หมูโสร่ง (อาหารว่างไทยโบราณ)

<< < (2/3) > >>

สาวเรือพ่วง:


แกงเห็ดเผาะกับยอดมะขาม นอกจากแกงกะทิแล้วยังมีแกงแบบที่คนภาคเหนือรู้จักกันเป็นอย่างดีอีกชามนึง เป็นแกงเห็ดเผาะกับยอดมะขามแกงที่มีเครื่องย่างโขลกใส่ลงไป ทำให้น้ำซุปหอมเข้มข้น หน้าตาอาจจะดูไม่สวยหรูอะไรแต่เชื่อว่ารสชาติเข้าถึงคนภาคอื่นๆได้ไม่ยาก ต้องลองครับ


สูตรแกงเห็ดเผาะกับยอดมะขาม

สำหรับ 1-2 ท่าน
เวลา 25 นาที

วัตถุดิบแกงเห็ดเผาะกับยอดมะขาม

1. เห็ดเผาะ(หรือเห็ดผอบ) 1/2 ถ้วยตวง
2. ซี่โครงหมู 6 ชิ้น
3. ใบมะขามอ่อน 1/4 ถ้วยตวง
4. กระเทียมไทยย่าง 15 กลีบ
5. พริกขี้หนูย่าง 15 เม็ด
6. หอมแดงไทยย่าง 7 หัว
7. กะปิย่าง 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
10. น้ำ 2 ถ้วยตวง

วิธีทำแกงเห็ดเผาะกับยอดมะขาม

1. ตั้งหม้อต้มน้ำกับซี่โครงหมูจนเดือนแล้วเบาไฟลงไฟกลาง เคี่ยวต่อจนสุกหรือเปื่อยได้ที่
2. โขลกส่วนผสมในข้อ 4-7 จนเข้ากันดี แล้วใส่ลงไปในหม้อใช้ไฟกลาง ล้างเห็ดถอบให้ดีแล้วใส่ตามลงไป ปรับเป็นไฟกลางค่อนข้างแรง แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสคร่าวๆ รอจนเห็ดถอบร้อนถึงข้างในดีแล้ว ใส่ใบมะขาม ปิดไฟ เติมน้ำมะนาวแล้วชิมรสชาติอีกครั้ง ตักใส่ชามได้เลย

สาวเรือพ่วง:


อีกหนึ่งขนมไทยที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก เนื่องจากขั้นตอนและการทำที่ใช้เวลานาน โดยส่วนผสมหลักของตัวขนม จะคล้ายๆ ขนมทองเอก ซึ่งประกอบไปด้วย แป้งสาลั ไข่ไก่ น้ำตาลและกะทิ แล้วตกแต่งด้วยเม็ดแตงโมที่ชุบน้ำตาลโดยรอบให้เป็นรูปมงกุฏ ในบางครั้งจะมีการประดับทองคำเปลวที่ทานได้ลงไปด้วย ในสมับโบราณจัดเป็นขนมมงคลและนิยมจัดเป็นเครื่องเสวยในราชสำนัก


สูตรขนมจ่ามงกุฎ (ขนมไทย)

ระยะเวลา 6-7 ชม.
ประมาณ 20-25 ชิ้น

ส่วนผสมจ่ามงกุฎ (ขนมไทย)

เม็ดแตง
1. เม็ดแตงโมแกะ
2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
3. น้ำ 1/4 ถ้วย

ตัวมงกุฎ (ทองเอก)
4. แป้งสาลี บัวแดง 1/2 ถ้วย
5. ไข่ไก่ (แยกเอาไข่แดง + กะทิ 1/2 ถ้วย คนให้เข้ากัน) 6 ฟอง
6. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
7. กะทิ (กะทิกล่อง 3/4 ถ้วย + น้ำ 1 ถ้วย) 1 ถ้วย

ฐานมงกุฎ (กวน)
8. แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
9. ไข่ไก่ (แยกไข่แดง) 1 ฟอง
10. น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำเชื่อม (กาว) ถ้วยตะไล

วิธีทำจ่ามงกุฎ (ขนมไทย)

