[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
18 เมษายน 2567 11:53:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ดวงตาเห็นธรรม พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)  (อ่าน 4605 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:16:59 »

ดวงตาเห็นธรรม

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี




บรรยายที่วัดหนองป่าพง ให้แก่ที่ประชุมพระภิกษุสามเณร

เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑



พวกเราบางองค์ที่มาอาศัยการปฏิบัตินั้น อยู่ไปตั้งปีสองปีก็ ยังไม่รู้เรื่องกันเลยก็มี ไม่รู้เรื่องว่าเขาทำอะไรกัน เพราะความเข้าใจ ความตั้งใจจดจ่อไม่มี ความจริงการเป็นผู้ปฏิบัติใจเรานั้น เมื่อเราดูใจ เราเมื่อใด ก็ให้มีสติจ้องอยู่อย่างนั้น เมื่อมีสติ มันก็มีปัญญามองเห็น ว่า ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม และไม่ว่าจะเป็นใครพูดอะไรก็ ตาม มันล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักนำมาคิด ธรรมะทั้งหลายคือธรรมชาติ ที่มันเป็นอยู่ของมัน มันล้วนแต่ เป็นธรรมะทั้งหมด ทีนี้เมื่อเราไม่รู้ข้อปฏิบัติ ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายคือ ธรรมะ เราจึงอาศัยแต่การอบรมจากครูบาอาจารย์ แต่ความจริงแล้ว เราควรพิจารณาสภาวะธรรมชาติรอบตัวทุกอย่าง

อย่างต้นไม้อย่างนี้ ธรรมชาติของมันก็เกิดขึ้นมาจากเมล็ด ของมัน แล้วมันก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเราพิจารณาเราก็จะได้ธรรมะจาก ต้นไม้ แต่เราไม่สามารถเข้าใจว่าต้นไม้ก็ให้ธรรมะได้ เมื่อมันใหญ่ขึ้น มา ใหญ่ขึ้นมา จนเป็นดอก จนมันออกเป็นผล เราก็รู้เพียงว่าต้นไม้ มันเป็นดอก มันออกผลมา แต่ไม่รู้จักน้อมเข้ามาเป็นโอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาในใจของเรา เลยไม่รู้ว่าต้นไม้ก็เทศน์ให้เราฟังได้ พวกเราไม่พากันรู้จักต้นไม้นั้น มันเกิดเป็นผลขึ้นมาให้เราได้ เคี้ยว ได้ฉัน ได้กินตามธรรมชาติมัน เราก็กินไปเฉยๆ กินด้วยการไม่ พิจารณารสเปรี้ยว รสหวาน รสมัน รสเค็ม เรียกว่าไม่รู้จักพิจารณา ธรรมะจากต้นไม้ จากธรรมชาติ เราไม่พากันเข้าใจถึงธรรมชาติของ มัน

เมื่อต้นไม้มันแก่ขึ้น ใบของมันก็ร่วงลง เราก็เห็นเพียงว่าใบไม้ นั้นมันร่วงลง แล้วเราก็เหยียบไป กวาดไปเท่านั้น การจะพิจารณาให้ คืบคลานไปอีกก็ไม่มี อันนี้ก็คือไม่รู้จักว่าธรรมชาตินั้นคือธรรมะ พอ ใบร่วงแล้ว ทีนี้ก็จะมียอดเล็กๆ โผล่ขึ้นมา เราก็เห็นเพียงแค่ว่ามันโผล่ ขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้พิจารณาอย่างอื่นอีก นี่ก็ไม่เป็นโอปนยิโก คือไม่ น้อมเข้ามาหาในตน นี่เป็นเช่นนั้น

ถ้าน้อมเข้ามาหา เราจะเห็นว่าความเกิดของเรากับต้นไม้ก็ไม่ แปลกอะไรกันเลย สกลร่างกายของเราเกิดขึ้นมาด้วยเหตุด้วยปัจจัย ของมัน อาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติของมัน มันก็ เหมือนกันกับเรา มันก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะเราก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกส่วนของมันก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ มันเปลี่ยนสภาวะของมันไป เรื่อยๆ เหมือนกันกับต้นไม้ ถ้าเราน้อมเข้ามาดูแล้วจะเห็นว่าต้นไม้ เป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:18:41 »


มองให้เห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง

มนุษย์ทั้งหลายเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น แล้ว ท่ามกลางก็แปรเปลี่ยนไป ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันแปรไป (หมายเหตุ 1) มันไม่อยู่เหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่รู้จักต้นไม้ เครือเขา เถาวัลย์เหล่านั้น ก็เหมือนกับเราไม่รู้จักตัวของเรา ถ้าเราน้อมเข้ามา เป็นโอปนยิกธรรม จึงจะรู้จักว่า ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์นั้น ก็เหมือน กับเรา คนเราเกิดมา ผลที่สุดแล้วก็ตายไป คนใหม่ก็เกิดมาต่อไป อย่างผม ขน เล็บ ของเราเกิดมาก็แปรไป ผม ขน เล็บ หลุดร่วงไปก็ งอกขึ้นมาใหม่ สลับเปลี่ยนกันไปอย่างนี้ไม่หยุดสักที ความเป็นจริง นั้น ถ้าหากเราเข้าใจในข้อปฏิบัติ ก็จะเห็นว่าต้นไม้ก็ไม่แปลกไปจาก เรา จะเห็นของสะอาด ของสกปรก ก็ไม่แปลกไปจากเรา เพราะมัน เป็นอย่างเดียวกัน

ถ้าเราเข้าใจธรรมะ เข้าใจฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ มัน เปรียบเหมือนกับ ที่ข้างใน กับข้างนอก สังขารที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครองนี่มันก็ เหมือนกัน ไม่ได้แปลกอะไรกัน ถ้าเราเข้าใจว่ามันเหมือนกันแล้ว เรา เห็นต้นไม้ว่าเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นขันธ์ของเรา คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ก้อนสกลร่างกายของเรานี้ก็เช่นกัน มันก็ไม่ได้แปลก อะไรกัน ถ้าเรามีความเข้าใจเช่นนี้ เราก็จะเห็นธรรม เห็นอาการของ ขันธ์ห้าของเรา ว่ามันเคลื่อน มันไหว มันพลิกแพลง มันเปลี่ยนมัน แปลงไปไม่มีหยุด

ทีนี้ไม่ว่าเราจะยืน จะเดิน หรือนั่ง หรือนอน ใจของเราก็จะมี สติคุ้มครองระวังรักษาอยู่เสมอ เมื่อเห็นของภายนอกก็เห็นของภาย ใน ถ้าเห็นของภายในก็เห็นของภายนอก เพราะมันเหมือนกัน ถ้าหาก ว่าเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็ได้ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าเข้าใจ อย่างนี้ก็เรียกว่า พุทธภาวะ คือผู้รู้เกิดขึ้นมาแล้ว เกิดขึ้นมาแล้วมันรู้ อาการภายนอก รู้อาการภายใน รู้ธรรมทั้งหลายต่างๆ ที่มันเป็นมา ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ แม้เรานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ก็เหมือนกับพระ พุทธเจ้าท่านเสด็จมาโปรดเรา เราได้ฟังเทศน์ของพระพุทธองค์อยู่ เสมอ เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็ได้ฟัง เราจะได้เห็นรูป ฟัง เสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันนี้เราก็ได้ฟังเทศน์อยู่ เสมอ เหมือนกับพระพุทธเจ้าเทศน์ให้เราฟัง พระพุทธเจ้าก็คือ ผู้รู้ อยู่ ในใจของเรานี่แหละ รู้ธรรมเหล่านี้แล้ว เห็นธรรมเหล่านี้แล้ว ก็ พิจารณาธรรมอันนี้ได้ ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้วท่าน จะมาเทศน์ให้เราฟัง

พุทธภาวะ คือตัวผู้รู้ คือดวงจิตของเรานี้เกิดรู้ เกิดสว่างมา แล้ว ตัวนี้แหละจะพาเราพิจารณาธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ธรรมก็คือ พระพุทธเจ้าองค์นี้แหละ ถ้าตั้งพุทธะเอาไว้ในใจของเรา คือความรู้สึก มันมีอยู่อย่างนี้ เราเห็นมดเราก็พิจารณาไป มันก็ไม่แปลกจากเรา เห็นสัตว์ก็ไม่แปลกจากเรา เห็นต้นไม้ก็ไม่แปลก เห็นคนทุกข์คนจนก็ ไม่แปลกกัน เห็นคนร่ำรวยก็ไม่แปลกกัน เห็นคนดำคนขาวก็ไม่แปลก กัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันตกอยู่ในสามัญลักษณะอันเดียวกัน คือ ลักษณะอันเดียวกัน

ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ก็เรียกว่า ผู้นั้นอยู่ที่ไหนก็สบาย จะได้มี พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดเสมอเลยทีเดียว ถ้าผู้ไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่เข้า ใจในเรื่องนี้ ก็นึกอยากจะฟังเทศน์กับอาจารย์อยู่เรื่อยไป เลยไม่รู้จัก ธรรมะ

