.
จำปาสีทอง ใหญ่สวยหอมแรงไม้ต้นนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของจำปาพื้นบ้านดั้งเดิมไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายต้นแล้วปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า มีหลายต้นลักษณะดอกแตกต่างไปจากดอกของจำปาพื้นบ้านที่เป็นพันธุ์แม่อย่างชัดเจน คือ ขนาดของดอกใหญ่กว่า สีสันของกลีบดอกเข้มขึ้น เนื้อกลีบดอกหนา และ ที่สำคัญดอกมีกลิ่นหอมแรงมาก เชื่อว่าเป็นจำปาพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างแน่นอน จึงขยายพันธุ์ตอนกิ่งหลายวิธีไปปลูกเพื่อทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์ ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงที่และได้กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว เลยตั้งชื่อว่า “จำปาสีทอง” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลาย
จำปาสีทอง อยู่ในวงศ์
MAGNOLIACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง ๕-๑๐ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับ รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ ปลายแหลมเป็นติ่ง โคนกลมมนหรือแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนัง สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามซอกใบเกือบทุกซอก มีกลีบดอกจำนวน ๑๒-๑๕ กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น กลีบดอกเป็นรูปใบหอกยาว กลีบชั้นนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบที่อยู่ถัดไปตามลำดับ เนื้อกลีบดอกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง ดอกมีกลิ่นหอมแรงมากในช่วงเช้า พอบ่ายกลิ่นหอมจะจางลง ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าดอกจำปาทั่วไปถึง ๒ เท่า ทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามพร้อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจยิ่ง“ผล” เป็นผลกลุ่ม มีเมล็ดหลายเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
เมื่อ ๕-๖ ปี เคยมีต้น “จำปาสีทอง” ที่เป็นของแท้และขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอดกับตอจำปาพื้นบ้าน ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ปัจจุบันไม่พบอีกแล้วครับ.
ไทยรัฐ
จำปีจิ๋ว "ดกทั้งปี หอมต้นเตี้ย"จำปีจิ๋ว ระบุที่มาของสายพันธุ์ยังไม่ได้ ทราบเพียงว่า ขนาดต้นโตเต็มที่มีความสูงแค่ ๒.๕-๓ เมตรเท่านั้น แตกต่างจากต้นจำปีดั้งเดิมจะสูง ๗-๑๐ เมตรขึ้นไป ลักษณะดอกของ “จำปีจิ๋ว” วัดความยาวเต็มที่ไม่ถึง ๑ นิ้วฟุต หรือประมาณไม่ถึงความยาว ๑ ข้อนิ้วมือผู้ใหญ่ จึงถูกตั้งชื่อว่า “จำปีจิ๋ว” ที่สำคัญเป็นจุดเด่นประจำพันธุ์ของ “จำปีจิ๋ว” คือ จะติดดอกเป็นช่ออย่างต่ำ ๓-๕ ดอก แตกต่างจากจำปีพันธุ์ดั้งเดิมที่จะออกดอกเป็นดอกเดี่ยวๆ และมีดอกได้เรื่อยๆ เกือบทั้งปีอีกด้วย จึงเป็นไม้ดอกหอมที่กำลังได้รับความนิยมปลูกในเวลานี้
จำปีจิ๋ว อยู่ในวงศ์
MAGNOLIACEAE ต้นสูง ๒.๕-๓ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงสามเหลี่ยม ใบเดี่ยวออกสลับ รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๓-๕ ดอก ตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งดอกของ “จำปีจิ๋ว” จะมีทั้งประเภทช่อตั้งขึ้นและช่อห้อยลง ดอกตูมเป็นรูปกระสวย เมื่อดอกบานกลีบดอกเป็นรูปรีโคนกลีบคอด ปลายกลีบแหลม มีกลีบดอก ๖-๘ กลีบ เนื้อกลีบหนาและแข็งกว่ากลีบดอกจำปีพันธุ์ดั้งเดิมเยอะ
