[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 16:48:06 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 ... 3 4 [5]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: @ นิทานเซ็น @ รวมหลายเรื่องจากเวบไซต์ อกาลิโก  (อ่าน 46137 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #80 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 15:04:51 »





๖๔. ๒ โลกสวรรค์โลกมนุษย์

สามีภรรยาซึ่งอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ เป็นคู่สามีภรรยาที่มีความสุขที่สุด
สามีภรรยาบนสรวงสวรรค์ไม่เหมือนกับคู่สามีภรรยาบนโลกมนุษย์
พวกเขาไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน และไม่มีการร้องไห้ และไม่มีความโกรธ
แค้นซึ่งกันและกัน และก็ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน

ได้ยินได้ฟังมาว่า ต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันมาถึงห้าร้อยชาติ
ถึงจะมีบุญได้ไปเกิดเป็นคู่สามีภรรยาบนสรวงสวรรค์

สามีภรรยาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ เมื่อคิดอยากจะกินอะไร ก็จะได้กินของดีๆ
ดังใจหวัง คิดอยากจะมีเสื้อผ้า ก็จะมีเสื้อสวยๆทันที เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึง
ไม่มีความจะเป็นต้องทำงานให้ยากลำบาก และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

บ่อยครั้งที่พวกเขาจูงมือกันไปเดินเล่นอยู่บนทางสายรุ้ง นั่งจิบน้ำชาอยู่บนก้อนเมฆ
หรือว่าอยู่ฟังเสียงน้ำไหลจากธารสวรรค์เงียบๆ พร้อมกับชื่นชมความงามของตัวเอง
อย่างเงียบๆคนเดียว

สิ่งเดียวที่ทำให้ชาวสวรรค์เป็นทุกข์ที่สุดคือ เมื่อเสพสุขจนหมดอายุที่จะอยู่บนสวรรค์
ชีวิตก็จะสูญสิ้น กลิ่นหอมกรุ่นที่มีติดตัวก็จะหล่นหายไป
มงกุฎดอกไม้ที่ประดับอยู่บนหัวก็จะเหี่ยวเฉา เสื้อที่สวยงามก็จะบินหายไปทีละชิ้น
สุดท้ายก็จะล้มลงขณะที่ยืนหรือนั่งอยู่ และขณะที่ล้มลงนั้นเอง จะเหมือนกับดวงไฟที่ดับไปโดยฉับพลัน
 แล้วเหลือเพียงควันที่ลอยหายไปในความว่างเปล่า
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้เสพสุขอยู่บนสรวงสวรรค์นี้มาหลายพันปีแล้ว เมื่อถึงวาระ
ที่ใกล้จะจบสิ้น มักจะเกิดความคิดนี้ขึ้นมาบ่อยๆว่า
“ชีวิตที่มีความสุขอย่างนี้ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”



วันหนึ่งฝ่ายภรรยาลอยขึ้นไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพื่อจะเด็ดดอกไม้ไปให้สามี
เพราะว่าผู้คนทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ต้องประดับด้วยมงกุฎดอกไม้
เพื่อเป็นสง่าราศีแก่ตัวเอง และดอกไม้เหล่านี้เป็นหน้าที่ของภรรยาที่
จะต้องจัดเตรียมไว้ให้

ฝ่ายสามีซึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ เขาใช้เมฆขาวไปแตะกับแสงอาทิตย์ แล้วนำมา
ขัดตัวให้สะอาด พลางร้องเป็นเพลงออกมาอย่างไพเราะเสนาะหู เสียงเพลง
ขับกล่อมประสานไปพร้อมกับแสงทอง แว่วแผ่วไปทั่วสวนสวยในบ้าน
ของตัวเอง ภรรยาซึ่งเดินมาถึงตัวบ้านถึงกับเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ
ที่ได้เห็นกับตา

แต่ก็เวลานั้นนั่นเอง ที่ฝ่ายภรรยาเริ่มต้นมีเหงื่อไหลออกมา
นางรู้สึกกังวลและตกใจมาก จนทำมงกุฎดอกไม้ร่วงหล่นกระจายกลายเป็น
ดวงดาว เสื้อผ้าที่สวยงามต่างๆที่มีอยู่ ก็กลายเป็นสะเก็ดไฟลอยไปทั่ว
แตกกระจายกลายเป็นเศษเพชร ชุดราตรีสีเงินยวง
ได้กลายเป็นชิ้นๆ ลอยไป แล้วกลายเป็นเมฆขาว
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไร นางก็สลายหายไปแล้ว
เหมือนกับตกหล่นมาจากต้นไม้สูง ลอยละลิ่วลงมา
เหมือนแสงกระพริบแล้วหายไป
วินาทีสุดท้ายก่อนจะหายไป ยังได้ยินเสียงเพลงของสามีดังแว่วอยู่ในหู



เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง
ที่แท้นางได้เกิดใหม่บนโลกมนุษย์แล้ว พวกผู้ใหญ่นึกว่าเด็กเมื่อถูกอากาศแล้วตกใจจึงร้องไห้
แต่ไม่ใช่อย่างนั้น นางร้องไห้เพราะในจิตใจยังมีเสียงเพลงของสามีฝังอยู่ลึกๆ
เมื่อนึกถึงความสุขบนสรวงสวรรค์ก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้
ขณะที่นางเกิดมามีกลิ่นหอมของกุหลาบอบอวลไปทั่วห้อง
พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า “กุหลาบ”

กุหลาบยังจำวันเวลาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้ และเล่าเรื่องราวต่างๆบนสวรรค์ให้คน
ในบ้านฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าเป็นความฟันเฟื่องของหล่อนเอง
เมื่อกุหลาบโตเป็นสาว พ่อแม่ก็ให้แต่งงานไปกับชายหนุ่มใกล้บ้าน แม้หล่อนจะสวม
บทบาทที่เป็นภรรยาที่ดีที่สุด แต่ในส่วนลึกแล้ว ยังจำสามีที่อยู่บนสวรรค์อย่างมิ
ลืมเลือน หล่อนรู้ว่าหากอยากกลับไปอยู่บนสรวงสวรรค์กับสามีเก่าอีก จะต้องรีบ
สร้างกุศลอย่างสุดชีวิตในช่วงชีวิตอันสั้นที่อยู่บนโลกมนุษย์ และต้องรักษาอุดมการณ์
อย่างแน่วแน่ กุหลาบมักจะนำดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายบูชาที่วัดเสมอ และใส่บาตร
ด้วยอาหารเจอันรสเลิศ บริจาคอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้กับคนยากคนจน ชีวิตของ
หล่อนเหมือนกับอยู่เพื่ออุทิศตนและทำทานเท่านั้น และนางก็นำความคิดเหล่านี้
ไปเชิญชวนและปลูกฝังให้กับลูกๆสี่คนและสามีในโลกมนุษย์ด้วย



