[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 16:41:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปีนัง.. รังญาเซโด  (อ่าน 2396 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553 04:13:58 »


"เขียวที่รัก"
คงพอจะจำเรื่องนี้กันได้นะครับ..
แต่ในภาคนี้เอามาแอ๊บใหม่ เพราะข้อมูลที่เขียนลงไว้ในอกาลิโกหายไปพร้อมกับเว็บฯหมดแล้ว
คงเหลือแต่ท่อนกลางที่ไปค้นหามาได้ ขาดหัวกะท้าย แต่ก็ไม่เสียดายครับ เพราะถือคติที่ว่า..
นิยายเป็นของนอกกาย ไม่ตายเสียก็เขียนเอาใหม่ได้..  ตลก

ก็เลยกะว่าจะเอามาเรียบเคียงเรียงร้อยใหม่ ในชื่อใหม่.. ปีนังรังญาเซโด
อย่าเพิ่งสงสัยชื่อเรื่องนะครับ ตอนนี้ขอให้เห็นสักแต่ว่าเห็นไปก่อน..   โอ๊ะ
แล้วจะมาเฉลยตอนจบ พร้อมกับความเป็นมาของ"เขียว"ด้วย

เชิญติดตามอ่านได้เลยครับ..
สำหรับผู้ที่เคยอ่านมาแล้ว ขอให้อ่านใหม่อีกรอบน่อ เพื่อความปะติดปะต่อในเรื่องราว..

บริษัทเวิกพ้อยจำกัด... ไม่ให้การสนับสนุน
แต่น แตน แต๊นนน...


ตัดฉากมา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง...

..ผมถูกเพื่อนดองเค็มให้นั่งคอย อยู่ประมาณยี่สิบนาที
ความหิวเริ่มบีบคั้น ให้ตัดสินใจโทรไปอีกที
คราวนี้ได้ผลดีเกินคาด เพราะแค่เรียกหมายเลขขึ้นมายังไม่ทันจะกดปุ่มโทรออก ก็มีเสียงเรียกเข้า
ของหมายเลขที่กำลังจะติดต่อ วิ่งสวนทางกลับมาพอดี
 
ผมรีบเลื่อนนิ้วจากตำแหน่งปุ่มที่กำลังจะโทรออก มายังปุ่มรับสายด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่า ถ้าเป็นรถ
ที่วิ่งสวนทางกันด้วยความเร็วสูงบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ คนขับแทบจะมองกันไม่ทัน ว่ารถของอีกฝ่ายหนึ่งสีอะไร
 
"ถึงแล้ว รีบมารับด่วน แบตฯจะหมด แล้วค่อยคุยกัน"
ตึ๊ด!
 
ผมใช้ภาษาขนาดกระทัดรัด ที่เข้าใจง่าย(สำหรับคนไม่คิดมาก) ไม่ต้องเกริ่นนำ และมีคำลงท้ายให้มากความ
ประโยคเดียวครอบคลุมทุกความรู้สึก
แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ความรู้สึกช้า..
 
ใช้เวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก็ถึงร้านอาหารปักษ์ใต้สไตล์ปีนัง
เป็นร้านขนาดกลาง รูปแบบทรงไทยภาคกลาง สร้างด้วยไม้ครอบปูน
กวาดสายตานับดูคร่าวๆแล้ว ไม่น่าจะเกินยี่สิบโต๊ะ
บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่ง ตกแต่งร้านด้วยภาพเขียนสีน้ำมันแนวแอ๊บสแตร๊ก
ซึ่งไม่ว่าผมจะตะแคงคอทำมุมกี่องศา ทำตาเบลอๆ ดูกี่ครั้ง ก็ยังมองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร
ริมทางเดินและมุมโต๊ะ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องปั้นฯที่ดูคล้ายของเก่า และกระถางต้นไม้เล็กๆ
เอาไว้ผลิตออกซิเจนให้ลูกค้าได้สูดหายใจไปเลี้ยงปอดกันฟรีๆ โดยไม่คิดค่าบริการ
บริกรทั้งชายและหญิงหน้าตาและท่าทางคุ้นๆอยู่ในสมองส่วนรับจำ จะว่าเป็นแขกก็ไม่ใช่ เป็นไทยก็ไม่เชิง
มารู้จากเพื่อนเอาทีหลัง ว่าเป็นลูกหลานเหลน ของคู่ศึกมหาสงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรานี่เอง
เมื่อดูโดยรวมแล้ว ร้านสวยนั่งสบายพอประมาณ..
 
ผู้จัดการร้านรู้จักกันกับเพื่อนที่พามา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่พูดแขกชัดเจนเสียจนฟังไม่ทัน
เวลาพูดต้องยกมือยกไม้ ส่ายหัวด๊อกแด๊ก เหมือนอินเดียไปโน่น เคราะห์ดีไป ที่บริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ใหญ่
ให้อาเฮียแกวิ่งวนรอบระหว่างคุยกัน ไม่อย่างนั้นเราคงต้องเดินวน ตามไปฟัง คงจะเวียนหัวน่าดู
พูดคุยทักทายด้วยภาษาไทยเข้าใจกันดี แต่พอผมแกล้งอำ บอกให้เลี้ยงชุดใหญ่สักมื้อ
กลับฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องขึ้นมาเสียนี่!
 
อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้ครับ..
ไม่บอกก็คงรู้ว่าเป็นร้านอาหารของคนไทย ที่มาเปิดสาขาทำมาหากินที่นี่
อยากให้มากินเนื้อกวางผัดพริกไทยดำสูตรไหหลำ อร่อยดีทีเดียวเชียว(เหมือนสนับสนุนให้มีการฆ่าเลยนิ)
ที่นี่เขามีฟาร์มเลี้ยงกวางไว้กินเองครับ ไม่ได้สั่งมาจากยุโรปเมืองไกล ราคาจึงไม่แพงนัก
เรียกได้ว่าฆ่ากินกันเอง ไม่ได้ยืมมือใครฆ่า ให้กรรมสบช่องต้องสนองหลายทอดออกไปอีก!
 
เมนูอีกอย่างที่อยากจะแนะนำ ก็คงจะเป็นมะม่วง-มันราดกระทิสด
เมนูนี้ไม่มีบาป..
ของหวานจานนี้แยกเป็นมะม่วงและก็มันนะครับ
ส่วนของมะม่วงจะเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ลูกโต ขนาดที่ว่าเฉือนแบ่งมาแล้ว มันยังดูชิ้นใหญ่คับจาน
ส่วนของมันก็คือมันทับ ปิ้งเสียบไม้ที่ขายคู่กับกล้วยทับบ้านเรานั่นล่ะครับ แต่เมนูนี้เอามันมานึ่งแทนที่จะปิ้ง
ไม่ต้องมีวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก
แค่ปอกมะม่วงหั่นเป็นชิ้นโตๆ เรียงใส่จาน ใบเขื่อง วางมันนึ่งร้อนๆใกล้ๆกัน เผื่อว่ามันเหงาคิดถึงบ้าน
จะได้พูดคุยปรับทุกข์กัน ก่อนที่จะโดนชำแหละตัดแบ่งไปกิน
จากนั้นก็เอาหัวกระทิสดราดลงไป โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสี่ห้ากลีบ(ไม่รู้จะโรยมาให้เกะกะทำไม)
แล้วก็มีกับข้าวยืนพื้น อีกสองสามอย่าง (ภาษาของบ้านผม) แปลว่าอาหารปรกติ ที่ทำกินกันเป็นประจำ
ในแต่ละภาค หรือแต่ละท้องถิ่น ไม่ใช่กับข้าวที่ต้องสั่งมายืนกินกันนะครับ...
 
คุยเสียเพลิน อาหารเดินทางมาครบ ระบบช่วยย่อยฯพร้อมทำงาน เสียงเพลงเบาๆในร้านเริ่มทำหน้าที่ขับกล่อม
สัมผัสทั้ง 6 อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย สัมผัสใจ พร้อมที่จะสร้างอุปปาทาน ผ่านอายตนะ
วางอยู่ตรงหน้า ให้ได้ชมชิม..
 
