[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:06:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อารมณ์ขันพระอรหันต์ ... ด้วยรอยยิ้ม อิ่มปัญญา  (อ่าน 2221 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2553 22:36:01 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]



หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
 
 

 
หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น
ท่านเป็นสหธรรมิก (สหายหรือเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน) กับหลวงปู่แหวน
หลวงปู่ตื้อมีนิสัยชอบพูดจาเสียงดัง โผงผาง ถึงลูกถึงคน
จิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนนักเลง
ซึ่งในหมู่คณะลูกศิษย์หลวงปู่มั่น
จัดได้ว่า มีลูกศิษย์ ๓ ท่านที่ใจคอคล้ายกันมาก คือ
หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
หลวงปู่ทองรัตน์และหลวงปู่ตื้อ สนิทสนมกันดีเพราะนิสัยคล้ายกัน
ส่วนหลวงปู่เจี๊ยะ เป็นศิษย์รุ่นหลังหลวงปู่ทั้งสองท่านหลายปี
ซึ่งหลวงปู่เจี๊ยะ ก็ให้ความเคารพและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก
 
ด้วยบุคลิกนิสัยเช่นนั้นเอง
ประวัติการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ทั้งสาม จึงเป็นไปอย่างสนุกสนาน
โลดโผนโจนทะยาน รวมทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอีกด้วย
 
มุตโตไทย
 
"มุตโตทัย" เป็นภาษาบาลี แปลว่า อิสรภาพแห่งจิตใจ
หมายถึง จิตใจที่ผ่องใสบริสุทธิ์ หมดสิ้นความพัวพัน ความเศร้าหมองจากกิเลสแล้ว
คำว่า "มุตโตทัย" ถูกนำมาใช้เป็นชื่อหนังสือ
หรือลิขิตธรรม ข้อเขียนธรรมะของหลวงปู่มั่น
เนื้อหาในลิขิตธรรมเรื่องมุตโตทัย กล่าวถึงหลักปฏิบัติทั่วไปในการภาวนา
รวมทั้งธรรมะขั้นสูงที่หลวงปู่มั่นเคยสั่งสอน
 
หนังสือเรื่องมุตโตทัยนี้
เป็นการบันทึกของหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร
ตอนที่หลวงปู่วิริยังค์ ท่านได้ติดตามปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่มั่น
หลวงปู่วิริยังค์ได้แอบบันทึกคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นเอาไว้
เมื่อบันทึกเสร็จ ก็เอาให้หลวงปู่มั่นอ่าน
อ่านเสร็จท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร
หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นหนังสือเล่มเดียว
ที่ได้บันทึกคำสอนของหลวงปู่มั่นเอาไว้...
 
และด้วยความที่เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกคำสอนของหลวงปู่มั่นเอาไว้
จึงมีคนสนใจกันมาก อยากรู้ว่าในหนังสือเล่มนี้ เขียนอะไรไว้บ้าง
สมัยนั้น หลวงปู่วิริยังค์ ยังไม่ได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้แจกจ่ายอย่างกว้างขวาง
คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้
ก็มักจะถามเอาเนื่อเรื่องเนื้อความจากลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น
 
หลวงปู่ตื้อเองก็เคยถูกถามด้วยเช่นกัน
 
วันหนึ่ง มีโยมผู้ชายคนหนึ่ง มาถามเรื่องมุตโตทัยจากท่าน
ซึ่งคำตอบของท่าน ทำให้คนถามหายสงสัยไปเลย
 
โยมคนหนึ่ง : หลวงปู่ครับ มุตโตทัยมันเกิดที่ไหน...หลวงปู่รู้ไหม
 
หลวงปู่ตื้อ : เฮ้ย ! รู้ รู้ รู้...
จากโคราชลงมากรุงเทพฯ นี่ "มุตโตไทย"
จากโคราชขึ้นไปทางอุดร ขอนแก่นโน้น...
"มุตโตลาว" !!!
 
