. ๑.ระบบหมุนเวียนของโลหิต ๒.ระบบทางเดินอาหาร และ ๓.ระบบประสาท
ลักษณะกายวิภาคภายในของแมลง• ลักษณะกายวิภาคภายในของแมลง
ภายในร่างกายของแมลงซึ่งเป็นส่วนที่เรามองไม่เห็น ประกอบด้วยระบบต่างๆ ที่ทำหน้าที่ให้แมลงเกิด เติบโต ดำรงชีวิตให้อยู่รอด และขยายพันธุ์ ระบบเหล่านี้ ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ระบบหมุนเวียนของโลหิต ระบบหายใจ ระบบประสาท และระบบสืบพันธุ์ ๑.ถุงน้ำลาย ๒.ต่อมน้ำลาย ๓.ท่ออาหารส่วนต้น ๔.หลอดอาหาร ๕.ปาก
๖.ท่ออาหารส่วนกลาง ๗.ท่อขับถ่ายของเสีย ๘.ท่ออาหารส่วนท้าย และ ๙.ทวารหนัก
• ระบบทางเดินอาหาร
ระบบทางเดินอาหารของแมลง เริ่มจากช่องปากไปจนถึงช่องเปิดสำหรับใช้ถ่ายอุจจาระ กล่าวโดยรวม ทางเดินอาหารประกอบด้วยท่ออาหาร (digestive tract) ๓ ส่วน มีส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วนท้าย
ท่ออาหารส่วนต้น (foregut) จากช่องปากถึงกระเพาะเก็บอาหาร เปิดปิดให้อาหารผ่านไปยังท่ออาหารส่วนกลาง
ท่ออาหารส่วนกลาง (midgut) มีติ่งของถุงน้ำย่อยจำนวนหนึ่ง แมลงบางชนิดอาจไม่มีติ่งของถุงน้ำย่อยเลยก็ได้ แมลงบางชนิดมีท่อขับถ่ายของเสียที่เป็นของเหลวด้วย เปรียบเสมือนไตของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ปลายท่อส่วนนี้มีลิ้นเปิดปิดให้อาหารผ่านไปยังท่ออาหารส่วนท้าย
ท่ออาหารส่วนท้าย (hindgut) มีท่อขับถ่าย ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอุจจาระ และช่องถ่ายอุจจาระ (ทวารหนัก) ระบบหมุนเวียนของโลหิต : ๑.รูหายใจ ๒.กล้ามเนื้อ ๓.หัวใจ (โป่งเป็นช่วงๆ) และ ๔.เส้นโลหิตใหญ่
• ระบบหมุนเวียนของโลหิต
แมลงมีหัวใจและเส้นโลหิตใหญ่ติดต่อกันเป็นท่อเดียว มีกล้ามเนื้อติดกับหัวใจ ช่วยสูบฉีดโลหิตในระบบเปิด ทำให้โลหิตหมุนเวียนนำธาตุอาหารไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น
ระบบเส้นโลหิตของแมลงไม่ซับซ้อนเท่ากับของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง เส้นโลหิตพาดตามยาวจากหัวไปจนสุดปล้องท้องของลำตัว
ส่วนที่อยู่ปล้องท้องนี้เองคือหัวใจ มีลักษณะโป่งเป็นช่วงในแต่ละปล้องของแมลงเหมือนข้าวต้มมัด แบ่งเป็นห้องๆ ได้ แต่ละห้องมีรูเล็กๆ ๒ รู อยู่ตรงกันข้ามทางด้านข้างของตัวแมลง ทำหน้าที่เปิดให้โลหิตเข้าไปในหัวใจ โดยมีลิ้นบังคับให้โลหิตไหลไปทางเดียวสิ้นสุดที่บริเวณสมอง
• ระบบหายใจ
เป็นระบบง่ายๆ ประกอบด้วยท่อลมซึ่งแตกสาขาเป็นฝอยแทรกอยู่ทั่วไปทุกส่วนของร่างกาย ท่อลมนี้มีช่องเปิดติดต่อกับอากาศภายนอกตรงรูหายใจ ระบบนี้มีประสิทธิภาพสูงในการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงานเพียงพอที่จะทำให้แมลงสามารถทำกิจกรรมได้ เช่น การบินเร็ว และการกระโดดสูง
• ระบบประสาท
