[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 07:36:17 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ศตวรรษนี้จะมีวิทยาศาสตร์ของความตาย  (อ่าน 1275 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5069


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 กันยายน 2553 09:34:28 »

http://i152.photobucket.com/albums/s171/koel_chakraborty_2007/ATgAAADKkwwXQ4EPp5DJqMphgFqPc6eA76k.jpg
ความทรงจำนอกมิติ : ศตวรรษนี้จะมีวิทยาศาสตร์ของความตาย



 ในข้อเท็จจริงเท่าที่ผู้เขียนรู้ คำว่าวิทยาศาสตร์นั้นแรกเริ่มเดิมทีเป็นความรู้ที่อธิบายว่าธรรมชาติอะไรก็ตามในโลกนี้ จักรวาลนี้คืออะไร? และมันทำงานอย่างไร? ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคำว่าเทคโนโลที่คนไม่รู้เอามารวมกับวิทยาศาสตร์ เป็นคำมาทีหลังมากนัก และพูดกันตามความจริง เทคโนโลยีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบทความนี้เลย แต่เพราะนักวิทยาศาสตร์สังคม โดยเฉพาะนักการเมือง นักธุรกิจเศรษฐกิจ  ส่วนใหญ่มากๆ - ขอโทษ - “ชุ่ย” และไม่รู้ว่าคำว่าวิทยาศาสตร์แปลว่าอะไร ซึ่งพึ่งพจนานุกรมปัจจุบันไม่ได้ เพราะว่าอะไรๆ ส่วนใหญ่ตกเป็นขี้ข้าเงิน จึงต้องกลับไปดูที่รากคำภาษาละติน อย่าลืมว่า คำว่าเทคโนโลยีนั้นมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แลกกับการทำลายธรรมชาติอย่างรุนแรงทั้งนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยากที่ผู้ใดจะโต้เถียงได้ว่าเทคโนโลยี และหากว่ารวมกันกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีเอฟทีเอ แทบจะไม่ใช่มีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่าตัณหาราคะ “บ่อเกิดแห่งทุกข์” จึงดูเหมือนว่านักการเมือง นักธุรกิจ นักเศรษฐกิจ ฯลฯ ส่วนใหญ่มากๆ พวกนี้ต้องการที่จะให้ประชาชนในประเทศของตน ทุกสังคมเลย มีแต่กิเลสตัณหาราคะและความทุกข์ทั่วทั้งโลกเลยกันถ้วนหน้า มิน่าเล่าคนทั้งโลกส่วนใหญ่จึงไม่กลัวปี 2012-2013 เพราะความทุกข์นี่เอง ปีที่กล่าวนั้นคือปีที่จะมีความพินาศหายนะชนิดที่คนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าภัยธรรมชาติมันจะมีความรุนแรงถึงขนาดนี้ได้ จนกระทั่งมีคนตายกันยิ่งกว่าคำว่า “เป็นเบือมากนัก” ธรรมชาติที่จะต้อง “ตามมา” คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ กับความเชื่อทางศาสนา นั่นคือ ความเห็นพ้องต้องกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับสภาวะจิตวิญญาณ  (spirituality) นั่นคือ ผู้เขียนเชื่อว่า ศตวรรษนี้จะเป็นศตวรรษที่เราจะเห็นวิทยาศาสตร์แห่งความตาย ส่วนความพินาศของโลกนั้นมีความจำเป็น เพราะคนเรากดขี่ข่มเหงธรรมชาติ - ด้วยกิเลสตัณหาจนโลก “ติดลบ”  ที่พูดมานั้น เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเราแต่วันนี้เดี๋ยวนี้
 เพราะเป็นเรื่องของชีวิต ก็ต้องพูดถึงการจบสิ้นของชีวิตหรือความตายในทางวิทยาศาสตร์หรือชีววิทยาที่ใครๆ ไม่อยากพูดถึงกันบ่อยนัก ความตายที่คนชาวตะวันตกกลัวกันนักกลัวกันหนาจนไม่ค่อยพูดถึง จึงทำให้ผู้เขียนคิดว่าประเทศหรือสังคมตะวันตกหรือสังคมที่ยิ่งพัฒนาขึ้นมาเท่าไร สังคมนั้นๆ ก็ยิ่งมีความเสื่อมสลายทางศีลธรรมหรือทางจิตลงไปเท่านั้น การพัฒนาที่เราพยายามทำให้สังคมและประชาชนที่อยู่ในสังคมนั้นๆ ให้มีคุณภาพของชีวิตที่ดีขึ้น หรือ “เจริญ” ขึ้นนั้น “ผิด” ธรรมชาติทั้ง 2  ระดับเลย เพราะว่าธรรมชาติไม่มีการพัฒนา มีแต่การ “ค่อยๆ” เปลี่ยนแปลง เรียกว่า วิวัฒนาการ และแล้วการพัฒนากับความเจริญที่ว่านั้น เรา-ชาวตะวันออกก็ค่อยๆ รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาทั้งกระบิ  เพราะคิดว่าชาวตะวันตกฉลาดกว่า เก่งกว่า หล่อกว่าเรา ฯลฯ พลอยทำให้เราทั้งไม่คิดให้รอบคอบ กลัวความตายเหมือนฝรั่งตะวันตกไปเช่นเดียวกัน และนั่นเป็นวัฒนธรรมของฝรั่งอันแรกๆ ที่ผู้เขียนสังเกตเห็นตอนไปเมืองนอกใหม่ๆ ว่า วัฒนธรรมของเราชาวตะวันออก โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แตกต่างไปจากวัฒนธรรมของชาวตะวันตกอย่างไร ก็อยากจะบอกเสียตอนนี้และเดี๋ยวนี้ว่า การกลัวตายนั้นกลัวได้ เพราะเป็นธรรมชาติของความไม่รู้ แต่ว่าเราจะต้องไม่กลัวถึงขนาดที่ชาวตะวันตกกลัว เพราะเรารู้ตามที่ศาสนาพุทธสอนเราว่า เราเองก่อประกอบขึ้นด้วยรูปกับนาม หรือกายกับจิต ฉะนั้น ความตายของเราจึงเป็นความตายของกายเท่านั้นที่แน่นอน เราต้องคืนร่างกายที่มี 3 มิติของเรา คืนให้กับโลกที่มี 3 มิติเช่นเดียวกัน จะให้เราทำอย่างอื่นได้อย่างไรอีกในกรณีนี้ แต่จิตที่เป็นเราที่แท้จริง (ไร้สำนึก) ไม่ได้ตายไปจริงๆ ทั้งหมด แต่เราจะต้องมีการ “เกิดใหม่” มารับความทุกข์ต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรมหรือบรรลุนิพพาน  ส่วนจิตรู้หรือจิตสำนึกหรือวิญญาณขันธ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าใจอันเป็นแต่ตัวรู้ (cognition ) จะต้องตายไปจากโลกเช่นเดียวกัน เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปเราไม่ต้อง “รู้” เรื่องของโลก 3 มิติอันเป็นเพียง “มายา” เพื่อให้เราอยู่ได้รอดและปลอดภัยในโลก 3 มิติโลกนี้อีกต่อไป จิตสำนึกจึงเป็นเพียงตัวเชื่อมประสานระหว่างภายในกับภายนอก หรือจิตกับกาย คือ เป็นผลของการบริหารของสมอง - ซึ่งการมองด้านนี้เพียงด้านเดียว จิตสำนึกก็เป็นเหมือนกับสมองคือเป็นกาย แต่ประเด็นที่ว่า สิ่งอะไรหรืออะไรหรือ? ที่สมองต้องบริหารจัดการ? โจทย์หรือคำถามข้อนี้ก็จะต้องตอบว่าคือจิตไร้สำนึกโดยรวมของจักรวาล หรือจิตร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) ของคาร์ล จุง (ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นจิตที่แท้จริงอันเดียวของจิตหลายๆ อย่าง) รวมที่พระพุทธเจ้าจัดเป็นวิญญาณระดับสูงที่สุด ที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่าเป็นอันดับเดียวกับจิตหนึ่ง (ชามา) และเป็นอันเดียวกับนิพพาน (ขากลับ) หรือคือเต๋าในศาสนาเต๋า) ถ้าหากเรามองเฉพาะด้านนี้ จิตสำนึกและตัวรู้อื่นๆ ก็เป็นจิต) อมิต โกสวามี นักควอนตัมฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอนอธิบายทางควอนตัมแม็คคานิกส์ กล่าวว่า จิตสำนึกหรือตัวรู้เป็นทั้งกายทั้งจิต - ดูบทความผู้เขียน จิตคืออะไร? - (Amit Goswami : Visionary Window, 1996)   

