[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 20:02:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผ้าห่มของลูกกำพร้า หลวงพ่อพุธ  (อ่าน 3875 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553 06:23:02 »





ผ้าห่มของลูกกำพร้า หลวงพ่อพุธ
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

พระกรรมฐานที่เทศนาเรื่องความกตัญญูได้จับใจที่สุดรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
มิใช่เพราะลีลาจับจิต โวหารจับใจ หากแต่เป็นเพราะเรื่องจริงในวัยเด็กของท่าน...





พระกรรมฐานที่เทศนาเรื่องความกตัญญูได้จับใจที่สุดรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
มิใช่เพราะลีลาจับจิต โวหารจับใจ หากแต่เป็นเพราะเรื่องจริงในวัยเด็กของท่าน

เด็กชายพุธเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เพื่อพ่อตายก็ต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดที่ จ.สระบุรี
ได้ไปอาศัยอยู่กับปู่กับย่าที่สกลนคร

“ชีวิตเด็กบ้านนอกมันต้องต่อสู้มาก วันๆ ทำแต่งาน ไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป
ขี้เกียจขี้คร้านเขาดูถูกเหยียดหยาม กลางวันฤดูฝนต้องทำนา
กลางคืนหาปูหาปลาหากบหาเขียด นอนตื่นดึกลุกเช้าขึ้นมาตำข้าว...กินเป็นเวลานอนเป็นเวลา...
ไม่มีใครสนับสนุนกระเสือกกระสนมาด้วยลำแข้ง
เป็นเด็กกำพร้าอนาถาอยู่กลางบ้าน จะขึ้นบ้านใครเขาก็ปิดประตู...

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553 06:53:15 »



ชีวิตของเด็กกำพร้านี่ไม่ต้องอธิบายก็ได้ มันไม่มีอะไรดี เพื่อนฝูงชาวบ้านเขาก็ดูถูกเหยียดหยาม โดยที่สุดแม้แต่ญาติผู้ใหญ่ของเราเองเขาก็ยังไม่สนใจ หลวงพ่อนี่...ถึงขนาดที่ว่า บางทีกินข้าวอยู่ดีๆ เขาไล่ออกจากสำรับก็ยังเคยมี บางทีคล้ายๆ กับว่าเขากลั่นแกล้ง เวลาค่ำมืดให้เราไปต้อนวัวต้อนควายเข้าคอกคนเดียว เด็กอายุ 12-13 ปี มันก็เกิดความกลัว และบริเวณบ้านที่อยู่นะ มันป่าช้างดงเสือทั้งนั้น ถ้าเราชวนน้องๆ ไปด้วยเขาก็หาว่าเกี่ยง ใช้งานแค่นี้ไม่ได้ มึงหนีไปจากบ้านกู คุกเข่ากราบลงต่อหน้าที่ลานบ้านขอเวลาอีก 6 เดือน เพราะตอนนั้นเรียนอยู่ประถม 6 ยังเหลืออีก 6 เดือนจะจบ พอเรียนจบแล้วพอรู้ว่าสอบประถม 6 ได้ เดินเข้าวัดเลย บวช...”

ท่านว่า “ในความรู้สึกของหลวงพ่อ ไม่มีความรู้สึกว่าที่ไหนเป็นบ้าน ไม่มีความรู้สึกว่า มีพี่น้องมีญาติ แต่แสดงความรู้สึกไปตามมารยาท ใครมาปวารณาว่า เป็นญาติ เป็นพี่น้อง เป็นลูกหลานก็แสดงไป เขาจะเลิกรักนับถือก็สบายๆ ใครมาบอกว่ารักก็รักเขา ถ้าเขาเลิกรัก เลิกนับถือก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจสักนิด

บวชแล้วท่านก็เอาดีจนเหนือมนุษย์ทั่วไปได้ แต่หากมิได้มีฐานรากที่เข้มแข็งแล้ว หากเป็นคนธรรมดาคงยากที่จะทนทานได้ เพราะปมในอดีตของท่านนั้นไม่ได้จบอยู่ที่ตอนเข้าวัด