ระบบนี้ประกอบด้วย เซลล์ประสาท (neuron) ซึ่งรวมกันเข้าเป็นใยประสาทนำเข้า (dendrite) รับความรู้สึกจากสิ่งเร้าทั้งจากภายนอกและภายในร่างกายมาสู่ตัวประสาท (cell body) และใยประสาท (axon) ที่ออกจากตัวประสาท นำความรู้สึกถ่ายทอดไปสู่จุดที่ต้องบการ เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะไปสิ้นสุดที่รอยประสานประสาท (synapse) ซึ่งมีอยู่มากมายในใยประสาทของแมลง เนื่องจากแมลงเป็นสัตว์เล็ก ใยประสาทและเซลล์ประสาทถูกจำกัดให้มีน้อย แต่มีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านรับความรู้สึกและแสดงความรู้สึกตอบสนองในรูปพฤติกรรมต่างๆ แมลงที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น ใยประสาทต่างๆ จะรวมตัวไปทางด้านหน้ามากขึ้น ทำให้มีจำนวนใยประสาทน้อยลง ในด้านการรับความรู้สึก แมลงมีเซลล์ประสาทตารับภาพ มีเซลล์ประสาทที่หนวดรับกลิ่น รับรส และรับความรู้สึกได้ ในด้านการรับสัมผัสและฟังเสียง มีเซลล์ประสาทตามขนที่ปากและที่ปลายขารับรสและการสัมผัส เซลล์ประสาทรับเสียงพบที่ขาคู่หน้า เช่น ของตั๊กแตนหนวดยาวและจิ้งหรีด หรือพบในบริเวณส่วนท้องของแมลงบางชนิด
อวัยวะสืบพันธุ์ของแมลง
เพศผู้ : ๑.อัณฑะ ๒.ท่อน้ำอสุจิส่วนต้น ๓.ท่อน้ำอสุจิส่วนปลาย ๔.ถุงพักอสุจิ และ ๕.อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้
เพศเมีย : ๑.-๓. รังไข่ ๒.รังไข่ย่อย ๔.ท่อนำไข่ ๕.ท่อกลาง และ ๖.ช่องอวัยวะสืบพันธุ์
ระบบสืบพันธุ์และเฟโรโมนทางเพศ
• อวัยวะสืบพันธุ์
แมลงส่วนใหญ่มีเพศแยกกัน คือ แต่ละตัวจะเป็นเพศผู้หรือเพศเมียอย่างใดอย่างหนึ่ง น้อยมากที่จะมีแมลงที่มีเพศรวม คือ มีทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน เช่น แมลงพวกเพลี้ยอ่อน สามารถขยายพันธุ์ได้โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ บางชนิดสามารถออกลูกเป็นตัวได้โดยไม่ต้องวางไข่อีกด้วย เช่น แมลงวันบางชนิด การแยกเพศแมลงด้วยการดูจากลักษณะภายนอกทำได้ยาก เพราะโดยทั่วไปแมลงเพศผู้และเพศเมียส่วนมากมีลักษณะเหมือนๆ กัน มีเพียงลักษณะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่ต่างกัน แต่สามารถแยกเพศได้ โดยดูจากอวัยวะสืบพันธุ์ที่อยู่ในบริเวณปลายท้อง ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของแมลงเพศเมียจะประกอบด้วยรังไข่ (ovary) ถ้าเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของแมลงเพศผู้จะมีอวัยวะยึดแมลงเพศเมียขณะผสมพันธุ์และอวัยวะที่ใช้ผสมพันธุ์
๑.ด้วงเต่าลายขับสารเฟโรโมนสื่อสารให้มารวมกลุ่มกัน
๒.ปลวกงานเข้าไปล้อมรอบนางพญาปลวกเพื่อเลียเฟโรโนนางพญาที่อยู่รอบผิว
๓.แมลงดานาเพศผู้ผลิตสารเฟโรโมนทางเพศเรียกให้เพศเมียเข้ามาผสมพันธุ์
แมลงขับสารเฟโรโมนทางเพศเพื่อดึงดูดให้สนใจความต้องการและยอมรับการผสมพันธุ์