ที่พระบรมศาสดาของเรา ท่านว่าตรัสรู้ธรรมนั้น ก็คือรู้ธรรม ชาติเหล่านี้แหละ ธรรมชาติที่มันเป็นอยู่นี้แหละ ถ้าเราไม่รู้จักธรรม ชาติธรรมดาอันนี้ พอเราเห็นเข้า เราก็กระตือรือร้น ตื่นเต้น มีความร่า เริงจนหลงอารมณ์ จึงมีโศกเศร้าเสียใจเพราะหลงอารมณ์ หลงธรรม ชาติเหล่านี้แหละ เมื่อมัวหลงธรรมชาติอันนี้ มันก็คือไม่รู้จักธรรมะนั่น เอง

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงชี้ธรรม คือ ธรรมชาติ หรือ ธรรมดา (หมายเหตุ 2) ว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เกิดมา แล้วก็ เปลี่ยนไปแปรไป แล้วดับไป เป็นธรรมดา จะเป็นตัวว่าสุขก็เหมือนกัน (หมายเหตุ 3) จะเป็นตัวว่าทุกข์ก็ เหมือนกัน อย่างวัตถุที่เราปั้นขึ้น เช่นถ้วย หม้อต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถูกปั้นขึ้นมา ก็เกิดจากเหตุจากปัจจัย คือความปรุงแต่งของเรา ขึ้นมาอีกทีหนึ่งเช่นกัน ครั้นได้ใช้ไป มันก็เก่าไป แตกสลายไป มลายไปได้ เพราะเป็นธรรมดาของมัน ต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ต่างๆ ก็เหมือน กัน ตลอดจนมนุษย์สัตว์เดียรฉานก็เหมือนกัน มีความเกิดขึ้นเป็น เบื้องต้น มีความแปรไปเป็นธรรมดาเช่นนั้น

เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านฟังเทศน์เป็นปฐมสาวกนั้น ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ท่านเข้าใจว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิด ขึ้นเป็นเบื้องต้น แล้วมีความแปรไปเป็นธรรมดา แล้วผลที่สุดก็มีความ ดับเป็นธรรมดาของมัน

เมื่อก่อนนี้พระอัญญาโกณฑัญญะนั้น ไม่เคยได้มีความนึก หรือความคิดอย่างนี้เลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่เคยพิจารณาให้แจ่ม แจ้งเลยสักครั้ง ฉะนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะจึงไม่ได้ปล่อย หรือไม่ ได้วาง คือมีอุปาทานในขันธ์ทั้งห้านี้อยู่ ต่อมาเมื่อได้มาฟังเทศน์ของ พระบรมศาสดาของเรา ขณะที่ฟังมีพุทธภาวะเกิดขึ้น (หมายเหตุ 4) ได้มองเห็นธรรมว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่แน่นอน มันเป็น ธรรมชาติหรือธรรมดานี่เอง ท่านจึงบอกได้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความ เกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แล้วมีความแปรไป แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ดับไปเป็น ธรรมดา (หมายเหตุ 5) ธรรมชาติอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ความเห็นของพระอัญญาโกณฑัญญะในขณะที่ฟังนั้น เป็น ความรู้สึกแปลก แปลกจากในอดีตหรือในกาลก่อนที่ได้เคยพิจารณา อันนี้รู้เท่าถึงดวงจิตจริงๆ เป็นได้ว่า พุทธะคือผู้รู้เกิดขึ้นมาในเวลานั้น สมเด็จพระศาสดาท่านทรงเรียกว่า พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตา เห็นธรรมแล้ว


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:19:54 »


ดวงตาเห็นธรรม

ดวงตาเห็นธรรมนั้นคือดวงตาเห็นอะไร คือดวงตาเห็นสิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดเป็นเบื้องต้น ความแปรไปเป็นท่ามกลาง ความ ดับเป็นที่สุด สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คือ ทั้งหมด จะเป็นรูปก็ช่าง จะเป็นนามก็ ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่งครอบรวมเลยทีเดียวได้แก่ ธรรมชาติทั้งหมด เป็น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นรูปธรรมก็ช่าง จะเป็นนามธรรมก็ตาม เกิดขึ้น แล้วก็แปรดับไป อย่างตัวสกลร่างกายของเราก็เหมือนกัน มันเกิดแล้ว ก็แปรไปตามธรรมดาของมัน แล้วมันก็ดับไป

อย่างคนเราเกิดมาเป็นเด็ก จากเด็กแปรมาหนุ่ม จากหนุ่มก็ แปรไปเป็นแก่ จากแก่แปรไปเป็นชรา จากชราแล้วก็ตายดับไป (หมายเหตุ 6) ต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์ ก็เหมือนกัน มันแปรไปแล้วก็แก่ ไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ธรรมชาติเหล่านี้ เรียกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความเห็นหรือความเข้าใจ อันเกิดมาจากผู้รู้ในคราวที่นั่งฟัง ธรรมอยู่นั้น เข้าไปถึงใจอย่างแจ่มแจ้ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็เลยเข้าฝัง ในดวงจิตของพระอัญญาโกณฑัญญะ จนเป็นเหตุให้ถอนตัวอุปธิ หรืออุปาทาน ออกจากสังขารทั้งหลายทั้งปวงนั้นได้ เป็นต้นว่า สัก กายทิฐิ คืออาการที่ไม่ถือเนื้อถือตัว ทั้งหลายนี้เห็นตามสกลร่างกาย ของเราแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา เห็นชัดลงไป จนเป็น เหตุให้ถอนจากอุปาทานนั้น ไม่ถือตัว ซึ่งเป็นสักกายทิฐิ และไม่มี วิจิกิจฉา เมื่อถอนอุปาทานออกมาจากความยึดมั่น ถือมั่นแล้ว ก็มิได้สงสัยเลยในธรรมทั้งหลาย หรือในความรู้ทั้งหลาย เข้าไปเห็นธรรมทั้งหลายเหล่านี้ แล้วก็เปลี่ยนออกไปเลยทีเดียว รู้ว่านี่ วิจิกิจฉา นี่สีลัพพตปรามาส การปฏิบัติของท่านนั้นแน่แน่วตรงเข้าไป ไม่ได้เคลือบแคลงสงสัย ไม่ได้ลูบหรือไม่ได้คลำ ถึงแม้ว่าสกลร่างกาย มันจะเจ็บ มันจะไข้เป็นไปอย่างใด ท่านก็ไม่ลูบไม่คลำมัน ไม่ได้สงสัย เสียแล้ว การที่ไม่ได้สงสัยนี้ ก็คือถอนอุปาทานออกมาแล้ว ถ้ามี อุปาทานอยู่ก็ต้องไปลูบไปคลำในสกลร่างกายนี้ อาการลูบคลำใน สกลร่างกายนี้ เป็นสีลัพพตปรามาส

เมื่อถอนสักกายทิฐิออกจากกายนี้ สีลัพพตปรามาสก็หมดไป วิจิกิจฉาก็ไม่มี ถ้าถอนสักกายทิฐิขึ้นอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็ไม่มี สีลัพพตปรามาสก็ไม่มี ถ้าถอนสักกายทิฐิขึ้นอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็ เลิก สีลัพพตปรามาสก็เลิก ถ้ายังมีสักกายทิฐิอยู่ วิจิกิจฉาก็ยังอยู่ สีลัพพตปรามาสก็ยังอยู่ อุปาทานก็ยังอยู่ (หมายเหตุ 7) (หมายเหตุ สักกายทิฐิ คือ ความไม่ถือตัว วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยลังเล สีลัพพตปรามาส คือ อาการที่ไปลูบคลำในร่างกาย)

เมื่อดวงตาเห็นธรรมก็หลุดพ้นจากอุปาทาน อันนี้แสดงว่าธรรมะที่สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา ท่าน แสดงในคราวนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะฟังแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ดวงตานั้นก็คือผู้รู้แจ้งนั่นเอง เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม คือเห็นธรรม หรือธรรมดาอันนี้เอง เมื่อเห็นชัดลงไปอย่างนี้ก็ถอนอุปาทานได้ ฉะนั้นการถอนอุปาทานได้นี้ (หมายเหตุ 8) จึงรู้สึกว่ามันเกิด ผู้รู้ขึ้นมาจริงๆ เมื่อก่อนก็รู้อยู่เหมือนกันแต่มันถอนอุปาทานไม่ได้ นั่น เรียกว่าผู้รู้ธรรมอยู่แต่ไม่เห็นธรรม เห็นธรรมอยู่แต่ไม่เป็นธรรม เพราะ ไม่รู้ตามสภาวะของมัน ฉะนั้นพระบรมศาสดาท่านจึงตรัส “อัญญาสิ อัญญาสิวตโภ โกณทัญโญ ได้รู้แล้วหนอ รู้แล้วหนอ” รู้อะไรละ ท่านรู้ อะไร ก็คือได้รู้ธรรมชาติที่มันเป็นอยู่นี่เอง

เราทั้งหลายมักหลงธรรมชาติ อย่างสกลร่างกายนี้ กายของ เรานี้ประกอบขึ้นด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็เป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่า วัตถุที่มองเห็นด้วยตา มันอยู่ด้วยอาหารเจริญมา เจริญมา เจริญขึ้น มา แล้วก็แปรไป ถึงที่สุดมันก็ดับไปเช่นกัน