  ความตายของมนุษย์ สัตว์โลกและสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง จากดาวเคราะห์นี้ที่มี 3 มิติคือ ความยาว ความกว้างและความลึก นั่น-เราว่ากันทางวิทยาศาสตร์กายภาพที่ชอบวัด แถมยังพูดว่าอะไรที่วัดไม่ได้จะต้องไม่มีจริง ส่วนในทางศาสนา ในที่นี้หมายถึงพุทธศาสนา จะเรียกโลกของเรานี้ว่าสังสารวัฏ นั่นคือธรรมชาติปกติธรรมดาของชีวิตทุกชีวิตโดยไม่มีการยกเว้น แต่แปลก! ที่ทางวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่อธิบายว่าธรรมชาตินั้นๆ คืออะไร? มันทำงานอย่างไร? ไม่ต้องไปถึงว่าแล้วทำไม? ถึงต้องตายด้วย? ไม่ยักอธิบายธรรมชาติของความตาย “อย่างละเอียด” แม้แต่ทางการแพทย์เอง โดยเฉพาะที่เมืองไทยเราเองที่มีทั้งสูตินรีแพทย์ มีทั้งกุมารกุมารีแพทย์คอยดูแลรักษาเด็กเล็กๆ แต่ไม่มีแพทย์ดูแลรักษาคนที่แก่มากๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ที่อาจจะอยู่ได้นานๆ เป็นห้าปีสิบปี คนแก่ที่ก่อนหน้านี้ - หากไม่มีญาติ ญาติไม่เอาหรือติดต่อไม่ได้ - หลวงเขาจะเอาไปไว้ที่พระประแดง นอนเตียงไม้เตียงสังกะสีที่เจาะเป็นรูเอาไว้ตรงกลางเพื่อให้ถ่าย แล้วเอาน้ำราดได้สะดวกโดยไม่มีแพทย์พยาบาลประจำ - ที่มีน้อยคนนัก - คอยดูแลรักษาพยาบาล