ตอนพ่อสิ้นขณะตัวเองอายุ 4 ขวบนั้นรู้เห็นอยู่กับตา แต่สำหรับแม่นั้นเด็กชายพุธได้รับการบอกเล่าตลอดมาว่า “แม่ตายตอนอายุ 7 ขวบ” แต่แท้จริงแล้วตลอดเวลานั้นแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ มารู้อีกทีว่าแม่มีชีวิตอยู่ก็ตอนโตเป็นหนุ่มอายุ 32 แล้วแต่มันก็สายเกินไป เพราะแม่มาจากไปก่อนท่านจะทราบเรื่องเพียง 2 ปี
“หลวงพ่อจากแม่มาตั้งแต่ พ.ศ. 2468 เพิ่งไปค้นพบญาติเมื่อ พ.ศ. 2496 ตอนนั้นหลวงพ่ออายุ 32 ปี ถึงได้รู้ว่าโยมแม่ยังไม่ตาย เขามาบอกว่าแม่ท่านเพิ่งตายไปได้ 2 ปีนี้เอง...”

แม้จะมีชีวิตวัยเด็กอาภัพนัก แต่ทุกครั้งที่มีใครมาดูถูกดูหมิ่นท่านจะเตือนตนเองเสมอว่า “เราจะมาทำลายตัวเอง เพราะคนอื่นเขาดูถูกดูหมิ่นได้อย่างไร เราต้องเหนือกว่าเขา แล้วลงผลสุดท้ายมันก็มาเป็นอยู่อย่างนี้...หลวงพ่อเอาสิ่งที่คนอื่นเขาลบหลู่ดูหมิ่นมาเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจให้เกิดทะเยอทะยาน สอนตัวเองให้เป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูงในทางที่ดี ยิ่งใครมาดูถูกเหยียดหยามเท่าไหร่ ยิ่งต้องกระตือรือร้นเอาชนะจิตใจเขาให้ได้”

เด็กกำพร้าคนนี้สอนตัวเองและสอนคนอื่นอย่างไร?


“ถึงหลวงพ่อจะเป็นเด็กกำพร้า แต่พระคุณของบิดามารดาผู้ให้เกิดก็ประมาณค่ามิได้ หลวงพ่อคิดว่าพระคุณของบิดามารดาและคุณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายสำคัญที่สุด

“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มาตาปิตุอุปัฏฐานัง การอุปัฏฐากบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด เพราะบิดามารดาเป็นพรหมของลูก บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก บิดามารดาเป็นเนื้อนาบุญของลูก เพราะฉะนั้นชาวพุทธเรานี่ควรจะได้รู้จักพระสององค์นี้ก่อน

“อย่างบางทีหลวงพ่อเคยเห็นคนบางคนกำลังจัดของจะไปจังหันพระ ตาแก่ยายแก่มองดูแล้ว ‘เออ ของนี่น่าอร่อย แม่ขอกินหน่อยได้ไหม’

“ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันจะเอาไปวัด” บาป เพราะฉะนั้นให้ถือคติเสียว่า เรามีมือสองข้าง วันหนึ่งๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ใคร ต้องยกมือขึ้นไหว้พ่อไหว้แม่เราก่อน ถึงแม้ว่าท่านไม่อยู่ด้วยก็ตาม พ่อตื่นจากที่นอนมา พนมมือสองข้างขึ้นสาธุ...ข้าพเจ้าไหว้พ่อแม่ ทำทุกๆ วันเป็นสิริมงคล ถ้าหากว่าท่านอยู่ต่อหน้าเรา ก่อนจะไปทำงานทำการก็ยกมือขึ้นไหว้หรือกราบตักท่านก่อน เพราะว่าออกไปข้างนอก แม้เราจะต้องไปพบเพื่อนฝูง ผู้หลักผู้ใหญ่ เราจำเป็นต้องยกมือขึ้นไหว้ เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งๆ เราต้องยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่เราก่อน ถ้ามีของอุปโภคบริโภคต้องยกประเคนให้พ่อแม่เราก่อนที่จะเอาไปให้คนอื่นหรือถวายพระก็ตาม ต้องมีส่วนแบ่งให้พ่อแม่ เราไหว้พ่อแม่ไม่ได้ อย่าไปไหว้พระ อย่าไปเที่ยวหาเลี้ยงพระให้อิ่ม ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด ให้พ่อแม่อดอยากนี่ตกนรกกันหมด...”