1. เม็ดแตง
1.1 น้ำเชื่อม – หม้อใส่น้ำกับน้ำตาล คนเล็กน้อย ตั้งไฟให้เดือดประมาณ 5 นาที (ไม่คน) ใส่ชาม (ที่เอามือจุ่มได้) พักไว้พออุ่น
1.2 ติดเตาถ่าน 2-3 ก้อน หรือเตาแก๊สต้อง ใช้ไฟอ่อนสุด - กะทะทองใส่เม็ดแตง ตั้งไฟ ใช้มือกวาดไปมา คั่วเม็ดแตงให้สุก ประมาณ 30 นาที (ถ้าใช้ไฟแรง เม็ดแตงจะพองแตก หรือไหม้ได้)
1.3 ปลายนิ้วจุ่มในน้ำเชื่อมพอเคลือบนิ้ว (ถ้าน้ำเชื่อมชุ่มไปสะบัดออก เพราะจะทำให้เป็นการเคลือบน้ำตาลเมด็แตง) กวาดไปมากับเม็ดแตงในกะทะ อีกมือจับกะทะประคองให้ตั้งเอียงไว้ คอยสังเกตดูถ้าเม็ดแตงแห้ง เอามือจุ่มน้ำเชื่อม กวาดเม็ดแตง ถ้ากระทะร้อนเกินไปจนมือเราทนไม่ได้ กลับกะทะอีกด้าน (เปลี่ยนด้าน และเมื่อก้นกะทะเลอะมีเศษน้ำตาลเกาะ ใช้ผ้าชุ่มน้ำหมาดๆ เช็ดให้แห้ง เช็ดให้สะอาดทั่วกระทะ เพราะก้นกระทะสะอาด กระทะจะลื่น ทำให้กวาดเม็ดแตงได้) แต่มือก็ยังกวาดไปมาต่อไป ทำต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ใช้เวลากวาดเม็ดแตงจนขึ้นหนามใช้เวลาประมาณ 2 1/2 – 3 ชม. (ถ้านานเกินหนามอาจหักหมด) เก็บเม็ดแตงใส่ถุงไว้ ส่วนน้ำเชื่อมเก็บไว้เพื่อใช้เป็นกาวในการประกอบขนม
2. ตัวมงกุฎ (ทองเอก)
2.1 อ่างใส่แป้งสาลี น้ำตาล กะทิ1/2 ถ้วย (ค่อยๆ ใส่) ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ให้น้ำตาลละลาย ใส่ไข่แดงที่ผสมในกะทิ 1/2 ถ้วย คนให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าข้าวบางเทใส่กะทะทอง คนก่อนขึ้นตั้งไฟทุกครั้ง (ส่วนผสมนอนก้น) ใช้ไฟอ่อนที่สุด กวนช้าๆ เป็นวงกลม พอส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น กวนแบบชักขึ้นลงไปมาช้าๆ (ไม่กระชาก เพราะจะทำให้แตกมัน)
2.2 การกวนขนม – ใช้มือแต่ข้างกะทะทองเพื่อตรวจดูอุณหภูมิ ถ้าร้อนเกินมือจับได้ ยกลงวางบนถาดที่มีผ้าเปียกน้ำ กวนขนมต่อไป จนรู้สึกว่ากะทะเริ่มเย็นตัวลง ยกขึ้นตั้งไฟใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลากวนประมาณ 1 1/2ชม ดูแป้งข้นเหนียว ยกลงจากเตาพักไว้ (แป้งที่เหลือใช้จากการทำจ่ามงกุฎ นำไปอัดในพิมพ์ทองเอกได้ (แป้งเหมือนกัน)
3. ฐานมงกุฎ - อ่างใส่แป้งสาลี (ไข่แดงที่คนผสมกับน้ำ) ค่อยๆ ใส่ทีละนิด ดูอย่าให้เหลวเกินไป (ถ้าเหลวเติมแป้งเพิ่ม) นวดเคล้าพอเป็นก้อน คลึงบนไม้กระดานให้เป็นแผ่นหนา 0.1 ซม. ใช้พิมพ์กด วางใส่ในก้นถ้วยตะไล ใช้ไม้จิ้มฟันเจาะให้เป็นรู นำเข้าอบ (350องศา) ดูให้เหลืองกรอบ
4. การประกอบขนม - ฐาน (ถาด)ที่อบสุกแล้ว นำเม็ดแตงโมขนาดเท่าๆกัน (ที่กวาดหนามแล้ว) ติดรอบฐานด้วยน้ำเชื่อม (6-7 เม็ด ถาดเล็ก 8-9เม็ด) ทิ้งให้แห้ง ตัวมงกุฎ (แป้งทองเอกที่กวนไว้) ปั้นเป็นก้อนกลม กะขนาดพอวางบนฐาน ใช้สันมีดคว้านบั้ง (เหมือนสัญลักษณ์ดอกจันทร์) ทำให้เป็น 6 กลีบ ปั้นแป้งอีกส่วนเป็นวงกลมเล็กติดตรงกลางเป็นยอด (ถ้าไม่ติดใช้น้ำมันทาเล็กน้อย) ใช้ปลายมีดเขี่ยทองคำเปลว ติดตรงกลางส่วนยอดอีกที วางใส่จาน นำไปอบควันเทียนในรังถึง


