[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 03:18:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มัจจุราช พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  (อ่าน 2193 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
That's way
นักโพสท์ระดับ 9
****

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

United States United States

กระทู้: 601


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 22.0.1229.94 Chrome 22.0.1229.94


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2555 10:56:51 »

มัจจุราช

http://img199.imageshack.us/img199/4074/paragraphparagraph669.jpg
มัจจุราช พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


พระธรรมเทศนาโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๕


วันนี้จะเทศน์เรื่อง ความเป็นใหญ่มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวงหมด ซึ่งใครๆ ไม่สามารถจะลบล้างได้ นั่นคือ “มัจจุราช” ผู้มีเสนามาก มีอยู่ในตัวของเรานี้ทั้งหมด มัจจุราชก็ไม่ใช่อื่นไกล คือ “ความตายนั่นเอง” ทุกๆ คนต้องมีความตายด้วยกันทั้งนั้น หนีความตายไม่พ้นสักคนเดียว ท่านจึงว่าเป็นใหญ่เหนือคนทั้งปวงหมดในโลกนี้ ไม่ว่าใครจะใหญ่แค่ไหนก็ตามเถอะจะต้องอยู่ในอำนาจของเขาทั้งนั้น ดังพระพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า “ขตฺติเย พราหมเณ เวสฺเส สุทฺเท จณฺฑาลปุกฺกุเส นกิญฺจิ ปริวชฺเชติ สพฺพเมวา ภิมทฺทติ” ความว่า กษัตริย์พราหมณ์ก็ดี พ่อค้าวาณิชก็ตาม คนกวาดถนนก็ชั่ง แม้แต่คนที่ต่ำทรามที่สุดในสมัยนั้น คือ คนพวกผสม เรียกว่า จันฑาล เหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในอำนาจครอบครองของมัจจุราชด้วยกันทั้งนั้น กษัตริย์ถึงแม้มีอิทธิพลมีทแกล้วทหารทัพหลายหมู่ก็ตามจะรบราฆ่าฟันด้วยวิธีต่างๆ อย่างสมัยนี้เรียกว่า ปืนกล ปืนใหญ่ ลูกระเบิด ก็เอาเถอะ ไม่สามารถที่จะสู้มันได้

คำที่ว่ากษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี จะเล่าเรื่องความเป็นมาสักนิดหน่อย กษัตริย์ทีแรกก็เป็นคนชาวบ้านเหมือนกันกับพวกเรานี่แหละ เมื่อไม่มีหัวหน้าที่จะปกป้องรักษาหมู่เพื่อน เขาจึงได้เลือกเอาคนที่มีคุณธรรมน่าเคารพสักการะนับถือบูชา ขึ้นมาปกครองหมู่เพื่อน ดูแลความสุขทุกข์ และระงับการทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน ให้มีระเบียบเรียบร้อย ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็เก็บข้าวส่งส่วยสาอากรไม่ต้องทำไร่ทำนา จึงเรียกว่า กษัตริย์ ซึ่งแปลว่า ข้าวเปลือก ต่อมาผู้คนมากขึ้นคนก็แตกเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ และเกิดทะเลาะวิวาทกัน หัวหน้าต้องออกปราบด้วยตนเอง ที่เรียกว่า นักรบ ต่อมาก็ขยายกำลังคนออกไปจนกระทั่งตั้งเป็นกองร้อยกองพัน กองพล ใช้กันแต่สมัยโน้นจนในปัจจุบันนี้ก็ยังใช้อยู่ กษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นจอมทัพเสียเอง

คำว่าพราหมณ์วงศ์ หรือ วงศ์ของพราหมณ์แท้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ไตรเภทให้จบเสียก่อน แล้วไปเที่ยวขอทาน ได้มาก็เอาไปบูชาพระคุณของอาจารย์ตามสมควร จึงออกประพฤติพรตพรหมจรรย์ เจริญฌานสมาบัติ ได้ฌานสมาบัติ เมื่อดับขันธ์แล้วก็เกิดในพรหมโลก นี่แหละพราหมณ์แท้ทีเดียว คือ พรหมนั่นเอง อีกพวกหนึ่งศึกษาเล่าเรียนจบไตรเภท ทดแทนบุญคุณอาจารย์แล้ว เข้ามารับราชการเป็นครูเป็นปุโรหิตาจารย์ สำหรับให้คำแนะนำหรือสอนพระเจ้าแผ่นดิน พวกต่ำไปกว่านี้อีก ก็เที่ยวขอทานเขากิน ตามเมืองน้อยเมืองใหญ่พราหมณ์เหล่านี้แต่งงานกันได้ ในหมู่พวกพราหมณ์ด้วยกันเองไม่ผสมกับพวกอื่น และเฉพาะนางพราหมณ์ที่มีประจำเดือนแล้วเท่านั้น อีกพวกหนึ่งสำส่อน คือว่า แต่งงานกันได้กับพวกที่ไม่ใช่พราหมณ์ด้วยกัน เขาถือกันว่าเป็นพราหมณ์ชั้นเลวที่สุด

กษัตริย์ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ในหมู่มนุษย์ด้วยกันทั้งหมดเขาถือกันว่า กษัตริย์ประเสริฐกว่า เพราะเขานิยมสมมุติบัญญัติกันมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ เมื่อพูดถึงสิทธิ์ของมัจจุราชแล้ว จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณฑาล หรืออะไรก็ตามเถิด จะต้องอยู่ในอำนาจของมัจจุราชทั้งนั้น มัจจุราชจะบัญชาให้ตายวันไหนเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องมีคำอุทธรณ์อีกแล้วทั้งหมดนี้ถูกมัจจุราชล้อมวงไว้หมด ไม่อาจหนีออกนอกขอบข่ายของมัจจุราชได้สักคนเดียว จะทำศึกสงครามหรือจะรบรากันด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม จะรบกับมัจจุราชจะรบที่ไหนกัน เรากะเกณฑ์พลขึ้นมาหลายหมู่หลายเหล่า ตั้งกองทัพขึ้นมาก็ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตของมัจจุราชทั้งนั้น เสนาของมัจจุราชก็คือ ความเจ็บ ความป่วยความแก่ ความเฒ่า ขณะที่เตรียมทัพอยู่นั่นแหละ ลองดูพวกพลเหล่านั้นแหละ มีแก่ไหม มีเจ็บไหม โรงพยาบาลก็ยังมีอยู่ ไปไหนๆ ก็มีหมอรักษาอยู่ และผลที่สุดความตายก็มาถึงยังไม่ทันรบกับพญามัจจุราช ตายเสียก่อนแล้วก็มี พญามัจจุราชนั่นนะ มีเสนามารมากเสนามัจจุราชจะต้องตีปีกซ้ายปีกขวา ทัพหน้าทัพหลังสารพัดทุกอย่าง ตัวของเราก็ลองคิดดูซี ตั้งแต่เกิดมามี เจ็บ ป่วย ปวดโน่น ปวดนี่ มีแก่ มีเฒ่ามาโดยลำดับนั่นแหละเรียกว่า เสนามัจจุราชมันตี มันไม่เข้าโจมตีทีเดียวหรอกมันตีปีกซ้าย ปีกขวา ทอนกำลังให้อ่อนลงเสียก่อน ในผลที่สุดต้องนอนอยู่กับเสื่อกับหมอน ไปไหนก็ไม่ได้ หายใจแขม็บๆ นั่นแหละพญามัจจุราชจะซ้ำ มัจจุ คือ ความตาย ไปไหนไม่รอดสักคนเดียว

เราเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ต่างๆ ก็ตามเถอะ เรียกว่าอยู่ในแวดวงของมัจจุราชทั้งนั้น หรือเปรียบเหมือนกับอยู่ในคุกในตะราง (รอความตาย) ด้วยกันทุกคน จะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเป็นผู้ดีวิเศษวิโสเท่าไรก็ชั่ง แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สรีระร่างกายของพระองค์ยังปล่อยให้พญามัจจุราชทำลายได้ แต่ตัวจิตของพระองค์เป็นผู้พ้นแล้ว ไม่ยอมให้มัจจุราชข่มขี่ได้เลยแล้วเราทั้งหลายล่ะ จะมามัวเพลิดเพลินลุ่มหลง อะไรกัน ประมาทอะไรกันในโลกนี้ เมื่อคิดถึงมัจจุราชความตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นที่ลุ่มหลง ไม่มีอะไรที่เพลิดเพลินเลย เขาจะเอาเราไปเมื่อไรก็ได้ เราอยู่ในอำนาจของเขา เขาบัญชาให้ตาย ให้เจ็บ ให้ป่วย เมื่อใดก็ได้ จะให้อยู่ให้ไปก็ได้ ชื่อว่าอยู่ในเงื้อมมือของมัจจุราช ซึ่งไม่ผิดอะไรกับโจรเรียกค่าไถ่ โจรเรียกค่าไถ่แล้วก็ยังสนุกสนานเฮฮาอยู่ ควรที่จะคิดถึงตัว หาอุบายเอาตัวรอดให้พ้นจากเงื้อมมือของโจร ด้วยการทำความดี อุบายอะไร ที่จะช่วยให้พ้นเงื้อมมือของเขา จงใช้อุบายนั้นๆ ด้วยการทำทาน รักษาศีล สมาธิภาวนา จึงจะเป็นการพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชโดยลำดับ

รักษาศีล จะเอาศีลห้า ศีลแปด หรือ ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก็เอา แล้วแต่ศรัทธาและความสามารถของตนรักษาศีลก็คือ งดเว้นจากโทษนั้นๆ อันเป็นเหตุให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชเป็นเปลาะๆ ไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าเป็นอุบายให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช พระองค์สอนให้ปฏิบัติตนให้พ้นจากความชั่ว ความชั่วมันค่อยหมดไปจากตัวของเราโดยลำดับดังนี้ นี่แหละเรียกว่าพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช ถ้าทำชั่วหนักเข้ายิ่งตายเร็ว ยิ่งตายไม่รู้แล้วรู้รอดไปสักที โวหารกรรมฐานพูดกันว่า “กลัวตาย คือกลัวจะไม่ได้ตายหลายหน” สละความตายนะ หมดห่วงหมดกังวล จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์จะไม่ได้กลับมาตายอีก

การทำสมาธิ ง่ายที่สุดก็คือ เราชำระจิตใจของเราไม่ให้กังวลเกี่ยวข้องสิ่งทั้งปวงหมด ไม่ข้อง ไม่ติด ปล่อยวางเฉยจิตใจสว่างใสสะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ จะหมดจากเวร จากกรรม