ถึงท่านจะเป็นพระแต่ท่านก็บอกว่า พ่อแม่นี่ล่ะคือ พระที่ประเสริฐที่สุด
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553 07:11:38 »



“ถ้าหากว่าใครไม่สนใจกับการดูแลเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ละก็ มาทำบุญกับหลวงพ่อนี่ หลวงพ่ออยากจะบอกว่า มาทำทำไม พ่อแม่เป็นพระองค์ประเสริฐของเรานี่ ไปเที่ยวเร่ร่อนหาทำบุญแต่ต่างถิ่นต่างแดน แต่ปล่อยให้พ่อแม่เฝ้าบ้าน ต้มหุงกินเองอยู่คนเดียว มันไม่เข้าท่า

ก่อนอื่น จะไปทำบุญที่ไหน ต้องกะว่าพ่อแม่เราต้องอิ่ม มีของดีๆ ขนไปทำบุญกับพระกับสงฆ์หมด กล้วยเน่าๆ เอาไว้ให้พ่อแม่กิน มันไม่เข้าท่าเลยนะ จะบอกให้ เอาไปทำบุญกับพระอย่างไร ก็ต้องให้พ่อให้แม่ด้วย ทำอย่างนั้นมันถึงจะถูกต้อง หรือไม่ก็ให้ดีกว่าก็ยังได้ เพราะสมบัติทุกสิ่งส่วนของเราได้มาจากท่าน เรามีมือมีเท้าสำหรับเดิน ท่านเป็นผู้สร้างให้เรา แล้วเรามีวิชาความรู้ ท่านก็เป็นผู้หาให้เรา เพราะฉะนั้นจะไปมองข้ามท่านได้อย่างไร” (จากหนังสือฐานิยปูชา 2553)

หลวงพ่อพุธ มิเคยแต่งงาน แต่ท่านมีลูกมีหลานเพราะท่านเป็นหลวงพ่อของใครต่อใคร และใครหลายคนก็เติบโตมาเพราะการชุบเลี้ยงดูแลของหลวงพ่อ

หลวงพ่อผู้เป็นลูกกำพร้า เลี้ยงและสอนลูกที่ถูกทิ้ง ลูกที่เป็นลูกของหลวงพ่ออย่างไร ความนี้มีอยู่ในหนังสือฐานิยปูชา 2553 หนังสือธรรมของหลวงพ่อพุธเล่มล่าสุดมีความดังนี้

“พ่ออีกคนหนึ่ง พ่อบักวิทย์ บักวิทย์นี่เป็นหลานอาจารย์ไสว อาจารย์ไสวนี่มีแม่คนหนึ่งแล้วก็น้องสาวคนหนึ่ง ไอ้น้องสาวบ้าบอนี่ก็ไปเที่ยวหาแต่ลูกมาให้หลวงลุงเลี้ยง มีผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง หลวงลุงก็อยากจะให้หลานมีการเรียนการศึกษา จูงมือไปที่อุบลฯ จะไปฝากโยมอุปถัมภ์ปฐากให้เรียน ตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.6 จบ ม.6 แล้ว ให้เรียน ม.7 ต่อ ตอนนั้นมันมี ม.7 ม.8 มันบอกว่า ‘โอ๊ย! สู้ไม่ไหวแล้ว หลวงพ่อ เอาแค่ ม.6 นี่ก็พอแล้ว’ ‘แล้วแกจะไปยังไง’ ‘ผมจะสมัครเป็นครูโรงเรียนราษฎร์

แล้วจะไปสอบวุฒิครูเอา’ สมัยนั้นเขายังมีสอบ ป.ม.กันอยู่ มันก็เรียนต่อ สอบเทียบก็ได้ ป.ม. จบ ป.ม.ไปเป็นครูอยู่ที่นครปฐม ภายหลังมารับราชการครู

“สมัยที่มันเป็นเด็ก หลวงลุงจูงมือไปหาพ่อ ไปบอกว่าเป็นลูกเป็นเต้า มันไล่หลวงลุงลงจากบ้าน อยู่มาภายหลัง มันเป็นอัมพาตแล้วก็ไม่หาย เสร็จแล้วก็ต้องออกจากงาน เงินบำเหน็จที่ได้มาก็ไม่เท่าไร ผลสุดท้ายครอบครัวก็ไม่มีใครช่วยหารายได้ ให้เขาหามใส่สามล้อไปหามัน ไปขอให้มันเลี้ยง ไปรับสารภาพผิด มันก็รับว่าเป็นพ่อ แต่มันบอกว่า ‘ผมยังมีพ่ออุปการะผมอีกคนหนึ่ง ให้ผมไปถามพ่อผมคนนั้นก่อน ถ้าท่านอนุญาตให้เลี้ยง ผมก็จะเลี้ยง’

“มันก็นั่งรถมาตอนนี้หลวงพ่อมาอยู่โคราชแล้ว มันมาบอก ‘พ่อเขารับสารภาพผิดแล้ว เวลานี้เขาเป็นอัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้เขามาขอให้ผมเลี้ยง หลวงพ่อจะว่าอย่างไร’ ‘อ้าว! ก็ดีแล้วนี่ ก่อนตายเขารู้สึกว่าเขามีความผิด เขารับสารภาพผิดแล้ว ก็รับเลี้ยงเขาเถอะ’ มันก็เลี้ยงจนตายคามือ”

อีกด้านหนึ่งนี่คือ เรื่องของพ่อที่ผิดต่อลูก แต่ลูกนั้นไม่ผิดต่อพ่อเพราะพ่อคือ หลวงพ่อ สอนมาแล้ว
ลูกกำพร้าผู้นี้ก็สอนนักสอนหนาว่า ถึงพ่อแม่จะไม่ได้เลี้ยงเรา แต่ถ้าเราไปทำกรรมต่อท่านมันก็บาปนักบาปหนา ความนี้ปรากฏอยู่ในเรื่อง “วิบัติ! แม้ทำกรรมกับพ่อที่ไม่ได้เลี้ยงดู” ในหนังสือเล่มเดียวกัน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 25 สิงหาคม 2553 07:31:14 »




“มันมีอย่างนี้ ตัวอย่างมันเห็นได้ชัดเจน ขนาดพ่อไม่ได้เลี้ยงลูก มหาศรี อยู่วัด...เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่กี่ปีมานี้ มหาศรีสอบมหา 5 ประโยคได้ตั้งแต่อยู่บ้านนอก เข้าไปอยู่กรุงเทพฯ ทีนี้พ่อแกไปได้แม่แกอย่างไม่ได้มีทะเบียน พอท้องแล้วไม่รับรอง ไม่รับว่าเป็นลูก แม่มหาศรีนี่ก็ใจเด็ด ก็เลี้ยงลูกกะยาย มหาศรีเกิดมาก็เห็นแต่แม่กับยาย

“อยู่มาภายหลัง มหาศรีไปเรียนจบปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ แล้วไปต่อปริญญาโทที่ประเทศอินเดีย พอกลับมา เจ้าพ่อนี่เขียนจดหมายให้ลูกชายที่ได้กับแม่ใหม่ถือไปบอกว่า คนนี้คือน้องชายของท่าน ท่านช่วยอุปการะให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน พออ่านจดหมายเท่านั้นแหละ มหาศรีนี่ลุกปุ๊บปั๊บ ‘กูไม่มีน้อง กูไม่มีพี่มีน้อง กูมีแต่ยายกับแม่ มึงไปนะ ไม่ไปกูเตะคอหัก’ เด็กหนุ่มมันกลัวมันก็หนีไป