ตอบได้หมด
 
แล้วหลวงปู่ตื้อท่านก็พูดขึ้นอีกว่า
"ไหน ใครมีปัญหาอะไรอยากถาม ถามมาได้เลย
กูเนี่ย...ตอบได้หมด
ยิ่งถ้าเป็นปัญหาเป็นพันๆ ปี ก็ยิ่งตอบได้ถนัดเลย"
 
"โอ้โฮ! ขนาดนั้นเลยเหรอหลวงปู่"
โยมคนเดิมกล่าวขึ้น โยมคนอื่นๆ ที่ฟังอยู่ตรงนั้น มองหลวงปู่ตาเชื่อม
นึกศรัทธาในใจอย่างบอกไม่ถูก
 
"ก็เออสิวะ ...กูตอบได้หมด
ปัญหาในโลกนี้ ยิ่งนานเป็นพันปี กูยิ่งตอบได้ถนัด
เต็มปากเต็มคำเลย"
 
"ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละเจ้าคะหลวงปู่"
โยมผู้หญิงถามขึ้นบ้าง
 
"อ้าว! ก็มันนานมาแล้ว
ไม่มีคนไปรู้กับกูหรอก
ไม่มีคนไปค้นได้
ไอ้คนที่ถามกู มันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันละวะ" !!!
 
เทศน์ผายลม
 
หลวงปู่ตื้อมีอุบายสอนศิษย์ด้วยวิธีการแปลกๆ เสมอ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่กำลังเทศน์แสดงธรรมผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่นั้น
ญาติโยมบางกลุ่ม ไม่ตั้งใจฟังเทศน์ของหลวงปู่ จับกลุ่มคุยกันจ้อกแจ้ก
ในการเทศน์ของหลวงปู่ตื้อนั้น ท่านจะหลับตาเทศน์
เมื่อเสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นเรื่อยๆ ท่านจึงลืมตาดู และหยุดเทศน์ไปชั่วขณะ
แต่เสียงจ้อกแจ้กก็ยังไม่หยุด ท่านจึงพูดเสียงดังผ่านไมโครโฟนว่า
 
"เอ้า! หลวงตาตื้อเทศน์ให้ฟัง...
...เอ๊า! ฟังตดซะ"
 
"ปู๊ด...ป้าด...ปู้ด" เสียงประหลาดดังกังวาลขึ้น
ผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นชุดๆ
 
เสียงดังจ้อกแจ้กเงียบเป็นปลิดทิ้ง!
หลังจากเสียงประหลาดดังขึ้น
ศาลาแสดงธรรมแห่งนั้นก็เงียบกริบ
มีโยมคนหนึ่งตั้งสติได้ก่อนเพื่อน จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า
"ขอให้หลวงตามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์"
 
แล้วโยมคนอื่นๆ ก็ยกมือ และกล่าวพร้อมกันว่า "สาธุ"!
 
ไม่ทันสมัย
 
ในเรื่องการเทศน์นี้
หลวงปู่ตื้อจัดว่าเป็นพระป่ากรรมฐานที่เทศน์เก่งท่านหนึ่ง
แต่เนื้อหาที่เทศน์ มักจะเป็นเนื้อหาสาระที่มาจากการปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง
ไม่ได้เทศน์เหมือนพระนักปริยัติ ที่มักจะอ้างอิงตำราเสมอ
 
ในการเทศน์ครั้งหนึ่ง ได้มีพระภิกษุหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพระนักปริยัติ
เป็นมหาเปรียญ ได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่
ตามมาฟังหลวงปู่ตื้อเทศน์ด้วย
 
ในระหว่างที่ฟังหลวงปู่ตื้อเทศน์
พระภิกษุกลุ่มนั้น ก็ได้พูดคุยซุบซิบกันเบาๆ
ซึ่งไม่มีทางที่จะได้ยินไปถึงหลวงปู่ตื้ออย่างแน่นอน
พระภิกษุกลุ่มนั้น ต่างซุบซิบกันว่า
หลวงปู่ตื้อนี่เทศน์โบราณ ไม่มีการพัฒนา
มีแต่ของเก่าๆ ไม่ทันสมัย
 
ในขณะนั้นเอง หลวงปู่ตื้อที่กำลังเทศน์อยู่
ก็หยุดเทศน์อย่างกระทันหัน
ราวกับได้ยินเรื่องราวที่กลุ่มพระภิกษุหนุ่มนั้นคุยกัน
(ทั้งๆ ที่อยู่ห่างมาก และพูดกันแบบซุบซิบเบาๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะได้ยิน)
 
หลวงปู่หยุดเทศน์ และเดินมาทางพระภิกษุรูปหนึ่งที่แอบนินทาท่าน
ท่ามกลางความงุนงงของบรรดาญาติโยม
พอท่านเดินมาถึงที่ที่พระภิกษุรูปนั้นนั่งอยู่ ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า
 