เวรอันหนึ่ง กรรมอันหนึ่ง ไม่เหมือนกัน เวร คือ การกระทำสิ่งใดที่ผูกเวรกัน เกี่ยวพันกัน อย่างที่ท่านเล่าไว้เรื่อง “ยักขิณี กับ นางกุลธิดา” เรื่องมันยืดยาว เล่าสั้นๆ ก็คือว่าหญิงคนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียว ปฏิบัติแม่ทุกเช้าค่ำ แม่คิดสงสารจะหาภรรยาให้ช่วยปฏิบัติแม่ ลูกชายบอกว่าอย่าเลย ปฏิบัติคนเดียวดีกว่าหลายจิตหลายใจนักปฏิบัติไม่ถูกใจกันหรอก จะทะเลาะวิวาทกัน แม่พูดอยู่สองหนสามหน ในที่สุดแม่ไม่บอกให้ลูกชายทราบ ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาอยู่ด้วยกันมาหลายปีก็ไม่มีลูก จึงไปหาหญิงอีกคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาน้อย ภรรยาคนใหม่นี้มีลูก ภรรยาหลวงคิดว่าเมื่อเขามีลูกแล้ว เขาจะเป็นใหญ่กว่าตัว อิจฉาเบียดเบียน จึงพยายามเอายาแท้งลูกใส่ในอาหาร โดยที่ภรรยาน้อยไม่รู้ ลูกจึงได้แท้งไปถึงสองครั้ง ครั้งที่สามจึงรู้ว่าภรรยาหลวงทำให้แท้ง พร้อมทั้งตัวก็ตายไปพร้อมกับลูก จึงผูกเวรกันว่าชาติหน้าขอให้กูได้ฆ่าลูก**ถึงสองครั้ง ครั้งที่สามขอให้กูฆ่า**พร้อมด้วยลูกด้วย ภรรยาน้อยตายไปเป็นแมวภรรยาหลวงตายไปเป็นไก่ ออกไข่มาสองครั้ง แมวก็เอาไปกินเสีย ครั้งที่สามแมวนั้นก็เอาแม่ไปกินพร้อมทั้งไข่ แมวตายไปเกิดเป็นเสือ ส่วนไก่ตายไปเกิดเป็นกวาง พอกวางออกลูกมา เสือก็เอาไปกินถึงสองครั้ง ครั้งที่สามเลยกินไปพร้อมแม่กวางด้วย กวางตายไปเกิดเป็นนางกุลธิดา เสือตายเป็นยักขิณี นางกุลธิดาคลอดลูกมาก็ถูกนางยักขิณีมาลวงเอาไปกินถึงสองครั้ง พอคลอดลูกครั้งที่สาม ก็กลัวนางยักขิณีจะมาลวงเอาไปกินอีก เลยชวนสามีหอบลูกหนีจากบ้านไปทางที่พระองค์กำลังเทศนาอยู่ เมื่อนางยักขิณีตามหานางกุลธิดาไม่เห็น ได้ทราบข่าวว่านางหนีไปทางโน้นก็วิ่งตามไป พอดีไปเจอนางอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เทศนาให้คู่เวรทั้งสองฟัง จึงได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ผูกมิตรให้เป็นมิตรสหายกัน เป็นอันจบเวรกันเท่านั้น พระพุทธเจ้าเทศน์ว่า เธอทั้งสองหากไม่ได้พบตถาคตแล้ว จะก่อเวรกันเป็นเอนกอนันต์ชาติทีเดียวนี่เธอทั้งสองนับว่าโชคดีได้มาพบเราตถาคตเสียก่อน เวรจึงจบลงเพียงแค่นี้ นางยักขิณีเกิดความสังเวชถึงกับน้ำตาตก เวรก็เวียนให้ผลตอบแทนซึ่งกันและกันนั่นเอง

กรรม คือ การกระทำด้วย กาย วาจา ใจ เพียงแค่คิดนึกอยากจะฆ่าจะแกงเขา คิดอิจฉาริษยาพยาบาทเขา อันนั้นก็เป็นมโนกรรมและเป็นบาปแล้ว แต่ไม่ถึงกับทำบาปพร้อมด้วยอาการสามยังแก้ไขด้วยตนเองได้อยู่ มโนกรรมนี้ถ้ารู้แล้วแต่ไม่กลับแก้ตัว สามารถนำบุคคลไปอบายภูมิได้เหมือนกัน ส่วนมโนกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้ว เราคิดชั่วแล้วกลัวบาปกรรม กลับทำความดีเสีย ก็พ้นจากกรรมนั้นๆ ได้ ให้เข้าใจถึงเรื่องกรรมเรื่องเวร เวรและกรรมมันต่างกันอย่างนี้

ว่าถึงเรื่องมัจจุราชอีกที มัจจุราชนี้มองอยู่ตลอดเวลา มองเห็นเราอยู่ทุกเมื่อ ใครจะหลีกลี้ทำอะไรอยู่ก็ตาม มัจจุราชเห็นอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ท่านว่า ทำความชั่วไม่มีที่ลับ (ที่ลับไม่มีในโลก) ทำความชั่วไม่มีการปกปิด สู้ทำความชั่วความผิดนั้นๆ เปิดเผยเสียดีกว่า อย่างเราโกรธคนอื่น เขาไม่รู้แต่มัจจุราชรู้แล้วเราไปบอกคนนั้นเสีย ฉันโกรธเธอโว้ย ให้อภัยฉันเสียเถิด คนนั้นจะหัวเราะเลยให้อภัยทันที ถ้าหากปกปิดไว้มัจจุราชตามรู้และเบียดเบียนอยู่เสมอ จึงว่าอย่าทำกรรมชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประสมกันเป็นก้อนที่เรียกว่า มนุษย์ สัตว์ เหล่านี้ เป็นที่ตั้งของมัจจุราชพร้อมด้วยเสนาของมัน เมื่อประสมกันเป็นก้อนขึ้นมาในที่ใด ก้อนอันนั้นต้องมีความเจ็บป่วย คือ เสนามัจจุราช และดับไปในที่สุดจึงเรียกว่าเป็นที่มองของมัจจุราช ก้อนอันนั้นไม่ว่าจะก้อนเล็กก้อนใหญ่ คนมี คนจน กษัตริย์ พราหมณ์มหาศาล ที่สุดแม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกของพระองค์ก็ไม่พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช เพราะธาตุสี่ ขันธ์ห้า ประชุมกันในที่ใดก็เป็นวิสัยของมัจจุราชจะต้องตามผจญอยู่ตลอดเวลา ดังพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์แท้ๆ ยังไม่พ้นจากถูกโจรทุบตีจนกระดูกแตกย่อยยับเป็นจุลวิจุลไปเลย แต่ยังดีที่ท่านใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ทำยุทธวิธีต่อสู้กับมัจจุราช พิจารณาเห็นสังขาร คือ รูปนามตามความเป็นจริงอย่างไรแล้ว ปล่อยวางสังขารได้ โจรจะทุบตีก็ทุบตีไปมัจจุราชกับมัจจุราชทุบตีกันเท่านั้น ส่วนจิตใจของท่านไม่มีใครจะทุบตีได้

พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ท่านเอาชนะมัจจุราชด้วยยุทธวิธีอย่างนี้ ท่านจึงไม่เดือดร้อน ในเมื่อร่างกายยังมีอยู่ เวลาอาพาธหนักๆ หรือจะตายก็ยอมตาย สละหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แม้แต่ความตายก็ยอมให้ตายเป็นหมดเรื่องกันไม่ต้องถือว่าอันนั้นตายอันนี้ตาย ธรรมชาติมันหากเกิดตายอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไร เราเกิดมาจะถือว่าเราตายหรือไม่ ความตายมันก็ไม่ว่าอะไร เราผู้ถือหากเป็นทุกข์ต่างหาก

ขอทุกๆ คนจงตั้งใจทำสมาธิต่อสู้กับมัจจุราช ด้วยการสละความเจ็บปวดต่างๆ ให้ถึงที่สุด คือ ความตาย แล้วความตายจะไม่ปรากฏในสมาธิภาวนาเลย จะมีแต่ความเยือกเย็นถ่ายเดียว อันนี้เป็นวิธีเอาชนะมัจจุราช มัจจุราชอยู่ตรงไหนให้มอบมัจจุราชให้มันเสีย


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

อยากสูงต้องเขย่ง
  อยากเก่งต้องขยัน
คำค้น: มัจจุราช ธรรม ธรรมะ ธรรมเทศนา พระธรรมเทศนา หลวงปู่เทสก์ ศาสนา พุทธ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ศรัทธา โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
เงาฝัน 0 2351 กระทู้ล่าสุด 11 กุมภาพันธ์ 2553 13:11:05
โดย เงาฝัน
สังวรอินทรีย์(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 3 3473 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2554 15:12:37
โดย เงาฝัน
คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛ 0 1632 กระทู้ล่าสุด 08 เมษายน 2555 14:46:59
โดย 時々๛कभी कभी๛
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ให้ธรรมโอวาท
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 1 2407 กระทู้ล่าสุด 24 เมษายน 2555 21:18:49
โดย เงาฝัน
ความโง่ของคนโง่ :หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 1593 กระทู้ล่าสุด 01 สิงหาคม 2555 19:42:23
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.422 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 03 กันยายน 2566 10:54:00