“เอ้า! นึกว่าจะเป็นเฉพาะแต่น้องชายมา หลังจากนั้นไม่นาน ไม่กี่วัน พ่อกับแม่ใหม่มา มาก็มาบอกว่า ‘ผมนี่แหละเป็นพ่อของท่าน’ พอได้ยินเท่านั้นแหละ ลุกปุ๊บปั๊บขึ้นมาเลย กำหมัด ทำท่าจะเตะจะต่อย ‘กูไม่มีพ่อ กูมีแต่แม่กับยาย ยังมาบอกว่าเป็นพ่อ มึง! หมานี่ ทำไว้แล้วไม่รู้จักเลี้ยงจักดู ไม่รู้จักรับผิดชอบ จะมาอ้างว่าเป็นพ่อกูยังไงวะไปนะ ไม่ไปกูเตะคอหักเลย’ พ่อรีบลุกออกจากกุฏิไป

“ภายหลังมา มหาศรีสึกไป ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ ไปสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ เขาก็สืบประวัติว่ามีความประพฤติไม่ดี พอเสร็จแล้วก็เลยไม่มีงานทำเตะฝุ่นอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้

“พ่อแม่นี่ เพียงแค่นี้ก็บาปหนักบาปหนาเห็นทันตา อันนี้รายหนึ่ง”

ในช่วงวันแม่เรามักพูดถึงความรักของพ่อแม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วในรอบ 10 ปีมานี้ สังคมไทยมีการหย่าร้างเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว

ปีนั้นกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยข้อมูลว่า เดิมปี 2539 มีการหย่า 13% กล่าวคือ มีผู้จดทะเบียนสมรส 436,831 คน หย่า 56,718 คน แต่ 10 ปีถัดมา ในปี 2549 สถิติหย่าร้างพุ่งเป็น 26% กล่าวคือ มีผู้จดทะเบียนสมรส 347,913 คน หย่า 91,155 คน หรือชั่วโมงละ 10 คน

ล่าสุดเดือน ม.ค. 2552 สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) ได้ศึกษาสถานการณ์ครอบครัวไทย แล้วพบว่า ปัจจุบันนี้มีประชากรเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 11-22 ปี จำนวน 11.4 ล้านคน อยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากกว่า 2.5 ล้านครอบครัว

พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวจำนวนมากยังอยู่ในวัยรุ่นและวัยเรียน และเหตุหลักที่พวกเขาต้องกลายมาเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เพราะปัญหาการหย่าร้าง

พวกเขาจะเติบโตขึ้นมาโดยมีชะตากรรมอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ถ้าพวกเขา มักใหญ่ใฝ่สูงในทางที่ดี ไม่เอาชะตากรรมความเป็นลูกกำพร้ามาเหยียบย่ำตัวเองแล้วตระหนักว่า พระคุณของบิดามารดาและคุณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายสำคัญที่สุด อย่างที่หลวงพ่อสอน เชื่อได้ว่าพวกเขาย่อมลิขิตชีวิตตัวเองไปในทางประเสริฐได้อย่างแน่นอน



http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ...่มของลูกกำพร้า
http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=12272
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
คำค้น: เด็กกำพร้า ผู้มีพระคุณ ความกตัญญู 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
สมาธิเพื่อชีวิต – หลวงพ่อพุธ ฐานิโย(๑)
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เงาฝัน 15 13855 กระทู้ล่าสุด 16 พฤษภาคม 2553 23:43:39
โดย undevisee
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนศีล ๕ หลวงพ่อพุธ
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
เงาฝัน 5 6291 กระทู้ล่าสุด 15 มิถุนายน 2553 02:43:37
โดย เงาฝัน
พระพุทธเจ้า.. ฉันมังสวิรัตหรือไม่ (หลวงพ่อพุธ)
เสียงธรรมเทศนา
เงาฝัน 1 3071 กระทู้ล่าสุด 10 ตุลาคม 2553 20:09:35
โดย หมีงงในพงหญ้า
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า หลวงพ่อพุธ
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 2100 กระทู้ล่าสุด 21 ธันวาคม 2553 15:00:37
โดย เงาฝัน
วางใจเป็นกลาง ละวางความทุกข์ (หลวงพ่อพุธ)
ธรรมะจากพระอาจารย์
เงาฝัน 0 3153 กระทู้ล่าสุด 24 ธันวาคม 2553 14:02:49
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.307 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 12 มีนาคม 2567 11:39:19