วันหนึ่งขณะที่ทำบุญอยู่ที่วัด รู้สึกเวียนหัวขึ้นมากะทันหัน เลยพิงไว้กับกำแพงแล้วนิ่งพักสักครู่
ได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆแบบในสวรรค์ แล้วก็สิ้นใจไป
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หล่อนก็กำลังเก็บดอกไม้อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง หล่อนมองเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
ที่แท้หล่อนก็สวมใส่ชุดนางฟ้าเหมือเดิมแล้ว เมื่อสามีบนสวรรค์อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินมาที่สวนดอกไม้ พูดกับนางว่า
“เมื่อกี้ข้าเรียกเจ้า ไม่ได้ยินหรอกหรือ?”
“เมื่อกี้ข้าสลายตัวไป แล้วไปเกิดในโลกมนุษย์”
“เป็นความจริงหรอกหรือ? แล้วอยู่ในโลกมนุษย์นานแค่ไหน?”
สามีถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าอยู่ในครรภ์ของแม่สิบเดือน ถึงเกิดออกมา อายุสิบหกก็แต่งงานไปอยู่กับ
คนบ้านใกล้ๆ คลอดลูกมาแล้วสี่คน พยายามทำแต่ความดีและสร้างแต่บุญกุศล
แล้ววิงวอนอธิษฐานขอให้ได้พบเจ้าอีก ดังนั้นจึงมาเกิดที่นี่อีก” ภรรยาตอบ
“แล้วอายุขัยในโลกมนุษย์ยาวนานแค่ไหน?” สามีถาม
“อายุขัยในโลกมนุษย์ ก็อยู่ในราวๆไม่เกินร้อย ร้อยปีก็เท่ากับหนึ่งคืนของสวรรค์เรา”
“แล้วคนในโลกมนุษย์ทำอะไรบ้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่?”



ช่วงชีวิตของคน หนึ่งในสามส่วนหมดกับไปกับการนอน อีกหนึ่งในสามส่วนหมด
ไปกับแสวงหาอาหารเครื่องนุ่งห่ม แสวงหาความสุขมาปรนเปรอตัวเอง อีกหนึ่งส่วน
ที่เหลือ นำมาโกรธแค้น สำนึกผิด นินทาแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิต
ลักษณะนี้ไปจนตาย มีคนเพียงส่วนน้อยที่จะรู้จักชื่นชมสิ่งดีงามต่างๆที่อยู่รอบๆตัว
เพื่อจะได้นำมาพัฒนาโลกของจิตวิญญาณให้สวยงาม แสวงหาความรักและความอบอุ่นจากสิ่งต่างๆ

ฝ่ายสามีซึ่งได้ฟังถึงเรื่องราวต่างๆในโลกมนุษย์ รู้สึกกระเทือนใจยิ่งนัก
“หรือว่าคนในโลกมนุษย์ ไม่รู้จักสำนึกว่าช่วงชีวิตอันสั้นที่อยู่ในโลก ควรจะ
ไปทำในสิ่งที่มีความหมาย?”
“ไม่หรอก คนส่วนใหญ่ยังหลงใหลมัวเมาเหมือนอยู่ในความฝัน เหมือนกับ
ว่าพวกเขาไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักตาย เพียงแต่เมื่อความตายมาถามหาแล้ว
ถึงจะเศร้าโศกร้องไห้คร่ำครวญ” ภรรยาตอบ

สองสามีภรรยาคุยกันถึงชีวิตอันสั้นในโลกมนุษย์ แล้วคนเหล่านั้นไม่รู้จักใช้ชีวิต
อย่างสวยงามและมีความรัก ไม่รู้จักทำสิ่งซึ่งมีความหมายกับชีวิต ในใจเกิดความ
รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ฝ่ายภรรยาพูดขึ้นว่า “พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องราวของโลกมนุษย์ดีกว่า มา ข้าจะกลัด
ดอกไม้เพิ่มให้เจ้าอีกดอก พูดพลางนางก็บินลงจากต้นไม้อันสูงใหญ่นั้น
เมื่อนางบินลงมาใกล้ถึงพื้นที่ปูด้วยก้อนเมฆ จึงรู้สึกว่าเหยียบไม่ถูกก้อนเมฆ
แล้วก็เหมือนกับสะดุดอะไรสักอย่าง แล้วทั้งตัวก็ลอยละล่องดังดอกไม้ที่ร่วงหล่นลง
ผ่านก้อนเมฆไปทีละชั้น ทีละชั้นลงไปเรื่อยๆ
กุหลาบตื่นขึ้นมาจากความฝัน มองไปรอบๆตัว ถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บน
ความสุกสว่างและความสวยงามของสวรรค์ แต่อยู่ในบ้านที่ยังดูมืดสลัวอยู่
และคนที่นอนหลับสบายอยู่ข้างๆตัวนั้นคือลูกสาวคนเล็ก
ซึ่งใบหน้ายังดูแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ



หล่อนนึกถึงสามีที่เพื่อปากท้องและความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัว
ขณะที่ฟ้ายังไม่สาง ก็ออกไปทำงานอยู่ในท้องนาแล้ว นางหยิบเสื้อผ้าสวม
แล้วก็ไปเดินเล่นอยู่ในสวนบริเวณบ้าน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกราตรี
โชยผ่านเข้ามา หล่อนคิดในใจ “เมื่อกี้เป็นความฝันบนสวรรค์หรือเป็นความฝัน
ในโลกมนุษย์” มองไปรอบๆตัว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีแต่ความเงียบสงบ
ไม่มีคำตอบใดๆให้กับตัวเอง

หล่อนคิดต่อไปอีก “เรื่องที่อยู่บนสวรรค์เป็นความจริง หรือเรื่องที่อยู่ในโลกถึงจะเป็น
ความจริงนะ” มองไปที่ฟ้า ก็เห็นแต่ดวงดาวกระพริบแวววับไปมา เงียบไม่มีคำตอบเช่นเคย

เมื่อนางเฝ้าถามตัวเองอยู่นั้น แสงแรกของพระอาทิตย์ได้สาดส่องมากระทบกับ
ก้อนเมฆ ผ่านมายังพื้นโลก กุหลาบยังจำคำพูดในความฝันได้ว่า
“หรือว่าคนในโลกมนุษย์ไม่ได้รู้สำนึกเลยว่า ช่วงชีวิตอันแสนสั้นนั้น
ควรจะทำในสิ่งที่มีความหมายกับชีวิต? ไปพัฒนาโลกของจิตวิญญาณ
ให้ดีขึ้น แสวงหาความรักความอบอุ่นจากสิ่งต่างๆ ร้อยปีก็ปล่อยให้ผ่าน
ไปอย่างนี้เฉยๆโดยเปล่าประโยชน์”