เฟโรโมน (pheromone) เป็นสารเคมีซึ่งแมลงผลิตจากต่อม (exorine gland) และขับออกมาภายนอก เปรียบเสมือนสารที่เป็นสัญญาณสื่อสารส่งสัญญาณให้แมลงชนิดเดียวกันเข้าใจความต้องการซึ่งกันและกันในด้านพฤติกรรมต่างๆ ของแมลงชนิดนั้นๆ เรียกว่า สารเฟโรโมน หรือสารสัญญาณทางเคมี สารเฟโรโมนมีหลายชนิด เช่น เฟโรโมนเตือนภัย (alarm pheromone) เฟโรโมนตามรอย (trail pheromone) เฟโรโมนนางพญา (queen pheromone) ซึ่งพบในพวกมด ผึ้ง ต่อ และแตน และเฟโรโมนทางเพศ (sex pheromone) พบในแมลงเกือบทุกชนิด เช่น ตั๊กแตน มวน เพลี้ย แมลงวัน ปลวก แมลงช้าง แมลงปีกแข็ง แตน ผึ้ง ผีเสื้อ ใช้เพื่อดึงดูดให้ต่างเพศสนใจและยอมรับการผสมพันธุ์ แมลงเพศผู้บางชนิดเป็นฝ่ายผลิตเฟโรโมนทางเพศ เช่น พวกผีเสื้อกลางคืน เมื่อเพศเมียได้กลิ่นสารเฟโรโมนและบินเข้าหาทันที แมลงดานาเพศผู้จะผลิตสารเฟโรโมนทางเพศ ซึ่งเป็นสารเคมีพวกกรดไขมันที่มีกลิ่นหอม เรียกให้เพศเมียเข้ามาผสมพันธุ์ คนไทยจึงนิยมนำแมลงดานาเพศผู้มาตำผสมน้ำพริกรับประทาน ปัจจุบันมีการสังเคราะห์เฟโรโมนของแมลงดานาใช้แทนแมลงดานาในธรรมชาติ
ปัจจุบัน มีความพยายามในการศึกษาเรื่องเฟโรโมนทางเพศของแมลงบางชนิด เช่น แมลงวันทอง โดยล่อให้แมลงวันทองมาติดกับดัก ที่ศึกษากันมากที่สุด คือ เฟโรโมนทางเพศของผีเสื้อ ซึ่งปัจจุบันได้ค้นพบแล้วหลายชนิด และนำมาสังเคราะห์ใช้ในการสำรวจและการป้องกันกำจัดแมลงเพื่อใช้แทนสารเคมีกำจัดแมลง (ยาฆ่าแมลง)
การเจริญเติบโตของแมลง
การเจริญเติบโตของแมลงตั้งแต่ตัวอ่อนไปจนถึงตัวเต็มวัยที่สมบูรณ์ แตกต่างจากการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
การเจริญเติบโตแบบต่างๆ ของแมลง ได้แก่
• การเจริญเติบโตโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง พบในแมลงพวกที่มีวิวัฒนาการต่ำ เป็นแมลงที่ไม่มีปีกทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย เช่น แมลงสามง่ามและแมลงหางดีด เมื่อฟักตัวออกจากไข่จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนตัวเต็มวัยแต่ตัวเล็กกว่า และยังไม่มีระบบสืบพันธุ์ที่สมบูรณ์ เจริญเติบโตโดยลอกคราบหลายครั้ง แต่รูปร่างไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ตัวอ่อนกินอาหารชนิดเดียวกับตัวเต็มวัย เมื่อระบบสืบพันธุ์พัฒนาสมบูรณ์ก็ผสมพันธุ์ได้ ขยายพันธุ์และมีชีวิตต่อไปจนตาย
การเจริญเติบโตโดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์
• การเจริญเติบโตโดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ์ ได้แก่ แมลงที่เมื่อฟักตัวออกจากไข่มีรูปร่างลักษณะทั่วไปเกือบเหมือนตัวเต็มวัย แต่ขนาดเล็กกว่า บางชนิดมีการเจริญเติบตาของปีกให้เห็นได้บ้างในตัว แต่ยังไม่เห็นปีกสมบูรณ์ อวัยวะสืบพันธุ์ยังไม่สมบูรณ์ ตัวอ่อนมีการลอกคราบหลายครั้ง ชนิดของปากเหมือนของตัวเต็มวัยและกินอาหารชนิดเดียวกัน เมื่อลอกคราบครั้งสุดท้ายเป็นตัวเต็มวัยร่างกายสมบูรณ์เต็มที่จะไม่ลอกคราบอีกเลยจนตาย