ในด้านวิทยาศาสตร์นั้น ตั้งแต่โคเอร์นิคัสร่วม 600 ปีมาแล้ว นักปรัชญาหรือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดหรือแม้แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักวัตถุนิยม แต่ตั้งแต่ชาร์ลส์ ดาร์วิน ค้นพบความลี้ลับที่สุดลี้ลับที่หมู่เกาะกาลาปากอสเมื่อปี 1835 และเกิดวินัยทางวิชาการหรือวิชาชีววิทยา หรือวิทยาศาสตร์สาขาสุดท้ายขึ้นมา นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ส่วนมากก็ค่อยๆ ห่างไกลจากความเป็น “มนุษย์ผู้ประเสริฐ” ออกไปเรื่อยๆ นั่น-ผู้เขียนไม่ได้พูดเอง แต่นักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยโอเพน ประเทศอังกฤษ  เมวัน-โฮ เป็นผู้พูดในทำนองนั้น ผู้เขียนคิดว่า หากชาร์ลส์ ดาร์วิน ค้นพบความลี้ลับที่สุดจะลี้ลับของชีวิต  หมายถึงมนุษย์ที่กาลาปากอสในปี 1835 ดาร์วินิซึ่มก็จบสิ้นลงที่กาลาปากอสหลังจากมันอยู่ในโลกไม่ถึง  200 ปีดี คนเราหรือมนุษย์เรานั้น “รักตัวเองหรือรักมนุษยชาติมากที่สุด” วิชาชีววิทยากับแพทยศาสตร์ถึงได้เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีผู้เรียนมากที่สุด เพราะอะไรเกี่ยวกับคนหรือมนุษย์แล้ว “ต้อง” สำคัญพิเศษสุดทั้งนั้น (anthropocentric) และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยกรีก (Ptolemy‘s conceit) ศตวรรษที่ 20th จึงเป็นศตวรรษของชีววิทยา “ดาร์วินิซึ่ม” ที่จบลงที่การประชุมที่ยิ่งใหญ่ที่หมู่เกาะกาลาปากอส ที่มีดาเนียล เด็นเน็ต นักปรัชญาผู้ต่อต้านศาสนา ต่อต้านจิตวิญญาณ (spirituality) เป็นประธาน และผู้เขียนเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ชีววิทยาดาร์วินิซึ่มและนีโอ-ดาร์วินิซึ่มกับวิศวะพันธุกรรมได้จบลงที่นั่น ต่อไปนี้ศตวรรษที่ 21st นี้  วิทยาศาสตร์กับสภาวะจิตวิญญาณจะได้รวมกันเสียที