"เอ้า! คุณเหลน คุณมหา
หลวงตาจะคอยฟังคุณเหลน คุณมหาเทศน์สักหน่อย
ขอให้เทศน์เอาแต่ของใหม่ๆ นะ"
 
พระหนุ่มรูปนั้นเห็นโอกาสที่จะเทศน์โชว์
ก็เดินขึ้นธรรมาสน์ด้วยท่าทางที่มั่นใจ
ในใจคิดว่า จะเทศน์แบบสมัยใหม่ให้หลวงปู่ตื้อฟัง
ตามแบบฉบับของพระปริญญามหาเปรียญ
 
พระหนุ่มรูปนั้นนั่งบนธรรมาสน์
พนมมือขึ้น พร้อมกับเริ่มต้นบทสวดบูชาพระพุทธคุณก่อน
 
"นะโม..."
พระหนุ่มเพิ่งจะเริ่มต้น ก็ต้องหยุดกระทันหัน
เมื่อมีเสียงของหลวงปู่ตื้อดังขึ้น...
 
"เฮ้ย!...หยุด! หยุด! หยุด!
...คุณเหลนหยุด หยุดเลย หยุด ไม่เอา
ไม่เอา "นะโม" มันของเก่า
มีมากว่าสองพันปีแล้วคุณเหลน...."
 
หินไล่งู
 
ในบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น
หลวงปู่ตื้อ ขึ้นชื่อลือชาเรื่องอภิญญาด้านอิทธิวิธี
หรืออิทธิปาฏิหาริย์มากที่สุดองค์หนึ่ง
ประวัติของท่านจึงมักจะเกี่ยวข้องกับการปราบผีหรือเรื่องเร้นลับต่างๆ เป็นอันมาก
 
มีอยู่คืนหนึ่ง
สมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์กับหลวงปู่มั่น และหลวงปู่บุญทัน (บุญทัน ฐิตปัญโญ)
หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่บุญทัน กางกลดอยู่ใกล้ๆ กัน
แต่หลวงปู่มั่นกางกลดอยู่ห่างออกไป
 
ขณะที่หลวงปู่ตื้อกำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่ในกลด
ท่านก็ได้ยินเสียงขู่ฟู่ๆ อย่างไม่พอใจอยู่นอกกลด
เมื่อท่านมองลอดกลดออกไปก็พบว่า
มีงูใหญ่กลุมหนึ่ง มาชูคอขู่ฟู่ๆ อยู่รอบๆ กลดท่าน
ท่านจึงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาปลุกเสก แล้วโยนออกไปนอกกลด
งูกลุ่มนั้นก็แตกตื่นตกใจ เลื้อยหนีกันกระจัดกระจาย
ไม่รู้ว่าหนีไปอยู่ที่ไหน...
 
พอรุ่งเช้า หลวงปู่บุญทันก็รีบมาบ่นให้หลวงปู่ตื้อฟังว่า
"เมื่อคืน ไม่รู้ว่าพวกงูมาจากไหน
มาขู่ฟู่ๆ ใส่ผมทั้งคืนเลย
ท่านไปเล่นอะไรกับพวกงูหรือเปล่า
พวกเขาเลยมาขู่ฟู่ๆ ใส่ผมทั้งคืน ไม่ต้องหลับต้องนอนกันละ"
 
(ที่แท้งูเลื้อยจากหลวงปู่ตื้อมาอยู่กับหลวงปู่บุญทันนี่เอง)
 
พอหลวงปู่ตื้อและหลวงปู่บุญทันไปกราบหลวงปู่มั่นที่อยู่ห่างออกไป
ขณะที่หลวงปู่ตื้อก้มกราบ
หลวงปู่มั่นก็ชี้หน้าว่า
"ท่านไปเล่นกับงูมาละสิ!"
 
ไปถามหัวตอ
 
หลวงปู่ตื้อขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวผู้ใด
ไม่ว่าจะเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่แค่ไหน
ซึ่งเรื่องนี้ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกับหลวงปู่ตื้อ
คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร)
เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ท่านยืนยันด้วยตัวเองว่า หลวงปู่ตื้อไม่เกรงกลัวผู้ใดจริงๆ
 
ถึงแม้ว่าหลวงปู่ตื้อจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
แต่ท่านเองกลับไม่ชอบเรื่องพวกนี้
รวมถึงเรื่องของขลัง ของวิเศษต่างๆ
ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติและปฏิปทาของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น
ที่ยึดถือปฏิบัติต่อๆ กันมา
แต่มีบางครั้ง ท่านก็ใช้คติความเชื่อดั้งเดิมของสังคมไทยนี่เอง
เป็นเครื่องสอนธรรมะแบบตบหน้า
ให้ญาติโยมได้รู้จักคิดแยกแยะ
ว่าพุทธศาสนาสอนให้เป็นคนมีเหตุผล มีปัญญา
ไม่ได้สอนให้โง่งมงาย ไม่มีเหตุผล
 
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นายทหารอากาศกลุ่มหนึ่งไปนมัสการท่าน
เป็นไปได้ว่า หลวงปู่ตื้อทราบด้วย เจโตปริยญาณ หรือ วิชาปรจิต
(รู้ใจหรืออ่านใจผู้อื่นได้)
ท่านรู้ว่าบางคนในกลุ่มนายทหารอากาศนั้น นึกปรามาสท่าน
ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาในตัวท่าน
 
ท่านก็ไม่ว่าอะไร คงจะนึกสอนธรรมะตามสไตล์ของท่าน
อยู่ๆ ท่านก็ผลุนผลันลุกออกจากอาสนะ เดินไปที่ตอไม้ตายตอหนึ่ง
แล้วท่านก็นั่งลงปัสสาวะใส่ตอไม้นั้น
เสร็จแล้วท่านก็พูดท้าทายนายทหารอากาศกลุ่มนั้นว่า
 
"คนเราถ้ามันจะขลัง
ต้องขลังกระทั่งเยี่ยว...
เอ้า ! ยิงเลย!!!"
 
นายทหารกลุ่มนั้นจึงทดลองยิงจริงๆ
โดยเล็งปืนยิงไปที่ตอไม้
ซึ่งไม่ว่าจะยิงปืนใส่ตอไม้อย่างไร
ลูกกระสุนก็ไม่ออกจากกระบอกปืนแม้แต่นัดเดียว !
 
นายทหารคนที่คิดปรามาสท่านถึงกับหน้าซีด
ตกตะลึงกับอิทธิฤทธิ์ของท่าน
ต้องรีบเข้าไปกราบท่านอย่างเร่งด่วน
 
ต่อมามีลูกศิษย์ของท่าน
ได้ยินเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเช่นนั้น ก็อยากจะทดลองบ้าง
จึงได้ทดลองเอาปืนไปยิงใส่ตอไม้ที่หลวงปู่ตื้อปัสสาวะรดใส่
ปรากฏว่า ไม่ว่าจะยิงเท่าไร กี่นัดต่อกี่นัดก็ยิงไม่ออก
กระสุนไม่ออกจากลำกล้องปืนอย่างที่เขาร่ำลือจริงๆ
ลูกศิษย์คนดังกล่าวตกใจ ประหลาดใจ
ทึ่งในหลวงปู่เป็นอย่างมาก
รีบวิ่งมาถามหลวงปู่อย่างกระหืดกระหอบ
 
"หลวงปู่ๆ ผมเอาปืนไปยิงหัวตอ
ทำไมปืนถึงยิงไม่ออกละครับ"
 
หลวงปู่ตอบว่า...
"ก็ไปถามหัวตอดูสิ จะมาถามกูทำไม !!!"
 
ลงบ่ได้
 
เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กับหลวงปู่ตื้อเป็นของคู่กัน
เพราะหลวงปู่ตื้อท่านมีอภิญญาทางด้านอิทธิวิธี จึงมีเรื่องพิศดารอยู่เสมอ
ไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
เพราะอิทธิฤทธิ์ของท่านนี้เอง จึงทำให้มีเรื่องราวอันสนุกสนาน
อันเป็นผลมาจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอยู่เสมอ
 
เรื่องที่เกิดขึ้นบนรถโดยสารต่อไปนี้
ว่ากันว่าเป็นเรื่องที่ทำให้หลวงปู่ตื้อโด่งดัง ฮือฮา เกรียวกราว
เป็นที่กล่าวขาน เป็นที่รู้จักของผู้คน...
 