ส่วนแมลงในน้ำขณะเป็นตัวอ่อน (naiad) มีลักษณะไม่เหมือนตัวเต็มวัย เช่น ตัวอ่อนของแมลงปอเข็ม ชีปะขาว มวนน้ำ และแมลงดานา มีอวัยวะที่ใช้หายใจและเคลื่อนไหว เหมาะสมที่จะอยู่ในน้ำ ลอกคราบหลายครั้งจนร่างกายสมบูรณ์ทุกส่วนเป็นตัวเต็มวัย จึงขึ้นมาอาศัยอยู่บนบก
• การเจริญเติบโตโดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์
ได้แก่ พวกที่ไม่มีการเจริญเติบโตของปีกให้เห็นในระยะตัวอ่อน เมื่อออกจากไข่จะเป็นตัวหนอน จากหนอนจะเป็นดักแด้ จากดักแด้จึงเป็นตัวเต็มวัย การเจริญเติบโตแต่ละขั้นมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันเลย การกินอาหารของตัวอ่อนและตัวเต็มวัยก็แตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากการเจริญเติบโตของพวกหนอนผีเสื้อจนเป็นผีเสื้อ และลูกน้ำยุงจนกลายเป็นยุง เป็นต้น
อนุกรมวิธานของแมลง อนุกรมวิธานของแมลง (insect taxonomy) คือ วิชาที่ว่าด้วยการจัดระบบหรือการจัดหมวดหมู่แมลง รวมทั้งการวินิจฉัยชนิดของแมลง
แมลงเป็นสัตว์ซึ่งมีมากชนิดที่สุดในโลก จึงจำเป็นต้องจำแนกหมวดหมู่ แยกชั้น โดยอาศัยหลักการและกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับการจัดหมวดหมู่สัตว์โดยทั่วไป เพื่อสะดวกต่อการศึกษาวินิจฉัยแมลงชนิดต่างๆ เช่น พิจารณาเปรียบเทียบลักษณะโครงสร้างของร่างกาย ลักษณะทางพันธุกรรมและวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นแนวทางทำให้เห็นว่าแมลงแต่ละหมวดหมู่มีความสัมพันธ์กันเพียงไร และมีวิวัฒนาการใกล้ชิดกันอย่างไร
แผนภูมิการแยกลำดับชั้นและชนิดของแมลงซึ่งให้ความสะดวกต่อการศึกษา มีลำดับจากใหญ่ที่สุดลงไปจนเล็กที่สุด นับได้ ๗ ลำดับ ดังเช่นตัวอย่างที่นำมาแสดงนี้ เป็นการจัดลำดับการแยกชนิดของผึ้งโพรงไทย (Apis cerana)
นักอนุกรมวิธาน (taxonomist) เปลี่ยนแปลงชื่อวิทยาศาสตร์และการจัดหมวดหมู่ของแมลงอยู่บ่อยๆ เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ และทางพันธุศาสตร์ใหม่ๆ เสมอ เช่น ปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๓) ผึ้งโพรงอินเดีย (Apis indica) ได้ถูกจัดจำแนกเป็นผึ้งชนิดใหม่อีกครั้ง เยาวชนไปศึกษาและสังเกตชีวิตของแมลงตามแหล่งธรรมชาติ
สวิงสำหรับจับแมลง
การศึกษาเรื่องแมลงคงไม่มีมนุษย์คนใดสามารถศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสัตว์เล็กๆ ที่มีจำนวนนับล้านเช่นแมลงได้ทั่วถึง แต่ก็มีวิธีที่เป็นไปได้หลายวิธี เช่น ใช้เวลาว่างสังเกตศึกษาเพราะสนใจ ไปจนถึงมุ่งศึกษาค้นคว้าจนเป็นผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพ
• การศึกษาด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด
นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด อาจใช้การสังเกตแมลงตามแหล่งที่อยู่ในธรรมชาติ หรือการจับแมลงมาเลี้ยงไว้ในระยะเวลาหนึ่งเพื่อศึกษา ทั้ง ๒ แบบขึ้นอยู่กับสถานที่ ฤดูกาลทางธรรมชาติ และช่วงเวลาการเจริญเติบโตของแมลงด้วย