สาวเรือพ่วง:


เมนูอร่อยแซ่บที่น่าจะถูกใจคนชอบความเผ็ดร้อน เมนูนี้มีที่มาจากร้านอาหารแห่งหนึ่งในอยุธยา โดยใช้วัตถุดิบหลักเป็นกระดูกหมูอ่อน นำมาสับให้ละเอียด ผัดรวมกับเครื่องปรุงต่างๆ จนได้รสชาติเผ็ดร้อน ทานคู่กับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมดองน้ำผึ้ง และใบยี่หร่า รับรองว่าอร่อยเด็ดจนต้องเติมข้าวอีกจานแน่นอนครับ


สูตรอาหารกระดูกหมูอ่อนสับผัดเผ็ด

เวลาในการทำ 30 นาที
ส่วนผสมสำหรับ 3-4 ที่

วัตถุดิบกระดูกหมูอ่อนสับผัดเผ็ด

1. กระดูกหมูอ่อน 250 กรัม
2. ตะไคร้อ่อน 2 ต้น
3. ใบยี่หร่า 15 ใบ
4. พริกขี้หนูแดง 15 เม็ด
5. กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบ
6. น้ำตาลทราย 2 ชช.
7. ซีอิ๊วขาว 2 ชช.
8. ซีอิ๊วดำ 1 ชช.
9. ผงยี่หร่า 1 ชช.
10. น้ำมันถั่วเหลือง 5 ชต.

เครื่องเคียง
1. กระเทียมดองน้ำผึ้ง 2 ชต.
2. ใบยี่หร่า 20 ใบ

วิธีทำกระดูกหมูอ่อนสับผัดเผ็ด

1. ซอยใบยี่หร่าและสับพริกขี้หนูแดง กระเทียม ตะไคร้ให้ละเอียด จากนั้นสับกระดูกหมูอ่อนจนละเอียด พักไว้
2. ผัดพริก กระเทียม ตะไคร้กับน้ำมันจนหอมจึงค่อยเติมกระดูกหมูสับลงไป ผัดจนกระทั่งหมูเกือบสุก
3. ปรุงรสด้วยผงยี่หร่าซอยเป็นลำดับสุดท้าย ผัดต่ออีกเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ จัดเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง ได้แก่ใบยี่หร่า กระเทียมดองน้ำผึ้ง

สาวเรือพ่วง:


ขนมไทยโบราณที่ทำจากแป้งสองชนิดมาผสมกับผงลูกจันทน์ป่น กะทิ ไข่ ผสมกัน ใช้เวลาในการกวนจนสามารถปั้นเป็นรูปได้ ลักษณะขนมคล้ายลูกจันทร์


สูตรขนมเสน่ห์จันทร์ (ขนมไทยโบราณ)

ระยะเวลา 4-5 ชม.
ประมาณ 20 - 25 ชิ้น

ส่วนผสมเสน่ห์จันทร์ (ขนมไทยโบราณ)

1. แป้งข้าวเหนียว 1/4 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
4. กะทิ-กล่อง (แยก 1/2 ถ้วยไปผสมไข่แดง) 1 1/2 ถ้วย
5. ไข่แดงไข่ไก่ (ผสมกะทิ 1/2 ถ้วย) 1 ฟอง
6. ผงลูกจันทน์ป่น 1 ช้อนชา
7. ผงโกโก้ 1 ช้อนชา
8. ผ้าขาวบาง ถาดใส่ผ้าชุมน้ำวางข้างกะทะที่กวนขนม

วิธีทำเสน่ห์จันทร์ (ขนมไทยโบราณ)