ได้ยินเสียงของลูกที่ตื่นขึ้นมาเรียกหาแม่ นางคิดในใจว่า “หากสามารถใช้ชีวิตอย่าง
มีความหมาย โลกมนุษย์ก็คือสวรรค์ หากไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สวรรค์ก็คือโลกมนุษย์”

ที่มา จากอินเตอร์เน็ต



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #81 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 15:21:51 »



         

๖๕. สิ่งดีๆควรนำมาแบ่งปัน

มีแม่ชีท่านหนึ่ง เพราะศรัทธาในพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างพระพุทธรูป
มาองค์หนึ่ง พร้อมกับเคลือบองค์พระด้วยทองคำเปลวเหลืองอร่ามไปทั้งองค์
ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน จะนิมนต์พระพุทธรูปองค์นี้ไปด้วยเสมอ
พระพุทธรูปองค์นี้เหมือนกับศูนย์รวมความศรัทธา ความหวังและจิตใจ
แม้แต่ชีวิตของท่านก็ฝากรวมไว้ในองค์พระนี้

ผ่านไปหลายปี แม่ชีท่านนี้ก็อยู่ประจำที่วัดในชนบทแห่งหนึ่ง ภายในวัดมี
พระพุทธรูปมากมาย ก็มีกระจกใสครอบไว้ ท่านเลยหากระจกใสมาครอบไว้
บ้าง ท่านคิดจะไม่ให้ควันธูปที่จุดบูชาลอยไปที่พระองค์อื่นๆ แต่ในบริเวณ
ที่กว้างๆอย่างนี้จะไม่ให้ควันธูปลอยไปทั่วได้อย่างไร?

คิดไปคิดมาเลยคิดจะทำท่อขึ้นมาเพื่อให้ควันธูปเข้าไปที่องค์พระของตัวเอง
ที่เดียว นอกจากพระของตัวเองแล้ว ท่านไม่เคยมองหรือกราบไหว้พระองค์อื่นเลย

มีคนติว่า ทำอย่างนี้ไม่เป็นการสมควร ทำให้เกิดการเลือกเขาเลือกเรา ทำอย่าง
นี้ทำอย่างไรก็ภาวนาให้เกิดผลไม่ได้ แต่แม่ชีท่านนี้ก็หาได้ฟังคำตักเตือนของใครไม่
ผลสุดท้ายพระพุทธรูปองค์นั้นถูกควันธูปจับจนดำไปทั้งองค์ ดูแล้วหมองจนหมดราศี




บทเรียนชีวิตห้าบท
บทที่หนึ่ง…
ฉันเดินไปที่ท้องถนน
ที่ฟุตบาทมีหลุมลึกอยู่หลุมหนึ่ง ฉันเผลอตกลงไปในหลุมนั้น
ฉันเดินผิดทางแล้ว ฉันหมดหวังแล้ว
นั่นไม่ใช่ความผิดของฉัน ต้องเสียแรงไปไม่ใช่น้อยถึงจะปีนป่ายขึ้นมาได้

บทที่สอง …
ฉันเดินไปบนถนนเหมือนกัน ที่ฟุตบาทมีหลุมลึก
ฉันทำเป็นมองไม่เห็น แต่ก็ตกลงไปจนได้
ฉันแทบจะไม่เชื่อตัวเองว่า ฉันจะตกลงไปในที่มีลักษณะเดิมได้
แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของฉัน
แล้วก็ต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยถึงจะปีนขึ้นมาได้

บทที่สาม ...
ฉันเดินไปในถนนที่มีลักษณะเดียวกันอีก
บทฟุตบาทมีหลุมลึกเช่นเดียวกัน
ฉันก็มองเห็นหลุมลึกนั้น แต่ฉันก็ตกลงไปจนได้
มันเหมือนกับเป็นธรรมเนียมเสียแล้ว
ฉันลืมตาขึ้นมาดู ฉันรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน
นั่นเป็นความผิดของฉัน ฉันจึงรีบปีนขึ้นมา

บทเรียนที่สี่ …
ฉันเดินไปบนถนนที่เหมือนกัน
บนฟุตบาทมีหลุมลึกหลุมหนึ่ง
ฉันเดินอ้อมผ่านหลุมนั้น

บทเรียนที่ห้า ...
ฉันเดินไปที่ถนนอีกสายหนึ่ง
ฉันนึกเอาเองว่าเดินไปบนความอิสรเสรี
แต่เมื่อพบกับความเคยชินเดิมๆ
ฉันก็กลายเป็นทาสของมันอีก


แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่การรู้สำนึกจะทำให้ค่อยๆเกิดความรู้ตัวขึ้นมาได้
เมื่อเราสังเกตเห็นว่าตัวเองยังถลำลึกลงไปตามความเคยชินเดิมๆ
ก็จะคิดอยากจะกระโดดออกมาจากหลุมนั้น
แน่นอน บางทีเราอาจจะยังตกลงไปได้อีก
แต่เมื่อตั้งสติได้ ปล่อยเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
เราก็จะกระโดดออกมาได้ ทำให้มีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #82 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 15:28:47 »





๖๖. สองมือกำจนแน่น จะกำได้สักเท่าไหร่

มีอุบาสกท่านหนึ่งมาปรับทุกข์กับพระอาจารย์ว่า ภรรยาของตัวเองเป็น
คนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ไม่ว่าเรื่องอะไร หล่อนจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่
สตางค์แดงเดียว ขอให้พระอาจารย์ช่วยไปที่บ้านชี้ทางสว่างให้แก่หล่อน
เพื่อให้หล่อนได้รู้จักทำบุญทำทาน และทำสิ่งที่เป็นกุศลบ้าง

พระอาจารย์เลยไปที่บ้านของอุบาสกท่านนั้น ภรรยาของเขาออกมาต้อนรับ
แล้วก็เห็นได้ว่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวจริงๆ เพราะแม้แต่น้ำชา
ยังไม่นำมาต้อนรับ

พระอาจารย์จึงกำมือขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วถามว่า สีกา ถ้าหากมือของข้าเป็นอย่างนี้
ทุกวันเจ้ารู้สึกว่าเป็นอย่างไร?”
“ถ้าหากเป็นอย่างนั้นทุกวันก็เป็นเรื่องแปลกประหลาด”



และพระอาจารย์ก็แบมืออก แล้วถามว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันจะเป็นอย่างไร?”
“อย่างนี้ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดเช่นกัน”
“สีกา เจ้าพูดไม่ผิด มือหากกำตลอดเวลา หรือแบตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องที่ผิด
แปลก ด้วยเหตุและผลเดียวกัน ในด้านทรัพย์สินเงินทอง หากรู้จักแต่จะเอา
ไม่รู้จักทำบุญทำทานบ้าง เป็นเรื่องผิดแปลก หรือรู้จักแต่บริจาค ไม่รู้จักเก็บ
สะสมก็เป็นเรื่องผิดแปลก เงินต้องมีการไหลเวียน มีการไหลเข้าไหลออก
เมื่อตวงเข้ามาก็ต้องให้มีออก

ภรรยาของอุบาสกท่านนั้นฟังแล้ว ก็เข้าใจ และรู้ถึงหลักการของการจัดการ
ทรัพย์สินเงินทอง



บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #83 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 15:51:48 »



           

๖๗. ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?

หญิงคนหนึ่งมีนิสัยแปลกประหลาด เรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้หล่อน
โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ หล่อนเองก็รู้ซึ้งถึงนิสัยของตัวเองดี แต่ก็ไม่สามารถ
ควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้

มีเพื่อนแนะนำหล่อนว่า “วัดที่อยู่ใกล้ๆนี้มีพระบรรลุธรรมขั้นสูงอยู่ท่านหนึ่ง
เจ้าทำไมไม่ไปเล่าสิ่งที่เจ้าเป็นให้ท่านฟัง และจะได้ขอคำชี้แนะจากท่าน”
หญิงคนนั้นจึงไปหาพระท่านนั้น เพื่อจะลองให้ท่านชี้แนะดู

เมื่อพบกับพระท่านนั้น หญิงคนนั้นจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยกิริยาท่าที
นอบน้อมและจริงใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะอย่างดี พระรูปนั้น
ก็ตั้งใจฟังหล่อนพูดจนจบ เมื่อพูดจบแล้วจึงให้หล่อนไปที่ห้องหนึ่ง
แล้วขังหล่อนไว้ในนั้น ไม่พูดกล่าวอะไรแล้วเดินจากไป

หญิงคนนั้นคิดว่าถูกขังอยู่ในห้องนั้นแล้วจะได้ยินคำชี้แนะจากท่าน ไม่คิดว่า
ท่านไม่พูดอะไรสักคำ ซ้ำยังขังไว้ในห้องที่มืดและเย็นชื้นอีก หญิงนั้นโกรธจน
ใช้เท้ากระแทกพื้นแล้วส่งเสียงด่าออกมาดังลั่น ไม่ว่าหล่อนจะด่าว่าอย่างไร
พระรูปนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร หญิงคนนั้นด่าจนทนไม่ไหว จึงร้องวิงวอนขอความ
ช่วยเหลือ แต่พระรูปก็ไม่สนใจจะฟังอีก ยังคงปล่อยให้หล่อนแสดงอารมณ์ต่อไป

ผ่านไปอีกนาน เสียงในห้องนั้นเงียบลง พระรูปนั้นถามว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”
หญิงนั้นตอบว่า ข้าโกรธแต่ตัวเอง ที่ไปเชื่อคนอื่นที่แนะนำให้มาหาท่าน”
“ท่านไม่ให้อภัยแม้แต่ตัวเอง แล้วเจ้าจะอภัยให้คนอื่นได้อย่างไร?” พระนั้นตอบ

ผ่านไปสักพัก พระรูปนั้นถามอีกว่า “ยังโกรธอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่โกรธแล้ว” หญิงนั้นตอบ
“ทำไมถึงไม่โกรธแล้ว?”
“ข้าโกรธแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่ว่าจะโกรธอย่างไรก็ถูกท่านขังอยู่ใน
ห้องมืดนี้อยู่ดี” หญิงนั้นตอบ
“เจ้าเป็นอย่างนี้ยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะเจ้ากดข่มความโกรธของตัวเองไว้
เมื่อระเบิดออกมาเมื่อไหร่กลับจะยิ่งรุนแรงกว่าเก่า” พูดจบพระท่านนั้น
ก็เดินจากไปอีก

เมื่อกลับมาถามอีกเป็นครั้งที่สาม หญิงนั้นตอบว่า “ข้าไม่โกรธแล้ว เพราะ
ท่านไม่ควรค่าที่จะให้ข้าโกรธ”
“รากเหง้าแห่งความโกรธของเจ้ายังคงอยู่ เจ้ายังไม่ได้หลุดพ้นไปจากวังวน
แห่งความโกรธ”

เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง หญิงคนนั้นถามขึ้นว่า “พระอาจารย์ บอกข้าพเจ้า
หน่อยได้ไหมว่า ความโกรธคืออะไร?”

พระอาจารย์ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก แต่มองไปเหมือนกับพระอาจารย์ไม่ตั้งใจ
ที่จะเทน้ำชาลงไปที่พื้น หญิงคนนั้นจึงเข้าใจแล้วว่า ที่แท้ถ้าตัวเองไม่โกรธ
โกรธนั้นจะมาจากไหน จิตใจสว่างโร่ด้วยความรู้และเข้าใจ หากไม่มีสิ่งใดเลย
ตัวโกรธไหนเลยจะมี

         

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #84 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 16:37:51 »



         

๖๘. ชีวิตอยู่ที่ไหน?

ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เซนพูดกับอุบาสกท่านหนึ่งว่า “เหล่าพุทธะทั้งหลาย
มักจะพูดถึงความมีในความไม่มี หาสิ่งที่มีความหมายในชีวิตจากความ
ว่างเปล่าในสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไร จนที่สุดได้รับความหลุดพ้น

สรรพสิ่งในโลกล้วนถูกผูกมัดจากความกังวลและเป็นทุกข์ เพราะเหตุนี้
หากอยากจะแสวงหาจิตวิญญาณที่ไม่ตายในอนาคตจากชีวิตที่มีความ
หมายในตอนนี้ จึงเหมือนกับควานหาพระจันทร์ในน้ำ แค่เพียงให้จิต
จิตตนเองปราศจากสิ่งทั้งปวง ก็จะไม่เกิดความหลงผิด”

“ทำอย่างไรถึงจะให้จิตปราศจากทุกสิ่ง”อุบาสกนั้นถาม
“ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลความถูกหรือความผิด ผลได้หรือผลเสีย
ก็ไม่ต้องไปคิด หรือไปเอาเรื่องเอาราวกับสิ่งต่างๆ”
“หากไม่คิด จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตอยู่ที่ไหน”

“ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรให้คิดไปแต่ในทางที่เป็นกุศล
ไม่ไปในทางที่เป็นอกุศล หมั่นใช้จิตพิจารณาสิ่งต่างๆ
เจ้าก็จะพบความผสมผสานระหว่างจิตกับชีวิต” พระอาจารย์ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นคนตายแล้ว จิตอยู่ที่ไหน?” อุบาสกนั้นถาม

“ไม่รู้จักเกิด แล้วจะรู้จักตายได้อย่างไร?”
“ตอนนี้ข้าพเจ้าหาชีวิตของตัวเองได้แล้ว” อุบาสกนั้นกล่าว
“ชีวิตของเจ้าอยู่ที่ไหน?”พระอาจารย์ถาม

อุบาสกนั้นอึกอักตอบไม่ถูก พระอาจารย์เลยใช้มือขยุ้มไปที่อกของ
อุบาสกนั้น แล้วพูดว่า “ก็อยู่ตรงนี้นั้นแหละ แล้วยังจะคิดไปถึงไหนอีก”
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าทราบแล้ว”

                 

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.56 Chrome 24.0.1312.56


ดูรายละเอียด
« ตอบ #85 เมื่อ: 26 มกราคม 2556 16:38:30 »


         

๖๙. รู้หรือไม่รู้

ลูกศิษย์ท่านหนึ่งเรียนถามพระอาจารย์ด้วยความนบนอบว่า
ลูกศิษย์ : ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อรู้แจ้งแล้ว สภาพจิตและความรู้สึกสามารถ
บรรยายออกมาได้หรือไม่?
อาจารย์ : หากรู้แจ้งแล้ว ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
ลูกศิษย์ : เมื่อพูดออกมาไม่ได้ เปรียบเหมือนกับอะไร?
อาจารย์ : เหมือนคนใบ้กินน้ำผึ้ง

ลูกศิษย์ : เมื่อผู้ปฏิบัติที่ยังไม่รู้แจ้ง ถ้าบรรยายธรรมและเขียนคัมภีร์
นับว่าเป็นผู้เข้าใจ “เซน” หรือเปล่า?
อาจารย์ : เมื่อยังไม่รู้แจ้ง สิ่งที่พูด จะนับว่าเป็นการเข้าใจ”เซน”ได้อย่างไร?
ลูกศิษย์ : เพราะเขาสามารถบรรยายธรรมได้อย่างลึกซึ้ง และแจ่มแจ้ง
ถ้าหากไม่นับว่าเขาเข้าใจ”เซน”แล้วจะเหมือนอะไร?
อาจารย์ : เหมือนนกแก้วหัดพูดภาษาคน

ลูกศิษย์ : คนใบ้กินน้ำผึ้งกับนกแก้วหัดพูด แตกต่างกันอย่างไร?
อาจารย์ : คนใบ้กินน้ำผึ้ง คือ “รู้”อุปมาดั่งคนดื่มน้ำ น้ำจะเย็นหรือร้อน
ผู้ดื่มย่อมจะรู้อยู่แก่ใจดี นกแก้วหัดพูดเป็นการไม่ “รู้”
เหมือนเด็กหัดพูด ย่อมจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พูด

ลูกศิษย์ : เมื่อเป็นอย่างนี้ เมื่อยังไม่รู้แจ้ง จะบรรยายธรรมฉุดช่วย
ผู้คนได้อย่างไร?
อาจารย์ : พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ ไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้
ลูกศิษย์ : ตอนนี้พระอาจารย์รู้แล้วหรือยัง?
อาจารย์ : อาจารย์เหมือนคนใบ้กินยาขม รู้รสขมแต่พูดออกมาไม่ได้
แล้วก็เหมือนนกแก้วหัดพูด พูดได้เหมือนมาก


             

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กุมภาพันธ์ 2556 20:12:28 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: ลงซ้ำค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ดูรายละเอียด
« ตอบ #86 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2556 20:13:45 »



           

๗๐. รูปเหมือนพระอาจารย์

พระอาจารย์ท่านหนึ่งก่อนที่จะมรณภาพ ได้เรียกเหล่าลูกศิษย์มาพร้อมหน้า
แล้วพูดว่า “อีกไม่นานข้าก็คงใกล้จะจากพวกเจ้าไปแล้ว ใครสามารถจะ
วาดรูปเหมือนสักรูปให้อาจารย์ได้?”
เหล่าลูกศิษย์รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก พร้อมกับกลับไปวาดรูปให้พระอาจารย์

พวกเขากับพระอาจารย์พบหน้ากันและทำกิจวัตรพร้อมกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
เสียงและเค้าหน้าย่อมจะจะพิมพ์รอยอยู่ในใจนานแล้ว ดังนั้นแต่ละคนจึง
วาดรูปออกมาด้วยกิริยาและหน้าตาที่ต่างกัน บางคนก็วาดรูปออกมาใน
ลักษณะที่เคร่งขรึม บางคนก็วาดออกมาด้วยหน้าตาที่เปี่ยมไปด้วยความ
เมตตาและปรานี ไม่มีรูปไหนที่วาดออกมาแล้วเหมือนกันเลย

พระอาจารย์เห็นรูปแล้วรู้สึกผิดหวังมาก กล่าวว่า “หลายปีที่ผ่านมา ทำไม
พวกเจ้าที่ฝึกปฏิบัติธรรมกับข้า ไม่มีใครวาดรูปได้สักคน พวกเจ้าลองดูให้
ชัดเจนอีกสักครั้ง วาดได้เหมือนอาจารย์หรือเปล่า? ถ้าหากว่าวาดได้เหมือน
ก็เหมือนกับว่าได้เค้นคอฆ่าข้า หากวาดได้ไม่เหมือน ก็เผารูปไปเสียเถิด”

ขณะที่เหล่าลูกศิษย์ลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็มีศิษย์ท่านหนึ่งเดินออกมาข้างหน้า
พูดกับพระอาจารย์ว่า “อาจารย์ ดูที่ข้าพเจ้าวาดซิ” ว่าแล้วก็ตีลังกาครั้งหนึ่ง
แล้วเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย

ในที่สุดพระอาจารย์ก็ยิ้มออกมาได้ พร้อมกับมองตามหลังศิษย์นั้น แล้วพูดว่า
“วาดได้ดี ข้าเชื่อว่าต่อไป ศิษย์คนนี้ย่อมจะเหมือนข้าแน่นอน ตั้งแต่นี้ต่อไป
ก็ให้เขาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสต่อไป

                 

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ดูรายละเอียด
« ตอบ #87 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2556 20:20:08 »



           

๗๑. หลุดพ้นด้วยตัวเอง

ครั้งหนึ่งสังฆปรินายกองค์ที่ 2 พูดกับท่านตั้กม๊อว่า “ท่านอาจารย์ช่วย
ทำให้จิตใจศิษย์สงบด้วยเถิด”

“เอาจิตเจ้าออกมาซิ”
“ศิษย์หาจิตตัวเองไม่พบ”
“หากว่าหาจิตพบ นั่นก็ไม่ใช่จิตของเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้าช่วยทำให้จิตเจ้า
สงบแล้ว เจ้าเห็นหรือเปล่า” ท่านตั้กม๊อตอบ

ผ่านไปหลายสิบปี สังฆปรินายกองค์ที่ 3 พูดกับองค์ที่ 2 ว่า “ท่านอาจารย์
ช่วยให้ข้าได้สารภาพความผิดบาปด้วยเถิด”

“เอาผิดบาปของเจ้าออกมาซี”
ข้าหาความผิดบาปไม่เจอ”
“ตอนนี้ข้าได้ช่วยเจ้าแล้ว เจ้าเห็นหรือเปล่า?”

ผ่านไปอีกหลายปี ภิกษุรูปหนึ่งถามสังฆปรินายกองค์ที่ 3 ว่า “ทำอย่างไร
ถึงจะหลุดพ้นจากการยึดติดได้”

“แล้วใครผูกมัดเจ้าไว้ล่ะ”
“ไม่มีใครมาผูกมัดข้าพเจ้า”
“แล้วเจ้าทำไมถึงต้องมาของร้องให้ช่วยแก้ให้หลุดพ้น
ภิกษุรูปนั้นต่อมาคือ สังฆปรินายกองค์ที่ 4

ครั้งหนึ่งเมื่อสังฆปรินายกองค์ที่ 5 มอบบาตรและจีวรประจำตำแหน่ง
ให้ท่านเว่ยหล่าง พร้อมกับพูดว่า

“หากไม่รู้จักจิตของตนเอง ปฏิบัติธรรมไปก็ไม่มีประโยชน์
หากรู้จักจิตของตนเองได้แจ่มแจ้ง ก็จะเห็นจิตเดิมแท้ได้เอง”

     

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ดูรายละเอียด
« ตอบ #88 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2556 20:21:14 »



           

๗๑. ๑ ชีวิต

มีช่างไม้วัยเกษียณคนหนึ่ง คิดว่าตัวเองคงจะถึงเวลาปลดเกษียณสักที
จึงบอกกับนายจ้างว่า “จะเลิกทำงานช่างสักที กลับไปอยู่กับบ้าน
ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับลูกเมีย

นายจ้างรู้สึกเสียดายและไม่อยากให้คนงานมีฝีมือดีๆต้องจากไป
จึงบอกให้เขาช่วยสร้างบ้านให้อีกหลังหนึ่งจะได้หรือเปล่า?
ช่างไม้นั้นรับปากว่าจะทำให้

ขณะที่ทำงานทุกคนก็มองเห็นว่า ใจของเขาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำเลย
ใช้แต่วัสดุที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งปกติช่างไม้คนนี้จะเป็นคนละเอียดลออ
และใช้ของที่มีคุณภาพทุกชิ้น งานครั้งนี้ผลงานที่ออกมาจึงค่อนข้างหยาบ
เมื่อบ้านสร้างเสร็จแล้ว นายจ้างจึงมอบกุญแจประตูบ้านให้เขา

“บ้านนี้เป็นของเจ้า นี่คือของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้า”

ช่างไม้นั้นตกตะลึงจนตาค้าง รู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก ถ้าหากว่ารู้แต่แรกว่า
บ้านหลังนี้เป็นของตัวเอง เขาจะทำลักษณะอย่างนั้นทำไม?
เขาคงใช้วัสดุที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม และสร้างอย่างพิถีพิถันสุดฝีมือ
สิ่งที่ได้ในตอนนี้ คือต้องอยู่บ้านที่สร้างอย่างหยาบๆหลังหนึ่ง

พวกเราก็มีพฤติกรรมอย่างนั้นบ่อยๆ พวกเรามักจะไม่ได้ใส่ใจที่จะสร้างชีวิต
ไม่ได้สั่งสมอะไรไว้ แต่กลับปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่เสียดาย
ไม่ใส่ใจที่จะใฝ่ก้าวหน้า ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อกลับไม่รุดไปข้างหน้า
จนเมื่อรู้สึกตัวถึงจะรู้ว่า ตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านที่ตัวเองสร้างไว้
อย่างไม่ตั้งใจแล้ว

มาเป็นช่างไม้กันเถอะ คิดถึงบ้านของตัวเอง ตะปูที่ตอกลงไปทุกวัน
เหมือนกับเพิ่มไม้ลงไปหนึ่งแผ่น หรือว่าสร้างหน้าต่างขึ้นมาสักบาน
ใช้ปัญญาของท่านสร้างให้ดีๆ ชีวิตของท่าน คือสิ่งสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเดียวของท่าน
ไม่สามารถทะลายลงแล้วสร้างใหม่ได้ แม้จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงหนึ่งวัน
ในหนึ่งวันนั้นก็ขอให้มีชีวิตอย่างสวยงาม สง่าผ่าเผย มีป้ายที่กำแพงเขียนว่า
(ชีวิตสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง)

               

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.97 Chrome 25.0.1364.97


ดูรายละเอียด
« ตอบ #89 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 14:23:55 »



             

๗๒. ใหญ่เล็กไม่แตกต่าง

นักบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถัง ได้ถามพระอาจารย์เซนว่า
“ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า เขาพระสุเมรุซ่อนเมล็ดพันธุ์ผักกาด
เมล็ดพันธุ์ผักกาดบรรจุเขาพระสุเมรุทั้งลูก เป็นเรื่องที่แปลก
ประหลาดจนเกินไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ผักกาดเล็กๆจะหล่อหลอม
รวมภูเขาทั้งลูกได้อย่างไร ? แสดงว่านี่ไม่เข้าใจถึงหลักการที่ถูก
ต้อง คงจะเป็นการหลอกลวงผู้คนมากกว่า”

“มีคนพูดว่า เจ้าอ่านหนังสือไปแล้วเป็นหมื่นเล่ม มีเรื่องเช่นนี้หรือเปล่า?”
“แน่นอน แน่นอน ข้าพเจ้าอ่านไปเป็นหมื่นเล่มจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น หนังสือที่อ่านไปเป็นหมื่นเล่ม เวลานี้อยู่ที่ไหน?”
อำมาตย์ท่านนั้นชี้ไปที่สมองแล้วพูดว่า “ทั้งหมดอยู่ที่นี่”

“แปลกจัง ข้าเห็นหัวของเจ้าโตเท่าลูกมะพร้าวเท่านั้น ทำไมถึงใส่หนังสือ
ได้ถึงหมื่นเล่ม สงสัยเจ้าก็หลอกลวงผู้อื่นหรือเปล่า?”

             

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.97 Chrome 25.0.1364.97


ดูรายละเอียด
« ตอบ #90 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 15:14:26 »


           

๗๒. ๑ ตะแกรงสามอัน

มีคนคนหนึ่งกระหืดกระหอบไปหานักปรัชญาท่านหนึ่ง
แล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้ามีข่าวจะมาบอกกับท่าน”
นักปรัชญาชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
“เรื่องที่ท่านจะเล่าร่อนผ่านตะแกรงมาสามครั้งแล้วหรือยัง?”
ชายคนนั้นไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร? จึงถามขึ้นว่า
“ตะแกรงสามอัน ตะแกรงสามอันไหน?”

“ตะแกรงอันแรกคือ ความจริง ข่าวที่ท่านจะเล่าเป็นความจริงหรือเปล่า?”
ชายนั้นตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าฟังมาจากที่เขาเล่า”

นักปรัชญาพูดต่อว่า “ตอนนี้เจ้าไปลองใช้ตะแกรงอันที่สองไปตรวจสอบดู
ข่าวที่ท่านจะบอกข้า แม้จะไม่ใช่ความจริง แต่ก็ควรจะเป็นข่าวที่มีเจตนาดี”
ชายนั้นลังเลสักครู่แล้วพูดว่า “ไม่ เป็นเจตนาตรงข้ามกันเลย”

นักปรัชญาพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเราใช้ตะแกรงอันที่สาม
ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ข่าวที่ทำให้เจ้าเร่งรีบอย่างนี้เป็นข่าวสำคัญหรือเปล่า?”
ชายคนนั้นรู้สึกเขินนิดๆ แล้วตอบว่า “ไม่ได้สำคัญอะไร?”

นักปรัชญานั้นพูดต่อว่า “เรื่องที่เจ้าจะเล่าให้ข้าฟัง ไม่ใช่เรื่องจริงแล้วก็
ไม่ได้มีเจตนาดี แล้วก็ไม่สำคัญ งั้นก็อย่าเล่าเลย ข่าวนั้นจะได้ไม่รบกวนจิตใจ
ทั้งของเจ้าและของข้า”

อย่าได้เชื่ออะไรง่ายๆต่อคำพูดที่มีผู้พูดให้ร้ายคนอื่น
นอกจากเจ้าจะรู้จริงๆว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง
และไหนๆถ้าเจ้ารู้ความจริงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง
นอกจากเจ้าจะคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกให้ผู้อื่นรับรู้
และขณะที่เจ้าพูด พึงนึกไว้เสมอว่า เบื้องบนก็กำลังฟังเรื่องราว
จากปากของเจ้าเหมือนกัน

มีคำพังเพยบทหนึ่งกล่าวว่า
“คำพูดดีๆหนึ่งคำอาจทำให้คนหัวเราะได้
คำพูดร้ายๆหนึ่งคำก็อาจทำให้คนกระโดดขึ้นมาได้เหมือนกัน”

บ่อยครั้งที่คำพูดของเราทำให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์หรือเปล่า?
หรือทำความเสียหายให้ผู้อื่น? หากก่อนจะพูดได้ผ่านการไตร่ตรอง
มาครั้งหนึ่งก่อนแล้วเจ้าจะรู้ว่า มีหลายๆคำพูดที่ไม่มีความจำเป็นต้องพูดออกมา

การฝึกฝนเช่นนี้บ่อยๆจะทำให้เราสามารถควบคุมลิ้นของเรา
ไม่ให้พูดเพ้อเจ้อออกมา
แล้วไปทำร้ายผู้อื่น เมื่อคนเราสามารถควบคุมลิ้นได้
ก็สามารถควบคุมทุกอย่างในตัวได้

ในคัมภีร์ก็มักพูดว่า
“พูดมากอาจผิดพลาดได้ง่าย รู้จักสงบวาจาคือการมีปัญญา
ต่อแต่นี้ไป ขอให้เจ้าระวังสิ่งที่เจ้าจะพูดออกมา
ก็จะทำให้นาวาชีวิตของเจ้ามุ่งหน้าไปสู่ทิศทางที่ต่างจากเดิม

           
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.97 Chrome 25.0.1364.97


ดูรายละเอียด
« ตอบ #91 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 15:40:27 »


           

๗๒. ๒ ยืนหยัดอยู่ในคุณค่าของตัวเอง

มีลูกศิษย์คนหนึ่งมักจะคอยถามพระอาจารย์ด้วยคำถามเดิมๆทุกวัน
“อาจารย์ครับ อะไรคือคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงครับ?”
วันหนึ่งพระอาจารย์นำก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วพูดกับศิษย์ว่า
“เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปขายที่ตลาด แต่ไม่ต้องขายจริงๆหรอกนะ
เพียงแต่ให้คนตีราคาก็พอ แล้วคอยดูว่า แต่ละคนจะตีราคาก้อนหิน
ก้อนนี้สักเท่าไร?”

ลูกศิษย์นั้นจึงนำก้อนหินไปขายที่ตลาด บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้
ใหญ่ดี สวยดีให้ราคาสองบาท บางคนก็บอกว่าก้อนหินก้อนนี้มาทำเป็น
ลูกตุ้มชั่งน้ำหนักได้ ก็ตีราคาให้สิบบาท ที่สุดแต่ละคนก็ตีราคาไปต่างๆ
นานา แต่ราคาที่ให้สูงสุดคือสิบบาท ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ กลับไปบอกอาจารย์ว่า
“ก้อนหินที่ไม่มีประโยชน์อะไรนี้ ยังขายได้ถึงสิบบาท น่าจะขายออกไปจริงๆ”
อาจารย์พูดขึ้นว่า“อย่าเพิ่งรีบขายก่อน ลองพาไปขายในตลาดทองคำดู
แต่ก็อย่าขายออกไปจริงๆ”

ลูกศิษย์จึงนำก้อนหินก้อนนั้นไปขายในตลาดทองคำ เริ่มต้นมีคนตีราคาให้
หนึ่งพันบาท คนที่สองตีราคาให้หนึ่งหมื่นบาท สุดท้ายมีคนให้ถึงหนึ่งแสนบาท
ลูกศิษย์รู้สึกดีใจ รีบกลับไปรายงานพระอาจารย์ถึงผลพลอยได้ที่นึกไม่ถึง
พระอาจารย์กล่าวต่อไปอีกว่า “นำก้อนหินนี้ไปตีราคาที่ตลาดเพชร”
ลูกศิษย์จึงนำไปที่ตลาดค้าเพชร คนแรกให้ราคาหนึ่งแสน สองแสน
สามแสน ไปเรื่อยๆ เมื่อพ่อค้าเห็นไม่ยอมขายสักที จึงให้เขาตีราคาเอง
แต่ลูกศิษย์นั้นกล่าวว่า “พระอาจารย์ไม่ให้ขาย” จึงนำก้อนหินนั้นกลับไป
พูดกับพระอาจารย์ว่า “ก้อนหินก้อนนี้คนให้ราคาถึงเรือนแสนแล้ว”

“ใช่แล้ว ตอนนี้อาจารย์ไม่อาจสอนเจ้าถึงเรื่องคุณค่าของชีวิตเพราะ
เพราะเจ้ามองชีวิตของเจ้าเหมือนกับการตีราคาของตลาด คุณค่าของชีวิต
คนเรา ควรจะอยู่ในจิตใจของตนเอง ต้องมีสายตาของนักค้าเพชรที่เก่งที่สุด
เสียก่อน จึงจะมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตคนเรา”

คุณค่าของคนเรา ไม่ได้อยู่ที่ราคาที่อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่เราให้ราคาของตัวเอง
ราคาของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ ยอมรับตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง
ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต พวกเราก็จะกลายเป็น “สิ่งที่มีค่าจนประเมินไม่ได้”

อุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ความทุกข์ที่โหม
กระหน่ำ ก็มีความหมายอยู่ในตัวของมัน