กลีบดอกเป็นสีเหลืองนวล และสีจะเข้มกว่าสีของดอกจำปีทั่วไปอย่างชัดเจน ดอกมีกลิ่นหอมแรงมาก มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมีย ๑๐-๑๓ อัน เวลามีดอกดกเต็มต้นและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามอร่ามตา พร้อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ประทับใจยิ่ง ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง หรือทาบกิ่งกับต้นจำปีพื้นเมือง ปัจจุบัน “จำปีจิ๋ว” มีต้นพันธุ์ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-วันพฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกทั้งแบบลงดินกลางแจ้งและปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน รดน้ำบำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอจะมีดอกสวยงามและมีกลิ่นหอมชื่นใจครับ
นสพ.ไทยรัฐ
เซียนเช่า "ความเชื่อดีมีสรรพคุณ"ในหนังสือ “เทศาภิบาล” ของกระทรวงมหาดไทยระบุว่า วัตถุมงคลสำหรับใส่ในบาตรน้ำมนต์ของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์สังฆนายกฯ วัดมกุฎกษัตริยาราม ที่ใช้ในการประกอบพิธีทำน้ำมนต์ต่างๆ มีด้วยกัน ๘ อย่าง ได้แก่
ใบเงินใบทอง ใบหนาด หญ้าแพรก ผักส้มป่อย ผักชัยพฤกษ์ ผิวมะกรูด และ
ใบของต้น “พรหมจรรย์” ซึ่งก็หมายถึงต้น “เซียนเช่า” ที่ชาวจีนถือเป็นไม้มงคลนั่นเอง และมีชื่อเรียกเฉพาะหมู่ชาวจีนอีกชื่อว่าต้น “พรหมจรรย์”
โดย ต้น “เซียนเช่า” หรือต้น “พรหมจรรย์” ดังกล่าว ชาวจีนเชื่อกันว่า ถ้าปลูกไว้ในบ้านจะสามารถป้องกันภูตผีปีศาจ สิ่งชั่วร้าย เสนียดจัญไรคุณไสยที่มองไม่เห็นต่างๆ ไม่ให้กล้ำกรายเข้าบ้านหรือเข้าไปทำร้ายผู้อยู่อาศัยได้อย่างเด็ดขาด คล้ายๆ กับต้น “หนาด” ของไทย ส่วนใหญ่นิยมปลูกคู่กับต้นทับทิม เวลากลับจากไปร่วมงานศพใช้กิ่ง “เซียนเช่า” แช่น้ำร่วมกับใบทับทิมล้างหน้า ล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน ป้องกันวิญญาณผู้ตายติดตาม โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องไปงานศพ คนที่ไม่ถูกกันจะ ช่วยป้องกันวิญญาณไม่ให้ตามมาราวีได้
นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว เมล็ดแก่ หรือ เมล็ดแห้ง ของต้น “เซียนเช่า” หรือต้น “พรหมจรรย์” กะจำนวนพอประมาณต้มกับน้ำเยอะหน่อยจนเดือดแล้ว ดื่มขณะอุ่นต่างน้ำชาเรื่อยๆ เป็นยาแก้ร้อนในได้ดีมาก ผลหรือฝักอ่อนสามารถรับประทานแบบสด หรือลวกพอสลบกับน้ำพริกชนิดต่างๆ รสชาติมันอร่อยไม่แพ้ผักเคียงใดๆ เลย
ปัจจุบันต้น “เซียนเช่า” หรือต้น “พรหมจรรย์” ไม่พบมีต้นขายที่ไหน แต่เมื่อประมาณ ๓-๔ ปีที่ผ่านมา มีผู้ขยายพันธุ์นำเอาต้น “เซียนเช่า” ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-วันพฤหัสฯ หลายแผงหลายเจ้า หากใครอ่านข้อมูลแล้วต้องการต้นไปปลูกตามความเชื่อและใช้ประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้น ลองติดต่อ “นายดาบสมพร” บริเวณโครงการ ๑๗ กับ “คุณพร้อมพันธุ์” โครงการ ๒๑ ให้จัดหาให้ได้ ราคาสอบถามกันเองครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
เมเปิ้ลหอม "ใบสวยสร้างภูมิทัศน์ดี"เมเปิ้ลหอม เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดเฉพาะในประเทศไต้หวันเพียงแห่งเดียวเท่านั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ
LIQUIDAMBAR FOR-MOSANA อยู่ในวงศ์
HEMAMELIDACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ลำต้นอวบอ้วน โคนต้นใหญ่แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลมกว้างและหนาแน่น เปลือกต้นหนา ผิวเปลือกเป็นสีน้ำตาลดำ มีร่องตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ก้านใบยาว ใบเป็นรูปนิ้วมือ ขอบใบเว้าลึกเป็น ๓-๕ แฉก โคนใบตัด สีเขียวอ่อน หรือสีเหลือง และ ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีส้มหมดทั้งต้น ทำให้ดูสวยงามมาก
ที่สำคัญ เมื่อใช้มีดกรีดลำต้นหรือเด็ดก้านใบ จะมีน้ำยางสีขาวไหลออกมาคล้ายอำพัน ใช้จมูกดมดูจะได้กลิ่นหอมเย็นๆ แบบเฉพาะตัว มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายจิตใจดียิ่งนัก ประเทศไทยจึงนิยมเรียกชื่อว่าต้น “เมเปิ้ลหอม” ดังกล่าว เนื้อไม้เป็นสีแดงอมเหลือง เมื่อตัดขวางลำต้นจะมองเห็นลายชัดเจน เนื้อไม้มีน้ำหนักดีและแข็ง จึงนิยมใช้ทำตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ ทำไม้แกะสลักมีลวดลายน่าชมยิ่ง ลำต้นใช้เพาะเห็ดหอม ต้นแห้งเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ประเทศไต้หวันเรียกว่า ต้นฟงซื่อ และเชียงฮง
ใครต้องการต้นพันธุ์ “เมเปิ้ลหอม” ไปปลูก ไปซื้อได้ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครง-การ ๒๑ แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง
ปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย เหมาะจะปลูกเพื่อสร้างภูมิทัศน์ทั่วไปตามสวนสาธารณะริมถนนตลอดแนว ปลูกในบริเวณบ้าน สำนักงาน รีสอร์ต ริมห้วยหนองคลองบึง หรือปลูกประดับเป็นไม้บอนไซ เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง สีของใบจะเป็นสีแดงหรือสีส้มสวยงามมากครับ
นสพ.ไทยรัฐ
มณฑาสวรรค์ "ดอกใหญ่สวยหอม"ผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่า “
มณฑาสวรรค์” เป็นอย่างไร ซึ่งความจริงแล้ว ไม้ในสกุลมณฑาหรือวงแม็กโนเลีย (
MAGNOLIA) มีมากมายหลายชนิด ดอกมีหลายสี และดอกมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ส่วนใหญ่เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ บางสายพันธุ์สามารถเจริญเติบโตได้ดีมีดอกสวยงามในประเทศไทยบ้านเรา แต่บางสายพันธุ์ปลูกไม่ขึ้นเนื่องจากชอบอากาศเย็น
ส่วน “
มณฑาสวรรค์” มีถิ่นกำเนิด จากประเทศจีนตอนใต้ มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ เช่นเดียวกับมณฑาทั่วไป คือ
CHINESE EVER GREEN MAGNOLIA ถูกนำเข้ามาปลูกประดับและขยายพันธุ์ในบ้านเรานานหลายปีแล้ว โดยผู้นำเข้าตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “มณฑาสวรรค์” ซึ่งก็คือมณฑาจีนชนิดหนึ่งนั่นเอง ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร ใบมีขนาดใหญ่ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบเกือบมน ออกเรียงสลับหนาแน่นบริเวณปลายยอด เนื้อใบหนาแข็ง ขอบใบบิดเป็นคลื่น สีเขียวสด เวลาใบดกน่าชมยิ่ง
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ที่ปลายยอด เมื่อบานเต็มที่วัดความกว้างได้ ๑๕-๒๕ ซม. มีกลีบดอก ๒ ชั้น รูปกลมรี กลีบดอกชั้นนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอกชั้นในอย่างชัดเจน เนื้อกลีบดอกหนาและแข็ง เป็นสีครีม สีขาวอมเหลือง หรือ สีขาวนวล ใจกลางดอกเป็นเส้าเกสรตัวผู้ชูตั้งขึ้น ดอกมีกลิ่นหอมแรงในช่วงพลบค่ำเรื่อยไปตลอดทั้งคืน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นกลุ่ม ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง
ปัจจุบัน “มณฑาสวรรค์” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ แผง “เฮียหมู” ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกประดับในบริเวณบ้านด้านเหนือลม เวลามีดอกบาน กลิ่นหอมจะโชยเข้าตัวบ้านทำให้รู้สึกสดชื่นครับ
นสพ.ไทยรัฐ
ยี่สุ่น "สวยหอมมีสรรพคุณดี"ยี่สุ่น คือ “
กุหลาบแดงจีน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
ROSA CHINENSIS JACQVAR. SEM-PERFLORENSKOEHNE ชื่อสามัญ
CRIMSON CHINA ROSE อยู่ในวงศ์ ROSACEAE มีชื่อในไทยได้แก่ “ยี่สุ่น–หนู” เป็นคนละชนิดกับกุหลาบหนู ที่คนส่วนใหญ่มักเหมาเอาว่าเป็นต้นเดียวกัน โดย “ยี่สุ่น” มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกุหลาบทั่วไป แต่จะมีหนามน้อยกว่า ใบเป็นใบประกอบปลายคี่ ใบย่อยออกตรงกันข้ามสองคู่ รูปรี ขอบหยัก ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อที่ปลายดอก กลีบดอกเรียงซ้อนกันหลายชั้น ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้วฟุต ดอกเป็นสีแดงหรือสีชมพูเข้ม บางครั้งเป็นสีแดงกำมะหยี่ มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว ดอกออกทั้งปี เวลามีดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก ขยายพันธุ์ปักชำกิ่ง
สรรพคุณ ตำรายาจีนเรียก “ยี่สุ่น” ว่า
เหม่ย-กุยฮัว และ
เหม่ยกุยฟา ดอกตากแห้ง หยิบชงเป็นน้ำชาดื่มบ่อยๆ ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ช่วยขับเซลล์ผิวหนังที่ตายออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ฟื้นฟูสภาพผิวให้มีน้ำมีนวล ช่วยลดความอ่อนล้า ความเครียด สตรีมีประจำเดือนไม่ปกติดื่มน้ำชา“ยี่สุ่น”จะดีขึ้น ชาวจีนถือเป็นยาอายุวัฒนะ ชงดื่มครั้งละ ๕ ดอก มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙ แผง “ลุงนรินทร์” ราคาสอบถามกันเองครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
ต้นเมียหลวง "กับความเชื่อชาวจีน"ผู้อ่านจำนวนมากที่เป็นแฟนคอลัมน์อยากทราบว่า “
ต้นเมียหลวง” มีความเป็นมาอย่างไร และมีตำนานที่มาของชื่อแบบไหน ซึ่ง ความจริงแล้ว “ต้นเมียหลวง” ก็คือไม้จำพวกว่านชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า
OPHIOPOGON JABURAN (KUNTH) LODD. อยู่ในวงศ์
CONVALLARIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็กเหมือนกับบัวดินทั่วไป มีหัวใต้ดิน ต้นและใบแทงขึ้นจากหัวใต้ดิน สูงประมาณ ๓๐ ซม. ใบออกสลับรูปแถบยาว ปลายใบแหลมและมักโค้งงอลง เวลาแตกใบดกจะเป็นกอสีเขียวสดน่าชมมาก
ดอก ออกตามซอกใบ ดอกเป็นสีขาว แต่มักไม่ออกดอก ขยายพันธุ์ด้วยหัวและแยกต้น ซึ่งโดยธรรมชาติ เมื่อต้นยุบหรือตายจะฝังหัวใต้ดิน เมื่อได้น้ำจะแตกต้นและใบใหม่ขึ้นมาอีกเป็นวัฏจักร เรียกว่า ปลูกง่ายตายยาก มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ว่านทุ่งเศรษฐี, ซุ้มกระต่าย ชาวจีนเรียกว่า ซุงเช่า และ เฉาเท้า
ส่วนที่มาชื่อ “ต้นเมียหลวง” นั้น ชาวจีนนิยมเอาต้นเข้าร่วมในพิธี แต่งงานของคู่บ่าวสาวขาดไม่ได้ เพราะมีความเชื่อมาแต่โบราณแล้วว่า “ต้นเมียหลวง” เป็นไม้มงคล จะทำให้คู่สมรสรักกันและอยู่ด้วยกันยั่งยืนยาวนานจนแก่เฒ่า เป็นผัวเดียวเมียเดียว มีลูกมีหลานเต็มบ้านและมีความสุขในการใช้ชีวิตคู่ จึงถูกตั้งชื่อว่า “ต้นเมียหลวง” ดังกล่าว
นอกจากนั้นชาวจีนยังถือว่า “ต้นเมียหลวง” เป็นไม้เสี่ยงทาย ถ้าปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วต้นเจริญงอกงามดีมีดอก จะให้โชคลาภค้าขายเจริญก้าวหน้าอยู่ดีมีสุข เป็นเสน่ห์มหานิยม ทำให้คนอื่นชื่นชอบ หากต้นไม่ งอกงามเชื่อกันว่า เจ้าของหรือผู้ปลูกจะไม่ก้าวหน้าในทุกๆ เรื่อง ปัจจุบัน “ต้นเมียหลวง” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณซ้ง–คุณดาว” ตรงกันข้ามกับโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเองครับ
นสพ.ไทยรัฐ
พุดตานไต้หวัน "ดอกคล้ายชบาสวย"ทีแรก ที่เห็นและดูเผินๆ เข้าใจว่าไม้ต้นนี้เป็นต้นดอกชบาชนิดหนึ่ง เพราะลักษณะดอกเหมือนชบามาก ประกอบกับไม่มีป้ายชื่อเขียนติดไว้ แต่พอสังเกตอย่างละเอียดพบว่าใบไม่ใช่ใบต้นชบาอย่างแน่นอน ผู้ขายบอกว่าเป็นต้น “พุดตานไต้หวัน” ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยไม่นานนักและเพิ่งจะตอนกิ่งนำต้นวางขายตามที่เห็น ส่วนลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับพุดตานที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ที่คนไทยรู้จักดีและนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายมาแต่โบราณเกือบทุกอย่าง จะมีความแตกต่างกันที่ลักษณะของดอกของ “
พุดตานไต้หวัน” เท่านั้น ที่จะมีกลีบดอกเพียงชั้นเดียวและสีสันของดอกจะไม่เปลี่ยนเป็น ๓ สี เหมือนกับกลีบดอกพุดตานจีนที่มีกลีบดอกหลายชั้นด้วย
พุดตานไต้หวัน อยู่ในวงศ์
MALVACEAE เป็นไม้พุ่ม สูง ๒-๕ เมตร แตกกิ่งก้านกว้าง มีขนสีเทา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปไข่กว้าง ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเว้าลึก ๓-๕ แฉก ผิวใบมีขนสากมือ เวลามีใบดกจะน่าชมยิ่งนัก
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อ ๑-๓ ดอก บริเวณซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยงสีเขียว ๕ แฉก มีขน กลีบดอกมีเพียงชั้นเดียวตามที่กล่าวข้างต้น มีกลีบดอก ๕ กลีบเป็นรูปมนคล้ายกลีบดอกชบาหรือดอกมอร์นิ่งกลอรี่ ดอกมีขนาดใหญ่ กลีบดอกเป็นสีชมพูเข้ม ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้เป็นกระจุกสีเหลืองเข้มมองเห็นอย่างชัดเจน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามมาก “ผล” รูปทรงกลม ผลแก่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ภายในมีเมล็ด ดอกออกได้เรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบัน “พุดตานไต้หวัน” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒ แผง “ป้าแอ๊ด–คุณขวัญ” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับ เวลามีดอกสีสันจะเข้มข้นงดงามมากครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
ไฟเดือนห้า "ขนเมล็ดมีประโยชน์"ไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอเมริกาเขตร้อน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานมากแล้ว จนทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไม้ของไทยไปโดยปริยาย ส่วนใหญ่จะปลูกประดับเป็นกลุ่มหลายๆ ต้น ตามบ้าน ตามสำนักงาน และสวนสาธารณะทั่วไป เพราะดอกของ “ไฟเดือนห้า” จะมีสีสันสวยงามเจิดจ้าน่าชมมากนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นอกจากดอกของ “ไฟเดือนห้า” จะมีสีสันงดงามแล้ว บางส่วนของ “ไฟเดือนห้า” ยังมีประโยชน์ที่หลายคนไม่รู้อีกด้วย คือ ขนที่หุ้มเมล็ดสามารถนำไปใช้ยัดหมอนแทนการใช้นุ่น ทำให้หมอนนุ่มหนุนนอนได้ สบายไม่แพ้การยัดด้วยนุ่นแม้แต่น้อย
ไฟเดือนห้า หรือ
AS-CLEPIAS CURASSAYICA LINN. ชื่อสามัญ
BLOOD-FLOWER, FALSE LPECA CUANHA, MILK WEED อยู่ในวงศ์
ASCLEPIADA-CEAE เป็นไม้ล้มลุกสูง ๑.๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปใบหอก ปลายและโคนใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๔-๑๕ ดอก หลอดดอกยาว กลีบดอกเป็นสีแดงปนสีเหลืองสด เกสรตัวผู้เชื่อมติดกัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามยิ่งนัก “ผล” เป็นรูปไข่และยาว มีขนนุ่มเป็นมันจำนวนมากติดเมล็ด ซึ่งขนดังกล่าวสามารถเก็บรวมกันนำไปยัดหมอนแทนยัดด้วยนุ่นได้ ตามที่กล่าวข้างต้น ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีชื่อเรียกอีกคือ ค่าน้ำ, เด็งจ้อน (ลำปาง) คำแค่ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ดอกไม้เมืองจีน, ไม้เมืองจีน (สุราษฎร์ธานี) เทียนแดง (ภาคกลาง) เทียนใต้ (ภาคเหนือ) บัวลาแดง (เชียงใหม่) และ ไม้จีน (ประจวบคีรีขันธ์)
ปัจจุบัน “ไฟเดือนห้า” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๕ แผง “คุณจันดี” ราคาสอบถามกันเองครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
สร้อยสยาม "งามเหมือนม่านบุปผา"ไม้ต้นนี้ พบเฉพาะถิ่นเดียวที่ ภูเมี่ยง จ.พิษณุโลก ของประเทศไทย โดยจะขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณที่มีต้นไผ่ขึ้นรวมอยู่ด้วยจำนวนมาก ที่ระดับความสูง ๓๐๐ เมตร มีชื่อเรียกอีกคือชงโคสยาม และ เสี้ยวแดง เนื่องจากเป็นไม้ในสกุลเดียวกัน มีชื่อวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการว่า
BAUHINIA SIAMENSIS อยู่ในวงศ์
FABACEAE หรือ
LEGUMINASAE และ
CAESALPINIOIDEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง มีมือจับ สามารถเลื้อยได้ไกลกว่า ๕-๘ เมตร กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง หูใบรูปทรงกลมถึงรูปไข่กลับ ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแยกเป็น ๒ แฉกลึกคล้ายใบต้นชงโคทั่วไป
ดอกออกเป็นช่อห้อยลง ช่อยาวได้กว่า ๗๕ ซม.ช่ออ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดง มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปปากเป็ด มีกลีบดอก ๕ กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เป็นรูปไข่ถึงรูปรี ปลายกลีบกลมโคนกลีบสอบหรือเรียว เป็นสีชมพู หรือสีโอลด์โรส มีเกสรตัวผู้ ๓ อัน ดอกจะทยอยบานจากโคนช่อเรื่อยลงไปจนถึงปลายช่อ เวลามีดอกดกช่อดอกห้อยลงเป็นสายและดอกบานพร้อมกันทุกช่อ จะดูสวยงามเหมือนม่านบุปผา ตามที่กล่าวข้างต้น น่าชมยิ่งนัก “ผล” เป็นฝักแบน มีหลายเมล็ด เมล็ดเป็นรูปไข่แบน สีน้ำตาลเข้ม ดอกออกได้เรื่อยหรือเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบัน “
สร้อยสยาม” หรือ
ชงโคสยาม และ
เสี้ยวแดงมีต้นขาย ที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๓ แผง “เฮียหมู” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไปแม้ในพื้นที่ราบ เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับให้เลื้อยซุ้มชนิดต่างๆ หรือให้เลื้อยห้างกว้างเหมือนห้างให้เถาน้ำเต้าไต่ หลังปลูกรดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น พร้อมบำรุงปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคนต้น ๒ เดือนครั้ง สลับกับใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ ๑๖-๑๖-๑๖ เดือนละครั้ง จะทำให้มีดอกดกสวยงามมากครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
มะแว้งต้น-มะแว้งเครือ "กับสรรพคุณยา"หลายคนอยากทราบว่า
“มะแว้งต้น” กับ
“มะแว้งเครือ” ต่างกันอย่างไรและสรรพคุณทางยาเหมือนกันหรือไม่ ซึ่ง “มะแว้งต้น” หรือ
SOLANUM SANITWONGSEI CRAIB อยู่ในวงศ์
SOLANACEAE เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๑.๕ เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปไข่หรือขอบขนาน ขอบเว้า ผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่งหรือซอกใบ กลีบดอกสีม่วง “ผล” รูปกลม ผลดิบสีเขียวอ่อนมีลาย สุกเป็นสีส้ม รสขมจัด ผลสดเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ รักษาเบาหวาน ขับปัสสาวะ ในการทดลองในสัตว์พบว่า น้ำสกัดจากผลมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด แต่มีฤทธิ์น้อยและระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น พบสเตียรอยด์ปริมาณค่อนข้างสูง จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ส่วน “มะแว้งเครือ” หรือ
SOLANUM TRILOBATUM LINN. อยู่ในวงศ์
SOLANACEAE เป็นไม้เลื้อย มีหนามตามกิ่งก้าน ใบออกเรียงสลับ รูปไข่กว้าง ขอบใบเว้า มีหนามตามเส้นใบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกเป็นสีม่วง “ผล” รูปกลม ผลดิบสีเขียวมีลายตามยาว เมื่อสุกเป็นสีแดง รสขมจัด ผลสดเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ โดยใช้ ๔-๑๐ ผล โขลกพอแตกคั้นเอาน้ำใส่เกลือป่นเล็กน้อย จิบบ่อยๆ หรือกลืนน้ำได้เป็นยาแก้ไอตามที่กล่าวข้างต้น
มะแว้งต้น กับ
มะแว้งเครือ ทั้ง ๒ ชนิดเป็นส่วนผสมหลักในยาประสะมะแว้งซึ่ง องค์การเภสัชกรรม ผลิตขึ้นตามตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณเหมือนกัน นอกจากนั้นผลของมะแว้งยังใช้ขับปัสสาวะ แก้ไข้ และ เป็นยาขมช่วยในการเจริญอาหารได้ ปัจจุบัน “มะแว้งต้น” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๙ หน้าตึกกองอำนวยการเก่า ราคาสอบถามกันเอง ส่วน “มะแว้งเครือ” ไม่พบมีต้นขายครับ.