1. อ่างใส่แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล ผงจันทน์ เคล้าให้เข้ากัน ใส่กะทิ 1 ถ้วย (ค่อยๆ ใส่) ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ให้น้ำตาลละลาย ใส่ไข่แดงผสมกะทิ 1/2 ถ้วย) คนให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าข้าวบางเทใส่กะทะทอง ตั้งๆไฟ (อ่อนมากๆ) กวนช้าๆ เป็นวงกลม พอส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น กวนแบบชักไปขึ้นลงช้าๆ (ไม่กระชาก)
2. การกวนขนม – ใช้มือแต่ข้างกะทะทองเพื่อตรวจดูอุณหภูมิ ถ้าร้อนเกินมือจับได้ ยกลงวางบนถาดที่มีผ้าเปียกน้ำ กวนขนมต่อไป จนรู้สึกว่ากะทะเริ่มเย็นตัวลง ยกขึ้นตั้งไฟใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลากวนประมาณ 1 1/2 ชม ดูแป้งข้นเหนียว แบ่งแป้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมผงโกโก้ (ทำเป็นขั้วจุก) นำส่วนที่เหลือไปกวนต่อเล็กน้อย ยกลงจากเตา ปั้นเป็นก้อนกลม บุ๋มเล็กน้อยตรงกลาง ส่วนที่ผสมโกโก้เป็นเป็นขั้วจุกสามแฉกใส่ตรงกลางลูก หรือปั้นเป้นเส้นเล็กๆ แล้วขดเป็นวงกลมแปะด้านบนก็ได้ จัดใส่จาน อาจอบควันเทียนในรังถึงเพิ่มความหอม
3. ลักษณะเนื้อขนมด้านๆ เป็นเนื้อทราย คล้ายๆ ทองเอก


สาวเรือพ่วง:






กระทงทองอาหารว่างไทยโบราณที่หลายๆคนน่าจะรู้จักกันดี ด้วยความสวยงามของตัวกระทงที่ทอดแล้วออกเป็นสีทอง และไส้กระทง ที่ทำมาจากเนื้อไก่ผัดกับเครื่องต่างๆ ทานเป็นของว่างหรือนำไปจัดเสริฟในงานเลี้ยง เมนูนี้น่าจะถูกใจผู้ชอบของว่างไทยๆครับ


สูตรอาหารกระทงทอง

ระยะเวลา 50 นาที

เครื่องปรุงกระทงทอง

กระทงทอง
1. แป้งสาลี (บัวแดง) 2 + 1 ถ้วย + ชตพูน
2. ไข่แดง 1 ฟอง
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา
4. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมัน 4 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย
7. น้ำ 1 1/2 ถ้วย

ไส้ไก่
8. เนื้ออกไก่ล้วน (สับละเอียด) 1 ถ้วย
9. ถั่วลันเตา เม็ดข้าวโพด แครอท 1 ถ้วย
10. รากผักชี กระเทียม (โขลก) 2 ช้อนโต๊ะ
11. พริกไทย 15 เม็ด
12. เกลือ 2 ช้อนชา
13. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
14. นมข้นจืด 1/2 ถ้วย

วิธีทำกระทงทอง

• ส่วนกระทง
1. กะละมังใส่แป้งสาลี ไข่แดง นวดเคล้าให้เข้ากัน ใส่เกลือ น้ำตาล น้ำมัน นวดให้เข้ากันสักพัก คลายแป้งด้วยน้ำ น้ำปูนใส (สังเกตจากเมื่อชุบแล้วแป้งเคลือบติดมือแสดงว่าใช้ได้ เพราะถ้าไม่ติดอาจจะต้องเพิ่มแป้ง) พักแป้งไว้สัก 20-30 นาที

• ส่วนไส้ไก่
2. เนื้ออกไก่ – ล้าง สับละเอียด โขลก รากผักชี กระเทียม พริกไทย ใส่กะทะตั้งไฟ ผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่ เนื้อไก่ ดูให้เนื้อไก่สุก ใส่ถั่วลันเตา ข้าวโพด แครอท ผัดเคล้าให้เข้ากัน ใส่นมข้นจืด ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ ชิมรสให้ออก หวาน-มัน-เค็ม ผัดจนน้ำเริ่มงวด ปิดไฟ ใส่ภาชนะพักให้เย็นตัว

3. หม้อใส่น้ำมันทอดเกือบครึ่งหม้อ จุ่มพิมกระทงทองแช่ทิ้งไว้ให้ร้อน ยกขึ้นซับน้ำมัน นำไปจุ่มแป้งเกือบถึงขอบพิมพ์ นำลงทอด สังเกตดูว่าแป้งพองอยู่ตัว ใช้ส้อมหรือไม้ปลายแหลมเขี่ยให้แป้งหลุดจากพิมพ์ ดูสีเหลืองทองจึงตักขึ้นวางใส่กระดาษซับน้ำมัน
4. จัดจาน – ตักไส้ต่างๆ ใส่ถ้วยเล็กวางบานจานใหญ่ ตัวกระทงจัดเรียงบนจาน กรณียังไม่ทานเลย ซ้อนกระทงใส่ถุงพลาสติกรัดไว้ เพื่อไม่ได้ลมเข้าและคงความกรอบไว้ 

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว