และก็ฝึกฝนอบรมตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมทั้งวิชชา และจรณะ คือไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติก็ตาม ต้องสร้างความดีไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้อก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่เป็น เป็นแต่สร้างความดีให้เต็มที่ ในทุกที่ ทุกเวลานาที เราต้องสั่งสมบุญตลอดเวลาเหมือนกับการหายใจ ให้มีกระแสบุญคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เหมือนไฟไม่ขาดเชื้อ ถ้าหมดบุญก็หมดลม เราจึงไม่ควรหายใจเข้าออกฟรี เพราะเราเป็นนักสร้างบารมีพันธุ์อกาลิโก คือสั่งสมบุญกันทุกที่ ทุกเวลานาที เป็นนักสร้างบารมีพันธุ์อจินไตย ลมหายใจนี้มีไว้เพื่อการสร้างบารมีอย่างเดียว...

http://www.dhamma.net/authers/tripitaka/04.htm


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: ลมหายใจ สร้างบารมี โลกหน้า โลกนี้ ธรรมะ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.378 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 31 มกราคม 2567 12:18:47