นสพ.ไทยรัฐ
เทียนบ้าน เทียนบ้าน หรือ
เทียนดอก เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ เช่น อินเดียและพม่า แต่พบได้ทั่วไปในประเทศที่อยู่ในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ปลูกขึ้นง่ายในสภาพอากาศทั่วไป เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลายอย่าง มีชื่อวิทยา ศาสตร์ว่า
Impatiens balsamina L. อยู่ในวงศ์
Balsaminaceaeลักษณะทั่วไป เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ ๓๐-๘๐ ซ.ม. ลำต้นมีลักษณะโปร่งแสงและอิ่มน้ำ ใบรูปวงรี ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อยเรียงสลับกันไปรอบลำต้น ดอกมีสีชมพู ม่วง แดง ขาว มักออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกอยู่ที่บริเวณซอกใบ เมื่อแก่จะกลายเป็นผลแห้งและแตกออกเมื่อสุก เปลือกด้านนอกม้วนขึ้น ทำให้เมล็ดกลมสีน้ำตาลหล่นออกมาด้านนอก เมื่อออกผลแล้วต้นจะตาย
ต้นเทียนบ้านชอบดินที่อุ้มน้ำได้ดีและพื้นที่แดดรำไร นิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
สรรพคุณทางยา ใบสด-ใบแห้ง ช่วยแก้ปวดข้อ กลากเกลื้อน แก้ฝีและแผลพุพอง รักษาแผลเรื้อรัง ลำต้นช่วยรักษาแผลงูสวัด รากสดช่วยแก้บวมน้ำ และตำพอกแผลเสี้ยนตำ เมล็ดแห้งชงดื่มช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ยอดลำต้นสดบรรเทาอาการจมูกบวมแดงจากการอักเสบ
นสพ.ข่าวสด
เทียนดอกเทียนดอก เป็นพืชล้มลุก ต้นสูงปานกลาง ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Impatiens balsa mina Linn. อยู่วงศ์
BALSAMINACEAE ลำต้นสีเขียวอ่อน อุ้มน้ำ เนื้อใสและโปร่งแสง ใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนรอบลำต้นรูปยาวเรียว โคนใบและปลายเรียวแหลม ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย ก้านใบสั้น มีตุ่มเรียงเป็นแนวยาว ๒ ข้าง มักออกเดี่ยวๆ หรือออกหลายดอกอยู่รวมกัน
กลีบรองดอกรูปไข่ป้อม เล็ก สีเขียว กลีบดอก ๕ กลีบ กลีบบนรูปกลม กลีบล่างงอเป็นกระเปาะ ก้นกระเปาะมีจะงอยยื่นออกมาเป็นหลอดเล็กๆ ยาวๆ ปลายโค้งงอขึ้นเล็กน้อย มีหลายสี เช่น ขาว ชมพู แดง หรือหลายสีผสมกัน
สรรพคุณ ใบสดแก้ปวดข้อ ยารักษากลากเกลื้อน แก้ฝีและแผลพุพอง ยากันเล็บถอด ใบแห้งแก้แผลอักเสบ ฝีหนอง แผลเน่าเปื่อย รักษาแผลเรื้อรัง ยอดสดแก้จมูกอักเสบ บวมแดง ต้นสดแก้แผลงูสวัด รากสดแก้บวมน้ำ ตำพอกแผลที่ถูกเสี้ยนหรือแก้วตำ เมล็ดแห้งแก้ประจำเดือนไม่มา ขับประจำเดือน
นสพ.ข่าวสด
ดอกเทียนนกแก้ว ดอกไม้แปลกตา
ดอกเทียนนกแก้วเป็นพรรณไม้เฉพาะถิ่นของไทย หาไม่ได้จากที่ใดๆ ในโลก จัดอยู่ในกลุ่มของต้นเทียน มีรูปทรงดอกที่สวยงามเหมือนดั่งนกที่โดนแมวกัดไปครึ่งตัว เราเรียกชื่อตามลักษณะรูปทรงว่าเทียนนกแก้ว
จัดอยู่ในกลุ่มพืชล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ สูง ๐.๕-๑.๕ เมตร ใบเดี่ยวรูปไข่กว้าง โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจักร ขนาดกว้าง ๒-๔ ซ.ม. ยาว ๕-๑๐ ซ.ม. ดอกออกเดี่ยวตามก้านใบหรือปลายยอด ขนาดดอกกว้าง ๒-๓ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๕-๗ เซนติเมตร ช่วงเวลาออกดอก ต.ค.-พ.ย.