วิญญาณ จิต ผู้รู้ ผู้คุ้มครองภายใน ส่วนข้างในนั้น ผู้คุ้มครองอยู่ซึ่งกายนี้ ก็คือ วิญญาณ ผู้รู้ นี้ แหละ ผู้รู้ผู้เดียวนี้แหละ ถ้าไปรับทางตาก็เป็นจักษุวิญญาณ ถ้าไปรับ ทางหูก็เรียกโสตวิญญาณ ถ้าไปรับทางจมูกก็เรียกฆานะวิญญาณ ไป รับทางลิ้นก็เรียกชิวหาวิญญาณ ไปรับทางกายก็เรียกกายวิญญาณ รับทางจิตก็เรียกมโนวิญญาณ

ตัววิญญาณนี้ตัวเดียว เกิดขึ้นที่ไหนก็เรียกว่าผู้รู้ทั้งนั้น ไปรู้ ทางตา ก็เรียกไปอย่างหนึ่ง ไปรู้ทางหู จมูก ก็เรียกไปอย่างหนึ่ง รู้ที่ตา รู้ที่หู รู้ที่จมูก รู้ที่ลิ้น รู้ที่กาย รู้ที่จิต มันก็ตัวผู้รู้อันเดียวนี้แหละ ผู้รู้อัน เดียวนี้ไม่ใช่ผู้อื่น ตัวผู้รู้อันเดียวนี้เรียกว่าวิญญาณ ก็วิญญาณหก อย่างนี้แหละ ชื่อมันว่าหกเฉยๆ คือมันไปรู้อยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง รู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต อย่างนี้แหละ ไปรู้ที่ตาบ้าง รู้ที่หูบ้าง รู้ที่จมูกบ้าง ที่ลิ้นบ้าง ที่กายบ้าง ที่จิตบ้าง เขาจึงเรียกว่าหก

ความจริงมันไม่มีหกหรอก มันไปรู้ในช่องทั้งหกเท่านั้นแหละ เพราะช่องทั้งหกมันเป็นประตูผ่านเข้ามาสู่ผู้รู้อันเดียว ผู้รู้เดียว สามารถจะรู้ทั่วถึงในทวารทั้งหกอย่างนี้ เราจึงเรียกว่าวิญญาณหก วิญญาณหกนี่แยกออกโดยปริยัติ ความเป็นจริงมีผู้รู้ผู้เดียว เท่านั้น รู้ทางตาก็ว่าอย่างหนึ่ง รู้ทางหูก็ว่าอย่างหนึ่ง รู้ทางจมูก ทาง ลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ว่าอย่างหนึ่ง ความเป็นจริงก็คือคนเดียวนี้เอง แหละ วิญญาณคือผู้รู้ผู้เดียว คือดวงจิตของเรา ผู้รู้นี้แหละจะเป็นเหตุ ให้มีอำนาจสามารถรู้สภาวะหรือธรรมชาติตามเป็นจริง

ถ้าตัวนี้ยังมีเครื่องปกปิดอยู่เมื่อใด ความรู้อันนี้ท่านเรียกว่า โมหธรรม คือรู้ไปในทางที่ผิด รู้ผิด เห็นผิด ก็ตัววิญญาณตัวเดียวนี้ แหละ ผู้รู้ตัวเดียวนี้เองไม่มีตัวอื่นอีก รู้ผิดเห็นผิด รู้ถูกเห็นถูก ก็ตัว เดียวนี้เอง เพราะเช่นนี้ท่านจึงว่าเป็นมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิ ไม่มีสองตัว มีตัวเดียว ผิดก็เกิดขึ้นจากตัวเดียว ถูกก็เกิดขึ้นจากตัวเดียว

เมื่อโมหะเกิดในทางที่ผิด ก็เรียกว่าโมหะมันกำบัง ความรู้อัน นี้มันก็ผิดไป เมื่อความรู้ผิด มันก็มีความเห็นผิด ดำริผิด การงานผิด เลี้ยงชีวิตผิด ผิดไปหมด เป็นมิจฉาทิฐิ อันนี้ท่านจึงว่าองค์ของมรรคก็ เหมือนกัน สัมมาทิฐิคือความเห็นชอบ ความเห็นชอบก็เกิดจากผู้รู้ เดียว ถ้ามันชอบแล้ว ความไม่ชอบมันก็หายไป ถ้ามันถูกแล้ว ความ ผิดมันก็หายไป

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ท่านประพฤติหรือปฏิบัติอยู่นั้น ทรงทรมานสกลร่างกายของท่านด้วยเรื่องอาหารบริโภคต่างๆ จนร่าง กายท่านซูบผอมลงไป อย่างที่เราเรียนมาฟังมา แล้วท่านก็พิจารณา เข้าไป พิจารณาเข้าไป เข้าไป เข้าไป แล้วก็ถอนออกมา ได้ความรู้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ตรัสรู้ทางจิต เพราะกายนี้มันไม่รู้จักอะไร กาย นี้จะให้มันกินก็ได้ จะไม่ให้มันกินก็ได้ ฆ่ามันทิ้งเมื่อไรก็ได้ กายนี้ฆ่า ทิ้งได้ เมื่อท่านได้ความรู้แล้วว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญทางจิต ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่ที่จิต เมื่อท่านมาพิจารณาถึง จิตของท่าน ท่านก็ได้ออกจากการปฏิบัติทรมานกาย

เมื่อท่านแสดงธรรม เรื่องกามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุ โยโค ท่านจึงแสดงขึ้นอย่างชัดแจ้งเลยทีเดียว เพราะท่านได้เห็นแล้ว ธรรมเทศนาอันนี้มันจึงชัดในใจของพวกคนทั้งหลาย



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:20:44 »

สุขทุกข์คือทางเดินสายโลก

กามสุขัลลิกานุโยโคนั้น คือใจของเรามันลุ่มหลงอยู่ในความ สุข ลุ่มหลงอยู่ในความสบาย ลุ่มหลงอยู่ในความดีใจ ลุ่มหลงว่าเราดี ว่าเราเลิศ เราประเสริฐ อาศัยอยู่ในความสุขนี้ อันนี้ก็ไม่ใช่หนทางที่ บรรพชิตจะพึงเดินเข้าไป เพราะมันเป็นกามสุขัลลิกานุโยโค อาการที่ไม่พอใจ อาการที่เป็นทุกข์ใจ อาการที่ไม่ชอบใจ อาการที่กริ้วที่โกรธ อันนี้ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยโค ไม่ได้เกิดประโยชน์ อะไร ธรรมสองอย่างนั้น ท่านจึงว่าไม่ใช่ทางของบรรพชิตจะพึงเดิน คำว่าหนทางนั้น ก็คืออาการที่มันดีใจหรือเสียใจ ที่เกิดขึ้นมา คำว่าผู้เดินทางนั้น ก็คือตัวผู้รู้ของเรานั่นแหละ ไม่ควรเดินไปในอาการ ที่มันดีใจ หรือเสียใจนั้น ผู้เดินทางของเราก็คือตัวจิตนี้เอง ทาง นั้น เรียกว่าอาการ ผู้เดินทาง ก็คือดวงจิต

ถ้าดีใจก็ไปยึดเอาความดีใจเอาไว้ด้วย นี่เป็นกามสุขัลลิกานุ โยโค ถ้าหากว่าอารมณ์ที่ไม่ดี ไม่ชอบใจ เราก็เข้าไปยึดหมาย อุปาทานว่าไม่ดีใจ ไม่ชอบใจ นี่ก็เรียกว่า ใจมันเข้าไปเดินในทาง อัน นี้เป็นอัตตกิลมถานุโยโค นี่ก็ไม่ดี

ข้างนี้ก็สุข ข้างนี้ก็ทุกข์ ท่านจึงว่า กามสุขัลลิกานุโยโค และ อัตตกิลมถานุโยโค ทางสองอย่างนี้ไม่ใช่ทางของสมณะ เป็นธรรมของ ชาวบ้าน ชาวบ้านเขาหาสิ่งที่เป็นสุขสนุกสนาน อันเกิดทุกข์ไม่สบาย เขาไม่ชอบ ฉะนั้นพวกชาวมนุษย์โลกทั้งหลายจึงไปอาศัยความสุข และทุกข์ สับเปลี่ยนกันอยู่อย่างนั้น ความสุขหรือทุกข์นั้นแหละคือ ทางเดินสายโลกละ มันมีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีทุกข์แล้วก็มีสุข ของเหล่านี้ เป็นของไม่แน่นอน ปะปนกันไปอยู่ตลอดจนปลายทาง


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:21:23 »

ผู้รู้ผู้สงบ

ฉะนั้น มันจึงเป็นธรรมของบุคคลที่ลุ่มหลงอยู่ในโลกที่ไม่สงบ (หมายเหตุ 9) ผู้สงบนั้นท่านไม่เดินทางนั้น แต่ว่าทางนั้นท่านก็เห็น อาการที่สุขท่านก็เห็น อาการที่ทุกข์ท่านก็เห็น แต่ท่านไม่มีอุปาทาน ยึดแน่นแน่กับมัน ไม่เอาจริงจังกับมัน ท่านไม่เดินแต่ท่านรู้ รู้หนทาง ของมัน