ในสมัยที่หลวงปู่ตื้อบุกเบิกสร้างวัดป่า
ท่านจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ
ระหว่างอำเภอแม่แตงกับตัวเมืองเชียงใหม่
เพื่อทำธุระในการก่อสร้างวัดป่า
ท่านจึงต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางอยู่บ่อยๆ
 
พนักงานและคนขับรถโดยสารประจำทางสายแม่แตง-เชียงใหม่
จึงมักจะชินตา กับภาพหลวงตาชราท่านหนึ่ง
เดินนำ มีผ้าขาว (นักปฏิบัติภาวนาที่นุ่งขาว ห่มขาว)
เดินตามต้อยๆ ขึ้นรถสายนี้อยู่เป็นประจำ
 
เมื่อหลวงปู่ตื้อขึ้นไปนั่งบนรถ
ท่านก็จะเอาขาขึ้นบนเบาะ นั่งขัดสมาธิ โดยไม่สนใจใคร
ปกติ เบาะนั่งของรถโดยสารแบบนี้
เบาะเดียวจะสามารถนั่งได้ถึง ๓-๔ คน
แต่หลวงปู่ตื้อท่านจะนั่งเหมาคนเดียว แบบไม่สนใจใครเลย
(ซึ่งท่านทำถูกต้องแล้ว เพราะถ้าฆราวาสมานั่งเสมอกับพระภิกษุ
อาจจะไม่เหมาะสม ท่านจึงนั่งโชว์ให้ดู)
 
วันหนึ่ง หลวงปู่ตื้อก็มาขึ้นรถโดยสารตามเคย
เมื่อหลวงปู่ทำอย่างเดิมเหมือนที่ท่านเคยทำมา
คือนั่งเอาขาขึ้นบนเบาะ หลับตา ทำสมาธิ ไม่สนใจใคร
กระเป๋ารถเมล์จำได้ จึงพูดขึ้นว่า
 
"ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่นๆๆ เอาตีนลงจากเบาะเน่อ"
 
"ลงบ่ได้"
หลวงปู่ตื้อตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
 
"เป็นอะหยัง จั๋งลงบ่ได้" กระเป๋ารถเมล์ถามขึ้น
 
"ลงบ่ได้ ลงบ่ได้"
หลวงปู่ตื้อยังคงตอบตามเดิม
 
กระเป๋ารถเมล์ชักจะเริ่มโมโห ไม่พอใจหลวงปู่ตื้อ
จึงกล่าวสบถเสียงดัง
 
"มันเป็นอะหยัง หือ !? จึงเอาลงบ่ได้!"
ว่าแล้วกระเป๋าคนนั้น ก็เอามือกระชากขาของหลวงปู่ตื้อลงมาจากเบาะอย่างแรง
 
ทันที่ที่เท้าของหลวงปู่ตื้อแตะลงพื้น
ก็พลันเกิดเสียงประหลาดขึ้น !!!
 
กลืด...ด....กลืด...ด....กลืด...ด....ฉึก !
เสียงเครื่องยนต์ดังกลืดๆ สักพักเครื่องยนต์ก็ดับ
เมื่อเครื่องยนต์ดับ รถโดยสารคันดังกล่าวก็หยุดกึก
ผู้โดยสารที่อยู่บนรถก็ถลาหัวทิ่ม คะมำไปข้างหน้า
 
หลวงปู่ตื้อพูดขึ้นมาทันที
"หลวงตาบอกแล้ว
ลงบ่ได้...ลงบ่ได้
เห็นบ๊อ !!!"
 
โชเฟอร์รถโดยสารพยายามสตาร์ทเครื่อง
ถึงตอนนี้ผู้โดยสารในรถต่างมองหน้ากัน
พูดพึมพำๆ ถึงหลวงปู่ตื้อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โชเฟอร์พยายามสตาร์ทรถอย่างหนัก
แต่ไม่ว่าสตาร์ทอย่างไร กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ก็ไม่สามารถสตาร์ทรถให้ติดได้
 
"ผู้ใด๋เอาตีนกูลง
มาเอาขึ้นคืนเด้อ !"
หลวงปู่ตื้อพูดขึ้นลอยๆ
 
กระเป๋ารถเมล์ต้นเหตุรีบกุลีกุจอ
ยกขาหลวงปู่ตื้อคืนที่เบาะอย่างรวดเร็ว
คราวนี้โชเฟอร์ลองสตาร์ทเครื่อง
ปรากฎว่า...สตาร์ทแค่ครั้งเดียว เครื่องยนต์ก็ติดอย่างเหลือเชื่อ !
 
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลวงปู่ตื้อก็โด่งดังเป็นที่โจษจันของชาวเชียงใหม่เป็นอย่างมาก
รถโดยสารทุกคันต่างก็รู้จักหลวงปู่ตื้อ
ไม่เพียงแต่จะให้ท่านนั่งตามสบาย ตามถนัดของท่านเท่านั้น
หากรถคันไหนได้หลวงปู่ตื้อไปนั่ง
จะถือกันว่า วันนี้เขาโชคดี มีโชคมีลาภแล้ว!
 
ขึ้นบ่ได้
 
สมัยที่หลวงปู่ตื้อโด่งดัง เป็นที่รู้จักของคนเชียงใหม่แล้วนั้น
ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง
ตอนนั้น มีญาติโยมมากราบนมัสการท่านเป็นจำนวนมาก
ตอนเช้าที่ท่านออกไปบิณฑบาต
แถวของชาวบ้านทั้งจากในตัวเมืองเชียงใหม่และจากที่อื่น
ที่มารอใส่บาตรหลวงปู่จะยาวมาก
 
ทุกๆ เช้าที่หลวงปู่ตื้อออกบิณฑบาตนั้น
จะมีสามล้อถีบมารอบริการหลวงปู่ตื้อ
สามล้อเหล่านี้ จะจูงรถสามล้อของตนตามหลังหลวงปู่อยู่ตลอดเวลา
เมื่อหลวงปู่บิณฑบาตเสร็จ หลวงปู่ก็จะขึ้นรถสามล้อกลับวัด
 
รถสามล้อถีบที่มาคอยให้บริการหลวงปู่นี้
นอกจากจะเต็มใจให้บริการฟรีแล้ว
บรรดาคนขี้สามล้อทั้งหลาย ต่างเชื่อกันว่า...
หากวันใดหลวงปู่ขึ้นรถของตน
วันนั้นจะเป็นวันที่โชคดี
 
แรกเริ่มเดิมที คนขี่สามล้อยังมีไม่มากนัก
ที่เริ่มต้นมาคอยบริการรับใช้หลวงปู่
ก็มักจะเป็นคนขี่สามล้อที่มาจากภาคอิสานไม่กี่คน
จึงจัดสรรปันส่วน แบ่งเวรกันว่า
วันไหนใครจะได้หลวงปู่ตื้อไปนั่งรถตน
การแบ่งเวรหรือแบ่บุญกันก็ทำได้ง่าย เพราะยังมีสามล้อไม่เยอะ
 
ต่อมา เมื่อมีสามล้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเกือบร้อยคัน
การแบ่งจัดสรรกัน จึงเกิดปัญหาขึ้น
เพราะต่างคนต่างก็อยากได้หลวงปู่ตื้อไปนั่งรถตน
ไม่มีใครยอมใคร
ถึงตอนนี้ จึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมา
 
เมื่อหลวงปู่ตื้อบิณฑบาตเสร็จ
ก็จะมีเสียงตะโกนโหวกเหวก
มีสามล้อล้อมหน้าล้อมหลัง มะรุมมะตุ้ม วุ่นวายไปหมด
 
"หลวงปู่ ขึ้นรถผม... หลวงตา! ขึ้นรถผม...
หลวงตา...คันนี้ครับ คันนี้"
 
ประเดี๋ยวก็คันนี้ครับหลวงปู่ คันนี้ครับหลวงตา
คนนี้ก็เรียกหลวงปู่ๆ คนโน้นก็หลวงปู่ๆ
ต่างฝ่ายต่างก็นิมนต์หลวงปู่ตื้อ ร้องโหวกเหวก
ตะเบ็งเซ็งแซ่กันจนสนั่นหวั่นไหว
บางคราวเกือบเป็นจราจลย่อยๆ เลยทีเดียว
 
หลวงปู่ตื้อท่านก็ไม่รู้ว่า
จะตอบสนองศรัทธาคนขี่สามล้อได้อย่างไรให้ทั่วถึง...
 
จนกระทั่งวันหนึ่ง...
หลังจากบิณฑบาตเสร็จ
เหล่าบรรดาคนขี่สามล้อก็เปิดศึกชิงหลวงปู่ตื้อตามเคย
แต่ว่าวันนี้ ...หลวงปู่ตื้อไม่ยอมขึ้นรถสามล้อของใครเลย
หลวงปู่ตื้อเอาแต่พูดอยู่คำเดียว
 
"ขึ้นบ่ได้...ขึ้นบ่ได้"
 
บรรดาคนขี่สามล้อรู้สึกงงไปตามๆ กัน
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ท่านก็บอกอยู่คำเดียว
 
"ขึ้นบ่ได้...ขึ้นบ่ได้"
 
หลวงปู่ตื้อเดินมาเรื่อยๆ ปากท่านก็พูดไปด้วย
"ขึ้นบ่ได้...ขึ้นบ่ได้"
ท่านเดินมาจนเกือบจะถึงหน้าประตูวัด
เหล่าสามล้อก็รู้สึกผิดหวังไปตามๆ กันว่า
วันนี้หลวงปู่ไม่ได้ขึ้นรถของตนเสียแล้ว...
 