ทุกวันนี้ทศวรรษที่ 2000 แทบว่าได้ผ่านไปแล้ว เรากำลังเข้าไปใกล้ๆ ปี 2012 -2013 หรือปี 2017 -2018 ปีที่องค์การนาซาบอกในอินเทอร์เน็ตว่าน้ำจะท่วมโลกและภัยธรรมชาติร้ายแรงเข้าไปทุกที นั่น-ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เชื่อทั้งหมดนั่น แต่เราส่วนหนึ่งที่พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับวัฏจักรของโลกบ้างเชื่อว่าเป็นไปได้  แถมยังคิดว่าไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เราจะทำอะไรได้? ส่วนหนึ่งที่พอจะมีฐานะหน่อย ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อจะหาที่ดินสูงๆ ใกล้ภูเขาเพื่อหนีน้ำเผื่อเหนียวกันไว้ก่อน ส่วนผู้ไม่เชื่อเลย เพราะว่าไม่เคยมีมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวด ที่รู้มาบ้างก็โดยการอ่านประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีวิทยา โดยลืมนึกไปว่า หรือไม่รู้ว่าเราเพิ่งมีตัวหนังสือบันทึกอะไรก็เพียงเมื่อไม่ถึง 3,000 ปีมานี้เอง แถมยังไม่รู้ว่ามนุษย์นั้นอยู่ในยุคอินเตอร์เกลเชียลพีเรียด หรือยุคสมัยที่มีอากาศอบอุ่น เราจึงเคยชินเลยกลายเป็นสามัญสำนึก จนมั่นใจว่ามนุษย์คงไม่มีทางจะเป็นอะไรมาก จึงปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่มีทางจะทำอะไรอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ด้วย นั่น-เป็นเพราะวิทยาศาสตร์เก่าที่เรามีมาตั้ง 500 ปีแล้ว วิทยาศาสตร์เก่าที่แยกย่อยรูปวัตถุนิยมที่ทำงานดุจเครื่องจักรเครื่องยนต์ (mechanism-materialism) จนเราเคยชินอย่างที่ว่า จนคิดว่า ความจริงมีแค่นั้นคือแค่ตาเห็น ส่วนอะไรที่มองไม่เห็นจริงๆ จิต วิญญาณ ผี จิตใจหรือใจไม่มีจริง หรือสามารถจะอธิบายได้ด้วยวัตถุรูปกายทั้งหมด

 วิทยาศาสตร์ของความตายคือความพยายามอธิบายเรื่องของความตายที่เราไม่เห็นถึงได้ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ทำให้เราเอาแต่กลัวการตายจากไปลูกเดียวโดยไม่มีความรู้เรื่องของความตายแม้แต่น้อยในด้านชีววิทยาเลย ทั้งๆ ที่จำเป็น ที่เรามีก็เป็นความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์กายภาพที่มักจะเป็นเรื่องความเชื่อในทางจิตทางศาสนา ทางจิตที่นักวัตถุนิยมแบ่งแยกย่อยย่อ (reduction materialist) ไม่เชื่อไม่ยอมรับ  เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ ซึ่งข้อพิสูจน์คือวิธีการ (methodology) ที่ใช้หูใช้ตาและใช้ประสาทสัมผัสที่ให้สัตว์ต่างๆ ล้วนไม่เห็น-ไม่ได้ยินเหมือนกับที่คนเราเห็น-ได้ยินแม้แต่ตัวเดียว แถมยังเรียกผู้ที่เชื่อศาสนา เรื่องจิต เรื่องผี เจ้าพ่อเจ้าแม่ นรก-สวรรค์ ว่าโง่ งมงาย ตรงกันข้าม เราต้องมองเรื่องความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ ด้วยใจที่เปิดกว้าง มีสติและเป็นวิทยาศาสตร์ที่รวมทั้งฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ ควอนตัมแม็คคานิกส์ อย่างรู้จริงๆ ทั้งนี้ โดยการสังเกตอย่างเป็นระบบเรื่องราวอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความตายและความเป็นไปได้ของชีวิตหลังความตายไปจากโลกแล้ว เช่น การระลึกชาติ (reincarnation) ประสบการณ์ใกล้ตาย  (near death experience or NDE) ที่ไกลไปจากการหายากมาก (rare) ทั้งคู่ โดยเฉพาะประเด็นหลัง ซึ่งมีรายงานเป็นหมื่นๆ ราย หรือประมาณ 6-18% ของผู้ที่ตายไปแล้วทางการแพทย์ (clinical death) ทั้งหมดจากโรคหัวใจที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากช่วยไว้ (CPR) ซึ่งการตรวจทุกๆ อย่างเป็นศูนย์ รวมทั้งคลื่นไฟฟ้าของหัวใจและของสมอง (EKG and EEG) การวิจัยของประเด็น หลัง (NDE) นั้นอันเป็นการวิจัยที่ใหญที่สุด-กินเวลาที่ยาวนานที่สุด เพราะใช้โรงพยาบาลใหญ่ๆ ถึง 8 โรงพยาบาลที่อังกฤษ - ในโลกเท่าที่มีมา - ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ในขณะนี้ ผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมนักวิจัยคือนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ผู้ค้นพบหลักฐานของดวงวิญญาณหลังความตาย (soul) ชื่อมาริโอ บูเรการ์ด คงจะให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทางวิทยาศาสตร์แห่งความตาย (Mario Beuregard : The Spiritual Brain ; a neuroscientist’s  case of evidence of the soul, 2007)



http://www.thaipost.net/sunday/190910/27630

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2466 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2744 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2055 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1998 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2051 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.429 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 13 มีนาคม 2567 19:53:58