[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 04:21:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการ. อัน.. สงบรำงับได้แล้ว  (อ่าน 2308 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 ตุลาคม 2555 21:20:03 »



     

หลักเกณฑ์พยากรณ์ภาวะโสดาบันของตนเอง
คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการ
อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ด้วย, อริยสาวกประกอบ
พร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ ด้วย, อริยญายธรรม
เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี
ด้วยปัญญา ด้วย;
ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยู่ก็พยากรณ์
ตนด้วยตน นั่นแหละว่า
“เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว
มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว, เราเป็น
ผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า”
ดังนี้.

คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ เหล่าไหนเล่า
อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ?
(๑) คหบดี ! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่เป็นปกติ
ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) บ้าง, ย่อม
ประสบภัยเวรใดในสัมปรายิก (ในเวลาถัดต่อมา) บ้าง,
ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะปาณาติบาต
เป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว
จากปาณาติบาต ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.

(๒) คหบดี ! บุคคลผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้
ให้
อยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง,
ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัส
แห่งจิตบ้าง เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ
เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากอทินนาทาน ทำให้สงบ
รำงับได้แล้ว.

(๓) คหบดี ! บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม
ทั้งหลาย
อยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง,
ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวย
ทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย;
ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจาก
กาเมสุมิจฉาจาร ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.

(๔) คหบดี ! บุคคลผู้กล่าวคำเท็จอยู่เป็นปกติ
ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง, ย่อมประสบภัยเวรใด
ในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะ
มุสาวาทเป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาด
แล้วจากมุสาวาท ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.

(๕) คหบดี ! บุคคลผู้ดื่มสุราและเมรัยอันเป็น
ที่ตั้งของความประมาท
อยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใด
ในทิฏฐธรรมบ้าง, ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ้าง,
ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะสุราและเมรัย
เป็นปัจจัย ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว
จากสุราและเมรัยทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้แล
อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
… … … …



คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วย องค์แห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหล่าไหนเล่า ?
(๑) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
ไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ว่า
“เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้
โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถ
ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้.

(๒) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
ไม่หวั่นไหว ในพระธรรม ว่า “พระธรรม เป็นสิ่งที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและ
ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และ
ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่
ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน” ดังนี้.

(๓) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
ไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ว่า “ สงฆ์สาวกของพระผู้มี
พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้
ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่
นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละคือสงฆ์สาวกของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์
ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี
เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า” ดังนี้.

(๔) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็นที่
พอใจของพระอริยเจ้า
: เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง
ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา วิญญูชนสรรเสริญ
ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิลูบคลำ เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพื่อ
สมาธิ ดังนี้.
คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยองค์แห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหล่านี้แล.
… … … …

                 

คหบดี ! ก็ อริยญายธรรม เป็นสิ่งที่อริยสาวก
เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา เป็น
อย่างไรเล่า ?
คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำไว้
ในใจโดยแยบคาย เป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว

ดังนี้ว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะความเกิดขึ้น
แห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี;
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แก่
สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; ...ฯลฯ... ...
ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น
ครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี
ด้วยอาการอย่างนี้.

เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา
นั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร; เพราะมีความดับ
แห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...
ฯลฯ... เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
”.

คหบดี ! อริยญายธรรม๑ นี้แล เป็นธรรมที่
อริยสาวกนั้นเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา.
คหบดี ! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการ
เหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้วด้วย,
อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ
สี่เหล่านี้ ด้วย, อริยญายธรรมนี้ เป็นธรรมอันอริยสาวก
ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่ ก็พยากรณ์ตน
เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาด้วย;
ด้วยตนนั้นแหละว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิด
เดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาต
สิ้นแล้ว, เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความ
ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้
พร้อมเป็นเบื้องหน้า
” ดังนี้.

           

หมายเหตุผู้รวบรวม : ยังมีสูตรอีกสูตรหนึ่งข้อความอย่างเดียวกัน
กับสูตรนี้ ผิดกันแต่เพียงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย แทนที่จะตรัสกับ
อนาถบิณฑิกคหบดี, คือสูตรที่ ๒ แห่งคหปติวรรค อภิสมยสังยุตต์
นิทาน .สํ.๑๖/๘๕/๑๕๖; และยังมีสูตรอีกสูตรหนึ่ง (เวรสูตรที่ ๒
อุปาสกวรรค ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒) มีเค้าโครงและใจความของสูตร
เหมือนกันกับสูตรข้างบนนี้ ต่างกันแต่เพียง ในสูตรนั้นมีคำว่า
ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์” แทนคำว่า “ย่อมกระทำไว้ในใจ
โดยแยบคายเป็นอย่างดี
ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว
” แห่งสูตร
ข้างบนนี้ เท่านั้น
                ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒.
http://www.facebook.com/pages/พระพุทธเจ้า/166387296709841

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.79 Chrome 22.0.1229.79


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2555 22:02:32 »



       

พระโสดาบัน รู้จักปัญจุปาทานขันธ์
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อใดแล สาวกของ พระอริยเจ้า ในธรรมวินัยนี้
มารู้จักความก่อขึ้น แห่ง อุปาทานขันธ์ห้า,
รู้จัก ความตั้งอยู่ ไม่ได้ของ อุปาทานขันธ์ห้า,
รู้จักรส อร่อยของ อุปาทานขันธ์ห้า,
รู้จักโทษอันร้ายกาจของอุปาทานขันธ์ห้า,
และรู้จักอุบายที่ไป ให้พ้น
อุปาทานขันธ์ห้า นี้เสียตามที่ ถูก
ที่จริง;

ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อนั้นแหละ สาวกของพระอริยเจ้า
ผู้นั้น เราเรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน จักตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.

             

พระโสดาบันประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด
สารีบุตร ! ที่มักกล่าวกันว่า โสดาบัน-โสดาบัน
ดังนี้ เป็นอย่างไรเล่า สารีบุตร ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ท่านผู้ใด เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่ ผู้เช่นนั้นแล ข้าพระองค์เรียกว่า
เป็น
พระโสดาบัน ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มีโคตรอย่างนี้ ๆ พระเจ้าข้า !”
สารีบุตร ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ผู้ที่ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเองก็เรียกผู้เช่นนั้น
ว่าเป็น พระโสดาบัน
ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มีโคตรอย่างนี้ ๆ.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓.
http://www.facebook.com/pages/พระพุทธเจ้า/166387296709841

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.439 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 05 ธันวาคม 2566 15:57:37