               
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.97 Chrome 25.0.1364.97


ดูรายละเอียด
« ตอบ #92 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 15:44:01 »


       

๗๒. ๓ แม่ไก่ที่มีปัญญาและเมตตา

ศูนย์วิจัยเกี่ยวกับสัตว์แห่งหนึ่งของยุโรป มีอาจารย์ท่านหนึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับ
ไก่ เขาเอาใจใส่และเฝ้าสังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของไก่แต่ละชนิดอย่างละเอียด
วันหนึ่ง เขาได้พบไข่ของไก่ป่าหลายฟองในป่า เขาจึงพาไข่ของไก่ป่านั้นกลับไป
พอดีมีแม่ไก่ตัวหนึ่งออกไข่มาหลายใบ เขาจึงหยิบไข่ของแม่ไก่นั้นออกไป แล้ว
หยิบไข่ของไก่ป่าใส่แทน แม่ไก่นั้นเห็นแล้วก็ลังเลสักครู่ แต่ก็รีบไปฟักไข่
นั้นอย่างเดิม ดูแล้วอ่อนโยนและระมัดระวังยิ่งนัก เหมือนกับกำลังฟักไข่
ของตนเองปานนั้น

ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ไก่ป่าน้อยก็แตกออกมาจากไข่ แม่ไก่ก็พาพวกเขา
ไปในป่าใกล้ๆ ใช้ตีนคุ้ยเขี่ยดินให้ร่วนออกมา เพื่อหาหนอนที่อยู่ใต้ราก
แล้วร้องเรียกให้ไก่ป่าน้อยเหล่านั้นมากิน

นักวิจัยนั้นรู้สึกตกตะลึง เพราะเมื่อก่อนนั้นลูกไก่ของแม่ไก่นี้ เคยกินแต่อาหารสัตว์
ที่คนนำมาให้กิน แต่ครั้งนี้แม่ไก่กลับรู้ว่า ไก่ป่าน้อยไม่กินอาหารสัตว์
กินแต่อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

                 

อีกครั้งหนึ่งที่นักวิจัยนั้นทดลอง นำเอาไข่เป็ดมาให้แม่ไก่นั้นฟัก
แม่ไก่นั้นก็ยังคงฟักไข่ออกมาอย่างระมัดระวัง จนกลายเป็นลูกเป็ดน้อย
แล้วก็พาลูกเป็ดน้อยนั้น ไปที่ริมสระ แล้วให้ลูกเป็ดเหล่านั้นได้ว่ายน้ำ

สองเรื่องราวเหล่านี้ทำให้นักวิจัยนั้นเข้าใจถึงหลักการที่คนเรามักจะนึกว่า
สัตว์นั้นโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความรู้สึก
แต่จริงๆแล้ว สัตว์ก็มีความรักความเมตตา และมีปัญญาอยู่ในนั้นด้วย

 
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 25.0.1364.97 Chrome 25.0.1364.97


ดูรายละเอียด
« ตอบ #93 เมื่อ: 07 มีนาคม 2556 15:49:25 »


           

๗๓. เจริญสติในชีวิตประจำวัน

มักจะมีผู้ถามบ่อยๆว่า จะบำเพ็ญภาวนาอย่างไร?
และควรจะปฏิบัติธรรมวิธีไหน?
แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าสามารถปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้
ปฏิบัติในสิ่งแวดล้อมที่มีมายาและกิเลสได้

ลูกชายของคนทำขนมปังคนหนึ่ง เป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
และเนื่องจากมีบ้านอยู่ใกล้วัด จึงนำขนมปัง 10 ลูก ไปถวายให้กับ
พระอาจารย์ที่วัดทุกวัน เมื่อพระอาจารย์รับประเคนแล้ว
ก็จะเหลือลูกหนึ่งให้นำกลับไปทุกครั้ง และพูดกับเขาว่า
“ข้ามอบให้กับเจ้า ไว้คุ้มครองลูกหลานของเจ้าต่อไปในภายภาคหน้า”

วันหนึ่ง ชายหนุ่มนั้นคิดในใจว่า “ข้าส่งขนมปังไปให้ ทำไมต้องส่งกลับคืนมาด้วย
ท่านอาจารย์ต้องมีความนัยอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่”
ดังนั้นชายหนุ่มนั้นจึงถามพระอาจารย์ถึงเรื่องนี้
พระอาจารย์ตอบว่า “ขนมปังเป็นสิ่งที่เจ้านำมา และข้ากลับมอบคืนให้เจ้า
ข้าทำผิดตรงไหน?”

ชายหนุ่มนั้นเคยมีวาสนาต่อการปฏิบัติมาก่อนจึงเข้าใจ
ได้ทันทีว่า เหตุปัจจัยที่ตนเองสร้างมา ย่อมจะต้องเป็นผู้รับผลอันนั้น
คิดได้ดังนั้นแล้ว จึงขอบวชกับพระอาจารย์นั้น

พระอาจารย์พูดต่อว่า “ในอดีตเจ้าเคยสร้างแต่บุญกุศล
และตอนนี้ยังเชื่อฟังคำของข้า ต่อแต่นี้ไปให้เรียนธรรมและอยู่ปฏิบัติใกล้ชิดกับข้า

ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง วันหนึ่ง พระหนุ่มนั้น นำเอาความสงสัยเรื่องหนึ่งไปถาม
พระอาจารย์ว่า “หลังจากที่ศิษย์บวชเรียนมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้รับคำชี้แนะ
เคล็ดวิธีในการปฏิบัติปฏิบัติธรรมเลย”

พระอาจารย์ตอบด้วยเสียงเรียบสงบว่า “ทำไมจะไม่ได้สอนธรรมะให้เจ้า
เจ้ายกน้ำชามา ข้าก็รับไว้ เจ้ายกข้าวมา ข้าก็กิน เมื่อเจ้าแสดงความคารวะ
ข้าก็พยักหน้ารับ ตรงไหนไม่ใช่เคล็ดวิธีในการปฏิบัติธรรม?
หากอยากจะเห็นจิตของตนเอง ก็จะเห็นได้ทันที
หากย้ำคิด จะเดินผิดทางทันที
พระหนุ่มนั้นเข้าใจถึงคำสอนได้ในทันทีเหมือนกัน

การปฏิบัติธรรมหนีไม่พ้นจากเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
หากให้แยกออกจากชีวิตที่เป็นอยู่ในแต่ละวัน
จะรู้ธรรมได้ยาก การเดิน ยืน นอน นั่ง การเคลื่อนไหวนิ่งเงียบ
ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่ใช่เครื่องมือทำสติ เพียงแค่รู้อยู่ในปัจจุบันขณะ
ใช้จิตรู้ได้ทันท่วงที ทุกๆสิ่งคือหนทางแห่งมรรค

         
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 ... 3 4 [5]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.209 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 08 กุมภาพันธ์ 2567 07:58:54