ฉับพลันนั้นเอง!
ก็มีสามล้อหนุ่มคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นบ้าหรือหน้ามืด
จูงสามล้อวิ่งไปหาหลวงปู่
เมื่อถึงตัวหลวงปู่ ก็อุ้มหลวงปู่มาขึ้นรถสามล้อของตัวเอง
ในใจสามล้อคนนี้คงคิดว่า
ขึ้นดีๆ ไม่ขึ้น เลยจัดบริการพิเศษ อุ้มขึ้นรถเสียเลย
 
พลันที่หลวงปู่ตื้อถูกอุ้มขึ้นบนเบาะรถสามล้อคันนั้น
ก็เกิดเสียงดังขึ้น ๓ ครั้ง
 
โป้ง! ...โป้ง! ...โป้ง!
 
เสียงยางทั้ง ๓ เส้นของรถสามล้อคันนั้น
แตกทั้งสามเส้น
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาสามล้อทั้งหลาย
 
สักพักหนึ่ง จึงมีเสียงหลวงปู่ตื้อพูดออกมา...
 
"บอกแล้วไง ขึ้นบ่ได้ ...ขึ้นบ่ได้
เห็นบ๊อละ..."
 
เลขเด็ด
 
ปกติแล้ว หลวงปู่ตื้อและลูกศิษย์สายพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น
จะไม่ให้หวย...นอกจากไม่ให้แล้ว ถ้าใครไปถามเรื่องหวย
ก็มักจะถูกสั่งสอนกลับมาอีกด้วย
 
หลวงปู่ตื้อก็เช่นกัน ท่านไม่ให้หวย เพราะเป็นอบายมุข
เป็นทางแห่งความเสื่อม
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้ใบ้หวยให้ยาติโยมลูกศิษย์ของท่าน
แต่ญาติโยมลูกศิษย์ท่าน ก็ไม่สามารถแปลปริศนาหวยนั้นออกมาได้
ก็เลยถูกหวยกินตามระเบียบ...
 
เรื่องนี้เริ่มต้นจากมีญาติโยมกลุ่มหนึ่ง
ได้เหมารถเดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมากราบนมัสการหลวงปู่ตื้อ
โดยมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงคือ
ต้องการที่จะมาขอเลขเด็ดเอาไปเล่นหวยนั่นเอง
 
เมื่อกราบไหว้หลวงปู่ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพอประมาณแล้ว
หัวหน้ากลุ่มก็เริ่มที่จะเลียบๆ เคียงๆ ถามท่านเรื่องเลขเด็ด
 
ท่านพอจะรู้จุดมุ่งหมายของญาติโยมกลุ่มนี้อยู่บ้าง
คราวนี้ท่านไม่ด่า แต่กลับเมตตาบอกใบ้เลขเด็ดให้ด้วย
 
"มันจะไปหายากอันหยัง...
เลขเด็ดก็อยู่ที่ "ดาก" (ดากภาษาอิสานแปลว่า ก้น)
พวกสูอันแหละ นั่งทับทุกวัน ไปเบิ่งกันเอาเอง"
 
เมื่อญาติโยมกลุ่มนี้เสร็จธุระแล้ว ก็กราบลาหลวงปู่ตื้อ
พอขับรถออกไปได้สักพักหนึ่ง
ก็สบโอกาสจอดรถ ลงมามองส่อง "ดาก" กันและกัน
ต่างฝ่ายต่างส่อง ช่วยกันส่อง
เพื่อหาเลขเด็ดกันอย่างขะมักเขม้น
แต่ไม่ว่าจะส่องกันอย่างไร ก็ไม่เห็นเลขเด็ดเลยแม้แต่ตัวเดียว
ญาติโยมจึงปลงว่า หลวงปู่ตื้อท่านคงพูดเล่นเท่านั้น...
 
จนกระทั่งวันหวยออก
ญาติโยมกลุ่มนี้ก็ต้องหงายหลัง
เมื่อรู้ว่า เลขที่ออกก็คือ ...เลขท้ายรถยนต์
คันที่เหมากันไปหาหลวงปู่ตื้อนั่นเอง
 
อรรถาธิบาย
 
ปกติหลวงปู่ตื้อท่านจะไม่ให้หวย
แต่ที่ท่านให้กับญาติโยมบางคนนั้น
เป็นไปได้ว่า เป็นอุบายธรรมที่จะค่อยๆ สอนบุคคลคนนั้น
ถ้าท่านเห็นว่าบุคคลคนนั้น พอมีภูมิธรรมที่จะรู้ธรรมขั้นสูงที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้อีก
เพียงแต่ว่าในตอนนั้น คนๆ นั้นยังไม่รู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริง
ท่านจึงใช้อุบายดึงดูดใจให้เขาสนใจที่เปลือก หรือกระพี้เสียก่อน
แล้วจึงสอนธรรมที่เป็นแก่นธรรม เป็นธรรมที่เท้จริงให้กับเขา
 
ถ้าหากว่าท่านปฏิเสธไปเลย
คนๆ นั้นก็อาจจะน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ
กลายเป็นว่าทำให้เขาปฏิเสธธรรมะทั้งหมด
ก็เท่ากับเป็นการทำลายโอกาสของบุคคลคนนั้นที่จะรู้ธรรมขั้นสูง
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง...
 
อรหันต์มาแล้วโว้ย !
 
ในการปฏิบัติสมถกรรมฐานนั้น
เมื่อผู้ที่ปฏิบัติภาวนาจิตใจสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว
ถ้าบังเกิดนิมิต (คือเห็นรูป ได้ยินเสียง หรือแม้แต่อาการใดๆ ก็ตาม ในขณะที่จิตสงบนั้น)
แล้วลุ่มหลง...
 
ธรรมิกของหลวงปู่ตื้อ คือหลวงปู่บุญทัน
ซึ่งหลวงปู่ตื้อเคยเดินธุดงค์อยู่บริเวณเชียงใหม่ด้วยกัน
ท่านทั้งสองจึงสนิทสนมกันดี
 
สมัยหนึ่ง หลวงปู่บุญทันเร่งความเพียรภาวนาอย่างหนัก
ความรู้ที่ได้จากสมภวิปัสสนา ทำให้ท่านมั่นใจว่า
ท่านได้สำเร็จอรหันต์แล้ว หมดซึ่งกิเลสแล้ว
(ซึ่งจริงๆ แล้วท่านเข้าใจผิด เนื่องมาจากอาการวิปลาสจากการภาวนา
หรือวิปลาสเนื่องมาจากวิปัสสนูปกิเลส)
 
เมื่อท่านคิดว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว
ท่านจึงอยากจะออกไปติดตามหาหลวงปู่มั่น พบว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่
เมื่อเจอหลวงปู่มั่นแล้ว
หลวงปู่บุญทันก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น
แล้วจึงกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า
 
"สำคัญว่า ...กระผมเดินทางมาทางอากาศ"
 
หลวงปู่ตื้อซึ่งนั่งอยู่ด้วย
ก็ออกไปยืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทำท่าราวกับมองหาหลวงปู่บุญทันบนท้องฟ้า
แล้วพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า
 
"โน่น ! พระอรหันต์ผีบ้า
พระอรหันต์โลกีย์
พระอรหันต์เวียนว่ายตายเกิด มาแล้วโว้ย
โน่นเหาะมาแล้ว!"
 
อรรถาธิบาย
 
หลวงปู่ตื้อพูดแรงๆ เพื่อยุให้หลวงปู่บุญทันโกรธ
เมื่อหลวงปู่บุญทันโกรธแล้ว ก็จะคลายอาการวิปลาสได้
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่พระอาจารย์ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทั้งหลายใช้กันเป็นปกติ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ก็เคยใช้วิธีแบบนี้กับลูกศิษย์ที่ปฏิบัติความเพียรอย่างหนักจนเกิดอาการวิปลาสขึ้น
 

http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=11008






Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: อารมณ์ขัน พระอรหันต์ รอยยิ้ม ปัญญา หลวงปู่ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
อารมณ์ขันพระอรหันต์ ... ด้วยรอยยิ้ม อิ่มปัญญา
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
เงาฝัน 10 9925 กระทู้ล่าสุด 08 พฤษภาคม 2553 04:19:02
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.12 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 01:53:54