เทียนนกแก้วเป็นพรรณไม้บนเขาสูง ไม่สามารถหาชมได้จากแปลงดอกไม้ตามพื้นราบทั่วไป ระดับความสูงที่พบต้นเทียนนกแก้วคือ ๑,๕๐๐-๑,๘๐๐ เมตร พบได้เพียงที่เดียวคือที่ดอยหลวงเชียงดาว
นสพ.ข่าวสด
โฮย่า พรรณไม้ที่มีใบคล้ายรูปหัวใจมีชื่อว่า "
โฮย่า" มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นไม้เถาอิงอาศัย มีน้ำยางขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กลับ อวบหนา โคนใบสอบหรือมนปลายใบเว้าตื้น
ดอกมีสีขาวครีมแกมม่วงออกเป็น ช่อรูปครึ่งวงกลม ก้านดอกย่อยเรียงเป็นซี่ร่ม กลีบดอกโคนเชื่อมกัน ปลายแหลมแยกเป็น ๕ กลีบ ออกดอกระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม แบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่คือโฮย่า สีด่างและโฮย่าสีเขียว เป็นพรรณไม้ที่ชอบแดดรำไร และชอบความชื้นค่อนข้างสูง นิยมปลูกในกระถาง โดยมีเครื่องปลูกเป็นกาบมะพร้าว ถ้าจะให้เกาะตามกิ่งไม้ใหญ่อาจให้เกาะกับชายผ้าสีดา
โฮย่า หรือในบางท้องที่เรียกว่า
ด้างหรือ
เทียนขโมย เป็นไม้ประดับของไทยอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม พบมากในป่าเต็งรัง ตั้งแต่ประเทศไทย พม่า และลาว จัดเป็นไม้ป่าที่คนไทยนำมาพัฒนาเป็นไม้ประดับ
นิยมมอบโฮย่าเป็นของขวัญในเทศกาลที่สำคัญ โดยเฉพาะในเทศกาลวาเลนไทน์จะนิยมซื้อโฮย่าแทนดอกกุหลาบ เพราะลักษณะของใบเหมือนรูปหัวใจ และเปรียบโฮย่าเหมือนหัวใจที่มีชีวิต ไม่ตาย มีคุณค่าทางจิตใจเหมือนการฝากหัวใจไว้ให้ดูแล ความนิยมในการมอบโฮย่าในวันวาเลนไทน์หลายคนจึงขนานนามไม้ประดับชนิดนี้ว่าหัวใจทศกัณฐ์
นสพ.ข่าวสด
ดอกรางจืด ดอกรางจืด พืชสมุนไพรประเภทไม้เลื้อยหรือไม้เถาขนาดกลาง เลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้ เถามีลักษณะเป็นข้อปล้องกลม มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม ดอกสีม่วงอ่อนๆ หรือสีคราม ออกดอกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Thunbergia laurifolia Linn. อยู่ในวงศ์
Acanthaceaeสรรพคุณทางยาใช้ล้างสารพิษ ถอนพิษต่างๆ หรือใช้เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ รวมถึงรับประทานแก้ร้อนในกระหายน้ำ ใบนำมาต้มดื่ม ขณะอุ่นหรือนำมาคั้นดื่ม รากฝนกับน้ำดื่มล้างพิษในร่างกายรวมทั้งบรรเทาพิษ ผื่นแพ้
การเพาะพันธุ์นิยมใช้เถาปักชำ
นสพ.ข่าวสด
เศรษฐีเรือนนอกเศรษฐีเรือนนอก เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศกาบอง นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เชื่อกันว่าเป็นว่านประจำคนเกิดวันอังคาร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Chlorophytum comosum. อยู่ในวงศ์
Liliaceaeลักษณะทั่วไปเป็นไม้กอขนาดเล็ก มีหัวอยู่ใต้ดิน ไม่มีลำต้น ใบจะงอกออกมาจากหัวและกระจายเป็นพุ่ม มีใบแกมขนานไม่ยาวมาก มีลายด่างขาวหรือขาวนวลยาวทาบตลอดริมขอบใบ เมื่อยาวใบจะโค้งงอลงดิน โตเต็มที่แล้วจะมีไหลเหนือดิน สามารถนำมาขยายพันธุ์ต่อได้ มีดอกขนาดเล็กสีขาว ส่งกลิ่นหอม
การปลูก ใช้หน่อหรือไหลมาขึ้นต้นใหม่ นิยมปลูกในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี ชอบแดดรำไร ต้องการน้ำปานกลาง อาจปลูกในที่ร่มและนำออกมาตากแดดเป็นบางครั้ง เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคล หากใครปลูกว่านในตระกูลเศรษฐีได้งอกงามเชื่อกันว่าจะมีฐานะเจริญรุ่งเรือง
นสพ.ข่าวสด
ว่านเศรษฐีเรือนในว่านเศรษฐีเรือนใน มีถิ่นกำเนิดจากเขตร้อนและทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ก่อนกระจายไปทั่วโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Cholorophytum comosum นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ บ้างเรียก
ต้นแมงมุม (
Spider Plant) หรือ ต้นเครื่องบิน (
Airplane Plant) ตามลักษณะ อยู่ในวงศ์
Asparagaceaeลักษณะทั่วไป เป็นไม้กอขนาดเล็ก ลำต้น เป็นหัวอยู่ใต้ดิน แตกลำต้นอ่อนออกมาเหนือดินเสมือนเป็นกิ่งเมื่อหัวใต้ดินแก่เต็มที่ ปลายสุดของต้นจะมีต้นอ่อน ลักษณะใบดูคล้ายใบหญ้า มีลายด่าง หรือลายสีขาวนวลอยู่กลางใบ ตัดกับขอบใบสีเขียวด้านนอก แต่ละใบยาวราว ๑๕-๓๐ ซ.ม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอยู่รวมกันเป็นช่อ พอโรยจะกลายเป็นต้นอ่อน
การปลูกต้องการดินร่วนซุยหรือดินปนทราย ระบายน้ำได้ดี หากปลูกในกระถางหินหยาบขนาดเล็กจะแตกกอได้ง่ายขึ้น ชอบน้ำปานกลางสม่ำเ