ดับนิพพานคืออะไร? มีไหม?คุณยาหยีถามในเว็บหนึ่งว่า: ดับนิพพานคืออะไร ? มีไหม?ตอบดับนิพพานมีครับ คือ ดับอายตนะนิพพาน มหายานเรียกว่า ธรรมศูนยตา
เมื่อใครเป็นพระอรหันต์ มหายานเรียกว่า
"บุคคลศูนยตา" เมื่อตายแล้ว เขาจะมี
อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย(เรียกแบบเถรวาท) หรือ สัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน) อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย นี้เป็นกายแท้ที่เป็นอัตตา กายแท้จะอยู่ใน
เมืองพระนิพพาน หรือดินแดนนิพพาน มหายานเรียกว่า พุทธเกษตร หรือ วิสุทธิภูมิ ถ้ากายแท้เหล่านี้ต้องการอยู่ในพุทธเกษตร แดนนิพพาน ก็อยู่ไปได้ชั่วนิรันดร เขาจะดำรงตนเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์
อย่างไรก็ตาม ถ้า"บุคคลศูนยตา" หรือ อายตนะนิพพาน หรือ สัมโภคกาย หรือธรรมกาย ต้องการไปอีกระดับหนึ่ง ที่เรียกว่า "
ธรรมศูนยตา" เขาต้องละออกแม้แต่อายตนะนิพพานของตนเอง เข้าไปสู่
พุทธภาวะเริ่มแรก ซึ่งเป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า เถรวาทของเราเรียกภาวะการรวมตัวของจิตบริสุทธิ์ที่เป็นแสงแต่ละดวงกับแสงดวงใหญ่
(อาทิพุทธ หรือพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือต้นธาตุ-ต้นธรรม) ว่า "นิพพาน" ศาสนาพราหมณ์เรียก อาตมัน ไปรวมกับ ปรมาตมัน
ถ้าท่านสงสัยว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง ลองอ่านคำพูดของพระอรหันต์เหล่านี้ดู
1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
“
เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี
เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”
2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน หลวงปู่ดูลย์ อตโล
"นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้" เข้าใจหรือยังครับ นิพพานมันมี 2 ระดับ ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้น
ถ้ายังไม่เชื่ออีกลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0 แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่ ผมคัดมานิดนึงให้ดู
" นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
" เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"สรุปจิตเฮงซวยไม่บริสุทธิ์อย่างพวกเรา ที่เรียกว่า "จิตสังขาร" มันยังมีอายตนะภายใน(ขันธ์ 5) และอายตนะภายนอก(บ้านเมือง)รองรับ แล้วจิตบริสุทธิ์ที่สุด ทำไมมันจะมีอายตนะ(ภายใน)นิพพาน(ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์) และอายตนะภายนอกนิพพาน(บ้านเมือง)รองรับไม่ได้ล่ะ
= อายตนะนิพพาน อยู่ในเมืองพระนิพพานแต่ถ้าคุณจะเลือกอยู่ในพุทธภาวะเริ่มต้นที่เป็นแสงสุกใสก็ย่อมทำได้(ธรรมกายมหายาน หรือ นิพพานเถรวาท) เลือกกันเอาเอง
อ้อ! สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรียกสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าว่า "พุทธบารมี"
"พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลก
อยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็น
ต้องเปิดใจออกรับ (พุทธบารมี) มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้
....พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง(หลวงปู่สายพระปาของหลวงปู่มั่นมั๊ง) ท่านเล่า
ไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอน
ท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ และท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของ
พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว"