[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 17:43:12 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วัดโลกโมฬี Wat Lokmolee เชียงใหม่ : วัดโบราณที่มีความงดงามแบบล้านนา  (อ่าน 3249 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5469


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 มกราคม 2556 16:25:40 »

.

วัดโลกโมฬี (Wat Lokmolee)
ถนนมณีนพรัตน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
วัดโบราณที่มีความงดงาม แบบล้านนา

วัดโลกโมฬี เป็นวัดเก่าแก่ของเชียงใหม่ มีความหมายว่าเป็นวัดสูงสุดของโลก มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๓๗ ตารางวา ตั้งอยู่นอกคูเมืองและกำแพงโบราณด้านทิศเหนือ ห่างจากประตูหัวเวียง (ช้างเผือก) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๔๐๐ เมตร  บนถนนมณีนพรัตน์  ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่  สันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างในสมัยพญากือนา (King Kuena) กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย  ช่วงปี พ.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๓๑ (ค.ศ. ๑๓๖๗-๑๓๘๘)  ส่วนองค์พระเจดีย์ซึ่งตั้งตระห ง่านเด่นสง่าเป็นจุดเด่นของวัดนี้  น่าจะสร้างขึ้นในภายหลัง  

วัดโลกโมฬี สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่และถูกทอดทิ้งให้เป็นวัดร้างอยู่บ่อยครั้ง    ช่วงที่เป็นวัดร้างปี พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๓๙  ก่อนที่พญากาวิละ (King Kawila) จะกลับมาฟื้นฟูเมือง  บริเวณที่แห่งนี้ยังเป็นป่าดิบ ขาดผู้คนอยู่อาศัย เป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายนานาชนิด  มีเสือและช้างป่า เป็นต้น  วัดโลกโมฬีช่วงนั้นถูกทอดทิ้งปล่อยให้องค์พระเจดีย์ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าพนาสัณฑ์

ต่อมาในสมัยเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ (Chao Intawarorose Suriyawongse) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๘ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๐-๒๔๕๒)  และเจ้าแก้วนวรัฐ (Chao Keo Nawarat) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ ๙ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๒-๒๔๘๒)  วัดโลกโมฬีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และในสมัยของพระองค์วัดโลกโมฬีมีเจ้าอาวาสติดต่อกัน ๔ รูป คือ ตุ๊เจ้าพวง  ตุ๊เจ้าคำ  ตุ๊เจ้าแดง  และตุ๊เจ้าตื้อ  หลังจากเจ้าอาวาสทั้ง ๔ รูปนี้แล้ว วัดโลกโมฬีก็กลับกลายเป็นวัดร้างอีก  





ผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีคนแรก

ในอดีต กษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายหลายพระองค์ เข้ามาทำนุบำรุงวัดโลกโมฬีอยู่ตลอด  พญาเมืองเกศเกล้า หรือ พญาเกศเชษฐราช (King Muangketklow or Phaya Ket Chetharaj) กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ หรือ ๑๔  แห่งราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ ๒ ครั้ง)  ก็เป็นอีกพระองค์หนึ่งที่เข้ามาดูแลเอาใจใส่วัดโลกโมฬีมากเป็นพิเศษ  โดยพระองค์ได้ทรงเจริญรอยตามวิถีทางแห่งบูรพกษัตริย์อย่างต่อเนื่องในการพัฒนาส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคง  โดยเฉพาะวัดโลกโมฬี

พญาเกศเชษฐราช ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๐๖๘  จากนั้นไม่นาน พระองค์ก็ขึ้นไปบูรณะองค์พระธาตุดอยสุเทพ  โดยขยายให้ใหญ่ขึ้นคือจากเดิม เป็นสูง ๑๑ วา กว้าง ๖ วา  ดังปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้  ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๖๙  พระองค์ได้สร้างพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ๑ องค์  ตั้งชื่อว่า พระเจ้าล้านทอง (Phrachao Lanthong)  ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเจ้าล้านทอง  อำเภอพร้าว  จังหวัดเชียงใหม่  นอกจากนั้นในปี พ.ศ.๒๐๗๐  พระองค์ได้ยกมอบบ้านหัวเวียงให้เป็นบริเวณส่วนหนึ่งของวัดโลกโมฬี  และในปีต่อมา พ.ศ. ๒๐๗๑  พระองค์ได้สร้างมหาเจดีย์และวิหารขึ้นในวัดโลกโมฬีอีก  ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสรุปได้ว่าพระองค์เป็นผู้ฟื้นฟูวัดโลกโมฬีเป็นคนแรก  

พญาเกศเชษฐราช เป็นพระอนุชาของพญาเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ ๑๑ แห่งราชวงศ์มังราย  และทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโอรสของพญายอดเชียงราย  กษัตริย์องค์ที่ ๑๐  พญาเกศเชษฐราช ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ล้านนาองค์ที่ ๑๒ ในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. ๑๕๒๕)  พระองค์มีพระโอรส ๑ พระองค์  พระธิดา ๓ พระองค์ ดังต่อไปนี้
๑. พระนางยอดคำทิพย์  เป็นมเหสีของพระเจ้าโพธิสาราช  แห่งล้านช้าง (หลวงพระบาง)  พระโอรสของพระองค์ชื่อว่า ไชยเชษฐา  กษัตริย์ล้านนา องค์ที่ ๑๖ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๐)
๒. พระนางจิรประภา กษัตรีย์แห่งล้านนา องค์ที่ ๑๕ (ช่วงปี พ.ศ. ๒๐๘๘-๒๐๘๙) และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์วัดโลกโมฬี
๓. ท้าวทรายคำ  กษัตริย์แห่งล้านนา องค์ที่ ๑๓  ขึ้นครองราชย์ด้วยการก่อกบฏต่อพระราชบิดา
๔. พระนางวิสุทธิเทวี  เป็นมเหสีของพระเจ้าบุเรงนอง แห่งตองอู  และต่อมาได้เป็นกษัตรีย์ องค์ที่ ๑๘ แห่งราชวงศ์มังราย (ช่วงปี พ.ศ. ๒๑๐๗-๒๑๒๑) และเป็นองค์สุดท้าย


ผู้สร้างวัดโลกโมฬี

ในอดีตไม่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของวัดโลกโมฬีโดยละเอียดเป็นการเฉพาะไว้  จึงไม่มีหลักฐานแสดงชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด  แต่ก็สันนิษฐานว่าวัดโลกโมฬีนี้ สร้างในยุคราชวงศ์มังราย  โดยมีเหตุผลประกอบการสันนิษฐานไว้ดังนี้

ในปี พ.ศ. ๑๙๑๐ พญากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย ทรงประสงค์จะฟื้นฟูและปรับปรุงพระพุทธศาสนาในล้านนาให้เจริญและมั่นคง พระองค์จึงได้ส่งผู้แทนไปยังเมืองพัน ประเทศมอญ (ปัจจุบันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศพม่า)  เพื่อขอนิมนต์พระมหาอุทุมพร บุปผมหาสวามี ผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก เพื่อให้มาช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในล้านนา   เนื่องจากพระมหาอุทุมพร บุปผมหาสวามีชราภาพมากแล้ว ท่านจึงได้ส่งพระอนันตเถระ พร้อมกับพระลูกศิษย์อีก ๑๐ รูป มายังล้านนา (เชียงใหม่)  พญากือนาจึงได้จัดวัดโลกโมฬีไว้รับรองแขกเมือง เนื่องจากวัดโลกโมฬีตั้งอยู่ใกล้วัง จึงสะดวกสบายและง่ายต่อการดูแลปรนนิบัติมวลพระเถระเหล่านั้น  

ส่วนอีกประการหนึ่งคือในช่วงสมัยของพญาติโลกราช กษัตริย์ราชวงศ์มังราย องค์ที่ ๙  พระองค์ได้จัดประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกของโลก ครั้งที่ ๘ ที่วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอด)  ในปี พ.ศ. ๒๐๒๐   โดยได้นิมนต์พระเถระที่แตกฉานในพระไตรปิฎกจากวัดต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมประชุม  ซึ่งต้องใช้เวลาประชุมและแก้ไขประมาณ ๑ ปีเศษ จึงแล้วเสร็จ  พญาติโลกราช ได้จัดให้บรรดาพระเถระที่มาร่วมประชุมครั้งนั้น พักอยู่ที่วัดโลกโมฬี




วัดโลกโมฬีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม
นักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่จะถือโอกาสแวะเข้ามาชมองค์พระเจดีย์รูปทรงระฆัง
ที่สวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนามีอายุกว่า ๖๐๐ ปี
และยังเชื่อว่าวัดนี้ถูกทอดทิ้งมานานตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า  
แม้ในระยะหลังพญากาวิละจะได้มาฟื้นฟูแต่ก็พัฒนาได้ไม่มากนัก  
เพราะภาวะเศรษฐกิจในยุคนั้นยังไม่เอื้ออำนวยให้








พระอุโบสถวัดโลกโมฬี ก่อสร้างจากไม้แกะสลักเกือบทั้งหลัง
มีเพียงพื้นที่ทำจากอิฐปูน เป็นงานฝีมืออันปราณีตของช่างล้านนา











 

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กันยายน 2558 17:11:25 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
วัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ สถานที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของประเทศไทย
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 0 6208 กระทู้ล่าสุด 17 กันยายน 2555 13:26:43
โดย Kimleng
ชมอุโบสถเงินหลังแรกของโลก วัดศรีสุพรรณ จ.เชียงใหม่
สุขใจ ไปเที่ยว
Kimleng 3 7399 กระทู้ล่าสุด 31 มีนาคม 2558 16:22:32
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.325 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 19 เมษายน 2567 19:29:50