 
กรุ๊งกริ๊งงงงง.... กรุ๊งกริ๊งงงงง !!!!!
ไม่มีใครเข็นรถไอติมเข้ามาขายในร้านหรอกครับ
เป็นเสียงสัญญาณเรียกเข้ามือถือของผมเอง
จากการคัดเลือกเสียงเรียกเข้า จำนวนมากมายหลายสิบเสียง ก็มีเสียงนี้แหละที่เข้าวิน
 
หน้าจอบอก ว่าเป็นเบอร์ของน้องคนสวยรวยอารมณ์ขัน ที่เพิ่งจะจากกันเมื่อสักครู่นี่เอง
โปรแกรมเก็บข้อมูลในมือถือนี่ทั้งฉลาดทั้งเก่งไม่ใช่น้อยเลยนะครับ
บอกแค่ครั้งเดียวก็จำได้แล้ว ว่าหมายเลขไหนเป็นของใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร จำได้หมด
ไม่ยักกะเหมือนผม ที่บอกสักกี่ครั้ง ก็ยังจำไม่ค่อยจะได้
ซึ่งมักจะโดนคุณครูสมัยมัธยมบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าสอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ.. ทำไมนะ!
 
ผมกดปุ่มรับสาย
"สวัสดีครับน้องต่าย(ชื่อของน้องเขา (สงสัยจะเกิดปีกระต่าย))
ถึงที่พัก ตึ๊ด! นาน....."
...แบตฯหมด!
 
เพิ่งจะชมไปแหม็บๆ...
 
ผมขอยืมโทรศัพท์ของเพื่อนโทรกลับไป เพื่อไม่ให้ฝ่ายปลายสายต้องรอนาน
 
"Hello!..." เสียงรับสายสั้นๆ แปลว่าสวัสดี
 
"Hi! " are you fine ? ผมถือโอกาสอำ เพราะปลายสายคงไม่คุ้นกับเบอร์นี้
 
"be fine yes. thank ! already you?"
 
"I am fine. but , a little hungry. " (ภาษาอังกฤษฉบับคิดค้นเอง ไม่มีหลักและกฏเกณฑ์ตายตัว )
 
"you don't to come to are deceive me. I can remember your sound."
 
ปรากฏว่าน้องเขาจับไต๋ผมได้
แสดงว่ายังอำไม่เก่งพอ
 
สรุปว่าน้องเขาโทรมาถามว่าถึงที่พักและกินอะไรแล้วยัง
และอยากชวนให้ออกมากินข้าวด้วยกันกับเพื่อนๆของเค้าอีกสองคน
 
ผมตอบปฏิเสธไป ด้วยความเสียดายเล็กน้อย ด้วยเกรงใจเพื่อนที่ต้องกลับบ้านไปทำงานต่อ
และเกรงใจกับข้าวที่สั่งมาตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าด้วย
ก็เลยออกปากชวนให้แบกหรือลากเพื่อนๆของน้องเขามาทานด้วยกันเสียที่นี่
แต่พอต่างคนต่างคำนวนระยะทางระหว่างกันดูแล้ว ก็ไกลโขอยู่

กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้!
ต่างคนก็เลยต้องต่างกิน ท้องใครท้องท่าน..

 
คุยเรื่องงานกันอีกเล็กน้อย ก็ชวนกันวางสายไปด้วยความละมุนละม่อม..
และคราวนี้ผมจะได้จัดการกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะเสียที..


http://www.tairomdham.net/index.php/topic,474.0.html
ขอบพระคุณทีมาทั้งหมดมากมายค่ะ...

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553 04:24:17 »




เขียวอยู่นี่!  บอกว่า.. เขียวอยู่นี่อี่ๆๆๆๆๆ !
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2553 09:42:18 »

ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้
บันทึกการเข้า
คำค้น: เขียวที่รัก เพียวอกาลิโก  มหากาพย์แห่งความคิด 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
การเสด็จลี้ภัยไปประทับ ณ ปีนัง ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สุขใจ ห้องสมุด
Kimleng 0 10499 กระทู้ล่าสุด 25 มิถุนายน 2557 14:57:34
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.352 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 14 กุมภาพันธ์ 2567 07:23:07