.เปิดตำนาน เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก แห่งวัดพนัญเชิง พระนครศรีอยุธยา วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อโต”
อันเป็นที่ประจักษ์และเชื่อถือถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์
และ “เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” แห่งศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
ผู้สร้างตำนานความรักอันลือลั่นกับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ผู้ครองกรุงอโยยา
ที่ลงเอยด้วยความโศกเศร้าและความตาย
จนเกิดอนุสรณ์แห่งความรักขึ้น ณ บริเวณวัดพนัญเชิงเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา 
หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา
ประวัติการสร้างหลวงพ่อโต เรื่อง-ภาพ : kimleng
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานในพระวิหารใหญ่ มีพุทธลักษณะงดงาม องค์ใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา หน้าตักกว้าง ๒๐ เมตรเศษ สูง ๑๙ เมตร ปรากฏในพงศาวดารว่าสร้างขึ้นในปีชวด พ.ศ.๑๘๖๗ ก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง ๒๖ ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าเลอไท กษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง พระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงสุโขทัย
ไม่ปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่สันนิษฐานกันว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กษัตริย์ผู้ครองกรุงอโยธยา เป็นผู้สร้าง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักความอาลัยและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระนางสร้อยดอกหมาก พระมเหสีราชธิดาพระเจ้ากรุงจีนอภินิหารพระพุทธไตรรัตนนายก(หลวงพ่อโต) สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถวายพระนาม “หลวงพ่อโต” แห่งวัดพนัญเชิงให้ใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” ด้วยทรงเห็นว่าคำว่า “หลวงพ่อโต” เป็นนามพระพุทธรูปที่เห็นมีอยู่หลายที่ที่ตั้งชื่อเดียวกันนี้ จึงทรงถวายพระนามให้ใหม่เพื่อป้องกันการสับสน
ชาวกรุงเก่าให้ความเคารพสักการะและนับถือ “หลวงพ่อโต” มานานนับร้อยๆ ปี ปัจจุบัน “องค์หลวงพ่อโต” ก็ยังคงเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งประเทศและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามากราบไหว้บูชา ทุกคนล้วนมาเพื่อขอพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยคุ้มครองป้องภัยภยันตราย
มีเรื่องเล่าถึงอภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตมากมาย แม้แต้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาก็บันทึกลางร้ายบอกเหตุเสียกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า “เมื่อก่อนกรุงจะแตกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าพแนงเชิงน้ำพระเนตรไหลจดพระนาภี” เหตุการณ์ประหลาดไม่เคยพบเห็นมาก่อนนี้ ทำให้ชาวกรุงเก่าขณะนั้นพากันขนย้ายสมบัติ ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปอยู่ที่อื่น ซึ่งไม่นานไทยก็เสียกรุงให้แก่พม่า
ต่อมา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบินไปทิ้งระเบิดสะพานปรีดีธำรง อันเป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมระหว่างเกาะเมืองกับถนนสายนอก เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงของกองทัพญี่ปุ่น แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะลูกระเบิดที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งลงมาตกอยู่กลางสะพานแล้วไม่ระเบิดและมีเหตุการณ์ที่ชวนขนหัวลุกโดยผู้เฒ่าผู้แก่ชาวกรุงเก่าเล่าว่าในคืนที่เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดนั้นเป็นคืนพระจันทร์ข้างขึ้น ทันทีที่เครื่องบินทิ้งระเบิดลงมา พวกเขาเห็นชายชราคนหนึ่งขี่ม้าสีขาวโผนขึ้นไปในอากาศเพื่อปัดระเบิดลูกนั้น เมื่อชายชราผู้นั้นปัดระเบิดทิ้งไปหมดแล้วก็วูบหายลงที่วิหารหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เช้าวันรุ่งขึ้นพวกชาวบ้างจึงพากันไปดูหลวงพ่อโต ปรากฎว่าพบรอยแตกที่พระกรข้างขวาร้าวตลอดลงมา จึงร่ำลือกันว่า หลวงพ่อโตท่านมาช่วยปัดลูกระเบิดเพื่อช่วยชาวกรุงเก่าอีกเรื่องหนึ่งของความศักดิ์ซึ่งเป็นเรื่องจริงของหลวงพ่อโต เกิดขึ้นกับกลุ่มนักดำน้ำหาสมบัติเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อนที่มีอดีตเป็นทหารเรือ เล่าว่ากลุ่มนักดำน้ำกลุ่มนี้เคยไปดำน้ำหาสมบัติที่หน้าวัดพนัญเชิงและทราบว่าที่ใต้ฐานหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงมีของมีค่ามากมายซ่อนอยู่ วันที่เขาและพรรคพวกจะลงดำน้ำนั้น ก่อนลงไปเขาได้อธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตจงรับรู้เจตนาว่าเมื่อเห็นสมบัติแล้วจะไม่ขอแตะต้องโดยเด็ดขาด เมื่อดำลงไปก็ได้มุดเข้าไปในโพรงที่กระแสน้ำเซาะเข้าไปใต้วิหารหลวงพ่อโต เห็นดินร่วงลงจนเป็นอุโมงค์ เมื่อเอาไฟฉายส่องดูก็พบภาพอัศจรรย์มาก เขาเห็นพระพุทธรูปทองคำที่ถูกฝังไว้กับดินพร้อมด้วยเงินทองมากมายอยู่ในลังไม้ก็มี อยู่ในอ่างเคลือบขนาดใหญ่ก็มี แต่ขณะที่มองดูอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดก้องว่า “เจ้าอย่านำขึ้นมา ดูอยู่แค่นั้น หมดเวลาแล้ว จงกลับไปเถิด” เมื่อได้ยินอย่างนั้นพวกเขาขนลุกซู่ทันทีและคิดในใจว่า “หลวงพ่อโต”
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปที่องค์ใหญ่มาก มีน้ำหนักมาก ภายใต้พื้นดินก็ถูกน้ำเซาะจนเป็นโพรง ทำไมองค์ท่านไม่พังถล่มทลายลงมา นี่ถ้ามิใช่พระพุทธบารมีก็คงพังลงสู่แม่น้ำไปนานแล้วพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เป็นกษัตริย์ไทยก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏในพงศาวรดารเหนือ ว่าแต่เดิมพระองค์เป็นสามัญชน แต่ต่อมากษัตริย์ที่ครองกรุงอโยธยาว่างลง ไม่มีผู้ใดจะสืบสันตติวงศ์ต่อไป บรรดาเสนาอำมาตย์ พราหมณ์ปุโรหิต จึงอธิษฐานเสี่ยงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไปกับเรือเอกชัยสุพรรณหงษ์ เพื่อเสาะหาผู้มีบุญญาธิการมาครองเมือง ในวันที่มีการเสี่ยงเรือนั้นได้มีเด็กเลี้ยงควายอยู่ที่บ้านหัวปลวกกลุ่มหนึ่ง ในจำนวนนี้มีเด็กคนหนึ่งตั้งตัวเองเป็นหัวโจก สมมติตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นั่งว่าราชการอยู่บนจอมปลวกและสั่งให้ตัดหัวเพื่อนคนหนึ่ง เมื่อเด็กที่เล่นเป็นเพชฌฆาตนำเด็กคนนั้นไปตัวหัวด้วยไม้ขี้ตอก ปรากฏว่าเด็กคนนั้นหัวขาดตายไปจริงๆ และขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่เรือสุพรรณหงส์เสี่ยงทายอัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์แล่นมาถึงที่นั่นพอดี ไม่ว่าบรรดาเหล่าฝีพายจะออกแรงพายอย่างไรเรือก็ไม่เคลื่อนออกจากที่ เหล่าเสนาอำมาตย์จึงได้ขึ้นฝั่งและพบเหตุอัศจรรย์นี้เข้าพอดี จึงได้อัญเชิญเด็กเลี้ยงควายผู้สมมติตนเองเป็นกษัตริย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองอโยธยาสืบต่อไป
รูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
เปิดตำนานเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตำนานพระราชพงศาวดารเหนือ กล่าวถึงพระนางสร้อยดอกหมากไว้ว่า พระเจ้ากรุงจีน ทรงมีบุตรบุญธรรมจากจั่นหมากชื่อว่า สร้อยดอกหมาก ครั้นนางจำเริญวัยเป็นสาวแรกรุ่น โหรหลวงทำนายว่าจะได้กษัตริย์กรุงไทยเป็นพระสวามี พระเจ้ากรุงจีนจึงทรงมีพระราชสาสน์มาถวายพระเจ้าสายน้ำผึ้ง พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็เสด็จไปกรุงจีนด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัย ด้วยพระบารมีพระราชกุศลที่สั่งสมมาแต่ปางหลังนำพาให้พระองค์ฝ่าภยันตรายไปถึงกรุงจีนด้วยความปลอดภัย พระเจ้ากรุงจีนทรงโสมนัสเป็นยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้จัดกระบวนแห่ออกไปรับพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามาภายในพระราชวัง และให้ราชาภิเษกพระนางสร้อยดอกหมากขึ้นเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
จำเนียรกาลผ่านไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้ากรุงจีนกลับพระนคร พระเจ้ากรุงจีนจึงพระราชทานเรือสำเภา ๕ ลำ กับชาวจีนที่มีฝีมือในการช่างสาขาต่างๆ จำนวน ๕๐๐ คน ให้เดินทางกลับสู่กรุงอโยธา
เมื่อเดินทางถึงปากน้ำแม่เบี้ย ใกล้แหลมบางกะจะ (บริเวณวัดพนัญเชิงในปัจจุบัน) พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสด็จเข้าพระนครก่อน เพื่อจัดเตรียมตำหนักซ้ายขวาต้อนรับพระนางสร้อยดอกหมาก ครั้นรุ่งเช้าก็จัดขบวนต้อนรับโดยให้เสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่มาอัญเชิญพระนางสร้อยดอกหมากเข้าเมืองโดยพระองค์ไม่ได้เสด็จไปด้วย พระนางสร้อยดอกหมากไม่เห็นพระเจ้าสายน้ำผึ้งมารับก็เกิดความน้อยพระทัย จึงไม่ยอมเสด็จขึ้นจากเรือ กล่าวว่า “มาด้วยพระองค์โดยยาก เมื่อมาถึงพระราชวังแล้วเป็นไฉนพระองค์จึงไม่มารับ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมารับ ก็จะไม่ไป”
เสนาบดีนำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าสายน้ำผึ้งคิดว่านางหยอกเล่น จึงกล่าวสัพยอกว่า “เมื่อมาถึงแล้ว จะอยู่ที่นั่นก็ตามใจเถิด” ครั้นรุ่งขึ้น พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง เมื่อเสด็จขึ้นไปบนเรือสำเภา พระนางสร้อยดอกหมากจึงตัดพ้อต่อว่ามากมาย พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงทรงสัพยอกอีกว่า “เมื่อไม่อยากขึ้นก็จงอยู่ที่นี่เถิด”
ฝ่ายพระนางสร้อยดอกหมากได้ฟังดังนั้น เข้าพระทัยผิดคิดว่าตรัสเช่นนั้นจริงๆ ก็เสียพระทัยยิ่งนัก จึงกลั้นพระหฤทัยจนถึงแก่ทิวงคต ณ บนสำเภาเรือพระที่นั่ง ที่ท่าปากน้ำแม่เบี้ยนั่นเอง ครั้นปีมะโรง จุลศักราช ๔๐๖ ฉอศก จึงอัญเชิญพระศพมาพระราชทานเพลิงที่แหลมบางกะจะ และสถาปนาบริเวณนั้นเป็นพระอารามนามว่า “วัดพระเจ้าพระนางเชิง” หรือ “พแนงเชิง” ซึ่งแปลว่า “พระนางผู้มีแง่งอน” 
ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก วัดพนัญเชิง พระนครศรีอยุธา
ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ตั้งอยู่ข้างพระวิหารหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง ภายในศาลเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากที่แต่งองค์แบบจีน ชาวจีนให้ความเคารพนับถือมาก แทบทุกคนเมื่อมาปิดทองหลวงพ่อโตในพระวิหารแล้วจะต้องแวะมาสักการะองค์เจ้าแม่สร้อยดอกหมากด้วย
ความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก มีผู้กล่าวขานมาเนิ่นนาน ว่ากันว่าท่านเป็นผู้ถือพระองค์ และมีรักเดียวใจเดียวต่อพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ไม่โปรดให้ผู้ชายเข้าไปแตะต้องพระรูปของท่านไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อหลายสิบปีก่อนเคยมีผู้ชายเข้าไปทำความสะอาดพระรูปเจ้าแม่ ปรากฏว่า เมื่อชายผู้นั้นกลับไปบ้านก็เกิดเจ็บอย่างกะทันหันและถึงแก่ความตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ และหากย้อนหลังไปอีก เหตุการณ์เช่นกรณีนี้ก็เคยมีผู้ชายเข้าไปทำความสะอาดพระรูปเจ้าแม่แล้วถึงแก่ความตายถึง ๒ คน และเป็นความตายโดยฉับพลันทั้งสิ้นจึงเป็นที่รู้กันว่า เจ้าแม่ไม่ยินดีและไม่ยอมให้ชายคนใดถูกพระวรกายของท่าน
แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เวลามีงานงิ้วเดือน ๙ ของวัดพนัญเชิง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก จะมีการทำพิธีบูชาเจ้าแม่ การแห่เจ้าแม่ออกนอกศาลก็เพียงแต่ใช้วิธีอัญเชิญเอาเฉพาะกระถางธูปออกไปเท่านั้น ในงานนี้จะมีบรรดาคนทรงเจ้าแม่สร้อยดอกหมากมาจากทั่วทุกสารทิศ เล่ากันว่าเมื่อประทับทรงเจ้าแม่สร้อยดอกหมากนั้น ร่างทรงซึ่งปกติจะพูดภาษาจีนไม่ได้เลย ก็กลับกลายเป็นพูดจีนได้อย่างน่าอัศจรรย์ สมัยก่อนเจ้าหน้าที่ประจำศาลเจ้าแม่เป็นคนจีน ฟังภาษาจีนและพูดภาษาจีนได้เล่าว่า เจ้าแม่สร้อยดอกหมากเคยถามหาทรัพย์สมบัติโบราณที่พระองค์นำมาจากเมืองจีนและเคยเก็บรักษาไว้ที่นี่ ตอนนี้เอาไปเก็บเสียที่ไหนแล้ว และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่ดูแลศาลเคยเห็นเจ้าแม่มาแล้ว ท่านจะแต่งชุดจีนสีขาว พระพักตร์สวยมาก
ปัจจุบันความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ก็ยังคงมีอยู่ ใครมาบนบานขออะไรท่านไม่ว่าจะขอลูก ขอความสำเร็จหรือขอให้มีความรักก็มักจะได้ตามนั้น จนมีผู้นำของมาแก้บนเต็มไปหมด โดยส่วนมากจะบนด้วยสร้อยไข่มุก เครื่องสำอาง สิงโตเชิด และเครื่องสังเวย 

หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง พระนครศรีอยุธยา


พระประธานประจำพระอุโบสถ วัดพนัญเชิง


พระประธาน ประจำวิหารวัดพนัญเชิง


รูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก (เปลี่ยนผ้าหุ้มองค์ใหม่)

ลายประดับ ประตูเข้าตึกเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก

สมอเรือ เก็บรักษาไว้ข้างองค์เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก

บริเวณตู้เอทีเอ็ม(สีเขียว) ธนาคารกสิกรไทย ราวสิบปีเศษที่ผ่านมา
บริเวณนั้นเป็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ และมีสมอเรือโบราณของเจ้าแม่สร้อยดอกหมากพิงไว้ที่โคนต้นโพธิ์
ปัจจุบัน ถูกนำไปเก็บไว้ข้างองค์เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ภายในศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก

ปัจจุบันไม่มีโพธิ์ต้นนั้นให้เห็นอีกแล้ว เคยเห็นสิ่งก่อสร้างสำคัญ ได้แก่พระวิหารหลวงพ่อโต ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
อันมีตำนานโด่งดัง ที่ผู้คนเล่าขานจดจำสืบต่อๆ มา บัดนี้ มีถาวรวัตถุอื่นมากมายเต็มไปหมด
จนทำคิดว่าเด็กรุ่นต่อมานั้น จะทราบหรือไม่? ว่า วัดนี้มาความเป็นมาอย่างไร?

เรือแกะสลักจากหยก

ศาลาท่าน้ำ ริมแม่น้ำป่าสัก วัดพนัญเชิง