การจับแมลงมาเลี้ยงไว้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อศึกษา มีโอกาสใกล้ชิดกว่าการสังเกตตามแหล่งธรรมชาติ แต่จะได้แมลงชนิดใดมากหรือน้อย ยังขึ้นอยู่กับการทำกับดักเพื่อล่อแมลงให้มาติดเป็นสำคัญ กับดักที่ให้แมลงตกลงไปในหลุมซึ่งขุดล่อไว้ เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะจับแมลงที่อยู่บนผิวดินและในบริเวณสนามหญ้าหรือสวน วิธีทำก็คือ เลือกสถานที่ เช่น ใต้ต้นไม้ ในพุ่มไม้ หรือกลางสนามหญ้า ขุดหลุมขนาดพอให้วางถ้วย ๒ ใบ ลงไปในหลุมให้ปากถ้วยสูงพอดีระดับพื้นดิน ถ้วยมีขนาดไม่เท่ากัน ใบนอกสำหรับกันดิน ใบในสำหรับดักแมลง ใช้แผ่นไม้รูปสามเหลี่ยมปิดฝาถ้วย แล้ววางก้อนหินทับ ตรวจสอบอยู่เสมอว่าพบแมลงชนิดใดบ้าง แล้วจดบันทึกไว้ ถ้าต้องการดักแมลงกลางคืน ใช้แสงไฟช่วยล่อแมลงให้บินเข้าไปในกับดักที่เตรียมไว้นั้น ผ้าขาวที่ขึงให้รับแสงไฟก็ใช้ล่อแมลงได้ แมลงส่วนมากมีขนาดเล็ก เคลื่อนไหวเร็ว จึงควรจัดเตรียมโถแก้วหรือขวดแก้วที่มีฝาปิด ใช้พู่กันค่อยๆ เขี่ยแมลงใส่ในโถหรือขวด ปิดปากโถหรือขวดเพื่อกันแมลงหนี โดยต้องเจาะรูที่ฝาเพื่อให้แมลงหายใจได้
เครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับศึกษาแมลง คือ แว่นขยายชนิดที่ใช้มือถือ ขนาดขยายได้ประมาณ ๑๐ เท่า จะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดได้ดีกว่ามองดูด้วยตาเปล่า วาดรูปและบันทึกข้อมูลของแมลง แสดงขนาด สี แหล่งที่พบหรือดักได้ และอื่นๆ ที่น่าสนใจ เก็บแมลงไว้ในที่เย็น หลักจากที่ศึกษาแล้วต้องปล่อยแมลงไปเพื่อให้กลับไปยังถิ่นของมัน วิธีล่อจับแมลงโดยใช้ผ้าขาวขึงให้รับแสงไฟ
บน พิพิธภัณสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ล่าง พิพิธภัณฑ์แมลงของราชการและเอกชนเป็นสถานที่ซึ่งผู้สนใจจะไปศึกษาหาความรู้ได้
• การศึกษาจากพิพิธภัณฑ์ของสิ่งไม่มีชีวิต
นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจเข้าชมได้ที่พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์แมลงที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นต้น
• การศึกษาในสถาบันการศึกษา
การศึกษาทางชีววิทยาของแมลงในสาขากีฏวิทยามีหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ที่ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาควิชาพืชศาสตร์และทรัพยากรการเกษตร สาขาวิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น
ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านกีฏวิทยาจะเข้าเป็นสมาชิกวิชาชีพในสมาคมกีฏวิทยาและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถประกอบอาชีพได้ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข ในสาขาวิชากีฏวิทยาทางการแพทย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในสาขากีฏวิทยาด้านป่าไม้ และมีอาชีพครูในระดับโรงเรียนมัธยมศึกษา อาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐบาลทุกแห่งที่เปิดสอนสาขาวิชากีฏวิทยา รวมทั้งยังทำงานในภาคเอกชนทางด้านการเกษตรได้ทุกแห่ง ประกอบอาชีพส่วนตัว เปิดร้านจำหน่ายยาฆ่าแมลงและปุ๋ย (ปัจจุบันเรียกว่าวัตถุมีพิษกำจัดแมลง) หรือทำอาชีพกำจัดแมลงและปลวก ปัจจุบันมีมากกว่า ๑,๐๐๐ บริษัท อยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น บน การศึกษาวิชากีฏวิทยาในสถานบันการศึกษา
กลาง การฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง
ล่าง ร้านขายยาฆ่าแมลงที่มีอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ
แมลงมีวงจรชีวิตเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย คือ เกิด เจริญเติบโต เป็นประโยชน์หรือให้โทษแก่โลก ขยายพันธุ์ ตาย หรืออาจสูญพันธุ์ได้ ดังนั้น จึงมีการออกกฎกระทรวงแนบท้าย พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ๒๕๔๖ มีแมลง ๒๐ ชนิด ในประเทศไทยที่หายากและใกล้สูญพันธุ์เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองด้วย ในจำนวนนี้มีด้วง ๔ ชนิด ได้แก่ ด้วงกว่างดาว (Cheirotonus parryi Gray) ด้วงคีมยีราฟ (Prosopocoilus (Cladognathus) giraffe Oliver) ด้วงดินขอบทองแดง (Mouhotia batesi Lewis) ด้วงดินปีกแผ่น (Mormolyce phyllodes Hagenbach) และเป็นผีเสื้อ ๑๖ ชนิด
ประชาชนทั่วไปมีส่วนช่วยอนุรักษ์แมลง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือไม่ก็ตาม เพราะแมลงช่วยสร้างความมีชีวิตและช่วยให้โลกสวยงามซ้าย-ขวา ด้วงกว่างดาว และด้วงคีมยีราฟ
ซ้าย-ขวา ด้วงดินขอบทองแดง และด้วงดินปีกแผ่น
แมลงที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่เป็นผีเสื้อ ๑๖ ชนิดจากแถวบนสุด ซ้ายไปขวา : ๑.ไกเซอร์อิมพีเรียล ๒.ถุงทองปักษ์ใต้ ๓.ถุุงทองป่าสูง ๔.นางพญากอดเฟรย์
๕.นางพญาเขมร ๖.นางพญาพม่า ๗.นางพญาเมืองเหนือ ๘.ภูฏาน
๙.รักแร้ขาว ๑๐.หางติ่งสะพายเขียว ๑๑.หางดาบตาลไหม้ ๑๒.หางดาบปีกโค้ง
๑๓.หางยาวตาเดียวปีกลายตรง ๑๔.หางยาวตาเดียวปีกลายหยัก ๑๕.หางยาวสี่ตาปีกลายตรง
และ ๑๖. หางยาวสี่ตาปีกลายหยัก
หัวข้อ การศึกษาเรื่อง "แมลง" : ลักษณะกายวิภาค การเจริญเติบโต อนุกรมวิธานเรื่องแมลง ฯลฯ ในเว็บไซต์นี้
คัดลอกและสแกนภาพจากหนังสือสารานุกรมไทยฯ เล่ม ๑๗
โดยได้รับอนุญาต จาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ ไพฑูรย์ พงศะบุตร กรรมการและเลขาธิการ โครงการสารานุกรมไทยฯ โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ให้คัดลอกและสแกนรูปภาพ เผยแพร่ใน
www.sookjai.com เพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปผู้ใฝ่การเรียนรู้
ตามหนังสือที่ ส.๒๐/๒๕๕๖ ลง ๑๗ ม.ค. ๕๖