อาการใดที่ไม่ชอบใจเกิดขึ้นมา นั่นก็เป็นหนทาง ท่านก็เห็น เหมือนกัน แต่ท่านไม่เดินตามมันไป ท่านไม่มั่นหมาย ไม่มีอุปาทาน กับมัน ท่านก็เห็นทางเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่เดิน นี่เรียกว่าท่านผู้ เห็นทาง ผู้สงบแล้วก็เห็นทางที่ไม่สงบ จึงเป็นผู้สงบอยู่ได้ ทางที่เป็น สุขหรือ ทางที่เสียใจ ทางที่ดีใจ ล้วนแต่เป็นทางที่ผิดทั้งนั้น ท่านผู้รู้ทั้ง หลายท่านก็รู้จัก รู้อยู่ มันเกิดกับท่านอยู่เหมือนกัน แต่ท่านไม่เอาจริง เอาจังกับมัน ปล่อยมันไป วางมันไป ละมันไป

ท่านผู้สงบแล้วคือสงบจากอะไร สงบจากความดี สงบจาก ความเสียใจ สงบจากความสุข สงบจากความทุกข์ สุขทุกข์นั้นไม่มี หรือ มีอยู่ แต่ไม่มีในใจ ก่อนจะมีในใจนั้น ใจก็เป็นผู้รู้เสียแล้ว เป็นผู้รู้ จักชอบเสียแล้ว รู้ดีเสียแล้ว อาการสุขก็เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้หมายถึง สุข อาการทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นั่น แต่ก็ไม่ได้หมายถึงทุกข์ นั่นถ้ารู้อย่างนี้ก็ เรียกว่ามีความเห็นชอบ

นี่ถ้าท่านไม่ยึดไม่หมาย ท่านก็ปล่อยความสุขความทุกข์เป็น ธรรมชาติ ธรรมชาติหรือธรรมดามันเป็นเช่นนั้น ถ้าเรารู้เท่าแล้ว สุข หรือทุกข์มันก็เป็นโมฆะ ไม่มีความหมายกับใคร ไม่มีความหมายกับ จิตของพระอริยะเจ้าทั้งหลายผู้เข้าไปถึงแล้ว มันมีอยู่ แต่ไม่มีความ หมาย ท่านรับทราบไว้เฉยๆ รับทราบไว้ว่าสุขหรือทุกข์ ร้อนหรือเย็น ท่านรับทราบอยู่ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รับทราบ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:22:01 »


การเป็นอยู่เหนือโลก

สมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงตรัสว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย นั้นไกลกิเลส ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าท่านจะไปไกลไปไหน ไม่ใช่ว่าท่าน จะหนีไปจากกิเลส ไม่ใช่ว่ากิเลสจะหนีไปจากท่าน มันมีอยู่อย่างนั้น แหละ มีอยู่อย่างนั้น ท่านจึงเปรียบเสมือนกับ น้ำกับใบบัว ใบบัวก็อยู่ ในน้ำ น้ำก็อยู่กับใบบัว ถึงแม้ใบบัวกับน้ำจะอยู่ด้วยกันก็จริง เมื่อน้ำ กระเด็นขึ้นมาบนใบบัว น้ำก็กลิ้งถูกันอยู่เหมือนกัน แต่น้ำไม่สามารถ ซึมซาบเข้าไปในใบบัวได้

กิเลสทั้งหลายก็เปรียบเสมือนน้ำ จิตของผู้ประพฤติปฏิบัติก็ คือใบบัว ถูกกันอยู่ไม่หนีไปไหน แต่ว่าไม่ซึมซาบเข้าไป จิตของพระ โยคาวจรเจ้า ผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ที่นั่นแหละ ความดีมาก็รู้ ความชั่วมาก็รู้ ความสุขมาก็รู้ ความทุกข์มาก็รู้ ความ ชอบมาก็รู้ ความไม่ชอบมาก็รู้ รู้หมด รู้หมดอยู่ที่นั่น แต่ว่าท่านรับ ทราบไว้เฉยๆ มันไม่ได้เข้าไปในจิตของท่าน เรียกว่าไม่มีอุปาทาน เป็นผู้รับทราบไว้เรื่อยๆ ๆ ๆ ไป

อาการที่ท่านรับทราบไว้นั้น ก็อย่างที่ภาษาเราว่า รับทราบไว้ วางใจเป็นกลางๆ วางใจเป็นกลาง ตามภาษาสามัญว่ารับทราบไว้ คือไม่ไปแตะไปต้อง รับทราบไว้เฉยๆ อาการเช่นนี้เหล่านี้มีอยู่ตลอด กาลตลอดเวลา เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในโลก มันมีโลก พระพุทธ เจ้าท่านก็ตรัสรู้อยู่ในโลก ท่านเอาอาการของโลกนี้ไปพิจารณา ถ้า ท่านไม่พิจารณาก็ไม่เห็นโลก ท่านก็จะอยู่เหนือโลกไม่ได้

ฉะนั้น องค์พระบรมครูของเรา ตรัสรู้ก็ด้วยเอาเรื่องของโลกนี้ แหละมารู้เท่าโลกนี่เอง โลกก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ลาภก็มี เสื่อมลาภก็มี ยศก็มี เสื่อมยศก็มี สรรเสริญก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี นินทาก็มี (หมายเหตุ 10) ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรจะตรัสรู้

เมื่อท่านตรัสรู้ตามเป็นจริงแล้ว คือรู้โลกนี้ โลกธรรม ธรรมอัน ครอบงำสัตว์โลกอยู่ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรม ครอบหัวใจสัตว์ ครอบหัวใจคน มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เป็นของโลก

ถ้าหากว่าใจมนุษย์ทั้งหลายเป็นไปตามอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ เป็นไปตามอำนาจของมัน นั่นแหละคือโลก ท่าน จึงเรียกว่า โลกธรรม โลกธรรมเป็นธรรมอันหนึ่ง ทำให้มองไม่เห็นทาง มรรคแปดที่จะเดินไปหาทางพ้นทุกข์นั้น มีแต่โลกท่วมหัวอยู่นี่ ชื่อว่า สัตว์โลกเป็นไปตามธรรม ธรรมนั้นมันให้สัตว์เป็นโลก โลกก็เดินไป ตามธรรมนั้น มันจึงเป็นโลกธรรม ผู้อยู่ในโลกธรรมคือเป็นสัตว์โลก วุ่นวายอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา

ฉะนั้นในการประพฤติหรือปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงสอนว่า ให้เจริญมรรคคือตัวปัญญา รวมแล้วคือ ปฏิบัติศีลให้ มันยิ่ง สมาธิให้มันยิ่ง ปัญญาให้มันยิ่ง นี่คือเครื่องทำลายโลก นี่ หนทางเดินเข้าไปทำลายโลก โลกมันอยู่ที่ไหนล่ะทีนี้ โลกมันอยู่ที่ใจ ของสัตว์ที่ลุ่มหลงนั่นแหละ อาการที่มันติดลาภ ติดยศ ติดสรรเสริญ ติดสุข ติดทุกข์ นั่นแหละ เมื่อมีอยู่ในใจเมื่อใด ใจก็เป็นโลก เมื่อใจ เป็นโลก อยู่ที่ไหนโลกก็อยู่ที่นั่นแหละ


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:23:16 »


ต้นเหตุของการเกิดโลก

ต้นเหตุที่โลกจะเกิดขึ้นมา ก็เกิดจากความอยาก ถ้าดับความ อยาก ก็คือ ดับโลก ความอยากเป็นบ่อเกิดของโลกทั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติแล้ว เราจึงเดินทางศีล สมาธิ ปัญญา นี่ ท่านว่าโลกธรรมแปด และมรรคแปดเป็นของคู่กัน ทำอย่างไร จึงเป็นของคู่กัน ถ้าหากว่าเราพูดทางปริยัติของเราแล้ว ก็พูดได้ว่า ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา นี่ก็แปดอย่าง ในทางโลก ส่วนในทางธรรม ก็มีมรรคแปด สัมมาทิฐิ สัมมาสังกับโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ รวมแล้วก็แปดอย่างเหมือนกัน

ทางสองแปดนี่นะ มันอยู่ที่เดียวกัน ไม่ได้อยู่คนละที่ พวกยินดี ในลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อยู่ในใจนี้ ใจผู้รู้นี้ แต่ผู้รู้นี้มีเครื่องปกปิดเอาไว้ จึงให้รู้ผิดไป มันก็เลยเป็นโลก ผู้รู้นี้ยังไม่มีพุทธภาวะเกิดขึ้นมา จึงถอนตัวออกไม่ได้ จิตใจขณะนี้ก็เลยเป็นโลก

เมื่อเราได้มาปฏิบัติ มาทำศีล ทำสมาธิ ทำปัญญา ก็คือเอา กาย เอาวาจาใจนี้ มาประพฤติปฏิบัติ ที่โลกธรรมมันแฝงอยู่นี้แหละ มาประพฤติปฏิบัติ ที่มันยินดีในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข ในทุกข์นี้แหละ มาทำลงที่เดียวกัน ถ้าเมื่อเราได้มาทำลงที่เดียวกันนี้ ก็เลยเห็นกัน เห็นโลก เห็นธรรม มันขวางกันเลยทีเดียว ไม่มีลาภก็คิด อยากได้ลาภ มียศก็ติดยศ มีสรรเสริญก็ติดสรรเสริญ มีสุขก็ติดสุข มีทุกข์ก็ติดทุกข์ มีนินทาก็ติดนินทา ถ้าเรามาปฏิบัติลงที่ใจของเรา มันก็จะได้เห็นโลกธรรมชัด

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า สูทั้งหลายจงมาดูโลก อันน่าตระการดุจราชรถ อันพวกคนเขลาทั้งหลายขลุกอยู่ หมกอยู่ แต่ ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ไม่ใช่ว่าท่านให้ไปดูโลกทั้งโลกหรือทั้งประเทศ ไม่ใช่อย่างนั้น ให้ดูจิตที่มันอาศัยโลกเป็นอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ให้ดูโลกอยู่เสมอให้ดูจิต พิจารณาถึงโลก เพราะโลกมันเกิดอยู่ที่ใจ ความอยากเกิดที่ไหน โลกก็เกิดที่นั่น เพราะความอยากเป็นบ่อเกิดของโลก ถ้าดับความอยาก ก็คือดับโลก มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นเมื่อเรามาปฏิบัติ แล้วมาเจริญมรรค มานั่งสมาธิ อยากให้มันสงบ มันก็เลยไม่สงบ ไม่อยากให้มันนึกคิด มันก็นึกคิด

เพราะไปนั่งใส่รังมดแดง รังมดอยู่ที่นั่นก็เอาก้นไปนั่งทับมัน อย่างนั้นมันก็กัดเอาซิ ใจเรามันเป็นโลกอยู่ มาปฏิบัติมันก็เกิดโลกขึ้นมาเลย ความดีใจ ความเสียใจ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน ก็เกิดขึ้นมาทันที เพราะอะไรละ? เพราะเราไม่บรรลุถึงธรรม เพราะใจเราเป็นอยู่อย่างนี้ ผู้ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ก็เพราะทนโลกธรรมไม่ได้ จึงไม่ได้พิจารณา ฉะนั้น จึงเหมือนกันกับเราไปนั่งในรังมดแดงนั่นแหละ ก็มดมันอยู่ที่นั่น ไปนั่งที่บ้านของมัน มันก็กัดเอานะซิ ถ้ามันกัดเรา เราจะทำอย่างไรล่ะ? เราก็หาวิธีทำลายมันเสีย เอายามากันมัน กลบมันเสีย เอาไฟมาเผามันเสีย หรือทำให้หนีจากที่นั่นเสีย

นี่คือการปฏิบัติ แต่ผู้ปฏิบัติบางคนไม่ได้คิดอย่างนั้น ถ้ามันไม่สบายก็ไปกับมันเลย มันว่าสบายก็ไปกับมันเลย ไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา ไปกับมันเลย ไม่พากันระงับเหล่านี้ ดังนั้นมันจึงเป็นโลก

ฉะนั้นผู้ที่ทดลองปฏิบัติ แล้วพูดว่าปฏิบัติไม่ได้ ไปไม่ได้ ไปไม่ไหว ก็คือเราไม่ได้พยายามนั่นเอง โลกธรรมแปดประการนี่มันข่ม มรรคไม่ให้เกิดขึ้นมา จะพยายามอดทนรักษาศีลไม่ได้ จะอดทนพิจารณามันไปอีกก็ไม่ได้ เพราะอะไร ก็เหมือนกับบุรุษที่ไปนั่งในรังมดแดง ทำอะไรก็ไม่ได้ มันกัด มันไต่ มันนั่น มันนี่อยู่ วุ่นวายต่างๆ นานา แต่ไม่สามารถกำจัดภัยทั้งหลายออกจากที่นั่งของเรา ก็ทนนั่งอยู่นั่นแหละ ฉันใด นี่ก็เป็นฉันนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นปฏิปักษ์กัน


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:24:08 »


เมื่อใดสงบก็อยู่เหนือโลกธรรม

ฉะนั้น โลกธรรมมันจึงอยู่ที่ใจ เมื่อมาทำใจจะให้มันสงบ มันก็เลยพลุ่งขึ้นมาทันที เพราะมันอยู่ที่นั่น เมื่อใจเป็นโมหะเมื่อใด มันก็เป็นความมืดอยู่ที่นั่น เมื่อใดที่โมหะมันจางไป มันก็รู้ขึ้นมาที่นั่น ได้ความรู้ว่า ความรู้กับความหลงมันเกิดอยู่ที่เดียวกัน เมื่อความหลงเกิดขึ้นมาแล้ว ความรู้ก็เข้าไปไม่ได้ มันระงับความรู้ไว้เสีย เมื่อความรู้เกิดขึ้นมาแล้ว ความหลงก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่าน จึงให้ปฏิบัติที่ใจ มันเกิดอยู่ที่ใจ โลกธรรมแปดประการมันอยู่ที่นั่น มรรคแปดประการที่เจริญขึ้นมาได้ ก็เพราะเรามาพิจารณา ด้วยสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ด้วยญาณทั้งหลายทั้งปวง การทำความเพียรกรรมฐานนั้น ก็ช่วยข่มไปเสีย จนความโลภ ความโกรธ ความหลง ในลาภ ยศ สรรเสริญ เหล่านี้เบาออกไป เมื่อมันเบา ออกไปแล้ว เราก็รู้จัก เมื่อมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ มี นินทา มากระทบ เราก็รู้จัก

เพราะโลกอยู่กับเรา เราอยู่ในโลก อยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา อย่างนี้ เมื่อเราอยู่ เราก็อยู่กับมัน ก็เหมือนกับเราเข้าอยู่ในเรือน เวลาเข้าไปในเรือน เมื่อเวลาเราออกจากเรือน เราก็มีความรู้สึกว่าเราออกจากเรือน ได้ความสว่าง ไม่มืดเหมือนอยู่ในเรือน อาการที่จิตเข้าไปหาโลกธรรมนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น อาการที่จิตทำลายโลกธรรมแล้วนั้น หรือโลกธรรมห่างจากใจแล้วนั้น (หมายเหตุ 11) ก็เหมือนกันกับเราออกจากเรือนมา ฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงรู้เฉพาะตัว เองว่าโลกธรรมมันหายแล้วหรือยัง มรรคมันเจริญแล้วหรือยัง เมื่อมรรคเจริญขึ้นมาได้เท่าใด มันก็ฆ่าโลกธรรมเท่านั้น มันจะฆ่าโลกธรรม เบียดเบียนโลกธรรมเรื่อยๆ ไป ผลที่สุดแล้วมรรคจะกล้าขึ้นมา คือความเห็นชอบกล้าขึ้นมา ความเห็นผิดไม่ชอบมันก็หายไป ผลที่สุดมรรคก็ฆ่ากิเลส แต่ถ้ามรรคอ่อน กิเลสก็ฆ่ามรรค มีสอง อย่างเท่านั้นแหละ ความเห็นผิดและเห็นถูก มีสองอย่างนี้เท่านั้น ความเห็นผิดก็มีวิธีการของมันเช่นกัน ความเห็นผิดนี้มันก็มีปัญญาเหมือนกัน แต่มันมีปัญญาในทางที่ผิด ถ้าผู้ปฏิบัติมีความเห็นถูกเห็นผิดแย่งกันไป ผู้ปฏิบัตินั้นก็จะคล้ายกับคนสองคน คือโลกกับธรรม โลกกับธรรมนี้มันแย่งกันเถียงกันไปเช่นนั้น แย่งกันไปเถียงกันไป เมื่อใดที่เราพิจารณาดู จะเห็นมันจะแย่งกันไปตลอดกาลตลอดเวลา จนกว่าจะรู้ถึง โน้น ถึงวิปัสสนา

แต่บางทีมันก็เอาวิปัสสนูขึ้นมา (หมายเหตุ 12) หมายความ ว่าเมื่อเราพากันพยายามสร้างคุณงามความดี ความบริสุทธิ์ พอไปเห็นความดีขึ้นมาก็ไปติดความดีอยู่อีก อาการที่ไปติดความดี ไปยึดหมายความดีนี้ ก็เป็นวิปัสสนูอีกนั่นแหละ เป็นปัญญาของกิเลสนั่น บางคนไปติดความดีอยู่ มีความบริสุทธิ์ก็ไปติดความบริสุทธิ์ มีความรู้ ก็ติดความรู้อยู่อย่างนี้ อาการที่ไปยึดมั่นหมายมั่นในความรู้นี้อีก ในความบริสุทธิ์นี้อีก อันนั้นก็เป็นวิปัสสนูแทรกเข้ามาอีก

ฉะนั้น เมื่อเจริญวิปัสสนาถึงขั้นนี้ให้ระวัง ระวังวิปัสสนูกิเลส เพราะมันใกล้กันที่สุด จนเราจะไม่รู้ตัว แต่หากมีความรู้ถูกต้องแล้ว เราจะเห็นทั้งสองอย่างได้ชัดเจน ถ้าเป็นวิปัสสนูแล้ว มันจะมีความทุกข์ขึ้นมาเป็นบางคราว ถ้าหากเป็นวิปัสสนาจริงๆ แล้ว ก็จะระงับทุกข์ ระงับสุขทุกข์ นี่เป็นผลที่เกิดขึ้นมา เราจะรู้เองด้วยตัวของเรา ฉะนั้น การปฏิบัติท่านจึงให้อดทน บางคนมาปฏิบัติ ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อยากให้มันมีอะไรเกิดขึ้น ไม่อยากให้มันเดือดร้อน แต่มันก็เดือดร้อน เพราะของเก่ามันมี เราต้องพยายามระงับความเดือดร้อนที่มีอยู่นั่นเอง

พระท่านว่า ถ้าหากปฏิบัติแล้วเกิดความเดือดร้อนนั่นถูก ถูกแล้ว ถ้าหากมันเดือดร้อน ถ้าปฏิบัติแล้วไม่เดือดร้อน ไม่ถูก ถ้ากินสบาย นอนสบาย อยากจะไปไหนก็ไปตามเรื่อง อยากจะพูดอะไรก็พูดตามเรื่อง อยากทำตามใจมันทุกอย่างนั้น มันไม่ถูก ฉะนั้น ธรรมะ คำสั่งสอนของพระศาสดาท่านว่าขัด ขัดอะไร? โลกุตตระ ขัด โลกียะ ความเห็นชอบ ขัด ความเห็นผิด ความบริสุทธิ์ ขัด ความไม่บริสุทธิ์ เรื่อยไป

ฉะนั้น จึงมีอุบายที่ตามตำรากล่าวว่า “สมเด็จพระบรม ศาสดาก่อนตรัสรู้นั้น ท่านไปรับข้าวจากนางสุชาดา เมื่อท่านทรงฉัน เสร็จแล้ว ก็ทรงลอยถาดลงในน้ำ ธรรมดาน้ำมันไหลลง ท่านได้ทรง อธิฐานจิตว่า ถ้าหากว่าได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ แล้ว ขอให้ถาดนี้ไหลลอยไปเหนือน้ำ แล้วถาดก็ลอยไหลไปเหนือน้ำ” ความจริง ถาดก็คือ ความเห็นชอบของพระองค์ท่านนั่น

แหละ ผู้รู้หรือพุทธภาวะของท่านที่เกิดขึ้นมาจากการพิจารณาแล้วนั้น ไม่ได้ปล่อยตามใจของสัตว์ แต่ไหลขึ้นไปทวนกระแส ใจของท่านทวนขึ้นไปหมดทุกอย่าง ไม่ได้ฟังเสียงใคร ฉะนั้น พระธรรมเทศนาของ พระองค์จึงทวนใจของพวกเราจนทุกวันนี้ โลภท่านก็ว่าไม่ให้โลภ โกรธท่านก็ไม่ให้โกรธ ให้ทำลายมัน อยากหลงก็ไม่ให้หลง ให้ทำลายมัน มีแต่เรื่องทำลายมันอย่างเดียว

ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา ท่านจึงทรงเชื่อแน่ว่า จิตของท่านนั้นทวนกระแสขึ้นไปนั้นเอง มันทวนสัตว์โลกหมด ทวน กระแสสัตว์โลก สิ่งที่ว่าสกลร่างกายสวย ท่านว่าไม่สวย โลกว่าอัน สกลร่างกายเป็นของเรา ท่านว่าไม่ใช่ของเรา อันนี้ว่าเป็นแก่นเป็นสาร ท่านว่าไม่เป็นแก่นเป็นสาร ความเห็นชอบอย่างนี้เหนือ เหนือสัตว์โลก ขึ้นไป สัตว์โลกนั้นตามลงมากับน้ำ

ต่อมา “ท่านได้รับหญ้าคา จากโสตถิยะพราหมณ์ แปดกำมือ ท่านทรงทำอธิฐานเป็นบัลลังก์เพื่อนั่งสมาธิ ว่าถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ทรง ลุกขึ้น แล้วท่านก็ตรัสรู้ที่ตรงนี้” ถ้าจะกล่าวเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว หญ้าคาก็คือโลกธรรมแปดนี่แหละ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เหล่านี้แหละโลกธรรมแปดประการ หญ้าคาแปดกำมือ ฟังแต่ชื่อมันซิ หญ้าคา “คา” คาอะไร? นักบวชของเรา เมื่อบวชเข้ามาก็คาสิ่งเหล่านี้แหละ มาคาลาภ มาคา ยศ มาคาสรรเสริญ มาคาสุข มาคาทุกข์ มาคานินทา โลกทั้งหลาย มาคาอยู่ที่นี่หมด

สมเด็จพระศาสดาจึงทรงอธิฐานเป็นบัลลังก์ นั่งทับลงไปด้วย สมาธิธรรม อาการที่นั่งทับคือ สมาธิ นั่งทับคือ จิตของท่านเหนือกว่าโลกธรรม จิตในขณะนั้นเป็นโลกุตรธรรม ทับโลกียธรรมไว้ แต่ก็ยังเกิดเป็นมารต่างๆ นานามาหลอกล่อ ซึ่งความจริงก็เป็นอาการของจิตนั่นเอง จนกระทั่งท่านได้ตรัสรู้ธรรม ก็ได้ชนะมารในที่นั้น ชนะคือชนะโลกนี่เอง ไม่ใช่ชนะอะไรอื่นไกล ฉะนั้น ท่านจึงทรงเจริญมรรคในที่นั้น มรรคจึงฆ่าโลกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น


บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:27:11 »


เห็นธรรมเป็นธรรมก็มีดวงตาเห็นธรรม

ผู้ประพฤติหรือผู้ปฏิบัติของเราทุกวันนี้นั้น ศรัทธามันน้อย พอปฏิบัติได้ปีสองปี เดือนสองเดือน ก็อยากจะได้ อยากไปไวๆ ไม่รู้จักนึกบ้างเลยว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านทรงสร้างบารมีของท่าน มานานแสนนานเพียงใด แล้วท่านยังต้องมาต่อสู้ในพระชาติสุดท้าย อยู่อีกถึงหกปี

ฉะนั้น ท่านจึงทรงตั้งนิสัยพระนวกะว่า จะต้องอยู่ฝึกอบรมกับพระอุปัชฌาย์อย่างน้อยห้าพรรษา ผู้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาตรวจค้น มีศรัทธาจริงๆ ผู้บากบั่นพยายามตลอดห้าพรรษานี่ ก็เรียกว่าใช้ได้ แต่ให้ปฏิบัติจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ถ้าเราพยายามทำจริงๆ ได้ห้าพรรษา แล้วจะได้รู้ว่าคุณค่าของพระพุทธโอวาท ที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านบัญญัติไว้นั้น มันเป็นเช่นไร จะได้รู้จัก ห้าพรรษาคือคนใช้ได้ จิตใจก็ใช้ได้ อะไรก็พอเป็นพอไปแล้ว

แน่นอน ฉะนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นพระอริยะบุคคลขั้นแรก แต่ทว่าต้องไม่ใช่ห้าพรรษาแต่อายุเท่านั้น ต้องเป็นห้าพรรษาในจิตด้วย ผู้ปฏิบัติเข้าถึงจิตใจเช่นนี้ จะมีความกลัว ความละอาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ทั้งในที่มืดและที่แจ้ง เพราะเข้าถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อาศัยพระธรรม อาศัยพระสงฆ์ แล้วมีพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว ถ้าพึ่งพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็ต้องเห็นพระพุทธเจ้า ต้องเห็นพระธรรม ต้องเห็นพระสงฆ์ ถ้าเราขอพึ่งท่าน ขอพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ แล้วเรายังไม่เห็นท่านนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร ถ้าเราขอพึ่งท่านก็ต้องรู้จักท่าน จะรู้จักแต่กายเท่านั้นยังไม่พอ ต้องรู้จักด้วยใจจึงจะใช้ได้ ถ้าเข้าใจถึงแล้ว จึงจะรู้ได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระธรรมเป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระสงฆ์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ พระพุทธเจ้า เป็นรูปลักษณะอาการอย่างนั้นอย่างนั้น พระธรรมก็เช่นเดียวกัน จึงจะได้เป็นที่พึ่งของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดอยู่ที่จิตของเรา จะไปอยู่ที่ไหนก็ตามมีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ อยู่เรื่อยไปในจิตผู้นั้น ฉะนั้น ผู้นี้จึงไม่กล้ากระทำบาป พระอริยะบุคคลขั้นแรก ท่านจึงไม่เข้าไปสู่อบาย ตรงแน่วแน่ไปเลย ไม่มีชาติที่แปดเกิดขึ้น เพราะอะไร เพราะมันแน่นอนแล้วน่ะซิ มันแน่นอนแล้ว เมื่อเข้าหนทาง ก็ไม่ได้สงสัย ทีนี้ค่อยเคลื่อนไปไม่ได้มีความสงสัย ไม่ถึงวันใดก็จะต้องถึงวันหนึ่ง จะให้กลับมาทำบาปทำกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจาอีกไม่มี พ้นจากความเดือดร้อนที่จะเป็นนรกแล้ว

ฉะนั้น ท่านจึงว่าอริยบุคคลพ้นอบายภูมิ จิตก็ไม่ไปถึงอบาย ไม่ไปสู่อบาย จึงเป็นผู้ไม่กลับ คือไม่กลับมาทำชั่ว ใจนั้นมาทำความชั่วไม่ได้อีก อันนี้จะได้เห็นเองว่าใจมันทำไม่ได้ ก็แปลว่ามันเปลี่ยนไป เป็นอริยชาติแล้ว มันกลับมาไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนในชาตินี้เอง เรื่องเหล่านี้จะรู้จักเฉพาะเจ้าของเอง

ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ที่ยังไม่ได้เห็นธรรม เมื่อได้ยินอย่างนี้ อาจจะคิดว่าการรู้ธรรม การเห็นธรรม การปฏิบัติธรรมเช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร เป็นการยากอยู่ เรื่องเหล่านี้น่ะก็คือธรรมชาติธรรมดาที่มันเป็นอยู่นี้แหละ

ทุกวันนี้ บางทีเรามีความสุขใจ บางทีเรามีความทุกข์ใจ มีความดีใจ มีความเสียใจ เพราะอะไร? เพราะไม่รู้ธรรม เพราะไม่เห็นธรรม ไม่รู้ธรรมชาติ ไม่เห็นธรรมชาติ คือธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนั้นเรื่อยๆ ทั้งกายและจิต คือรูปและนาม ฉะนั้น พระบรมศาสดาท่าน จึงได้หมายขันธ์ห้า วางขันธ์ห้า เลิกขันธ์ห้า ละขันธ์ห้า

ที่ละมันไม่ได้เพราะอะไร? เพราะไม่เห็นมัน เพราะไม่รู้เท่าทันมัน เห็นว่ามันเป็นเรา เห็นเราว่าเป็นมัน เห็นเราว่าเป็นสุข เห็นสุขว่าเป็นเรา เห็นทุกข์ว่าเป็นเรา เห็นเราว่าเป็นทุกข์ มันแยกออกจากกันไม่ได้ เมื่อแยกออกจากกันไม่ได้ ก็แปลว่าเราไม่เห็นธรรม คือธรรมชาติ อย่างนี้มันไม่เป็นเรา แต่เราเข้าใจว่าเป็นเรา สุขก็มาถูกเรา ทุกข์ก็มาถูกเรา เสียใจก็มาถูกเรา เพราะเราเข้าไปขวางอยู่ตรงนั้น เราก็คือก้อนอัตตาตัวตน เมื่อมีก้อนอัตตาเมื่อใดแล้ว สุขก็ถูกเรา ทุกข์ก็ถูกเรา อะไรก็ถูกหมด

ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ท่านจึงว่าให้ทำลายก้อนอัตตา เมื่อทำลายก้อนอัตตา คือสักกายทิฐินี้แล้ว หมดก้อนอัตตาแล้ว อัตตามันก็ไม่ต้องเรียกมันเป็นของมันเอง เมื่อหมดอัตตา อนัตตาก็เกิดขึ้นมาเอง

เมื่อบุคคลถือเนื้อถือตัว ก็จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตน เห็นว่าเราสุข เห็นว่าเราทุกข์ เห็นว่าเราดี เห็นว่าเราชั่ว เห็นว่าเราต่างๆ นานา ความจริงสิ่งเหล่านี้ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่เรากลับไปเอาธรรมชาติมาเป็นเรา เอาเรามาเป็นธรรมชาติ เลยไม่รู้ว่าธรรมชาติคืออะไร ธรรมชาติมันดีก็หัวเราะกับมัน ธรรมชาติมันร้ายก็ร้องไห้กับมัน ความจริงธรรมชาติก็คือสังขาร อย่างเราว่า “เตสัง วูปสโม สุโข” ความสงบของสังขารนั้นเป็นสุข สงบอะไรล่ะ? ก็คือถอนอุปาทานออกมาว่า เห็นธรรมชาติตามเป็นจริงของมัน เดี๋ยวนี้ความเป็นจริงของมันมีอยู่ มันเป็นจริงอยู่ ต้นหญ้า ภูเขา เถาวัลย์ มันเป็นของมันอย่างนั้น มันเกิดมันก็ดับ มันดับมันก็เกิด มีเลื่อนไหลไปมา ธรรมชาติมันเป็นจริงอยู่ แต่เราผู้ไม่จริง เมื่อไปเห็นแล้วก็ตื่นเต้น ธรรมชาติไม่ตื่นเต้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าใครจะร้องไห้ ใครจะหัวเราะ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนั้นมันเป็นของจริง เราไม่รู้จักของจริง เมื่อเป็นเห็นของจริงแล้วกระตือรือร้น ร้องไห้ หัวเราะ ต่างๆ นานา เสียอกเสียใจ ดีอกดีใจ

ถึงเราจะดีใจเสียใจอย่างไรก็ตาม สภาวะร่างกาย รูปนี้ของเราก็เป็นอยู่ของมันเช่นนี้ มันเกิดมาแล้ว มันก็แปรตามธรรมชาติ แปรไป เจ็บไป ตายไป พลัดพรากจากกันไปเป็นธรรมดา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เมื่อหากว่าบุคคลผู้ใดจะเอาธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้ให้มันเป็นตัวเรา เป็นของเรา อย่างนี้มันก็เป็นการแบกทุกข์ไว้ ฉะนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะท่านจึงว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง” คำ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นหมายความรวมตลอดเลย จะเป็นรูปหรือเป็นนาม ก็ช่าง ใช่หมดทั้งนั้น ความเห็นของท่านในขณะที่ท่านฟังเทศน์ของพระพุทธองค์นั้น เปลี่ยนขึ้นมาจนเห็นแจ้ง ออกจากที่นั่งแล้วก็ยังเห็นอยู่อย่างนั้น จริงอยู่อย่างนั้น อาการอย่างใดผ่านเกิดขึ้นมาก็เห็น ความเกิดอันมันดับไปแล้ว ท่านก็เห็นความดับ เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด

ท่านก็เห็นมัน อันใดมันเกิดแล้วก็ดับ อันใดมันดับแล้วก็ดับไป เป็นอยู่เรื่อยไป สุขทุกข์ก็มากระทบจิตของท่านอยู่เสมอ แต่ว่าจิตของท่านเพียงแต่รับทราบ ไม่พลอยตกนรก ไม่พลอยไปสู่อบาย ไม่พลอยไปดีใจ ไม่พลอยไปเสียใจกับสิ่งเหล่านั้น จิตของท่านตั้งมั่นเด่นอยู่ พิจารณาอยู่อย่างนั้น นั่นเพราะท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านได้ดวงตา ได้ดวงตาอันหนึ่งที่เห็นธรรมชาติตามเป็นจริง ความรู้เท่าตามเป็นจริงของสังขาร สังขารมันเป็นจริงอย่างไร ก็รู้เท่าตามเป็นจริงของมันอย่างนั้น นี่เรียกว่าผู้รู้ธรรม ผู้เห็นธรรม รู้แล้ว ละ เลิก ถอน ถ้ายังไม่เห็น ก็ยังพากันอด พากันละ มันไม่เห็นหรอก ที่มา อดละ อดกลั้น อดทน อดทานนั่นนะ แต่ถ้าถึงที่ของมันแล้ว ก็จะไม่มี เรื่องอดละ อดกลั้น ไม่มีเรื่องใดได้อด เรื่องผู้เห็นธรรมแล้ว ก็เป็นธรรม ไม่มีเรื่องอดกลั้น นี่เรายังไม่ทันรู้จักธรรม ไม่เป็นธรรม จึงเอาธรรมมาใช้ เอาความเพียรมาใช้ มันเป็นอย่างนี้

ทีนี้ถ้าเรามาเพียรแล้ว มันไม่เกียจคร้านแล้ว ความเพียรก็ไม่ต้องเอามาใช้ มันรู้เท่าต่ออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว มันไม่สุข ไม่ทุกข์กับมัน ก็ไม่ต้องเอาขันติมาใช้ เมื่อมันเป็นธรรมแล้ว มันเกิดมา มันก็เป็นธรรม ผู้รู้ก็รู้ตามธรรม แล้วก็เลยเป็นธรรม รู้ธรรมแล้วเห็นธรรม เรียนธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม เป็นธรรม

เมื่อมันเป็นธรรมแล้วก็หยุด สงบแล้ว ทีนี้ไม่ได้เอาธรรมมาใช้ เพราะมันเป็นธรรมแล้ว ภายนอกก็เป็นแล้ว ภายในก็เป็นแล้ว ผู้รู้ธรรม ก็เป็นธรรม สภาวะมันก็เป็นธรรม อันที่รู้มันก็เป็นธรรม เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างเสรี เป็นหนึ่งเสียแล้ว ธรรมชาติอันนี้จึงไม่เกิด ธรรมชาติอันนี้จึงไม่แก่ ธรรมชาติอันนี้จึงไม่เจ็บ ธรรมชาติอันนี้จึงไม่ตาย ธรรมชาติอันนี้จึงไม่สุขไม่ทุกข์ ธรรมชาติอันนี้ไม่น้อยไม่ใหญ่ ไม่หนักไม่เบา ไม่สั้นไม่ยาว ไม่ดำไม่ขาว ไม่มีเรื่องเปรียบเทียบ ไม่มีเรื่องจะเอามาเปรียบ สมมุติอะไรๆ เข้าไม่ถึงเข้าไม่ถึงที่นั่น

ฉะนั้น พระนิพพานท่านจึงว่าไม่มีสีสรรวรรณะ สีเขียว สีแดง สีดำ อะไรไม่มี เรื่องสีเขียวสีดำ อะไรต่างๆ เป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องบัญญัติในโลกีย์ เมื่อพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ไม่มีเรื่องเหล่านี้ตามไปถึง ดังนั้นจึงกล่าวว่าสิ่งนั้นเป็นโลกุตตระ ธรรมอันนั้นท่านจึงว่าเป็นปัจจัตตัง อันผู้รู้ก็ได้เฉพาะเจ้าของ ประกาศไม่ได้ มีแต่อุบาย ผู้ที่เข้าไปถึงแล้วก็แล้ว จะเอาสมมุติบัญญัติมาพูดไม่ได้ มันหมดมันสิ้น



บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 24.0.1312.57 Chrome 24.0.1312.57


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2556 14:28:27 »

หมายเหตุจากผู้จัดทำ (คุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง)

เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ นอกเหตุเหนือผล ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม แต่ยังคงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความคาดว่า ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด หรือเพื่อลดความสับสน โดยได้ใส่วงเล็บ กำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว ดังรายละเอียดต่อไปนี้

จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “เกิดขึ้นมาเบื้องต้น ท่ามกลางแล้วก็แปรไป ขน เล็บ ฟัน หนัง มันแปรไป” แก้สองอย่าง คือ อย่างแรกคำว่า “ท่ามกลางแล้วก็เปลี่ยนไป” รู้สึกว่า “แล้ว” นจะมาอยู่ข้างหน้า และอีกอย่างหนึ่งคือคาดว่าจะตกคำว่า “ผม” เพราะจากเรื่องอื่นๆ หลวงพ่อชา พูดถึงเรื่องนี้ทีไร จะต้องมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จึงจะครบชุด ดังนั้นจึงแก้เป็น “เกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น แล้วท่ามกลางก็แปรเปลี่ยนไป ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันแปรไป”

จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ท่านทรงชี้ธรรมขาติ คือ ธรรมชาติ” แก้เป็น “ท่านทรงชี้ธรรม คือ ธรรมชาติ”

จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “จนเป็นตัวว่าสุขก็เหมือนกัน จะเป็นตัวว่าทุกข์ก็เหมือนกัน” แก้เป็น “จะเป็นตัวว่าสุขก็เหมือนกัน จะเป็นตัวว่าทุกข์ก็เหมือนกัน”

จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “พุทธะภาวะ” สะกดผิด แก้เป็น “พุทธภาวะ”

จุด 5 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “แล้วมีความแปรไป สิ่งเหล่านี้ก็ดับไป” แก้เป็น “แล้วมีความแปรไป แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ดับไป”

จุด 6 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “อย่างเด็กก็แปรจากเด็ก ดับจากเด็กมามาหนุ่ม จากหนุ่มก็ดับไปเป็นแก่ จากแก่ก็เป็นชรา จากชราก็ตาย” แก้เป็น “อย่างคนเราเกิดมาเป็นเด็ก จากเด็กแปรมาหนุ่ม จากหนุ่มก็แปรไปเป็นแก่ จากแก่แปรไปเป็นชรา จากชราแล้วก็ตายดับไป”

จุด 7 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ถ้ายังมีสีลัพพตปรามาสอยู่ วิจิกิจฉาก็ยังอยู่” แก้เป็น “ถ้ายังมีสักกายทิฐิอยู่ วิจิกิจฉาก็ยังอยู่ สีลัพพตปรามาสก็ยังอยู่”

จุด 8 พบว่าต้นฉบับเดิมมีการใช้ทั้งคำว่า “อุปาทาน” และ “อุปทาน” ปะปนกันอยู่ จึงทำการค้นหาและแก้ไขให้เป็นคำว่า “อุปาทาน” ทุกจุด

จุด 9 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “อยู่ในโลกผู้ที่ไม่สงบ” คำ ว่าคำว่า “ผู้” น่าจะเกินมา จึงแก้เป็น “อยู่ในโลกที่ไม่สงบ”

จุด 10 ต้นฉบับเดิมนั้นการกล่าวถึง โลกธรรม (อันประกอบไปด้วย ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์) แต่ละครั้ง จะเรียงลำดับไม่เหมือนกัน กลับไปกลับมา สันนิฐานว่าตอนที่หลวงพ่อชาท่านพูด ก็คงจะพูดด้วยสำนวนที่ท่านติดปาก แต่อาจจะเป็นเพราะเรียงไม่ตรงกับในตำราปริยัติ หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนพยายามจะแก้คำพูด แต่ก็แก้ไม่ครบทุกจุด ก็เลยดูเหมือนเรียงกลับไปกลับมา ทำนองเดียวกันกับข้อความว่า “ดิน น้ำ ลม ไฟ” ซึ่งในเรื่องอื่น หลวงพ่อชาท่านจะพูดว่า “ดิน น้ำ ไฟ ลม” เสมอ ต่างจากที่พวกเรามักจะเรียงลำดับกันว่า “ดิน น้ำ ลม ไฟ” แต่พอมาอ่านเรื่องนี้ ผมพบว่ามีอยู่สองจุด พูดสองอย่าง ก็คาดว่าหลวงพ่อท่านก็คงจะพูดอย่างที่ท่านเคยพูดนั่นแหละ แต่ถูกแก้ให้เป็นสำนวนตามที่พวกเราชอบพูดกัน แล้วก็แก้ไม่ครบทุกจุด กรณีของ “ดิน น้ำ ลม ไฟ” นี้ผมก็ไม่ได้แก้กลับ ยังปล่อยไว้ตามต้นฉบับเดิม เพราะทั้งสองจุดอยู่ห่างกันเกือบสิบหน้า ผู้อ่านคงไม่รู้สึกอะไรมาก ไม่ต้องการแก้ไขต้นฉบับเดิมโดยไม่จำเป็น ส่วนกรณีของโลกธรรมนี้ ปรากฏอยู่ใกล้ๆ กัน สิบกว่าครั้ง ถ้าขืนปล่อยไว้ ผู้อ่านก็คงจะสับสน ฉะนั้น จึงทำการเรียงใหม่ให้เหมือนกันทุกจุด โดยเรียงตามสำนวนอันหนึ่งที่คาดว่าคงเป็นของเดิมที่ไม่ถูกแก้ คือ “ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา”

จุด 11 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “โลกธรรมต่างจากใจ แล้วนั้น” แก้เป็น “โลกธรรมห่างจากใจแล้วนั้น”

จุด 12 ตรงจุดนี้ ต้นฉบับเดิมได้มีหมายเหตุท้ายหน้าไว้ว่า วิปัสสนู ย่อมาจาก วิปัสสนูปกิเลส ซึ่งเกิดจากการเอาคำว่า วิปัสสนู รวมกับคำว่า อุปกิเลส โดยที่ วิปัสสนูปกิเลส คือสิ่งที่ทำให้ วิปัสสนา หรือปัญญา เศร้าหมอง ด้วยทำให้เข้าใจผิดว่าตนได้บรรลุธรรมแล้ว แต่ผมสงสัยว่าจะมีอะไรผิดสักอย่าง เพราะถ้าบอกว่า “วิปัสสนู” เป็นคำย่อ “วิปัสสนูปกิเลส” แล้วยังบอกว่า “วิปัสสนูปกิเลส” เกิดจาก “วิปัสสนู”รวมกับ “อุปกิเลส” ก็หมายความว่า “วิปัสสนูปกิเลส” ก็จะเกิดจาก “วิปัสสนูปกิเลส” คือตัวมันเองรวมกับ “อุปกิเลส” ไม่น่าจะเป็นไปได้

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
สงบจิตได้ปัญญา หลวงพ่อชา สุภัทโท
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
เงาฝัน 5 5476 กระทู้ล่าสุด 01 กุมภาพันธ์ 2553 23:26:34
โดย เงาฝัน
รู้เพื่อละ หลวงพ่อชา สุภัทโท
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 3 2737 กระทู้ล่าสุด 27 มีนาคม 2554 11:36:47
โดย 時々๛कभी कभी๛
การฝึกใจ (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 3 2590 กระทู้ล่าสุด 24 กรกฎาคม 2554 12:10:22
โดย เงาฝัน
« วันสงกรานต์ » (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 2 2739 กระทู้ล่าสุด 11 เมษายน 2555 11:09:59
โดย เงาฝัน
ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้าองค์เดียว โดย พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
ธรรมะจากพระอาจารย์
That's way 0 2186 กระทู้ล่าสุด 06 มิถุนายน 2556 12:13:11
โดย That's way
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.493 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 14 มีนาคม 2567 10:10:37